การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
9804
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/12/21
 
รหัสในเว็บไซต์ fa11969 รหัสสำเนา 19930
หมวดหมู่ تاريخ کلام
คำถามอย่างย่อ
เมื่อยะซีดได้สั่งให้ทหารจุดไฟเผากะอฺบะ ถ้าได้กระทำแล้ว และเป็นเพราะเหตุใดจึงไม่ถูกลงโทษ?
คำถาม
เมื่อยะซีดได้สั่งให้ทหารจุดไฟเผากะอฺบะฮฺ ถ้าได้กระทำแล้ว และเป็นเพราะเหตุใดจึงไม่ถูกลงโทษ?
คำตอบโดยสังเขป

ในช่วงระยะเวลาการปกครองอันสั้นของยะซีด เขาได้ก่ออาชญากรรมอันเลวร้ายยิ่ง 3 ประการ กล่าวคือประการแรก เขาได้สังหารท่านอิมามฮุซัยนฺ (.), สอง เขาได้ก่อกรรมชั่วอิสระ, และสามเขาได้เผ่าวิหารกะอฺบะฮฺ เมื่อเราพิจารณาการอธรรมฉ้อฉลอันเลวร้ายยิ่ง 3 ประการนี้ เราจะพบว่าบนโลกนี้ อัลลอฮฺทรงลงโทษพวกเขาเช่นกัน, แต่มิได้ลงโทษเป็นกลุ่มหรือรวมกันเป็นหมู่คณะ ซึ่งจะกล่าวอธิบายในช่วงตอบคำถามโดยละเอียด บางทีวิทยปัญญของสิ่งนั้นอาจมีอยู่ใน 2 สิ่งต่อไปนี้

หนึ่ง : ปัญหาเรื่องการลงโทษและชนิดของโทษทัณฑ์ ขึ้นอยู่กับความประสงค์และอำนาจของอัลลอฮฺ, บางครั้งอัลลอฮฺ ทรงลงโทษโดยตรง หรือทรงลงโทษผ่านกองทัพลึกลับ เช่น การลงโทษที่มีต่อกองกำลังของ อัลเราะฮะฮฺ ฮะบะชียฺ ซึ่งบุคคลใดได้ศึกษาประวัติศาสตร์ส่วนนี้ เขาจะพบได้อย่างชัดเจนว่าตัวของวิหารกะอฺบะฮฺ ได้ถูกโจมตีและตกอยู่ในอันตรายจริง นอกจากนั้นยังไม่มีบุคคลใด สามารถยืนหยัดต่อต้านกองกำลังที่เรืองอำนาจของ อับเราะฮะฮฺ ในสมัยนั้นได้ ด้วยเหตุนี้เอง เราจะพบว่าเรื่องนี้ อัลลอฮฺ ทรงปกป้องรักษาบ้านของพระองค์ด้วยพระองค์เอง และสุดท้ายทรงประทานการลงโทษลงมายังหมู่ชนที่เป็นศัตรูจนพินาศย่อยยับไป, แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยของยะซีดไม่ว่าเหล่าทหารของเขาจะจุดไฟเผากะอฺบะฮฺ ซึ่งสร้างความอัปยศให้เกิดขึ้นไม่น้อย อีกทั้งยังเป็นการลบลู่สถานที่ศักดิ์สิทธ์ของอิสลามและชาวมุสลิมทั้งหมด บรรดาพวกอธรรมได้ยึดครองมักกะฮฺ และสร้างกะอฺบะฮฺขึ้นใหม่อีก

