การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
8196
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/10/22
 
รหัสในเว็บไซต์ fa985 รหัสสำเนา 17837
คำถามอย่างย่อ
จะให้นิยามและพิสูจน์ปาฏิหาริย์ได้อย่างไร?
คำถาม
จะให้นิยามและพิสูจน์ปาฏิหาริย์ได้อย่างไร?
คำตอบโดยสังเขป

อิอฺญาซ หมายถึงภารกิจที่เหนือความสามารถของมนุษย์บุถุชนธรรมดา อีกด้านหนึ่งเป็นการท้าทาย และเป็นภารกิจที่ตรงกับคำกล่าวอ้างตนของผู้ที่อ้างตนเองว่าเป็นผู้แสดงปาฏิหาริย์นั้น การกระทำที่เหนือความสามารถหมายถึง การกระทำที่แตกต่างไปจากวิสามัญทั่วไปซึ่งเกิดภายใต้เงื่อนไขและกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติ

ภารกิจที่เหนือธรรมชาติหมายถึง ภารกิจที่ไม่มีสาเหตุ หรือภารกิจที่ปฏิเสธกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติ และกฎเกณฑ์ของสาเหตุ อิอฺญาซมาตรว่าเป็นภารกิจธรรมดาที่มีสาเหตุทางธรรมชาติ แต่สามารถเหล่านั้นก็ยากเกินความสามารถที่มนุษย์บุถุชนทั่วไปจะสัมผัสได้ หรือเกินความสามารถที่จะรับรู้และเข้าใจได้ด้วย การท้าทายหมายถึงท่านศาสดา (ซ็อล ) ในฐานะที่เป็นเจ้าของปาฏิหาริย์ ได้กล่าวท้าทายบุคคลหรือกลุ่มชนที่ไม่เชื่อเรื่องปาฏิหาริย์ของท่าน หรือไม่ยอมคำเชิญชวนของท่าน ซึ่งท่านจะกล่าวท้าทายให้เขานำสิ่งที่คล้ายเหมือนมาแสดงเยี่ยงท่าน

ปาฏิหาริย์ อิอ์ญาซ ได้รับอิทธิพลมาจากท่านศาสดาโดยได้รับอนุญาตจากอัลลอฮฺ กล่าวคือปาฏิหาริย์ต่างๆ ของศาสดาขึ้นอยู่กับอำนาจที่ไม่มีความจำกัดของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ จึงได้รับชัยชนะเสมอมา ปาฏิหาริย์ ไม่ต้องเรียนหรือจดจำแต่อย่างใด อีกทั้งไม่ต้องการเงื่อนไขอันจำกัดจำเพาะแต่อย่างใดด้วย ปาฏิหาริย์ของบรรดาศาสดานั้นส่วนใหญ่มิได้เป็นการแสดงเพื่อคร่าเวลาให้หมดไป ทว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อการชี้นำทางมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ ปาฏิหาริย์ของบรรดาศาสดาจึงมีแตกต่างไปจากเรื่องกะรอมัต เช่น การตอบรับดุอาอฺ และ....มายากล หรือคาถาอาคมต่างๆ โดยสิ้นเชิง

เรื่อง กะรอมัต นั้นมิได้อยู่ในส่วนของคำท้าทาย หรือการชี้นำทางามนุษย์ หรือคำกล่าวอ้างการเป็นนบีแต่อย่างใด ทำนองเดียวกันเรื่องมายากลและคาถาคมต่างๆ ที่บรรดามุรตะฎออินเดียได้แสดงให้เห็นนั้น ล้วนเป็นภารกิจที่เกิดขึ้นเป็นไปภายใต้กฎเกณฑ์ทางธรรมชาติทั้งสิ้น แม้ว่าบางครั้งอาจจะมีภารกิจบางอย่างที่มีเป้าหมายอันศักดิ์สิทธิ์ก็ตาม

นอกจากนี้,บุคคลที่ได้ศึกษาและฝึกฝนภารกิจดังกล่าวจนประสบความสำเร็จ และสามารถปฏิบัติภารกิจบางประการได้ ภารกิจของเขาก็ขึ้นอยู่กับแหล่งอำนาจของมนุษย์ ซึ่งมีความจำกัดดังนั้นภารกิจที่ดูเหมือนว่าเหนือธรรมชาติที่กระทำโดยบุคคลที่ฝีกฝนตน ก็ยังพ่ายแพ้ต่ออำนาจที่เหนือธรรมชาติที่เรียกว่า มุอฺญิซะฮฺ อยู่ดี

ส่วนการพิสูจน์เรื่อง มุอฺญิซะฮฺ, อิอฺญาซมี 2 ประเภท,บางครั้งเป็นการกระทำ และบางครั้งเป็นกาลเวลาเป็นการบรรยายหรือคำพูด, ปาฏิหาริย์ที่เป็นการกระทำด้านหนึ่งเกิดจากการเรียกร้องของประชาชน และจะเกิดในช่วงเวลาที่มีความเหมาะสม และหลังจากเกิดแล้ว ปาฏิหาริย์นั้นจะไม่คงเหลืออยู่อีกต่อไป, แม้ว่าจะมีปาฏิหาริย์อันเป็นการกระทำของบรรดาศาสดา (.) หลงเหลืออยู่บ้างก็ตาม

การพิสูจน์ปาฏิหาริย์ดังกล่าวข้างต้น, สำหรับบุคคลที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ของการเกิดปาฏิหาริย์, สามารถพิจารณาได้จากรายงานต่างๆ ที่กล่าวถึงเรืองปาฏิหาริย์นั้นๆ และสามารถยอมรับความจริงได้.

