การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
9107
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2555/04/11
คำถามอย่างย่อ
เหตุใดอัลลอฮ์จึงทรงสร้างภูตผีปีศาจ ขณะเดียวกันก็ทรงตรัสว่าภูตผีเหล่านี้จะทำอันตรายได้ก็ต่อเมื่อทรงอนุมัติเท่านั้น?
คำถาม
โองการที่101 ซูเราะฮ์บะเกาะเราะฮ์กล่าวว่า “และเหล่าภูตผีปีศาจได้สอนสิ่งที่สร้างความร้าวฉานระหว่างสามีภรรยา ซึ่งไม่สามารถทำอันตรายใดๆได้เว้นแต่ทรงประสงค์ สิ่งที่สอนสั่งนั้นล้วนแล้วแต่ให้โทษโดยปราศจากคุณประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น” เหตุใดอัลลอฮ์จึงทรงสร้างภูตเหล่านี้ ขณะเดียวกันก็ทรงตรัสว่าภูตผีเหล่านี้จะทำอันตรายได้ก็ต่อเมื่อทรงอนุมัติเท่านั้น พระเจ้าประสาอะไรปล่อยให้ภูตปีศาจทำอันตรายผู้อื่น?
คำตอบโดยสังเขป

ญิน คือสิ่งมีชีวิตที่กุรอานกล่าวว่า “และเราได้สร้างญินจากไฟอันร้อนระอุก่อนการสรรสร้าง(อาดัม)” ญินจึงถือเป็นสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์ซึ่งต้องได้รับการชี้นำโดยบรรดาศาสดาเช่นกัน อีกทั้งมีหน้าที่ต้องบูชาพระองค์เสมือนมนุษย์ ญินจำแนกออกเป็นกลุ่มกาฟิรและกลุ่มมุสลิมตามระดับการเชื่อฟังพระบัญชาของอัลลอฮ์ ซึ่งอิบลีสที่ไม่ยอมศิโรราบแก่นบีอาดัมในยุคแรกก็เป็นญินตนหนึ่ง
การทำอันตรายโดยการอนุมัติของพระองค์ในที่นี้ หมายถึงข้อเท็จจริงที่ว่าทุกๆพลังอำนาจที่มีอยู่ในโลกล้วนมาจากพระองค์ทั้งสิ้น แม้แต่อานุภาพความร้อนและคมมีดก็ไม่อาจทำอะไรได้หากพระองค์มิทรงยินยอม เป็นความคิดที่ผิดมหันต์หากจะเชื่อว่าจอมขมังเวทย์ทั้งหลายสามารถจะคานอำนาจของพระองค์ เนื่องจากไม่มีสิ่งใดจะสามารถกำหนดขอบเขตอำนาจของพระองค์ได้ กฏเกณฑ์เหล่านี้ล้วนเป็นคุณสมบัติและผลลัพท์ที่ทรงกำหนดแก่ทุกสรรพสิ่ง โดยมนุษย์บางคนใช้ประโยชน์ในทางที่ดี แต่ก็มีบางคนใช้ประโยชน์ในทางเสื่อมเสีย

คำตอบเชิงรายละเอียด

ภูตผีมีจริงหรือเพียงแค่ภาพหลอน?!
ในคติของคนทั่วไป ภูตผีปีศาจใช้เรียกสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะเฉพาะ อันมีความเกี่ยวโยงกับซาตาน แต่ถ้าหากกล่าวในเชิงนามเฉพาะก็จะหมายถึงอิบลีสนั่นเอง[1] ที่คุณเอ่ยคำว่าภูตปีศาจในคำถามนั้น ในคติของกุรอานเรียกว่า“ญิน” ความหมายทั่วไปของคำว่าญินก็คือ “สิ่งที่ซ่อนเร้น”[2] กุรอานกล่าวถึงการสร้างญินว่า “และเราได้สร้างญินจากเพลิงอันร้อนระอุก่อนสิ่งนั้น(การสร้างนบีอาดัม)[3] ญินจึงถือเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างสมบูรณ์ที่ต้องได้รับการนำทางโดยบรรดาศาสดาเช่นกัน[4] อีกทั้งมีหน้าที่ต้องบูชาพระองค์เสมือนมนุษย์[5] โดยจำแนกออกเป็นกลุ่มกาฟิรและกลุ่มมุสลิมตามระดับการเชื่อฟังพระบัญชาของอัลลอฮ์[6] อิบลีสที่ไม่ยอมศิโรราบแก่นบีอาดัมในยุคแรกก็เป็นญินตนหนึ่ง[7]