สอง : ทุกเรื่องราวที่บ่งบอกถึงการช่วยเหลืออำนาจเร้นลับ ซึ่งเจ้าของการเคลื่อนไหวได้กระทำด้วย กะรอมัตของเขาวางอยู่บนความถูกต้อง และเมื่อพิจารณาว่าผู้บัญชากองกำลังปฏิวัติมักกะฮฺ ได้ลุกขึ้นต่อต้านยะซีด, ก็คืออับดุลลอฮฺ บุตรของซุเบร ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายว่า เขาได้พยายามทำทุกสิ่งเพื่อประโยชน์และความหวังของตัวเอง การสงครามและการสู้รบที่เขาทำนั้นไม่เกี่ยวข้องกับสัจธรรมความจริง หรือศาสนาแต่อย่างใดทั้งสิ้น นอกจากนั้นแล้วเขายังประกาศตัวเองว่า เขาคือศัตรูตัวฉกาจของท่านอิมามอะลี (.) จนถึงขั้นที่ว่าท่านอิมามอะลี (.) ได้กล่าวถึงเขาว่าซุเบรมาจากเราจนกระทั่งว่าบุตรชายเลวของเขา (อับดุลลอฮฺ) ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ การงานที่ผ่านมือบุตรของซุเบร ตามความเป็นจริงแล้วเท่ากับให้โอกาสเขา ด้วยเหตุนี้อัลลอฮฺ ไม่ประสงค์จะลงโทษ จนกระทั่งการงานได้เป็นประโยชน์กับบุตรของซุเบร

คำตอบเชิงรายละเอียด

จากคำถามที่ได้ถามมานั้น เข้าใจได้ว่าการเผาวิหารกะอฺบะฮฺ ถูกกระทำโดยตำสั่งของ ยะซีดนั้นยังมีข้อคลางแคลงใจอยู่ ด้วยเหตุนี้เอง อันดับแรกต้องพิจารณาสองสามประเด็นดังต่อไปนี้

1.การรู้จักยะซีดและความห่างไกลของเขาอย่างมากจากการอบรมสั่งสอนคุณค่าของอิสลาม

2.เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในยุคการปกครองของท่าน

3.คำพูดของนักปราชญ์เกี่ยวกับยะซีด และเป็นไปได้อย่างไรที่อัลลอฮฺ ทรงให้หมู่ชนที่เรียกร้องการทวงหนี้เลือดให้ท่านอิมามฮุซัยน (.) และหมู่สหาย ลุกขึ้นยืนหยัดต่อต้านเขาและกองทัพ

ส่วนประเด็นเกี่ยวกับ ยะซีด บุตร ของมุอาวิยะฮฺ (ขออัลลอฮฺ ทรงสาปแช่งเขาและครอบครัว) นักประวัติศาสตร์รวมทั้งบุคคลที่ศึกษาประวัติของเขา ต่างกล่าวเหมือนกันซึ่งแสดงให้เห็นว่า ยะซีด ตามความเป็นจริงแล้วคือ คนเลวและชั่วร้ายยิ่ง เป็นผู้ดื่มสุรา สร้างความอัปยศอดสู เล่นการพนัน ทำซินา และเขาจะเป็นผู้มีบุคลิกภาพของศาสนาได้อย่างไร

คำพูดที่ 1: เกี่ยวกับยะซีดซึ่งมัสอูดดี ได้กล่าวไว้ในหนังสือ มุรูญุลซะฮับ ว่า : ยะซีดคือผู้ชอบการละเล่นไร้สาระ, ชอบเล่นกับสุนัข, ลิง, เสือชีต้า, ขณะเดียวกันก็ดื่มสุรา เล่นการพนัน และ ...ในสมัยการปกครองของเขานั่นเองที่ ดนตรี ได้ถูกบรรเลงอย่างเปิดเผยทั้งในมักกะฮฺ และมะดีนะฮฺ การพนันได้ถูกฟื้นฟูอีกครั้ง และประชาชนได้ดื่มสุราอย่างเปิดเผย...[1]