ส่วนมุอฺญิซะฮฺ ที่เป็นถ้อยจำนรรจ์ของท่านศาสดา (ซ็อล ) ก็คืออัลกุรอาน, ซึ่งอัลกุรอานเองได้เชิญชวนและท้าทายบรรดาผู้ปฏิเสธอัลกุรอานให้มาต่อสู้กัน ซึ่งการท้าทายอันเฉพาะของอัลกุรอาน มิได้จำกัดอยู่เฉพาะแค่เรื่องวาทศิลป์ วาทศาสตร์ และโวหาร, ทว่าได้ท้าทายในทุกรูปแบบที่คิดว่าสามารถทำได้ดีกว่าอัลกุรอาน, ซึ่งสิ่งเหล่านั้นจัดว่าเป็นการท้าทายของอัลกุรอานโดยแท้จริง เช่น การแจ้งข่าวความเร้นลับ การอธิบายในเชิงวิชาการ การไม่มีความขัดแย้งกันในอัลกุรอาน และ .... แน่นอนการพิสูจน์ปาฏิหาริย์เหล่านี้ต้องอาศัยการพิสูจน์ปาฏิหาริย์ของอัลกุรอานที่ว่า อัลกุรอาน ดีกว่าในทุกด้านที่มนุษย์คิดว่าสิ่งนั้นดี และมนุษย์ไร้ความสามารถในการนำเสนอเยี่ยงอัลกุรอาน

คำตอบเชิงรายละเอียด

นักปราชญ์อิสลามกับการตีความคำว่า มุอฺญิซะฮฺ[1]

มุอฺญิซะฮฺหมายถึงภารกิจที่เหนือความสามารถของมนุษย์บุถุชนธรรมดา อีกด้านหนึ่งเป็นการท้าทาย และเป็นภารกิจที่ตรงกับคำกล่าวอ้างตนของผู้ที่อ้างตนเองว่าเป็นผู้แสดงปาฏิหาริย์นั้น การกระทำที่เหนือความสามารถหมายถึง การกระทำที่แตกต่างไปจากวิสามัญทั่วไปซึ่งเกิดภายใต้เงื่อนไขและกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติ แต่มิได้หมายความว่า มุอฺญิซะฮฺ, ได้รับการยกเว้นจากกฎเกณฑ์ของเหตุปัจจัย. มุอฺญิซะฮฺ มิใช่การปฏิเสธสาเหตุ เนื่องจากกฎของเหตุปัจจัยที่เป็นไป, นั้นยอมรับเรื่องของเหตุผล และอัลกุรอาน. กฎเกณฑ์ของเหตุปัจจัย[2] และปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ ทั้งสองประการยอมรับอัลกุรอาน แต่โดยหลักการได้นำเสนอแก่มนุษย์ เช่น การเกิดปาฏิหาริย์อยู่ในอำนาจของอัลลอฮฺ.เหตุที่เป็นวัตถุโดยเอกเทศไม่มีผลโดยตรงกับการเกิดปาฏิหาริย์ แน่นอน สาเหตุทีแท้จริงคืออัลลอฮฺเพียงผู้เดียว[3] ซึ่งหนึ่งในสาเหตุที่มีผลต่อปาฏิหาริย์, ก็คือการมีอยู่ของบรรดาศาสดา[4]ส่วนสาเหตุที่มีอิทธิพลเหนือบรรดาศาสดาและมวลผู้ศรัทธา,ก็คือสิ่งที่อยู่เหนือประมวลสาเหตุภายนอก และมีอิทธิต่อสิ่งเหล่านั้น[5]

บทสรุป, มุอฺญิซะฮฺและภารกิจเหนือธรรมชาติ ก็เหมือนกับภารกิจทั่วไปที่ต้องอาศัยสาเหตุอันเป็นธรรมชาติ และนอกจาก, ทั้งสอง (มุอฺญิซะฮฺและภารกิจธรรมชาติ) ยังได้รับประโยชน์จากด้านใน ซึ่งเราเรียกสิ่งนั้นว่า สาเหตุ และแน่นอน สิ่งนี้มีความแตกต่างกัน, เพียงแต่ว่าภารกิจทั่วไปจะอยู่ร่วมกับภารกิจภายนอกและสาเหตุภายในอันเป็นแก่นแท้ และสาเหตุภายในก็จะอยู่ร่วมกับความประสงค์และบัญชาของพระเจ้า แน่นอน บางครั้งสาเหตุที่แท้จริงกับสาเหตุภายนอกจะไม่ประสานกัน ซึ่งในบทสรุปก็คือว่า, สาเหตุภายนอกจะออกนอกระบบของ สาเหตุทั้งหลาย ซึ่งสิ่งนั้นจะไม่ถือว่าเป็นภารกิจธรรมดาทั่วไปอีกต่อไป เนื่องจากสิ่งนั้นมิได้ย้อนกลับไปยังพระประสงค์และบัญชาของพระเจ้าอีกต่อไป แตกต่างไปจากภารกิจเหนือธรรมชาติ แม้ว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับสาเหตุอันเป็นธรรมชาติ ทว่าได้พึ่งพิงไปยังสาเหตุธรรมชาติที่มิใช่ธรรมดาทั่วไป หมายถึง สาเหตุต่างๆ ที่ประชาชนไม่อาจสัมผัสได้. อย่างไรก็ตามสาเหตุธรรมชาติที่มิใช่ธรรมดานั้น มีความใกล้เคียงกับสาเหตุที่แท้จริงภายใน และในที่สุดแล้วสิ่งนั้นขึ้นอยู่กับการอนุญาตของพระเจ้า

