การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
10258
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/12/21
 
รหัสในเว็บไซต์ fa11969 รหัสสำเนา 19930
หมวดหมู่ تاريخ کلام
คำถามอย่างย่อ
เมื่อยะซีดได้สั่งให้ทหารจุดไฟเผากะอฺบะ ถ้าได้กระทำแล้ว และเป็นเพราะเหตุใดจึงไม่ถูกลงโทษ?
คำถาม
เมื่อยะซีดได้สั่งให้ทหารจุดไฟเผากะอฺบะฮฺ ถ้าได้กระทำแล้ว และเป็นเพราะเหตุใดจึงไม่ถูกลงโทษ?
คำตอบโดยสังเขป

ในช่วงระยะเวลาการปกครองอันสั้นของยะซีด เขาได้ก่ออาชญากรรมอันเลวร้ายยิ่ง 3 ประการ กล่าวคือประการแรก เขาได้สังหารท่านอิมามฮุซัยนฺ (.), สอง เขาได้ก่อกรรมชั่วอิสระ, และสามเขาได้เผ่าวิหารกะอฺบะฮฺ เมื่อเราพิจารณาการอธรรมฉ้อฉลอันเลวร้ายยิ่ง 3 ประการนี้ เราจะพบว่าบนโลกนี้ อัลลอฮฺทรงลงโทษพวกเขาเช่นกัน, แต่มิได้ลงโทษเป็นกลุ่มหรือรวมกันเป็นหมู่คณะ ซึ่งจะกล่าวอธิบายในช่วงตอบคำถามโดยละเอียด บางทีวิทยปัญญของสิ่งนั้นอาจมีอยู่ใน 2 สิ่งต่อไปนี้

หนึ่ง : ปัญหาเรื่องการลงโทษและชนิดของโทษทัณฑ์ ขึ้นอยู่กับความประสงค์และอำนาจของอัลลอฮฺ, บางครั้งอัลลอฮฺ ทรงลงโทษโดยตรง หรือทรงลงโทษผ่านกองทัพลึกลับ เช่น การลงโทษที่มีต่อกองกำลังของ อัลเราะฮะฮฺ ฮะบะชียฺ ซึ่งบุคคลใดได้ศึกษาประวัติศาสตร์ส่วนนี้ เขาจะพบได้อย่างชัดเจนว่าตัวของวิหารกะอฺบะฮฺ ได้ถูกโจมตีและตกอยู่ในอันตรายจริง นอกจากนั้นยังไม่มีบุคคลใด สามารถยืนหยัดต่อต้านกองกำลังที่เรืองอำนาจของ อับเราะฮะฮฺ ในสมัยนั้นได้ ด้วยเหตุนี้เอง เราจะพบว่าเรื่องนี้ อัลลอฮฺ ทรงปกป้องรักษาบ้านของพระองค์ด้วยพระองค์เอง และสุดท้ายทรงประทานการลงโทษลงมายังหมู่ชนที่เป็นศัตรูจนพินาศย่อยยับไป, แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยของยะซีดไม่ว่าเหล่าทหารของเขาจะจุดไฟเผากะอฺบะฮฺ ซึ่งสร้างความอัปยศให้เกิดขึ้นไม่น้อย อีกทั้งยังเป็นการลบลู่สถานที่ศักดิ์สิทธ์ของอิสลามและชาวมุสลิมทั้งหมด บรรดาพวกอธรรมได้ยึดครองมักกะฮฺ และสร้างกะอฺบะฮฺขึ้นใหม่อีก

สอง : ทุกเรื่องราวที่บ่งบอกถึงการช่วยเหลืออำนาจเร้นลับ ซึ่งเจ้าของการเคลื่อนไหวได้กระทำด้วย กะรอมัตของเขาวางอยู่บนความถูกต้อง และเมื่อพิจารณาว่าผู้บัญชากองกำลังปฏิวัติมักกะฮฺ ได้ลุกขึ้นต่อต้านยะซีด, ก็คืออับดุลลอฮฺ บุตรของซุเบร ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายว่า เขาได้พยายามทำทุกสิ่งเพื่อประโยชน์และความหวังของตัวเอง การสงครามและการสู้รบที่เขาทำนั้นไม่เกี่ยวข้องกับสัจธรรมความจริง หรือศาสนาแต่อย่างใดทั้งสิ้น นอกจากนั้นแล้วเขายังประกาศตัวเองว่า เขาคือศัตรูตัวฉกาจของท่านอิมามอะลี (.) จนถึงขั้นที่ว่าท่านอิมามอะลี (.) ได้กล่าวถึงเขาว่าซุเบรมาจากเราจนกระทั่งว่าบุตรชายเลวของเขา (อับดุลลอฮฺ) ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ การงานที่ผ่านมือบุตรของซุเบร ตามความเป็นจริงแล้วเท่ากับให้โอกาสเขา ด้วยเหตุนี้อัลลอฮฺ ไม่ประสงค์จะลงโทษ จนกระทั่งการงานได้เป็นประโยชน์กับบุตรของซุเบร