คำพูดที่ 2 :  ฏ็อบรียฺ และนักประวัติศาสตร์ท่านอื่น กล่าวว่า : มีประชาชนชาวมะดีนะฮฺกลุ่มหนึ่ง ซึ่งในหมู่พวกเขามี อับดุลลอฮฺ บุตรของฮันเซาะละฮฺ อันซอรียฺ อยู่ด้วย พวกเขาได้ไปหายะซีดและเวลาต่อมาพวกเขาทั้งหมดได้กลับมายังมะดีนะฮฺอีกครั้งหนึ่ง พวกเขาได้ปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน และแจ้งถึงความเลวร้ายและความชั่วของยะซีดให้ประชาชนฟัง[2] สิ่งที่พวกเขาพูด เช่น : เราได้มาจากบุคคลผู้ซึ่งไร้ศาสนา ดื่มสุรา ขับร้องเพลง, พวกเราได้ถอนสัตยาบันจากเขาแล้ว, และประชาชนก็ได้ทำตามพวกเขา

คำพูดที่ 3: คำพูดของฏ็อบรียฺ และอิบุอะษีร ซึ่งกล่าวไว้ในหนังสือ กามิล โดยกล่าวว่า : เมื่อมุอาวะยะฮฺต้องการเอาสัตยาให้ยะซีด เขาได้เขียนจดหมายถึง ซิยาด บุตรของอุบัยฮฺ เพื่อขอคำปรึกษาจากเขา และซิยาดก็ได้ส่งสาส์นไปหา อุบัยดิลลาฮฺ บุตรของ อะอับ โดยกล่าวว่า : อมีรุลมุอฺมินีน (มุอาวิยะฮฺ) ได้ส่งจดหมายมาหาฉัน ฉันคิดว่าเขาต้องตัดสินใจอะไรบางอย่างเกี่ยวกับการขอสัตยาบันให้ยะซด, แต่สิ่งที่ฉันกลัวคือ ประชาชนเกลียดเขามาก, ขณะที่ยะซีดเป็นคนที่ขี้เกลียดและไร้ความรู้สึก[3]

คำพูดที่ 4: คำพูดจจากอิบนุ กุตัยบะฮฺ ในหนึ่งสือ อิมามัตวะซิยาซัต เล่าจากท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) ว่า ช่วงเวลาที่มุอาวิยะฮฺต้องการขอให้ท่านให้สัตยาบันกับยะซีด ฉันได้กล่าวกับเขาว่า : ไม่มีทาง ไม่มีทาง โอ้ มุอาวิยะฮฺเอ๋ย ... ประหนึ่งเขาได้พูดจากหลังม่าน หรือแอบพูด หรือพูดแทนบุคคลซึ่งเหมือนกับว่าเพิ่งจะรู้จักเขา การกระทำของยะซีดย่อมบ่งบอกถึงบุคลิกภาพและความเหมาะสมของเขาอยู่แล้ว, เกี่ยวกับยะซีดเพียงแค่พูดว่า, เขาเล่นอยู่กับสุนัข, หมกมุ่นอยู่กับนกพิราบ ตีกลองร้องเพลง และชอบเล่นไร้สาระตลอดเวลา ซึ่งพวกท่านทั้งหลายก็เห็นอยู่แล้วว่าเขาเป็นคนมีอุปนิสัยอย่างไร ดังนั้น จงหลีกเลี่ยงคำพูดเหล่านี้[4] 

คำพูดที่ 5 : คำพูดจากซุยูฏียฺ ในหนังสือตารีคคุละฟาอฺเขาได้อธิบายว่า, เขากล่าวว่า : การที่ชาวมะดีนะฮฺ ได้ปลดยะซีดก็เนื่องจากว่า เขาก่ออาชญากรรมและประพฤติชั่ว

สิ่งที่กล่าวมาเป็นคำพูดเกี่ยวกับบุคลิกภาพของคนๆ หนึ่งที่ไร้ค่า และไร้ศักดิ์ศรีของยะซีด ในของสังคมและศาสนา

เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงสมัยปกครองของยะซีด (ขออัลลอฮฺทรงสาปแช่งเขา)