เงื่อนไขอีกประการหนึ่งมุอฺญิซะฮฺ, ขึ้นอยู่กับการท้าทายกล่าวคือบรรดาศาสดา (.) เท่านั้นที่ได้เป็นผู้แสดงปาฏิหาริย์, และได้ท้าทายบรรดาผู้ไม่เชื่อฟังปฏิบัติตามท่าน ไม่ยอมรับการเชิญชวนของท่าน และเชื่อว่าภารกิจเหล่านั้นเป็นเพียงภารกิจธรรมดา ท่านจึงได้ท้าทายพวกเขาให้นำสิ่งที่คล้ายเหมือนเยี่ยงท่านแสดง[6]

อีกนัยหนึ่ง, มุอฺญิซะฮฺ หมายถึงคำอธิบายสัญญาณของพระเจ้าที่ได้ถูกอนุมัติเพื่อพิสูจน์ภารกิจหนึ่งของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้เอง มุอฺญิซะฮฺ จึงต้องมีเงื่อนไขจำกัดอันเฉพาะและต้องเป็นการท้าทายด้วย[7]

สิ่งที่เป็นเงื่อนไขสำหรับ มุอฺญิซะฮฺ หรือสิ่งที่ได้ถูกกล่าวถึงขณะตีความ มุอฺญิซะฮฺก็คือ ภารกิจนี้จะต้องตรงกับคำกล่าวอ้าง หมายถึงบุคคลที่กล่าวอ้างตนว่าเป็นศาสดา ต้องแสดงมุอฺญะซะฮฺ ออกมาด้วยตัวเอง เช่น การเยียวยารักษาคนตาบอด และคนตาบอดได้หายเป็นปกติ เพื่อให้สิ่งนี้เป็นเหตุผลที่ยืนยันความสัจจริงของตน[8] 

ดังนั้น มุอฺญิซะฮฺ จึงถือว่าเป็นภารกิจเหนือธรรมชาติ แม้ว่าภายนอกอาจจะครอบคลุมถึงเรื่องมายากล การตอบรับดุอาอฺ และการแสดงสิ่งมหัศจรรย์อื่นด้วยก็ตาม แต่ทั้งมายากลและอาคมต่างๆ ไม่อาจยืนหยัดต่อหน้ามุอฺญิซะฮฺได้ สาเหตุของสิ่งเหล่านี้ล้วนพ่ายต่อมุอฺญิซะฮฺ ด้วยเหตุนี้ มุอฺญิซะฮฺ ในแง่มุมนี้จึงถือว่าเป็นปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง เนื่องด้วยทั้งเหตุปัจจัยที่เป็นธรรมชาติหรือเหตุปัจจัยที่มิใช่สิ่งธรรมดา ต่างพ่ายต่อมุอฺญิซะฮฺทั้งสิ้น[9]

ส่วน มายากล มิได้มีแหล่งที่มาจากพระเจ้า หรือธรรมชาติแต่อย่างใดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยขัดแย้งกับความเป็นจริง ตามคำสั่งที่เป็นไปของนักมายากร ซึ่งโดยปกติแล้วเป็นเหมือนภาพลวงตา เช่น การยุติความเร็วที่วางอยู่บนการจินตนาการ ซึ่งแม้ว่าบางครั้งมาลายากลจะมีแหล่งที่มาจากธรรมชาติ แต่นั่นก็เป็นไปเพื่อการรับใช้เป้าหมายอันเลวร้าย ซึ่งจะเกิดควบคู่กับความโง่เขลา และการหลงผิด

ภารกิจเหนือธรรมชาติบางอย่างของมนุษย์ ในทางเป้าหมายแล้วมีความแตกต่างกับมุอฺญิซะฮฺของบรรดาศาสดา. บรรดาศาสดาได้แสดงปาฏิหาริย์เพื่อการชี้นำมวลมนุษย์ชาติ หรือเพื่อแนะนำแนวทางแก่พวกเขา มิใช่เพื่อคร่าเวลาของมนุษย์ให้สูญเสียไปโดยไร้ประโยชน์