อย่างไรก็ดี บางครั้งบุคคลทั่วไปมักจะเรียกภาพเลือนลางในจินตนาการของตนว่า“ผี” แต่หากพิจารณาถึงโองการและฮะดีษของบรรดาอิมามที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็จะทราบว่าญินคือสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่จริง

โองการที่ 102 ซูเราะฮ์บะเกาะเราะฮ์เล่าว่าชาวยิวได้เรียนรู้เวทมนตร์คาถาจากสองสำนัก
หนึ่ง. สำนักชัยฏอน ที่พยายามสอนคนทั่วไปให้เก่งกล้าคาถาอาคม เพื่อยุแหย่ให้กระทำบาปมากขึ้น
สอง. สำนักมะลาอิกะฮ์ มลาอิกะฮ์สององค์ลงมาสอนวิธีแก้คุณไสยแก่ประชาชน[8]

โองการดังกล่าวเล่าว่า อัลลอฮ์ได้ส่งมะลาอิกะฮ์สององค์[9]นามฮารู้ตและมารู้ตลงมา(ไม่ไช่ภูตปีศาจอย่างที่คุณเข้าใจ) ทั้งนี้ก็เพื่อสอนผู้คนให้แก้คาถาอาคมได้ด้วยตนเอง ทว่าผู้คนกลับเรียนเฉพาะสิ่งที่ทำให้เกิดความร้าวฉานระหว่างสามีภรรยา

ฉะนั้น ประเด็นแรกคือ ผู้คนมิได้เรียนคาถาอาคมจากภูตผีปีศาจอย่างที่คุณกล่าวมา แต่มีมลาอิกะฮ์สององค์ได้รับบัญชาให้สอนประชาชน ประเด็นที่สอง กุรอานไม่ได้กล่าวว่ามลาอิกะฮ์สององค์นี้สอนคาถาอาคมที่ทำให้ครอบครัวร้าวฉาน แต่กล่าวเพียงว่าผู้คนเลือกที่จะเรียนรู้คาถาดังกล่าวเอง[10]

เป็นที่ทราบกันดีว่าสองสำนวนข้างต้นมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง บางครั้งอาจารย์ท่านหนึ่งให้ความรู้แก่นักศึกษาเพื่อจะได้เจริญก้าวหน้าทางวิชาการ แต่นักศึกษากลับใช้ความรู้ดังกล่าวในทางเสื่อมเสีย บางครั้งเรียนรู้ทักษะบางประการที่เป็นดาบสองคม แต่นักศึกษาเลือกที่จะใช้ในด้านลบเพียงด้านเดียว วิทยาการที่ใช้สร้างระเบิดทำลายล้างชนิดต่างๆในยุคบุกเบิกก็มีลักษณะเช่นนี้เนื่องจากมนุษย์บางกลุ่มใช้ความก้าวหน้าทางวิชาการในแง่ลบ

อย่างไรก็ดี หากศึกษาเหตุของการประทานโองการข้างต้นก็จะทำให้เข้าใจประเด็นดังกล่าวได้เป็นอย่างดี เรื่องราวก็คือ มลาอิกะฮ์สององค์นี้รับบัญชาให้ลงมาสอนวิธีแก้ไสยศาสตร์และคาถาอาคมแก่ประชาชน โดยได้เน้นย้ำชัดเจนว่าเราสององค์เป็นการทดสอบของพระองค์ ฉะนั้นจึงอย่ากลายเป็นผู้ปฏิเสธ (และจงใช้วิชาตามจุดประสงค์ที่ถูกต้อง)[11]