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในช่วงระยะเวลาอันสั้นแห่งการปกครองของยะซีด ได้มีเหตุการณ์เลวร้ายและชั่วที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์เกิดขึ้นในสมัยของเขา ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การทำชะฮีดท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) พร้อมครอบครัว และสหายของท่าน, เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ไม่มีบุคคลใดสงสัยในความเลวร้ายอีกต่อไป แม้แต่ประชาชนคนธรรมดาทั่วไป แล้วจะนับประสาอะไรกับชนชั้นผู้ปกครอง หรือนักวิชาการและนักประวัติศาสตร์

เหตุการณ์ที่สอง เขาได้ก่อกรรมชั่วเสรี

และนี่เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่รับรู้กันดีโดยทั่วๆ ไปว่า มันเกิดขึ้นในช่วงการปกครองของซะซีด บุตรของมุอาวิยะฮฺ, เหตุการณ์ดังกล่าวนักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่บันทึกเอาไว้ และทั้งหมดเห็นพร้องต้องกันว่า ชาวเมืองชามจำนวนไม่น้อยที่พวกเขาได้ร่วมกันสังหาร เหล่าเซาะฮาบะฮฺทั้งจากหมู่อันซอรและมุฮาญิรีนเป็นจำนวนมาก เขาได้รับอนุญาตจากยะซีดให้นำกองกำลังเข้ากวาดล้างมะดีนะฮฺเป็นเวลา 3 วัน[5]

อิบนุ อะษีร ได้บันทึกไว้ในหนังสือ กามิล ของตัวเองว่า : เหตุการณ์ก่อกรรมชั่วเสรี อันดับแรกได้เริ่มต้นจากการที่ประชาชนชาวมะดีนะฮฺ ได้ถอนสัตยาบันของพวกเขาจากยะซีด ...ยะซีดได้มอบให้ มุสลิม บิน อุกบะฮฺ มุรรียฺ ด้วยเหตุผลที่ว่า เขาได้สังหารคนจำนวนมากมายจึงเรียกเขาว่า คนกินคน เขาเป็นชายค่อนข้างมีอายุสูงแล้ว และมีโรคประจำตัว ยะซีดได้มอบหมายภาระหน้าที่แก่เขาโดยให้เขามุ่งหน้าไปยังมะดีนะฮฺ ซึ่งมุสลิมได้ขอกับยะซีดว่า อนุญาตให้เขานำกองกำลังเข้ากวาดล้างมะดีนะฮฺสัก 3 วัน แล้วยึดทรัพย์สินแก้วแหวนเงินทอง สัตว์ ข้าวของ และอาวุธต่างๆ เป็นของกองกำลังของเขา หลังจากสามวันไปแล้วเขาก็จะยุติการสังหารผู้คน ..ในเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ประชาชนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้..มุสลิมได้นำกองกำลังเข้ากวาดล้างมะดีนะฮฺอยู่ 3 วัน และในช่วงสามวันนั้นเขาได้สังหารประชาชนเป็นจำนวนมาก และได้ยึดข้าวของเครื่องใช้ และทรัพย์สินของประชาชน เขาได้สร้างความอัปยศอดสูและความวิบัติแก่ประชาชนและหมู่สหายอย่างใหญ่หลวงยิ่ง ... เขาได้เรียกร้องให้ประชาชนมอบสัตยาบันแก่ยะซีดในฐานะของ ทาส ซึ่งยะซีดมีสิทธิ์กระทำทุกอย่างกับพวกเขาไม่ว่าจะเป็นชีวิต ทรัพย์สิน หรือแม้แต่ครอบครัว และหากผู้ใดไม่ยินยอมก็จะถูกสังหารชีวิตทั้งหมด ดังนั้น จะเห็นว่ามีผู้คนจำนวนไม่น้อยถูกสังหารชีวิต

การก่อกรรมชั่วเสรีในปี ..ที่ 63 ชวงปลายเดือนซุลฮิจญฺ ซึ่งเหลือเวลาอีก 2 วันจะสิ้นเดือนพอดี[6]

ใจความใกล้เคียงกันนี้ ฏ็อบรียฺ ได้บันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ของตนด้วยเช่นกัน[7]