อีกด้านหนึ่ง มุอฺญิซะฮฺ ไม่มีเงื่อนไขอันเฉพาะเจาะจง หมายถึงในการแสดงปาฏิหาริย์ของศาสดา ไม่จำเป็นต้องผ่านขบวนการเรียนรู้และฝึกฝนแต่อย่างใด ต่างไปจากสิ่งที่นักมายากร หรือบรรดามุรตะฎออินเดียได้แสดง พวกเขาต้องผ่านขบวนการเรียนรู้และการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี และทางตรงกันข้ามพวกเขาก็ไม่สามารถทำทุกสิ่งตามใจปรารถนาได้ เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องจากว่า มุอฺญิซะฮฺของบรรดาศาสดานั้น ได้พึ่งพิงอำนาจที่ไม่มีวันสูญสลาย และไม่มีความจำกัดของพระเจ้า ส่วนภารกิจที่เหนือธรรมชาติของมนุษย์นั้นได้รับมาจากบุคคลอื่น เป็นแหล่งอำนาจที่สูญสลายและมีความจำกัด ด้วยเหตุนี้ ภารกิจเหนือธรรมชาติของมนุษย์จึงสูญสลายและไม่มีบุคคลใดกล้าท้าทายให้อีกฝ่ายกระทำเยี่ยงตน[10]

มุอฺญิซะฮฺ กับการตอบรับดุอาอฺ และ ....มีความแตกต่างกัน เนื่องจากมุอฺญิซะฮฺ, นั้นเป็นการท้าทายและวางอยู่บนการชี้นำมวลมนุษย์, ซึ่งการแสดงมุอฺญิซะฮฺ แต่ละครั้งนั้นก็เพื่อพิสูจน์สภาวะการเป็นศาสดา สาส์น และคำเชิญชวนทีมีมายังมวลมนุษย์ทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้ บุคคลที่เป็นเจ้าของมุอฺญิซะฮฺ, ในการแสดงมุอฺญิซะฮฺแต่ละครั้งขึ้นอยู่กับการเลือกสรร หมายถึงเมื่อมีการเรียกร้อง มุอฺญิซะฮฺ จากท่านแล้วท่านจะแสดงได้ก็ต้องเป็นความประสงค์ของพระเจ้าด้วยเช่นกัน ต่างไปจากการตอบรับดุอาอฺ หรือกะรอมัตของหมู่มิตรของอัลลอฮฺ เนื่องจากมิได้วางอยู่บนพื้นฐานของการท้าทาย หรือมิได้มีจุดประสงค์เพื่อการชี้นำมวลมนุษย์ จึงเป็นไปได้ที่อาจจะไม่เกิดขึ้น หรืออาจจะผิดแปลกออกไป ซึ่งการผิดแปลกไปนั้นมิได้เป็นเหตุนำไปสู่การหลงทางของคนอื่นแต่อย่างใด[11]

อีกนัยหนึ่ง, กะรอมัต เป็นภารกิจหนึ่งที่เหนือธรรมชาติเช่นกัน เป็นผลที่เกิดจากจิตวิญญาณที่เข้มแข็งและบริสุทธิ์ เป็นพลังจิตของมนุษย์ผู้สมบูรณ์คนหนึ่ง หรือมนุษย์ที่มีความสมบูรณ์เพียงครึ่งหนึ่ง ซึ่งมิได้เป็นไปเพื่อการชี้นำอันเฉพาะ ตามความเป็นจริงแล้ว, มุอฺญิซะฮฺคือภาษาของพระเจ้า ซึ่งมีผลกระต่อบุคคลส่วนกะรอมัตมิได้เป็นภาษาของพระเจ้าแต่อย่างใด[12]

อย่างไรก็ตาม มุอฺญิซะฮฺ ได้เกิดขึ้นพร้อมกับคำกล่าวอ้าง อันเฉพาะสำหรับบุคคลที่เป็นศาสดาเท่านั้น ดังนั้น ถ้าบุคคลหนึ่งได้แสดงมุอฺญิซะฮฺ ออกมาซึ่งอาจอ้างตนเป็นนบีหรือไม่ได้อ้างตน ถ้าเขาอ้างตนเป็นนบีก็จะสามารถพิสูจน์ความจริงได้ด้วยวิถีทางของมุอฺญิซะฮฺ หรือยืนยันคำกล่าวอ้างได้อย่างถูกต้องด้วยวิถีดังกล่าวนั่นเอง เนื่องจาก การแสดงปาฏิหาริย์ลักษณะนี้มิอาจเกิดจากบุคคลที่มุสาได้อย่างแน่นอน แต่ถ้าเขามิได้อ้างตนเป็นนบี ก็มิอาจตัดสินว่าเขาเป็นนบีได้เนื่องจากในเบื้องต้น มุอฺญิซะฮฺ มิได้บ่งชี้การเป็นนบีแต่อย่างใด แต่สิ่งที่ได้พิสูจน์ให้เห็นคือ คำกล่าวอ้างที่เป็นจริงของเขา และถ้าคำกล่าวอ้างของเขาครอบคลุมการเป็นนบีของเขา เวลานั้น มุอฺญิซะฮฺ จะบ่งชี้ให้เห็นว่าคำกล่าวอ้างของเขาเป็นจริง และสิ่งจำเป็นสำหรับความจริงดังกล่าวนี้ก็คือ การพิสูจน์การเป็นนบีของเขา

อย่างไรก็ตามนบีก่อนที่จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนบีนั้น ก็สามารถแสดงมุอฺญิซะฮฺได้, แต่สิ่งนั้นเป็นเพียงอัรฮาซหมายถึงการเตรียมพร้อมประชาชนเพื่อรับฟังคำเชิญชวน[13]