ท่านผู้อ่านสามารถศึกษาเหตุแห่งการประทานโองการนี้ พร้อมกับเรื่องราวของฮารู้ตและมารู้ตได้จากคำถามที่ 4970 (ลำดับในเว็บไซต์ 5247)

ไขข้อข้องใจที่ว่าอัลลอฮ์ทรงปล่อยให้มีการทำรายผู้คนกระนั้นหรือ?”
หากพิจารณากันให้ดีถึงเนื้อหาของโองการดังกล่าวก็จะทราบว่า โองการนี้ต้องการชี้แจงข้อสงสัยข้างต้น โดยหลังจากที่พระองค์ทรงตรัสว่าผู้คนเลือกที่จะเรียนคาถาอาคมที่ทำให้ครอบครัวร้าวฉาน จุดนี้อาจเกิดข้อสงสัยที่ว่า หากเป็นเช่นนั้นจริงก็แสดงว่ามนุษย์สามารถปรับเปลี่ยนระบบโครงสร้างของโลกและทำทุกอย่างตามอำเภอใจโดยไม่ต้องพึ่งพาอำนาจของพระเจ้าได้กระนั้นหรือ? พระองค์ทรงชี้แจงว่า แม้จะใช้วิชาอาคมทำร้ายผู้อื่นได้ แต่ก็ยังอยู่ในระบบที่พระองค์ทรงวางไว้อยู่ดี...[12]

คำอธิบายเพิ่มเติม
โองการดังกล่าวต้องการจะตีแผ่แกนหลักที่สำคัญของเตาฮี้ดที่ว่า ทุกอำนาจที่มีในสากลโลกล้วนถ่ายทอดมาจากเดชานุภาพของพระองค์ทั้งสิ้น แม้แต่ความร้อนและคมหอกคมดาบก็ไม่มีอานุภาพใดๆหากพระองค์มิทรงยินยอม เป็นความคิดที่ผิดมหันต์หากจะเชื่อว่าจอมขมังเวทย์ทั้งหลายสามารถจะต้านทานอำนาจของพระองค์ได้ เนื่องจากไม่มีสิ่งใดจะสามารถกำหนดขอบเขตอำนาจของพระองค์ได้เลย กฏเกณฑ์เหล่านี้ล้วนเป็นคุณสมบัติและผลลัพท์ที่ทรงกำหนดแก่ทุกสรรพสิ่ง โดยบางคนใช้ประโยชน์ในทางดี แต่ก็มีบางคนใช้ประโยชน์ในทางเสื่อมเสีย ทั้งนี้ อิสระและเสรีภาพที่พระองค์มอบให้มนุษย์นั้น ถือเป็นสิ่งทดสอบสำหรับพัฒนาตนเอง[13]

แม้เราจะทราบดีว่าอานุภาพของทุกสิ่งล้วนขึ้นตรงต่อพระองค์ แต่ก็มิได้หมายความว่าพระองค์ทรงประสงค์จะให้มนุษย์ได้รับอันตรายจากคาถาอาคม ทั้งนี้ ที่คาถาอาคมมีอานุภาพได้ก็เพราะเป็นอีกระบบหนึ่งที่พระองค์ทรงสร้างไว้นั่นเอง ดังกรณีที่มีดสามารถเฉือนวัตถุเนื้ออ่อนได้ โดยมนุษย์ได้ใช้ประโยชน์จากกฏเกณฑ์ดังกล่าวมาโดยตลอด แต่หากเกิดเหตุการณ์ที่ผู้บริสุทธิ์ถูกแทงด้วยมีดจนเสียชีวิต ในมุมหนึ่งสามารถกล่าวได้ว่าเกิดขึ้นจากกฏเกณฑ์ทางธรรมชาติอันเป็นพระประสงค์พื้นฐานของพระองค์ แต่ย่อมมิได้หมายความว่าพระองค์ทรงอนุญาตให้อาชญากรใช้มีดแทงผู้บริสุทธิ์เป็นการเฉพาะ เนื่องจากพระองค์ทรงห้ามปรามไว้ในหลายโองการมิให้สังหารหรือลิดรอนสิทธิผู้บริสุทธิ์ โดยทรงสัญญาว่าจะลงโทษผู้อธรรมอย่างสาสม[14]