แต่เรามิได้มีหน้าที่สาธยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดหรือการก่อกรรมชั่วเสรีของยะซีด, ทว่าเพียงพอแล้วสำหรับสองสามตัวอย่าง อันเป็นความชั่วร้ายที่ได้ยกตัวอย่างมา, นอกจากเรื่องราวที่กล่าวได้ก่อนหน้านี้แล้ว อิบนุกุตัยบะฮฺ ยังได้กล่าวอีกว่า : ในช่วงเกิดเหตุการณ์ก่อกรรมชั่วเสรีนั้นวันหนึ่งพวกเขาได้สังหารชีวิต เหล่าบรรดาสหายของท่านศาสดา (ซ็อล ) ไปถึง 80 คนด้วยกัน ซึ่งไม่เคยมีความชั่วร้ายขั้นนี้มาก่อนหน้านี้เลย นอกจากนั้นแล้วยังได้สังหารชาวกุเรชและชาวอันซอรอีก 700 คน ที่เหลือเป็นประชาชนทั่วไปทั้งจาก มะวาลี ชาวอาหรับ และบรรดาตาบิอีนอีกราว 10,000 คน[8]

และยังมีคำอธิบายที่เลวยิ่งไปกว่านี้อีก ซึ่งยะอฺกูบียฺ บันทึกไว้ว่า : ในวันก่อกรรมชั่วเสรี คือความอัปยศสิ้นดีสำหรับชาวมะดีนะฮฺ ... เมืองของท่านศาสดา (ซ็อล ) ได้ถูกทำให้ฮะลาลด้วยกลุ่มคนชั่ว ชนิดที่ว่าสาวบริสุทธิ์จำนวนมากมายได้คลอดบุตรออกมา โดยไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อ[9]

เหตุการณ์ที่สาม : ทำสงครามกับมักกะฮฺมุกัรเราะมะฮฺและได้เผาวิหารกะอฺบะฮฺ

และนี่เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ซึ่ง ได้มีคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมากมาย เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์สุดท้ายแห่งชีวิตอันชั่วร้าย อัปยศอดสู และมากด้วยความเลวของยะซีด

บรรดานักประวัติศาสตร์ได้อธิบายว่า หลังจากอัมรฺ บิน สะอีด อัชดัก และอุบัยดิลลาฮฺ บิน ซิยาด ไม่ยอมรับคำสั่งของยะซีด บินมุอายะฮฺ ที่สั่งให้ยกกองกำลังเข้าโจมตีมักกะฮฺ ยะซีดจึงได้สั่งให้ มุสลิม บิน อุกบะฮฺ รับหน้าที่แทน และสั่งให้เขาโจมตีมักกะฮฺ[10] 

อิบนุ อะษีร ได้บันทึกเหตุการณ์ไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ของท่าน โดยบันทึกไว้เช่นนี้ว่า : หลังจากมุสลิมได้สิ้นสุดการสังหารและยึดทรัพย์สินของประชาชนในมะดีนะฮฺแล้ว พวกเขาได้มุ่งหน้าสู่มักกะฮฺ เพื่อไล่ล่าบุตรของซุเบร...เมื่อเขาเคลื่อนพลมาถึงยังสถานที่หนึ่งนามว่ามัชลัลความตายได้ไล่ล่าเขาและไม่ยอมปล่อยเขาไป จนในที่สุดเขาได้เสียชีวิต  ที่นั้นเอง, หลังจากเขาสิ้นชีวิตไปแล้ว ฮะซีน บุตรของ นะมีร ได้เข้าคุ