แน่นอน มุอฺญิซะฮฺ จะเกิดขึ้นหลังจากการได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสดาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะเกิดพร้อมกับการท้าทายผู้ปฏิเสธ เพราะถ้านอกเหนือจากนี้แล้ว ถ้าได้เห็นภารกิจเหนือธรรมชาติที่เกิดจากบรรดาศาสดาที่ยังมิได้เป็นศาสดา เรียกสิ่งนั้นว่า กะรอมัต แม้ว่าในทางสังคมจะเรียกปาฏิหาริย์ที่เกิดจากบรรดาศาสดา และอิมามว่าเป็น มุอฺญิซะฮฺ ก็ตาม[14]

ส่วนการพิสูจน์ มุอฺญิซะฮฺ, ขึ้นอยู่กับการอธิบายใน 2 ประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้ : ประการที่หนึ่ง, ประเภทของมุอฺญิซะฮฺของบรรดาศาสดาทั้งหลาย, ประการที่สอง, การเป็นปาฏิหาริย์ของอัลกุรอาน

ประเภทของมุอฺญิซะฮฺต่างๆ : มุอฺญิซะฮฺแบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกัน กล่าวคือ : การกระทำและคำพูด

มุอฺญิซะฮฺที่เป็นการกระทำได้แก่ : การแสดงภารกิจบางอย่างบนพื้นฐานของวิลายะฮฺตักวีนีย์[15] ตามการอนุญาตของอัลลอฮฺ, เช่น การแยกดวงจันทร์[16] ซึ่งได้แสดงโดยท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ) หรือการแยกแผ่นดิน[17] การแยกทะเล[18] เรื่องราวเกี่ยวกับกอนรูนและฟิรอาวน์ ซึ่งได้แสดงโดยท่านศาสดามูซา (.) หรือการแยกภูเขา[19] โดยท่านศาสดาซอลิฮฺ (.) การเยียวยารักษาคนเป็นโรคเรื้อน และการทำให้คนตายฟื้นคืนชีพ[20] โดยท่านศาสดาอีซา (.) หรือการถอดประตูป้อมปราการค้ยบัร โดยปาฏิหาริย์ของอัลละวีย[21]

มุอฺญิซะฮฺคำพูด, หมายถึง : พระวจนะหรือคำอธิบายของพระเจ้า ซึ่งท่านศาสดา (ซ็อล ) และบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์คือผู้แบกรับวิชาการอันสูงส่งและลุ่มลึกเหล่านี้ อันเป็นสาเหตุนำไปสู่การชี้นำมวลมนุษย์ และไขปัญหาข้อข้องใจของชาวโลก

ความแตกต่างระหว่างมุอฺญิซะฮฺที่เป็นการกระทำกับคำพูด จำเป็นต้องกล่าวว่ามุอฺญิซะฮฺที่เป็นการกระทำ, นั้นมีเวลาและสถานที่เป็นตัวกำกับและจำกัดการกระทำนั้น อีกทั้งได้แสดงเพื่อสามัญชนทั่วไป,เนื่องประชาชนเหล่านั้นใช้ความรู้สึกที่สัมผัสได้ภายนอกเป็นเกณฑ์ตัดสิน[22]ส่วนมุอฺญิซะฮฺที่เป็นคำพูด, ไม่มีเวลาและสถานที่เป็นตัวกำกับและจำกัดความอันเฉพาะแต่อย่างใด และมุอฺญิซะฮฺประเภทนี้จะดำรงอยู่ในทุกยุคทุกสมัย

แต่อย่างไรก็ตามมุอฺญิซะฮฺของท่านศาดามุฮัมมัด (ซ็อล ) เช่น การเปลี่ยนและกำหนดกิบละฮฺในมะดีนะฮฺ จวบจนถึงปัจจุบันก็ยังคงเหลืออยู่ ซึ่งท่านศาสดามิได้ใช้หลักการของดาราศาสตร์ หรือหลักการคำนวณแต่อย่างใด ท่านได้หันหน้าไปทางกิบละฮฺและกล่าวว่า : "محرابى على المیزاب" เมะฮฺรอบของฉันอยู่ตรงกับรางน้ำของกะอฺบะฮฺ[23]

การพิสูจน์ มุอฺญิซะฮฺ ในปัจจุบัน,ต้องอาศัยการพิจารณาจากรายงานต่างๆ ที่กล่าวถึงเรื่องมุอฺญิซาตเอาไว้, ถ้าหากรายงานเหล่านั้นมีสายรายงานที่เชื่อถือได้ หรือมีสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความถูกต้อง เราก็สามารถยอมรับมุอฺญิซะฮฺนั้นได้ ถ้ามิได้ใช่เช่นนั้นก็ไม่มีวิธ