คำตอบเชิงรายละเอียด

จากคำถามที่ได้ถามมานั้น เข้าใจได้ว่าการเผาวิหารกะอฺบะฮฺ ถูกกระทำโดยตำสั่งของ ยะซีดนั้นยังมีข้อคลางแคลงใจอยู่ ด้วยเหตุนี้เอง อันดับแรกต้องพิจารณาสองสามประเด็นดังต่อไปนี้

1.การรู้จักยะซีดและความห่างไกลของเขาอย่างมากจากการอบรมสั่งสอนคุณค่าของอิสลาม

2.เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในยุคการปกครองของท่าน

3.คำพูดของนักปราชญ์เกี่ยวกับยะซีด และเป็นไปได้อย่างไรที่อัลลอฮฺ ทรงให้หมู่ชนที่เรียกร้องการทวงหนี้เลือดให้ท่านอิมามฮุซัยน (.) และหมู่สหาย ลุกขึ้นยืนหยัดต่อต้านเขาและกองทัพ

ส่วนประเด็นเกี่ยวกับ ยะซีด บุตร ของมุอาวิยะฮฺ (ขออัลลอฮฺ ทรงสาปแช่งเขาและครอบครัว) นักประวัติศาสตร์รวมทั้งบุคคลที่ศึกษาประวัติของเขา ต่างกล่าวเหมือนกันซึ่งแสดงให้เห็นว่า ยะซีด ตามความเป็นจริงแล้วคือ คนเลวและชั่วร้ายยิ่ง เป็นผู้ดื่มสุรา สร้างความอัปยศอดสู เล่นการพนัน ทำซินา และเขาจะเป็นผู้มีบุคลิกภาพของศาสนาได้อย่างไร

คำพูดที่ 1: เกี่ยวกับยะซีดซึ่งมัสอูดดี ได้กล่าวไว้ในหนังสือ มุรูญุลซะฮับ ว่า : ยะซีดคือผู้ชอบการละเล่นไร้สาระ, ชอบเล่นกับสุนัข, ลิง, เสือชีต้า, ขณะเดียวกันก็ดื่มสุรา เล่นการพนัน และ ...ในสมัยการปกครองของเขานั่นเองที่ ดนตรี ได้ถูกบรรเลงอย่างเปิดเผยทั้งในมักกะฮฺ และมะดีนะฮฺ การพนันได้ถูกฟื้นฟูอีกครั้ง และประชาชนได้ดื่มสุราอย่างเปิดเผย...[1]

คำพูดที่ 2 :  ฏ็อบรียฺ และนักประวัติศาสตร์ท่านอื่น กล่าวว่า : มีประชาชนชาวมะดีนะฮฺกลุ่มหนึ่ง ซึ่งในหมู่พวกเขามี อับดุลลอฮฺ บุตรของฮันเซาะละฮฺ อันซอรียฺ อยู่ด้วย พวกเขาได้ไปหายะซีดและเวลาต่อมาพวกเขาทั้งหมดได้กลับมายังมะดีนะฮฺอีกครั้งหนึ่ง พวกเขาได้ปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน และแจ้งถึงความเลวร้ายและความชั่วของยะซีดให้ประชาชนฟัง[2] สิ่งที่พวกเขาพูด เช่น : เราได้มาจากบุคคลผู้ซึ่งไร้ศาสนา ดื่มสุรา ขับร้องเพลง, พวกเราได้ถอนสัตยาบันจากเขาแล้ว, และประชาชนก็ได้ทำตามพวกเขา