ระเบียนที่เกี่ยวข้อง
หนึ่ง. คำถามที่ 4960 (ลำดับในเว็บไซต์ 5247) ฮารู้ตและมารู้ต
สอง. คำถามที่ 2992 (ลำดับในเว็บไซต์ 3237) ความชั่วร้ายสืบเนื่องถึงพระองค์อย่างไร
 

 


[1] มุอีน,มุฮัมมัด,พจนานุกรมมุอีน,หน้า 457,สำนักพิมพ์เบะฮ์ซ้อด,เตหราน,ปี1386

[2] รอฆิบ อิศฟะฮานี,อัลมุฟเราะด้าต ฟี เฆาะรีบิลกุรอาน,เล่ม 1,หน้า 203

[3] อัลฮิจร์,27

[4] อัลอันอาม,130 (จะมีสุรเสียงจากพระองค์ในวันกิยามะฮ์ว่า) โอ้กลุ่มญินและมนุษย์เอ๋ย ไม่มีศาสนทูตจากสูเจ้ามาดอกหรือ เพื่อนำเสนอโองการของเราแก่สูเจ้า และเตือนสูเจ้าเกี่ยวกับการพบปะในวันนี้? พวกเขาตอบว่า เราขอสารภาพผิด(มีศาสนทูตมาเตือนแล้ว) ทว่าชีวิตในดุนยาได้หลอกลวงเรา (ด้วยเหตุนี้)จึงสารภาพมัดตัวตนเองว่าเคยเป็นผู้ปฏิเสธ”

[5] อัซซาริยาต,57

[6] อัลอะห์ก้อฟ,29 โองการนี้กล่าวถึงการรับอิสลามของญินกลุ่มหนึ่ง โดยโองการอื่นๆมีการกล่าวถึงกลุ่มญินผู้ปฏิเสธ ดู: ฟุศศิลัต,29  อะอ์ร้อฟ,38  อัลกาฟี,เล่ม 1,หน้า 295

[7] อัลกะฮ์ฟิ,50 “และ(จงรำลึกเถิด)เมื่อครั้งที่เราได้ตรัสแก่มลาอิกะฮ์ว่า จงสุญูดแก่อาดัม พลันพร้อมใจกันสุญูดยกเว้นอิบลีสซึ่งมาจาก(เผ่าพันธุ์)ญิน (เนื่องจากมลาอิกะฮ์ย่อมไม่ฝ่าฝืนพระองค์) และได้ผันตนออกจากคำสั่งของพระผู้อภิบาลของตน”

[8] เหตุผลที่สามารถเรียนรู้ไสยศาสตร์ได้ อาทิเช่น เพื่อแก้มนตร์ดำ หรือเพื่อต่อกรกับเหล่าจอมขมังเวทย์ ดู: ญะฟะรี,ยะอ์กู้บ,ตัฟซี้รเกาษัร,เล่ม,หน้า

[9] عن الرضا(ع):وَ أَمَّا هَارُوتُ وَ مَارُوتُ فَكَانَا مَلَكَيْنِ عَلَّمَا النَّاسَ السِّحْرَ لِيَحْتَرِزُوا بِهِ سِحْرَ السَّحَرَةِ وَ يُبْطِلُوا بِهِ كَيْدَهُم ดู: วะซาอิลุชชีอะฮ์,เล่ม 17,หน้า 147,หมวดห้ามเรียนรู้เวทมนตร์คาถาและห้ามใช้ทำมาหากิน