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ชีวิตและจิตวิญญาณต้องนอนหลับหรือตายด้วยหรือไม่ ?
    6373 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/12/22
    ปัญหาเรื่องจิตวิญญาณและแก่นแท้ของมันเป็นปัญหาที่พิพาทถกเถียงกันมาตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบันซึ่งจัดได้ว่าเป็นปัญหาที่มีความสำคัญอย่างยิ่งคำถามข้างต้นก็ได้ก็เป็นผลพวงและแหล่งที่มาจากคำถามนี้เองที่ว่าแก่นแท้ของมนุษย์ก็คือ กายภาพอันเป็นวัตถุตามลักษณะที่ปรากฏกระนั้นหรือหรือว่าเบื้องหลังของมันยังมีสิ่งอื่นที่ซ่อนเร้นอยู่อีกซึ่งตาเนื้อธรรมดาไม่อาจมองเห็นได้ซึ่งอยู่นอกเหนือคุณสมบัติของวัตถุและมีลักษณะศักดิ์สิทธิ์และถ้าเป็นเช่นนั้นจริงสิ่งนั่นเป็นวัตถุหรือนามธรรมที่ไร้สถานะและชะตากรรมของสิ่งนั้นภายหลังจากการตายของร่างกายจะเป็นอย่างไร?คำตอบสำหรับคำถามข้างต้นนี้สามารถอธิบายในเชิงของทฤษฎีบท,ในลักษณะที่เป็นเชิงตรรกะเพื่อจะได้ไปถึงยังบทสรุป
  • จุดประสงค์ของการสร้างคืออะไร จงอธิบายเหตุผลในเชิงเหตุผลนิยม ถ้าเป้าหมายคือความสมบูรณ์แล้วทำไมพระเจ้าไม่ทรงสร้างมนุษย์ให้สมบูรณ์แบบ
    13106 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/10/21
    พระเจ้าคือผู้ดำรงอยู่ที่ไม่มีความจำกัด พระองค์ทรงมีความสมบูรณ์แบบทุกประการ การสร้าง (บังเกิด) เป็นความงดงาม และพระองค์คือผู้มีความงดงามความงดงามอันสมบูรณ์แบบของพระองค์ เป็นตัวกำหนดว่าพระองค์ทรงสร้างทุกอย่างขึ้นตามคุณค่าของมัน ดังนั้น พระเจ้าทรงสร้างเป็นเพราะพระองค์คือผู้งดงาม หมายถึงจุดประสงค์และเป้าหมายในการสร้างของพระองค์นั้นงดงาม อีกด้านหนึ่งคุณลักษณะอาตมันของพระเจ้าไม่ได้แยกออกจากอาตมันของพระองค์ จึงสามารถกล่าวได้ว่าจุดประสงค์ของการสร้างคือ อาตมันของพระเพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์มาโดยให้มีแนวโน้มที่ดีและความชั่วร้ายภายใน และทรงประทานผู้เชิญชวนภายนอก 2 ท่าน ที่ดีได้แก่ศาสดา (นบี) และความชั่วร้ายได้แก่ชัยฎอน (ปีศาจ), ทั้งนี้มนุษย์สามารถบรรลุความสมบูรณ์สูงสุดของสรรพสิ่งที่อยู่หรือก้าวไปสู่ความชั่วช้าที่ต่ำทรามที่สุดก็เป็นได้ ทั้งที่มนุษย์นั้นมีพลังของเดรัจฉานและการลวงล่อของซาตานที่ล่อลวงอยู่ตลอดเวลา ...
  • เหตุใดท่านอิมามอลี(อ.)จึงวางเฉยต่อการหมิ่นประมาทท่านหญิงฟาฏิมะฮ์?
    7196 ประวัติหลักกฎหมาย 2554/10/09
    การที่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ถูกทุบตีมิได้ขัดต่อความกล้าหาญของท่านอิมามอลี(อ.) เพราะในสถานการณ์นั้นท่านต้องเลือกระหว่างการจับดาบขึ้นสู้เพื่อทวงสิทธิของครอบครัวที่ถูกละเมิดหรือจะอดทนสงวนท่าทีแล้วหาทางช่วยเหลืออิสลามด้วยวิธีอื่นจากการที่การจับดาบขึ้นสู้ในเวลานั้นเท่ากับการต่อต้านและสร้างความแตกแยกในหมู่มุสลิมอันจะทำให้สังคมมุสลิมยุคแรกอ่อนเปลี้ยส่งผลให้กองทัพโรมันเหล่าศาสดาจอมปลอมและผู้ตกศาสนาจ้องตะครุบให้สิ้นซากท่านอิมามอลี(อ.)ยอมสละความสุขของตนและครอบครัวเพื่อผดุงไว้ซึ่งอิสลามศาสนาที่เป็นผลงานคำสอนทั้งชีวิตของท่านนบี(ซ.ล.)และการเสียสละของเหล่าชะฮีดในสมรภูมิต่างๆ ...
  • ท่านอิมามฮุซัยนฺและเหล่าสหายในวันอาชูทั้งที่มีน้ำอยู่เพียงน้อยนิด และฆุซลฺได้อย่างไร?
    5642 ชีวประวัติมะอฺซูม (อ.) 2554/11/21
    การพิจารณาและวิเคราะห์รายงานทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับความกระหายของเหล่าสหายและบรรดาอธฮฺลุลบัยตฺของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) และรายงานที่กล่าวถึงการฆุซลฺ (อาบน้ำตามหลักการ
  • ทำไมเราจึงต้องมีเพียงสิบสองอิมามเท่านั้น ในยุคสมัยของอิมามที่ไม่ปรากฏตัว เราจะสามารถหาทางรอดพ้นได้อย่างไร?