คำพูดที่ 3: คำพูดของฏ็อบรียฺ และอิบุอะษีร ซึ่งกล่าวไว้ในหนังสือ กามิล โดยกล่าวว่า : เมื่อมุอาวะยะฮฺต้องการเอาสัตยาให้ยะซีด เขาได้เขียนจดหมายถึง ซิยาด บุตรของอุบัยฮฺ เพื่อขอคำปรึกษาจากเขา และซิยาดก็ได้ส่งสาส์นไปหา อุบัยดิลลาฮฺ บุตรของ อะอับ โดยกล่าวว่า : อมีรุลมุอฺมินีน (มุอาวิยะฮฺ) ได้ส่งจดหมายมาหาฉัน ฉันคิดว่าเขาต้องตัดสินใจอะไรบางอย่างเกี่ยวกับการขอสัตยาบันให้ยะซด, แต่สิ่งที่ฉันกลัวคือ ประชาชนเกลียดเขามาก, ขณะที่ยะซีดเป็นคนที่ขี้เกลียดและไร้ความรู้สึก[3]

คำพูดที่ 4: คำพูดจจากอิบนุ กุตัยบะฮฺ ในหนึ่งสือ อิมามัตวะซิยาซัต เล่าจากท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) ว่า ช่วงเวลาที่มุอาวิยะฮฺต้องการขอให้ท่านให้สัตยาบันกับยะซีด ฉันได้กล่าวกับเขาว่า : ไม่มีทาง ไม่มีทาง โอ้ มุอาวิยะฮฺเอ๋ย ... ประหนึ่งเขาได้พูดจากหลังม่าน หรือแอบพูด หรือพูดแทนบุคคลซึ่งเหมือนกับว่าเพิ่งจะรู้จักเขา การกระทำของยะซีดย่อมบ่งบอกถึงบุคลิกภาพและความเหมาะสมของเขาอยู่แล้ว, เกี่ยวกับยะซีดเพียงแค่พูดว่า, เขาเล่นอยู่กับสุนัข, หมกมุ่นอยู่กับนกพิราบ ตีกลองร้องเพลง และชอบเล่นไร้สาระตลอดเวลา ซึ่งพวกท่านทั้งหลายก็เห็นอยู่แล้วว่าเขาเป็นคนมีอุปนิสัยอย่างไร ดังนั้น จงหลีกเลี่ยงคำพูดเหล่านี้[4] 

คำพูดที่ 5 : คำพูดจากซุยูฏียฺ ในหนังสือตารีคคุละฟาอฺเขาได้อธิบายว่า, เขากล่าวว่า : การที่ชาวมะดีนะฮฺ ได้ปลดยะซีดก็เนื่องจากว่า เขาก่ออาชญากรรมและประพฤติชั่ว

สิ่งที่กล่าวมาเป็นคำพูดเกี่ยวกับบุคลิกภาพของคนๆ หนึ่งที่ไร้ค่า และไร้ศักดิ์ศรีของยะซีด ในของสังคมและศาสนา

เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงสมัยปกครองของยะซีด (ขออัลลอฮฺทรงสาปแช่งเขา)

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในช่วงระยะเวลาอันสั้นแห่งการปกครองของยะซีด ได้มีเหตุการณ์เลวร้ายและชั่วที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์เกิดขึ้นในสมัยของเขา ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การทำชะฮีดท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) พร้อมครอบครัว และสหายของท่าน, เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ไม่มีบุคคลใดสงสัยในความเลวร้ายอีกต่อไป แม้แต่ประชาชนคนธรรมดาทั่วไป แล้วจะนับประสาอะไรกับชนชั้นผู้ปกครอง หรือนักวิชาการและนักประวัติศาสตร์

เหตุการณ์ที่สอง เขาได้ก่อกรรมชั่วเสรี

และนี่เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่รับรู้กันดีโดยทั่วๆ ไปว่า มันเกิดขึ้นในช่วงการปกครองของซะซีด บุตรของมุอาวิยะฮฺ, เหตุการณ์ดังกล่าวนักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่บันทึกเอาไว้ และทั้งหมดเห็นพร้องต้องกันว่า ชาวเมืองชามจำนวนไม่น้อยที่พวกเขาได้ร่วมกันสังหาร เหล่าเซาะฮาบะฮฺทั้งจากหมู่อันซอรและมุฮาญิรีนเป็นจำนวนมาก เขาได้รับอนุญาตจากยะซีดให้นำกองกำลังเข้ากวาดล้างมะดีนะฮฺเป็นเวลา 3 วัน[5]

