อิสลามสอนว่า ไม่ว่าจะในโลกนี้หรือโลกหน้า อัลลอฮ์ไม่มีทางลงโทษบุคคลใดหรือกลุ่มใดเนื่องจากบาปที่ผู้อื่นก่อ นอกเสียจากว่าเขาจะมีส่วนร่วม หรือพึงพอใจ หรือไม่ห้ามปราม กุรอานและฮะดีษสอนว่า สิ่งที่จะเชื่อมโยงบุคคลให้สังกัดในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งคือ ความคล้ายคลึงกันในแง่ของแนวคิดและวิธีปฏิบัติ ดังที่กุรอานไม่ถือว่าบุตรชายผู้ดื้อรั้นของนบีนู้ฮ์เป็นสมาชิกครอบครัวท่าน ทั้งนี้ก็เนื่องจากมีแนวคิดและวิธีปฏิบัติที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ฉะนั้น บนีอุมัยยะฮ์ที่ถูกประณามในที่นี้ หมายถึงผู้ที่มีแนวคิดและวิธีปฏิบัติสอดคล้องกับบรรพบุรุษที่เคยมีบทบาทในการสังหารโหดท่านอิมามฮุเซน(อ.) หรือเคยยุยง ต่อต้านสัจธรรมแห่งอิมามัต รวมถึงผู้ที่ละเว้นการตักเตือนเท่านั้น ทว่าเชื้อสายบนีอุมัยยะฮ์ที่ไม่มีประวัติด่างพร้อยใดๆ ย่อมไม่ถูกประณาม
ในกุรอานมีหลักสำคัญที่สอนว่า บุคคลย่อมไม่ถูกสอบสวนเอาผิดทั้งโลกนี้และโลกหน้าในความผิดที่ผู้อื่นก่อ[1] นอกจากว่าจะมีส่วนร่วม หรือยินดี หรือไม่ห้ามปรามความผิดนั้น ซึ่งกรณีนี้ย่อมจะถือว่าถูกลงโทษด้วยความผิดของเขาเอง มิไช่ด้วยความผิดของผู้อื่น
ดังกรณีอูฐของนบีซอและฮ์ที่ถูกลอบเชือดโดยชาวษะมู้ดเพียงคนเดียว[2] แต่กุรอานถือว่าเป็นความผิด[3]ที่ชาวษะมู้ดจะต้องถูกลงโทษทั้งหมด[4] ทั้งนี้ก็เพราะชาวษะมู้ดทั้งหมดพอใจให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว และเป็นดังที่อิมามอลี(อ.)เผยว่า“จากการที่ชาวษะมู้ดรักโลภโกรธหลงโดยพร้อมเพรียงกัน ทำให้ต้องประสบชะตากรรมที่เลวร้ายเดียวกัน”[5]
กุรอานได้ประณามชาวยิวร่วมสมัยของท่านนบี(ซ.ล.)อย่างเผ็ดร้อนจากความผิดที่บรรพบุรุษของพวกเขาเคยก่อไว้ ไม่ว่าจะเป็นการบูชาลูกวัว การรีดนาทาเร้น บิดเบือนคัมภีร์ การใส่ร้าย และร่วมกันสังหารเหล่าศาสนทูตของพระองค์ ฯลฯ[6] แม้ว่าชาวยิวยุคนบี(ซ.ล.)จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับความผิดเหล่านี้ แต่เหตุที่กุรอานประณามก็เพราะพวกเขารู้สึกภาคภูมิใจในพฤติกรรมของบรรพบุรุษนั่นเอง
ส่วนกรณีที่บนีอุมัยยะฮ์ยึดอำนาจและสังหารโหดอะฮ์ลุลบัยต์พร้อมเหล่าสหายนั้น บางคนมีส่วนร่วมในการตระเตรียมไพร่พล บางคนลงมือสังหาร บางคนยืนมองโดยไม่ยี่หระ บางคนกระหยิ่มยิ้มย่อง ข้อหาเหล่านี้แหล่ะที่เป็นเหตุให้พวกเขาถูกประณาม