[10] กรุณาสังเกตุความหมายของโองการ: “และ(ชาวยิว)ต่างคล้อยตามสิ่งที่ชัยฏอนนำมาสอนในยุคของสุลัยมาน(อ.) สุลัยมานไม่เคย(แตะต้องวิชาอาคมเหล่านี้)และมิได้เป็นกาฟิร ทว่าชัยฏอนต่างพากันปฏิเสธและสอนมนตร์ดำแก่ผู้คน และ(ชาวยิวบางส่วน)เชื่อฟังในสิ่งที่มลาอิกะฮ์สององค์นามฮารู้ตและมารู้ตได้นำมาสอน (โดยได้สอนให้รู้จักวิธีทำคุณไสยเพื่อให้ทราบวิธีแก้มนตร์ดำ) และมิได้สอนผู้ใดเว้นเสียแต่จะเตือนเสมอว่าเราเป็นเครื่องทดสอบ จงอย่าเป็นผู้ปฏิเสธ (ด้วยการนำไปใช้ในแง่ลบ) ทว่าพวกเขาเรียนรู้เฉพาะสิ่งที่จะทำให้เกิดความร้าวฉานระหว่างสามีภรรยา แต่พวกเขาไม่สามารถจะทำอันตรายผู้ใดได้เว้นแต่พระองค์ทรงอนุญาต พวกเขาเรียนรู้ในสิ่งที่มีอันตรายต่อตนเองโดยไม่อาจจะให้ประโยชน์ใดๆ และแน่นอนว่าผู้ใดก็ตามที่แสวงหาสิ่งเหล่านี้ย่อมไม่ได้รับประโยชน์ใดๆในอาคิเราะฮ์ สิ่งที่พวกเขาแสวงหามานั้นช่างน่ารังเกียจเสียนี่กระไร หากพวกเขาทราบ”

[11] อัลบะเกาะเราะฮ์,102

[12] อิงเนื้อหาจากตัฟซี้รอัลมีซาน,เล่ม 1,หน้า 355

[13] มะการิม ชีอรซี,ตัฟซี้รเนมูเนะฮ์,เล่ม 1,หน้า 377

[14] อัลลอฮ์ทรงตรัสว่า “และจงอย่าสังหารผู้ที่พระองค์ทรงพิทักษ์โลหิตของเขาเว้นแต่จะมีสิทธิอันชอบธรรม และหากผู้ใดถูกสังหารในฐานะผู้ถูกกดขี่ เราได้กำหนดให้ผู้รับผิดชอบเขามีอำนาจชอบธรรม(ในการกิศอศ) ทว่าอย่าสุรุ่ยสุร่ายในการสังหาร แท้จริงเขาได้รับการช่วยเหลือ”,อิสรออ์,33

 