อิบนุ อะษีร ได้บันทึกไว้ในหนังสือ กามิล ของตัวเองว่า : เหตุการณ์ก่อกรรมชั่วเสรี อันดับแรกได้เริ่มต้นจากการที่ประชาชนชาวมะดีนะฮฺ ได้ถอนสัตยาบันของพวกเขาจากยะซีด ...ยะซีดได้มอบให้ มุสลิม บิน อุกบะฮฺ มุรรียฺ ด้วยเหตุผลที่ว่า เขาได้สังหารคนจำนวนมากมายจึงเรียกเขาว่า คนกินคน เขาเป็นชายค่อนข้างมีอายุสูงแล้ว และมีโรคประจำตัว ยะซีดได้มอบหมายภาระหน้าที่แก่เขาโดยให้เขามุ่งหน้าไปยังมะดีนะฮฺ ซึ่งมุสลิมได้ขอกับยะซีดว่า อนุญาตให้เขานำกองกำลังเข้ากวาดล้างมะดีนะฮฺสัก 3 วัน แล้วยึดทรัพย์สินแก้วแหวนเงินทอง สัตว์ ข้าวของ และอาวุธต่างๆ เป็นของกองกำลังของเขา หลังจากสามวันไปแล้วเขาก็จะยุติการสังหารผู้คน ..ในเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ประชาชนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้..มุสลิมได้นำกองกำลังเข้ากวาดล้างมะดีนะฮฺอยู่ 3 วัน และในช่วงสามวันนั้นเขาได้สังหารประชาชนเป็นจำนวนมาก และได้ยึดข้าวของเครื่องใช้ และทรัพย์สินของประชาชน เขาได้สร้างความอัปยศอดสูและความวิบัติแก่ประชาชนและหมู่สหายอย่างใหญ่หลวงยิ่ง ... เขาได้เรียกร้องให้ประชาชนมอบสัตยาบันแก่ยะซีดในฐานะของ ทาส ซึ่งยะซีดมีสิทธิ์กระทำทุกอย่างกับพวกเขาไม่ว่าจะเป็นชีวิต ทรัพย์สิน หรือแม้แต่ครอบครัว และหากผู้ใดไม่ยินยอมก็จะถูกสังหารชีวิตทั้งหมด ดังนั้น จะเห็นว่ามีผู้คนจำนวนไม่น้อยถูกสังหารชีวิต

การก่อกรรมชั่วเสรีในปี ..ที่ 63 ชวงปลายเดือนซุลฮิจญฺ ซึ่งเหลือเวลาอีก 2 วันจะสิ้นเดือนพอดี[6]

ใจความใกล้เคียงกันนี้ ฏ็อบรียฺ ได้บันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ของตนด้วยเช่นกัน[7]

แต่เรามิได้มีหน้าที่สาธยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดหรือการก่อกรรมชั่วเสรีของยะซีด, ทว่าเพียงพอแล้วสำหรับสองสามตัวอย่าง อันเป็นความชั่วร้ายที่ได้ยกตัวอย่างมา, นอกจากเรื่องราวที่กล่าวได้ก่อนหน้านี้แล้ว อิบนุกุตัยบะฮฺ ยังได้กล่าวอีกว่า : ในช่วงเกิดเหตุการณ์ก่อกรรมชั่วเสรีนั้นวันหนึ่งพวกเขาได้สังหารชีวิต เหล่าบรรดาสหายของท่านศาสดา (ซ็อล ) ไปถึง 80 คนด้วยกัน ซึ่งไม่เคยมีความชั่วร้ายขั้นนี้มาก่อนหน้านี้เลย นอกจากนั้นแล้วยังได้สังหารชาวกุเรชและชาวอันซอรอีก 700 คน ที่เหลือเป็นประชาชนทั่วไปทั้งจาก มะวาลี ชาวอาหรับ และบรรดาตาบิอีนอีกราว 10,000 คน[8]

และยังมีคำอธิบายที่เลวยิ่งไปกว่านี้อีก ซึ่งยะอฺกูบียฺ บันทึกไว้ว่า : ในวันก่อกรรมชั่วเสรี คือความอัปยศสิ้นดีสำหรับชาวมะดีนะฮฺ ... เมืองของท่านศาสดา (ซ็อล ) ได้ถูกทำให้ฮะลาลด้วยกลุ่มคนชั่ว ชนิดที่ว่าสาวบริสุทธิ์จำนวนมากมายได้คลอดบุตรออกมา โดยไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อ[9]