อย่างไรก็ดี สิ่งเดียวที่จะเชื่อมโยงบุคคลให้สังกัดในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งนั้นก็คือ การมีแนวคิดและวิธีปฏิบัติที่คล้ายคลึงกัน ดังที่อัลลอฮ์ปฏิเสธว่าบุตรชายหัวรั้นของนบีนู้ฮ์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับครอบครัวท่าน เนื่องจากทั้งแนวคิดและวิธีปฏิบัติแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง[7] และด้วยตรรกะเดียวกันนี้ บรรดาอะฮ์ลุลบัยต์จึงไม่ถือว่าคนดีๆในหมู่บนีอุมัยยะฮ์ เป็นส่วนหนึ่งของบรรพบุรุษ ตัวอย่างเช่นกรณีของสะอด์ บิน อับดิลอะซีซ หลานของมัรวานบินหะกัม(ที่ถูกประณามในบทซิยารัต) สะอด์เข้าพบท่านอิมามบากิร(อ.)ขณะกำลังร่ำไห้เสียงดัง ท่านอิมาม(อ.)ถามว่า“เธอร้องไห้เพราะเหตุอันใด?” สะอด์ตอบว่า“จะไม่ให้กระผมร้องไห้ได้อย่างไร ในเมื่อจำต้องเป็นส่วนหนึ่งของสาแหรกที่ถูกประณาม(ชะญะเราะตุ้ล มัลอูนะฮ์)” อิมามกล่าวปลอบโยนว่า“เธอไม่เกี่ยวข้องกับพวกนั้น เธอเกี่ยวพันกับเราอะฮ์ลุลบัยต์ ไม่เคยได้ยินดอกหรือ ที่กุรอานกล่าวว่า“และผู้ใดที่ปฏิบัติตามฉัน เขาย่อมเป็นผู้ที่เกี่ยวดองกับฉัน”[8]
สรุปคือ การประณามบนีอุมัยยะฮ์นั้น มีไว้เฉพาะบุคคลที่มีแนวคิดและวิธีปฏิบัติที่สอดคล้องกับต้นตระกูลบนีอุมัยยะฮ์เท่านั้น
[1] อันนัจม์, 38-41.ประโยค لا تزر وازرة وزر اخری มีในซูเราะฮ์ต่อไปนี้เช่นกัน อันอาม,164. อิสรออ์,15. ฟาฏิร,18. อัซซุมัร,7.
[2] อัลก่อมัร,29. ผู้ลอบเชือดอูฐมีเพียงคนเดียวเท่านั้น ดู:นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์,พิมพ์โดยดร.ซุบฮี ซอและฮ์,คุฏบะฮ์21,หน้า319.
[3] อัลอะอ์รอฟ,77. ฮูด,65. อัชชุอะรออ์,157 อัชชัมส์,14.
[4] อัชชัมส์,14. (และพวกเขาได้เชือดอูฐ พลันพระองค์ทรงลงทัณฑ์พวกเขาและทรงบันดาลให้ราพณาสูรจากความผิดของพวกเขาเอง)
[5] นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์,ดร.ซุบฮี ซอและฮ์,คุฏบะฮ์ที่ 21,หน้า 319. : (“โอ้กลุ่มชน ความรักและความชังเท่านั้นที่สามารถรวบรวมผู้คนเป็นปึกแผ่น พึงทราบว่าอูฐของนบีซอและฮ์ถูกลอบเชือดโดยคนเพียงคนเดียว แต่อัลลอฮ์ทรงลงทัณฑ์ชาวษะมู้ดทั้งเผ่า ทั้งนี้ก็เพราะพวกเขาสะใจต่อการกระทำดังกล่าว กุรอานกล่าวว่าพวกเขาลงมือเชือดด้วยกัน สุดท้ายก็ต้องเสียใจร่วมกัน”)
[6] ซูเราะฮ์ อัลบะเกาะเราะฮ์,51,75,87,91,92. อันนิสาอ์, 51,92,153,155. อาลิอิมรอน, 21,112,181,183.
[7] ซูเราะฮ์ฮูด,46. “قالَ یا نُوحُ إِنَّهُ لَیْسَ مِنْ أَهْلِکَ إِنَّهُ عَمَلٌ غَیْرُ صالِحٍ فَلا تَسْئَلْنِ ما لَیْسَ لَکَ بِهِ عِلْمٌ إِنِّی أَعِظُکَ أَنْ تَکُونَ مِنَ”
[8] นัศรุลลอฮ์ ชะเบสทะรี, อัลลุลุอุนนะฎี ฟีชัรฮิซิยาเราะติเมาลานา อบีอับดิลลาฮิชชะฮีด,หน้า133.