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • อิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ท่านใดที่อ่านดุอาอฺฟะรัจญฺ?
    9016 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/05/20
    คำว่า “ฟะรัจญฺ” (อ่านโดยให้ฟาเป็นฟัตตะฮฺ) ตามรากศัพท์หมายถึง »การหลุดพ้นจากความทุกข์โศกและความหม่นหมอง«[1] ตำราฮะดีซจำนวนมากที่กล่าวถึงดุอาอฺ และการกระทำสำหรับการ ฟะรัจญฺ และการขยายภารกิจให้กว้างออกไป ตามความหมายในเชิงภาษาตามกล่าวมา ในที่นี้ จะขอกล่าวสักสามตัวอย่างจากดุอาอฺนามว่า ดุอาอฺฟะรัจญฺ หรือนมาซซึ่งมีนามว่า นมาซฟะรัจญฺ เพื่อเป็นตัวอย่างดังต่อไปนี้ : หนึ่ง. ดุอาอฺกล่าวโดย ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ชื่อว่าดุอาอฺ ฟะรัจญฺ [2]«اللَّهُمَّ إِنِّي أَسْأَلُكَ يَا اللَّهُ ...
  • มุสลิมะฮ์ท่านใดที่พูดคุยด้วยโองการกุรอานนานหลายปี?
    7062 تاريخ بزرگان 2554/06/11
    มุสลิมะฮ์ท่านนี้ก็คือฟิฎเฎาะฮ์ทาสีของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ซึ่งตำราชั้นนำต่างระบุว่านางพูดคุยด้วยโองการกุรอานนานหลายปี. ...
  • ขณะวุฎูอฺ แต่ไม่ได้อยู่ในสภาพที่จำเป็น, โดยมีบุคคลอื่นราดน้ำลงบนมือและแขนให้เรา ถือว่ามีปัญหาทางชัรอียฺหรือไม่?
    6222 สิทธิและกฎหมาย 2555/05/17
    วุฎูอฺ มีเงื่อนไขเฉพาะตัว ดังนั้น การไม่ใส่ใจต่อเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่ง เป็นสาเหตุให้วุฎูอฺบาฏิล หนึ่งในเงื่อนไขของวุฎูอฺคือ การล้างหน้า มือทั้งสองข้าง การเช็ดศีรษะ และหลังเท้าทั้งสองข้าง ผู้วุฎูอฺ ต้องทำด้วยตัวเอง ถ้าหากมีบุคคลอื่น วุฎูอฺ ให้แก่เขา, หรือช่วยเขาราดน้ำที่ใบหน้า มือทั้งสองข้างแก่เขา หรือช่วยเช็ดศีรษะและหลังเท้าทั้งสองแก่เขา วุฎูอฺ บาฏิล[1] มีคำกล่าวว่า บรรดานักปราชญ์แสดงความเห็นเกี่ยวกับเงื่อนไขนี้ ต่างกัน : 1.บางท่านแสดงทัศนะว่า : บุคคลต้อง วุฏูอฺ ด้วยตัวเอง ถ้าหากมีบุคคลอื่นช่วยเขาวุฎูอฺ ในลักษณะที่ว่าถ้าคนอื่นเห็นจะไม่พูดว่า บุคคลดังกล่าวกำลังวุฎูอฺ ถือว่าวุฏูอฺ บาฏิล
  • เพราะเหตุใดจึงต้องคลุมฮิญาบ และทำไมอิสลามจำกัดสิทธิสตรี?
    14991 ปรัชญาของศาสนา 2554/06/21
    สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีมีความคล้ายคลึงกันในแง่ของการที่มีต้นกำเนิดเดียวกันและการที่ควรได้รับความเสมอภาคทางสังคมอาทิเช่นการศึกษา, การแสดงความเห็น...ฯลฯอย่างไรก็ดีในแง่สรีระและอารมณ์กลับมีข้อแตกต่างหลายประการข้อแตกต่างเหล่านี้เองที่ส่งผลให้เกิดบทบัญญัติพิเศษอย่างเช่นการสวมฮิญาบในสังคมทั้งนี้ก็เนื่องจากสุภาพสตรีมีความโดดเด่นในแง่ความวิจิตรสวยงามแต่สุภาพบุรุษมีความโดดเด่นในแง่ผู้แสวงหาด้วยเหตุนี้จึงมีการเน้นย้ำให้สุภาพสตรีสงวนตนในที่สาธารณะมากกว่าสุภาพบุรุษทั้งนี้และทั้งนั้นหาได้หมายความว่าจะมีข้อจำกัดด้านการแต่งกายเพียงสุภาพสตรีโดยที่สุภาพบุรุษไม่ต้องระมัดระวังใดๆไม่. ...
  • เนื่องจากชาวสวรรค์ล้วนอยู่ในวัยหนุ่มสาว เหตุใดท่านอิมามฮะซันและอิมามฮุเซน(อ.)จึงได้เป็นประมุขทั้งที่ยังมีบรรดานบีและบรรดาอิมามท่านอื่นๆอยู่?
    8715 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/01