เหตุการณ์ที่สาม : ทำสงครามกับมักกะฮฺมุกัรเราะมะฮฺและได้เผาวิหารกะอฺบะฮฺ

และนี่เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ซึ่ง ได้มีคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมากมาย เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์สุดท้ายแห่งชีวิตอันชั่วร้าย อัปยศอดสู และมากด้วยความเลวของยะซีด

บรรดานักประวัติศาสตร์ได้อธิบายว่า หลังจากอัมรฺ บิน สะอีด อัชดัก และอุบัยดิลลาฮฺ บิน ซิยาด ไม่ยอมรับคำสั่งของยะซีด บินมุอายะฮฺ ที่สั่งให้ยกกองกำลังเข้าโจมตีมักกะฮฺ ยะซีดจึงได้สั่งให้ มุสลิม บิน อุกบะฮฺ รับหน้าที่แทน และสั่งให้เขาโจมตีมักกะฮฺ[10] 

อิบนุ อะษีร ได้บันทึกเหตุการณ์ไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ของท่าน โดยบันทึกไว้เช่นนี้ว่า : หลังจากมุสลิมได้สิ้นสุดการสังหารและยึดทรัพย์สินของประชาชนในมะดีนะฮฺแล้ว พวกเขาได้มุ่งหน้าสู่มักกะฮฺ เพื่อไล่ล่าบุตรของซุเบร...เมื่อเขาเคลื่อนพลมาถึงยังสถานที่หนึ่งนามว่ามัชลัลความตายได้ไล่ล่าเขาและไม่ยอมปล่อยเขาไป จนในที่สุดเขาได้เสียชีวิต  ที่นั้นเอง, หลังจากเขาสิ้นชีวิตไปแล้ว ฮะซีน บุตรของ นะมีร ได้เข้าคุ