    6370 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/10/03
    ตำแหน่งอิมามเป็นตำแหน่งที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระผู้เป็นเจ้า การกำหนดตัวบุคคลที่จะขึ้นมาเป็นอิมามและจำนวนของอิมามนั้นขึ้นกับพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าและทางเดียวที่เราจะสามารถรับรู้ถึงเจตนาดังกล่าวได้ก็คือฮะดีษของท่านศาสดาแห่งอิสลาม (ศ็อลฯ) นั่นเองท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้กล่าวถึงบุคคลและจำนวนของอิมาม(อ
  • ฮะดีษที่ว่า “ผู้ใดสิ้นลมโดยปราศจากสัตยาบัน ถือว่าเขาตายในสภาพญาฮิลียะฮ์” รวมถึงตัวท่านนบี(ซ.ล.)ด้วยหรือไม่?
    7978 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/01/19
    สัตยาบัน(บัยอัต)มีสองด้านด้านหนึ่งคือผู้นำ(นบี,อิมาม) อีกด้านหนึ่งคือผู้ตามในเมื่อท่านนบีเป็นผู้นำจึงถือเป็นฝ่ายได้รับสัตยาบันมิไช่ฝ่ายที่ต้องให้สัตยาบันแน่นอนว่าฮะดีษนี้ต้องการจะสื่อว่าลำพังการรู้จักอิมามยังไม่ถือว่าเพียงพอแต่จะต้องเจริญรอยตามด้วยอย่างไรก็ดีฮะดีษข้างต้นมิได้หมายรวมถึงท่านนบี(ซ.ล.)เนื่องจากเหตุผลที่กล่าวไปแล้วส่วนประเด็นการแต่งตั้งตัวแทนภายหลังจากท่านนบี(ซ.ล.)นั้นเรามีหลักฐานที่ชัดเจนระบุว่าท่านนบี(ซ.ล.)ได้แต่งตั้งท่านอิมามอลี(อ.)เป็นตัวแทนภายหลังจากท่านรายละเอียดโปรดคลิกอ่านจากคำตอบแบบสมบูรณ์ ...
  • ศาสนาและวัฒนธรรมมีความสัมพันธ์กันอย่างไร?
    12885 เทววิทยาใหม่ 2554/06/02
    การที่จะสามารถนิยามความสัมพันธระหว่างศาสนาและวัฒนธรรมจารีตได้นั้นขั้นแรกต้องเข้าใจถึงลักษณะจำเพาะเป้าประสงค์และผลผลิตของทั้งศาสนาและวัฒนธรรมเสียก่อน.บางคนปฎิเสธความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและวัฒนธรรมโดยสิ้นเชิงทัศนคตินี้ค่อนข้างจะไร้เหตุผลทั้งนี้ก็เพราะแม้ว่าวัฒนธรรมจารีตบางประเภทอาจจะผิดแผกและไม่เป็นที่ยอมรับโดยศาสนาเนื่องจากขัดต่อเป้าประสงค์ที่ศาสนามุ่งนำพามนุษย์สู่ความผาสุกแต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่ายังมีวัฒนธรรมจารีตอีกมากมายที่สอดคล้องและได้รับการยอมรับโดยศาสนายิ่งไปกว่านั้นยังมีวัฒนธรรมจารีตบางส่วนที่เกิดขึ้นจากคุณค่าที่ได้รับการฟูมฟักโดยศาสนาเช่นกัน. ...
  • หากในท้องปลาที่ตกได้ มีปลาตัวอื่นอีกด้วย จะรับประทานได้หรือไม่?
    5871 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/17
    มีการสอบถามคำถามทำนองนี้ไปยังสำนักงานของบรรดามัรญะอ์ตักลีดบางท่านซึ่งท่านได้ให้คำตอบดังนี้ท่านอายาตุลลอฮ์คอเมเนอี:ปลาที่ตกได้ถือว่าฮะลาลท่านอายาตุลลอฮ์ซิซตานี:อิห์ติยาฏวาญิบ(สถานะพึงระวัง) ถือว่าเป็นฮะรอมท่านอายาตุลลอฮ์ฟาฎิลลังกะรอนี:หากปลาที่ตกมาได้เป็นปลาประเภทฮาลาลก็ถือว่าเป็นอนุมัติท่านอายาตุลลอฮ์มะการิมชีรอซี:อิห์ติยาฏควรจะหลีกเลี่ยง[1]อายาตุลลอฮ์อะรอกี:อิห์ติยาฏควรจะหลีกเลี้ยงเนื่องจากเราไม่สามารถรู้ได้ว่าตอนที่มันออกมามีชีวิตหรือไม่ดังนั้นถือว่าไม่สะอาด[2]อายาตุลลอฮ์นูรีฮาเมดอนี:ถือว่าฮาลาล[3]ดังที่ได้กล่าวมาจะเห็นได้ว่าบรรดามัรญะอ์มีทัศนะที่แตกต่างกันไปเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวแต่สามารถสรุปได้โดยรวมว่าหากมีสัตว์ที่อยู่ในท้องของปลาที่จับมาได้หากสัตว์ตัวนั้นเป็นปลาหรือเป็นสัตว์น้ำชนิดที่รับประทานได้ตามหลักศาสนาโดยขณะที่เราเอาผ่าออกมาเราแน่ใจว่าสัตว์น้ำดังกล่าวยังมีชีวิตอยู่ถือว่าฮาล้าลส่วนกรณีที่ต่างไปจากนี้อาทิเช่นเมื่อได้ผ่าท้องปลาและเห็นว่าสัตว์ที่อยู่ในท้องมันตายแล้วก่อนหน้านั้นถือว่าไม่สามารถรับประทานสัตว์น้ำดังกล่าวได้ส่วนในกรณีที่สาม (ไม่รู้ว่าสัตว์น้ำในท้องปลายังมีชีวิตหรือไม่) ในกรณีนี้บรรดามัรญะอ์มีทัศนะที่แตกต่างกันไปดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นดังนั้นมุกัลลัฟแต่ละจะต้องทำตามฟัตวาของมัรญะอ์ของตน