    ท่านอิมามฮะซันและอิมามฮุเซน(อ.) ผู้เป็นหลานรักของท่านนบี(ซ.ล.)นั้นมีสถานะภาพสูงกว่าชาวสวรรค์ทั่วไปอย่างไรก็ดีเนื่องจากชาวสวรรค์ทุกท่านล้วนอยู่ในวัยหนุ่มสาวบารมีดังกล่าวจึงเจาะจงชาวสวรรค์ที่เป็นชะฮีดหรือเสียชีวิตในวัยหนุ่มสาวเป็นพิเศษซึ่งแน่นอนว่าย่อมไม่ขัดกับบารมีของบรรดานบีและบรรดาเอาลิยาอ์ของอัลลอฮ์ท่านอื่นๆอย่างแน่นอนอนึ่งเมื่อพิจารณาเบาะแสต่างๆจะพบว่าฮะดีษดังกล่าวสื่อถึงความเป็นประมุขที่มีต่อชาวสวรรค์ทั่วไปมิได้เป็นประมุขของอิมามท่านอื่นๆหรือบรรดานบี ...
  • การส่งยิ้มเมื่อเวลาพูดกับนามะฮฺรัม มีกฎเป็นอย่างไร?
    5874 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/21
    การส่งยิ้มและล้อเล่นกับนามะฮฺรัมถ้าหากมีเจตนาเพื่อเพลิดเพลินไปสู่การมีเพศสัมพันธ์หรือเกรงว่าจะเกิดข้อครหานินทาหรือเกรงว่าจะนำไปสู่ความผิดแล้วละก็ถือว่าไม่อนุญาต
  • การทำหมันแมวเพื่อป้องกันมิให้จรจัด แต่ก็มีผลกระทบไม่ดีด้านความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ฮุกุ่มเป็นอย่างไรบ้าง?
    8377 สิทธิและกฎหมาย 2555/01/23
    สำนักฯพณฯท่านผู้นำอายะตุลลอฮฺอัลอุซมาคอเมเนอี (ขออัลลอฮฺทรงคุ้มครองท่าน):
  • การที่ฝ่ายชีอะฮฺกล่าวว่า เซาะฮาบะฮฺของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) เป็นมุรตัด หรือพวกเขาได้กลับสภาพเดิมหลังจากศาสดาได้จากไปหมายความว่าอะไร? คำกล่าวอ้างเช่นนี้ยอมรับได้หรือไม่?
    9327 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/09/08
    เหตุการณ์การบิดเบือน, โดยหลักการถือว่าเป็น บิดอะฮฺหรือเอรติดอด ซึ่งในหมู่สหายของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) หลังจากที่ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้จากไป หนึ่ง, จากแหล่งอ้างอิงแน่นอนของอิสลาม ซึ่งจัดอยู่ในลำดับต้นๆ ของอิสลามนั้นเป็นเหตุผลที่ยืนยันว่า เหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความจริงอันไม่อาจปฏิเสธได้ ซึ่งมิได้มีกล่าวไว้แค่ตำราของฝ่ายชีอะฮฺเท่านั้น รายงานประเภท มุตะวาติร จำนวนมากมายที่กล่าวว่า พวกเขาได้ละทิ้งท่านศาสดา (ซ็อลฯ) มีกล่าวไว้มากมายในหนังสือ ซิฮะฮฺ ทั้ง 6 เล่มของฝ่ายซุนนียฺ และตำราที่เชื่อถือได้เล่มอื่นของพวกเขา โดยมีการกล่าวอ้างสายรายงานที่แตกต่างกัน อีกนัยหนึ่ง มีคำกล่าวยืนยันที่สมควรพิจารณาเป็นอย่างยิ่งที่ว่า หลังจากท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้จากไป มีเหล่าสหายจำนวนไม่น้อยได้ละเลยต่อแบบอย่าง และซุนนะฮฺของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) โดยหันไปสู่ศาสนาดั้งเดิมของต้นเอง และเนื่องด้วยการบิดเบือนดังกล่าวของพวกเขานั้นเอง ได้กลายเป็นสาเหตุสำคัญ ทำให้พวกเขาถูกกีดกันมิให้ดื่มน้ำจากสระน้ำเกาษัร และอีกถูกขับไล่ออกจากสระน้ำดังกล่าวอีกด้วย บรรดามะลาอิกะฮฺแห่งการลงโทษจะลากพวกเขาไปยังขุมนรกของการลงโทษ สอง, เอรติดาด ได้ถูกกล่าวถึงในรายงานลักษณะอย่างนี้ ...
  • เข้ากันได้อย่างไร ระหว่างความดีและชั่ว กับความเป็นเอกะและความเมตตาของพระเจ้า?
    7073 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/04/07