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • คำพูดของอิมามศอดิกที่ว่า “ยี่สิบห้าอักขระแห่งวิชาการจะแพร่หลายในยุคที่อิมามมะฮ์ดีปรากฏกาย” หมายความว่าอย่างไร?
    8309 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/03/04
    ความเจริญรุดหน้าทางวิทยาการทั้งทางโลกและทางธรรมนั้น เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในยุคที่ท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)ปรากฏกาย วิทยาการจะรุ่งเรืองถึงขีดสุดในยุคนี้ ดังที่ปรากฏในฮะดีษที่ผู้ถามอ้างอิงไว้ข้างต้น อย่างไรก็ดี ฮะดีษทำนองนี้มิได้ระบุว่ามนุษย์ในยุคดังกล่าวจะสามารถเรียนรู้วิทยาการทั้งยี่สิบเจ็ดอักขระอย่างรวดเร็วเหมือนกันหมดทุกคน ทว่าฮะดีษของอิมามศอดิก(อ.)ข้างต้นใช้คำว่า “أخرج”[1] อันหมายถึงการที่ท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)จะนำอักขระที่เหลือออกมาเผยแพร่ เพื่อให้มนุษยชาติได้มีโอกาสเรียนรู้วิทยาการทั้งยี่สิบเจ็ดอักขระอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ อันเป็นการแผ่ขยายโอกาสอย่างกว้างขวาง แต่การที่ทุกคนสามารถจะเรียนรู้ได้ครบยี่สิบเจ็ดอักขระเท่าเทียมกันได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความไฝ่รู้ของแต่ละคน ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีบุคคลจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่บรรลุถึงวิทยฐานะอันสูงส่ง โดยจะเป็นผู้จัดตั้งสถานศึกษาและประสิทธิประสาทวิชาการแก่ผู้ที่สนใจสืบไป ดังที่อิมามอลี(อ.)กล่าวไว้ว่า “เสมือนว่าฉันกำลังเห็นเหล่าชีอะฮ์ของฉันกางเต๊นท์ในมัสญิดกูฟะฮ์เพื่อเป็นสถานที่สอนความรู้อันบริสุทธิจากอัลกุรอานแก่ประชาชน”[2] ข้อสรุป: แม้ว่าท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)จะเปิดศักราชแห่งการศึกษาวิทยาการถึงยี่สิบเจ็ดอักขระภายหลังจากที่ท่านปรากฏกาย อันกล่าวได้ว่าอาจเป็นโอกาสในการก้าวกระโดดทางวิชาการ แต่ก็มีบางคนในยุคนั้นที่ไม่สามารถจะบรรลุถึงเป้าหมายดังกล่าวได้ การจะบรรลุเป้าหมายทางวิชาการจะต้องอาศัยความพากเพียร เปรียบดั่งเป้าหมายแห่งตักวาที่ทุกคนสามารถไขว่คว้ามาได้ด้วยความบากบั่น ฉะนั้น ในเมื่อการบรรลุถึงจุดสูงสุดของตักวายังต้องอาศัยความอุตสาหะ การบรรลุถึงวิชาการทั้งยี่สิบเจ็ดอักขระก็ต้องอาศัยความพยายามและความมุมานะเช่นกัน
  • ฮะดีษนี้เศาะฮี้ห์หรือไม่? รายงานจากอิมามญะฟัร(อ.)ว่า "ก่อนท่านนบี(ซ.ล.)จะนอน ท่านจะแนบใบหน้าที่หว่างอกของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(อ.)เสมอ" (บิฮารุลอันว้าร,เล่ม 43,หน้า 78)
    8512 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/11/24
    ฮะดีษแบ่งออกเป็นสองประเภท ก.กลุ่มฮะดีษที่มีสายรายงานที่เชื่อถือได้แข็งแรงและเศาะฮี้ห์ ขกลุ่มฮะดีษที่มีสายรายงานที่ไม่น่าเชื่อถืออ่อนแอและไม่เป็นที่รู้จัก.ฮะดีษที่ยกมานั้นหนังสือบิฮารุลอันว้ารอ้างอิงจากหนังสือมะนากิ้บของอิบนิชะฮ์รอชู้บแต่เนื่องจากไม่มีสายรายงานที่ชัดเจนจึงจัดอยู่ในกลุ่มฮะดีษที่ไม่น่าเชื่อถือแต่สมมติว่าฮะดีษดังกล่าวเศาะฮี้ห์
  • กรุณาไขเคล็ดลับวิธีบำรุงสมองทั้งในแง่รูปธรรมและนามธรรมตามที่ปรากฏในฮะดีษ
    7889 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/28
    ปัจจัยที่มีส่วนช่วยบำรุงสมองและเสริมความจำมีอยู่หลายประเภทอาทิเช่น1. ปัจจัยด้านจิตวิญญาณก. การรำลึกถึงอัลลอฮ์(ด้วยการปฏิบัติศาสนกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งการนมาซตรงเวลา)ข. อ่านบทดุอาที่มีผลต่อการเสริมความจำอย่างเช่นดุอาที่นบี(ซ.ล.)สอนแก่ท่านอิมามอลี(อ.)[i]سبحان من لایعتدى على اهل مملکته، سبحان من لایأخذ اهل الارض بالوان العذاب، سبحان الرؤوف الرحیم، اللهم اجعل لى فى قلبى نورا و بصرا و فهما و علما انک على کل ...