  • อัลลอฮฺ ทรงอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ธรรมชาติด้วยหรือไม่?
    5818 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/04/07
    อัลลอฮฺ คือพระผู้ทรงกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ ทางธรรมชาติ อาตมันสากลของพระองค์มิได้อยู่ภายใต้อำนาจของสิ่งใดทั้งสิ้น นอกจากความต้องการของพระองค์ หรือเว้นเสียแต่ว่าความประสงค์ของพระองค์ต้องการที่จะปฏิบัติภารกิจหนึ่ง ซึ่งทรงเป็นสาเหตุของการเกิดสิ่งนั้น ขณะเดียวกันการละเมิดกฎต่างๆในโลกที่ต่ำกว่า โดยพลังอำนาจที่ดีกว่าของพระองค์ถือเป็น กฎเกณฑ์อันเฉพาะ และเป็นประกาศิตที่มีความเป็นไปได้เสมอ ซึ่งเราเรียกสิ่งนั้นว่า ปาฏิหาริย์,แน่นอน ปาฏิหาริย์มิได้จำกัดอยู่ในสมัยของบรรดาศาสดาเท่านั้น ทว่าสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกสมัย เพียงแต่ว่าปาฏิหาริย์ได้ถูกมอบแก่บุคคลที่เฉพาะเท่านั้น เป็นความถูกต้องที่ว่าความรู้มีความจำกัดและขึ้นอยู่ยุคสมัยและสภาพแวดล้อม ไม่มีความรู้ใดยอมรับหรือสนับสนุนเรื่องมายากล และเวทมนต์ แต่คำพูดที่ถูกต้องยิ่งกว่าคือ เจ้าของความรู้เหล่านั้นบางครั้ง ได้แสดงสิ่งที่เลยเถิดไปจากนิยามของความรู้หรือที่เรียกว่า มายากล เวทมนต์เป็นต้น อีกนัยหนึ่งกล่าวได้ว่า สิ่งนั้นคือการมุสาและการเบี่ยงเบนนั่นเอง ...
  • ความแตกต่างระหว่างจริยธรรมกับจริยศาสตร์คืออะไร? สิ่งไหนครอบคลุมมากกว่ากัน? และการตีความเกี่ยวกับจริยศาสตร์กับจริยธรรมอันไหนครอบคลุมมากกว่า?
    20839 จริยธรรมทฤษฎี 2555/04/07
    คำว่า “อัคลาก” ในแง่ของภาษาเป็นพหูพจน์ของคำว่า “คุลก์” หมายถึง อารมณ์,ธรรมชาติ, อุปนิสัย, และความเคยชิน,ซึ่งครอบคลุมทั้งอุปนิสัยทั้งดีและไม่ดี นักวิชาการด้านจริยศาสตร์,และนักปรัชญาได้ตีความเกี่ยวกับจริยศาสตร์ไว้มากมาย. ซึ่งในหมู่การตีความทั้งหลายเหล่านั้นของนักวิชาการสามารถนำมารวมกัน และกล่าวสรุปได้ดังนี้ว่า “อัคลาก ก็คือคุณภาพทางจิตวิญญาณของมนุษย์ ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่มีความเหมาะสม หรือพฤติกรรมอันเหมาะสมของมนุษย์ที่ปฏิบัติในชีวิตประจำวันตน” สำหรับ ศาสตร์ด้านจริยธรรมนั้น มีการตีความไว้มากมายเช่นกัน ซึ่งในคำอธิบายเหล่านั้นเป็นคำพูดของท่าน มัรฮูม นะรอกียฺ กล่าวไว้ในหนังสือ ญามิอุลสะอาดะฮฺว่า : ความรู้ (อิลม์) แห่งจริยศาสตร์หมายถึง การรู้ถึงคุณลักษณะ (ความเคยชิน) ทักษะ พฤติกรรม และการถูกขยายความแห่งคุณลักษณะเหล่านั้น การปฏิบัติตามคุณลักษณะที่แตกต่างกันในการช่วยเหลือให้รอดพ้น หรือการการปล่อยวางคุณลักษณะที่นำไปสู่ความหายนะ” ส่วนการครอบคลุมระหว่างจริยธรรมกับศาสตร์แห่งจริยธรรมนั้น มีคำกล่าวว่า,ความแตกต่างระหว่างทั้งสองมีอยู่เฉพาะในทฤษฎีเท่านั้นเอง ดังนั้น บนพื้นฐานดังกล่าวนี้ ถ้าหากจะกล่าวว่า สิ่งไหนมีความครอบคลุมมากกว่ากันจึงไม่มีความหมายแต่อย่างใด ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    59465 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    56925 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    41727 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    38481 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38467 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33503 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27576 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27303 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27194 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25268 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...