    1. โลกใบนี้ได้ถูกสร้างขึ้นมาในลักษณะที่ว่า สรรพสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ไม่อาจอยู่เป็นเอกเทศหรืออยู่ตามลำพังได้, องค์ประกอบและสัดส่วนต่างๆ บนโลกนี้ ถ้าหากพิจารณาให้รอบคอบจะพบว่าทุกสรรพสิ่ง เปรียบเสมือนโซ่ที่ร้อยเรียงติดเป็นเส้นเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดเหล่านั้นรวมเรียกว่า ระบบการสร้างสรรค์อันสวยงาม, ด้วยเหตุนี้ ไม่สามารถกล่าวได้ว่าในโลกนี้มีพระเจ้า 2 องค์ เช่น พูดว่าน้ำและน้ำฝนมีพระเจ้าองค์หนึ่ง น้ำท่วมและแผ่นดินไหวมีพระเจ้าอีกองค์หนึ่ง, แน่นอน ถ้าหากน้ำท่วมและแผ่นดินไหวมาจากระบบหนึ่ง และน้ำฝน แสงแดด การโคจร และ ...ได้ตามอีกระบบหนึ่ง เท่ากับว่าโลกใบนี้มี 2 ระบบ เวลานั้นเราจึงสามารถกล่าวได้เช่นนี้ว่า โลกมีพระเจ้า 2 องค์ ด้วยเหตุนี้ เนื่องจากความจำกัดของโลกมีเพียงแค่ระบบเดียวที่เข้ากันและมีความสวยงาม ซึ่งทั้งหมดสามารถเจริญเติบโตไปสู่ความสมบูรณ์ของตนได้อย่างเสรี สรุปแล้วโลกใบนี้ต้องมีพระเจ้าองค์เดียว ผู้ทรงเมตตาปรานียิ่ง 2.ความเมตตาปรานีของพระเจ้า วางอยู่บนพื้นฐานแห่งวิทยปัญญาของพระองค์ ซึ่งสิ่งนี้ได้กำหนดว่ามนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหลายต่างได้รับการชี้นำทางไปสู่การพัฒนา และความสมบูรณ์แต่ก็มิได้หมายความว่าจะเป็นไปได้ทุกหนทางในการบริการ หรือทุกหนทางที่จะก้าวเดินไป ทว่าการไปถึงยังความสมบูรณ์นั้นได้เป็นตัวกำหนดว่า มนุษย์ต้องผ่านหนทางที่ยากลำบากไปให้ได้ เขาต้องเผชิญกับความยากลำบาก และการต่อสู้ในชีวิตเพื่อก้าวไปสู่ความสมบูรณ์ อีกนัยหนึ่งศักยภาพต่างๆ ...
  • ผมได้หมั้นหมายกับคู่หมั้นมานานเกือบ 10 ปี แล้วเราสามารถอ่านอักด์ชัรอียฺก่อนแต่งงานตามกฎหมายได้หรือไม่?
    6273 สิทธิและกฎหมาย 2555/04/07
    คำตอบจากบรรดามัรญิอฺตักลีดเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว ตามที่มีผู้ถามมา[1] ฯพณฯท่านอายะตุลลอฮฺ .. : 1. ฯพณฯ ท่านอายะตุลลอฮฺ คอเมเนอี : ด้วยการใส่ใจและตรวจสอบเงื่อนไขทางชัรอียฺแล้ว, โดยตัวของมันไม่มีปัญหาแต่อย่างใด 2.ฯพณฯ ท่านอายะตุลลอฮฺ ซิตตานียฺ : การอ่านอักด์นิกาห์กับหญิงสาวบริสุทธิ์ต้องขออนุญาตบิดาของเธอก่อน 3.ฯพณฯ ท่านอายะตุลลอฮฺ ซอฟฟี ฆุลภัยฆอนียฺ : การแต่งงานของชายผู้ศรัทธากับหญิงผู้ศรัทธา มีเงื่อนไขหลักหลายประการ (เช่น การได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองของฝ่ายหญิงเป็นต้น) โดยตัวของมันแล้วไม่มีปัญหา แต่ถ้มีปัญหาอื่นจงเขียนคำถามมาให้ชัดเจน เพื่อจะได้ตอบไปตามความเหมาะสม 4.ฯพณฯ ท่านอายะตุลลอฮฺ มะการิม ชีรอซียฺ : ตามตัวบทกฎหมายของรัฐอิสลาม, การแต่งงานลักษณะนี้ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60080 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57470 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42162 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39260 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38906 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33967 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27980 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27902 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27728 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25741 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...