  • ท่านอิมามอะลี (อ.) ได้ให้บัยอัตแก่อบูบักรฺ อุมัร และอุสมานหรือไม่? เพราะอะไร?
    10867 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/07/16
    ประการแรก: ท่านอิมามอะลี (อ.) และบรรดาสหายกลุ่มหนึ่งของท่าน พร้อมกับสหายของท่านศาสดา มิได้ให้บัยอัตกับท่านอบูบักรฺตั้งแต่แรก แต่ต่อมาคนกลุ่มนี้ได้ให้บัยอัต ก็เนื่องจากว่าต้องการปกปักรักษาอิสลาม และความสงบสันติในรัฐอิสลาม ประการที่สอง: ปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นไม่อาจคลี่คลายให้เสร็จสิ้นได้ด้วยคมดาบ หรือความกล้าหาญเพียงอย่างเดียว และมิได้หมายความว่าทุกที่จะสามารถใช้กำลังได้ทั้งหมด เนื่องจากมนุษย์เป็นผู้มีสติปัญญา และฉลาดหลักแหลม สามารถใช้เครื่องมืออันเฉพาะแก้ไขปัญหาได้ ประการที่สาม: ถ้าหากท่านอิมามยอมให้บัยอัตกับบางคน เพื่อปกป้องรักษาสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่า เช่น ปกป้องศาสนาของพระเจ้า และความยากลำบากของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) นั่นมิได้หมายความว่า ท่านเกรงกลัวอำนาจของพวกเขา และต้องการรักษาชีวิตของตนให้รอดปลอดภัย หรือท่านมีอำนาจต่อรองในตำแหน่งอิมามะฮฺและการเป็นผู้นำน้อยกว่าพวกเขาแต่อย่างใด ประการที่สี่ : จากประวัติศาสตร์และคำพูดของท่านอิมามอะลี (อ.) เข้าใจได้ว่า ท่านอิมาม ได้พยายามคัดค้านและท้วงติงพวกเขาหลายต่อหลายครั้ง เกี่ยวกับสถานภาพตามความจริง ในช่วงการปกครองของพวกเขา แต่ในที่สุดท่านได้พยายามปกปักรักษาอิสลามด้วยการนิ่งเงียบ และช่วยเหลืองานรัฐอิสลามเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู ...
  • โองการ اخْلُفْنِی فِی قَوْمِی وَأَصْلِحْ وَلَا تَتَّبِعْ سَبِیلَ الْمُفْسِدِینَ กล่าวโดยผู้ใด และปรารภกับผู้ใด?
    6943 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/19
    โองการที่ถามมานั้น กล่าวถึงคำสั่งของท่านนบีมูซา(อ.)ที่มีแด่ท่านนบีฮารูน(อ.)ขณะกำลังจะเดินทางจากชนเผ่าของท่านไป ทั้งนี้เนื่องจากการแต่งตั้งตัวแทนจะกระทำในยามที่บุคคลกำลังจะลาจากกัน เมื่อท่านนบีมูซาได้รับบัญชาให้จาริกสู่สถานที่นัดหมายจึงแต่งตั้งท่านนบีฮารูน (ซึ่งดำรงตำแหน่งนบีอยู่แล้ว) ให้เป็นตัวแทนของท่านในหมู่ประชาชน และได้กำชับให้ฟื้นฟูดูแลประชาชน และให้หลีกห่างกลุ่มผู้นิยมความเสื่อมเสีย[1]อนึ่ง ท่านนบีฮารูน(อ.)เองก็มีฐานะเป็นนบีและปราศจากความผิดบาป อีกทั้งไม่คล้อยตามผู้นิยมความเสื่อมเสียอยู่แล้ว ท่านนบีมูซาเองก็ย่อมทราบถึงฐานันดรภาพของพี่น้องตนเองเป็นอย่างดี ฉะนั้น คำสั่งนี้จึงมิได้เป็นการห้ามมิให้นบีฮารูนทำบาป แต่ต้องการจะกำชับมิให้รับฟังทัศนะของกลุ่มผู้นิยมความเสื่อมเสีย และอย่าคล้อยตามพวกเขาจนกว่าท่านนบีมูซาจะกลับมา
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42871 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • กรุณาแจกแจงแนวความคิดของเชคฏูซีในประเด็นการเมือง
    6443 ระบบต่างๆ 2554/10/02
    ทุกยุคสมัยมักมีประเด็นปัญหาใหม่ๆให้นักวิชาการได้ขบคิดและตอบคำถามเรื่อยมาเชคฏูซีก็ถือเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่รับผิดชอบภารกิจนี้อย่างดีเยี่ยมแนวคิดทางการเมืองการปกครองของเชคฏูซีสรุปได้ดังนี้ท่านไม่เห็นด้วยกับการจำแนกศาสนาจากการเมืองท่านใช้ข้อพิสูจน์ทางสติปัญญาชี้ให้เห็นว่าจำเป็นจะต้องมีรัฐบาลและระบอบการปกครองตลอดจนต้องมีผู้นำสูงสุด ท่านวิเคราะห์ประเด็นการเมืองด้วยหลักแห่ง"การุณยตา"(ลุฏฟ์)ของอัลลอฮ์กล่าวคืออัลลอฮ์จะแผ่ความการุณย์ด้วยการตั้งให้มีผู้นำสำหรับมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นนบีหรืออิมามหรือตัวแทนอิมามซึ่งภาวะผู้นำทางการเมืองคือหนึ่งในภารกิจของบุคคลเหล่านี้ในบริบททางวิชาการท่านให้ความสำคัญกับประเด็นภาวะผู้นำทางการเมืองของบรรดาฟะกีฮ์ความสำคัญของประเด็นดังกล่าวในสายตาประชาชนความเชื่อมโยงระหว่างภาวะดังกล่าวกับภาวะผู้นำของอิมามมะอ์ศูมตลอดจนอำนาจหน้าที่ของผู้ปกครองวิถีอิสลามเป็นพิเศษนอกจากนี้การที่ท่านรับเป็นอาจารย์สอนด้านเทววิทยาอิสลามในเมืองหลวงของราชวงศ์อับบาสิด
  • สร้อยนามหมายถึงอะไร? แล้ว “อบุลกอซิม”สร้อยนามของท่านนบีนั้นได้มาอย่างไร?
    11738 تاريخ بزرگان 2555/03/04
    ตามธรรมเนียมของชาวอรับแล้ว ชื่อที่มีคำว่า “อบู”(พ่อของ...) หรือ “อุมมุ”(แม่ของ...) นำหน้านั้น เรียกกันว่า “กุนียะฮ์” (สร้อยนาม) ในทัศนะของอรับเผ่าต่างๆนั้น ธรรมเนียมการตั้งสร้อยนามถือเป็นการยกย่องบุคคล ตัวอย่างสร้อยนาม อบุลกอซิม, อบุลฮะซัน, อุมมุสะละมะฮ์, อุมมุกุลษูม ฯลฯ[1] ศาสนาอิสลามก็ให้ความสำคัญแก่สร้อยนามเช่นกัน ฆ็อซซาลีกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า “ท่านนบี(ซ.ล.)มักจะให้เกียรติเรียกเหล่าสหายด้วยสร้อยนามเพื่อเป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรี ส่วนผู้ที่ไม่มีสร้อยนาม ท่านก็จะเลือกสร้อยนามให้เขา และจะเรียกสร้อยนามนั้น กระทั่งผู้คนก็เรียกตามท่าน แม้กระทั่งผู้ที่ไม่มีบุตรที่จะนำมาตั้งสร้อยนาม ท่านนบี(ซ.ล.)ก็จะตั้งให้เขา ยิ่งไปกว่านั้น ท่านยังตั้งสร้อยนามแก่เด็กๆด้วย อาทิเช่นเรียกว่าอบูนั้น อบูนี้ เพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับเด็กๆ”[2] รายงานจากอิมามริฎอ(อ.)ว่า إذا كان الرجل حاضرا فكنه و إن ...
  • ควรจะตอบคำถามเด็กๆ อย่างไร เมื่อถามเกี่ยวกับอัลลอฮฺ?
    8224 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/06/30
    ไม่สมควรหลีกเลี่ยงคำถามต่างๆ ที่เด็กๆ ได้ถามเกี่ยวกับอัลลอฮฺ, ทว่าจำเป็นต้องตอบคำถามเหล่านั้นด้วยความถูกต้อง เข้าใจง่าย และมั่นคง,โดยอาศัยข้อพิสูจน์เรื่องความเป็นระบบระเบียบของโลก พร้อมคำอธิบายง่ายๆ ขณะเดียวกันด้วยคำอธิบายที่ง่ายนั้นต้องกล่าวถึงความโปรดปรานของพระเจ้าชนิดคำนวณนับมิได้ ซึ่งอยู่ร่ายรอบตัวเอรา นอกจากนั้นยังสามารถพิสูจน์คุณลักษณะบางประการของพระองค์ เช่น ความปรีชาญาณ, พลานุภาพ, และความเมตตาแก่เด็กๆ ...
  • เราสามารถที่จะใช้เงินคุมุสที่เกิดขึ้นจากการออมทรัพย์เพื่อการซื้อบ้านได้หรือไม่?
    6082 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/08
    ก่อนที่จะตอบคำถามของคุณจะต้องกล่าวว่า: ตามทัศนะของท่านอายาตุลลอฮ์อุซมาคอเมเนอีเงินออมจากกำไรของผลประกอบการนั้นแม้จะเป็นการออมเพื่อใช้ชำระในชีวิตประจำวันแต่เมื่อถึงปีคุมุสแล้วจะต้องชำระคุมุสนอกจากได้มีการออมเพื่อซื้อของใช้จำเป็นในชีวิตหรือค่าใช้ชำระจำเป็น

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60770 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58446 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42871 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40428 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39483 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34630 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28688 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28590 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28541 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26458 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...