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • หนทางหลุดพ้นจากความลุ่มหลงโลกคืออะไร?
    8840 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/21
    โลกที่มนุษย์อยู่อาศัยนี้มาจากคำว่า«ادنی» มาจากคำว่า«دنیء» และคำว่า«دنائت»
  • ในเมื่อนบีมูซาสังหารชายกิบฏี แล้วจะเชื่อว่าท่านไร้บาปได้อย่างไร?
    9468 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/08/17
    นบีทุกท่านล้วนเป็นผู้ปราศจากบาปและมีสถานะอันสูงส่งณอัลลอฮ์ (ตามระดับขั้นของแต่ละท่าน) และมีภาระหน้าที่ๆหนักกว่าคนทั่วไปโดยมาตรฐานของบรรดานบีแล้วการให้ความสำคัญต่อสิ่งอื่นนอกเหนืออัลลอฮ์ถือเป็นบาปอันใหญ่หลวงอย่างไรก็ดีนักวิชาการมีคำอธิบายเกี่ยวกับเหตุการณ์สังหารชายชาวกิบฏีหลายทัศนะคำอธิบายที่น่าสนใจที่สุดคือท่านมิได้ทำบาปใดๆเนื่องจากการสังหารชาวกิบฏีในครั้งนั้นไม่เป็นฮะรอมเพราะควรแก่เหตุเพียงแต่ท่านไม่ควรรีบลงมือเช่นนั้นสำนวนในโองการกุรอานก็มิได้ระบุว่าเหตุดังกล่าวคือบาปของท่านดังที่มะอ์มูนถามอิมามริฎอ(อ.)เกี่ยวกับคำพูดของนบีมูซาที่ว่า “นี่คือการกระทำของชัยฏอนมันคือศัตรูผู้ล่อลวงอย่างชัดแจ้ง” หรือที่กล่าวว่า “
  • ทำไมจึงให้สร้อยนามมะอ์ศูมะฮ์แก่ท่านหญิงฟาติมะฮ์ มะอ์ศูมะฮ์ ท่านดำรงสถานะมะอ์ศูมด้วยหรืออย่างไร?
    7317 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/06/23
    ชื่อของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ คือ“ฟาติมะฮ์” ตำราประวัติศาสตร์ก็ได้เอ่ยถึงท่านโดยใช้นามว่า ฟาติมะฮ์ บินติ มูซา บินญะอ์ฟัร (อ.) ท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ไม่ได้เป็นมะอ์ศูมในความหมายทางหลักของศาสตร์แห่งเทววิทยาอิสลามอย่างที่ใช้กับบรรดาศาสดาและบรรดาอะอิมมะฮ์ แต่ทว่าเธอมีความบริสุทธิ์ทางจิตใจและความเพียบพร้อมทางด้านจิตใจที่สูงส่ง อนึ่ง ประเด็นของอิศมะฮ์และความบริสุทธิ์ถือเป็นประเด็นที่ต้องอาศัยการเปรียบเทียบกับสิ่งอื่น เมื่อคำนึงถึงฮะดีษหลายบทที่ได้กล่าวถึงฐานันดรและความสูงส่งของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์แล้ว สามารถกล่าวได้ว่าท่านนั้นมีความสูงส่งในด้านของอิศมะฮ์ ในระดับสูง – แม้ไม่ถึงขั้นของอะอิมมะฮ์ ...
  • เงินฝากบัญชีสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยใช้ประโยชน์จากสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย จำเป็นต้องจ่ายคุมซ์หรือไม่?
    6044 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/22
    ท่านผู้นำสูงสุดตอบคำถามที่ถามว่าบุคคลที่ไม่มีที่อยู่อาศัยได้เก็บสะสมเงินฝากเพื่อเตรียมไว้ซื้อบ้านและที่อยู่อาศัยเงินฝากต้องจ่ายคุมซ์ด้วยหรือไม่? ตอบว่า: การสะสมทรัพย์ถือเป็นรายได้ประเภทหนึ่งถ้าเตรียมไว้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตเมื่อครบรอบปีต้องจ่ายคุมซ์ด้วยเว้นเสียแต่ว่าได้สะสมเงินไว้เพื่อจัดซื้อของใช้ที่จำเป็นในชีวิตหรือเพื่อสำรองค่าใช้จ่ายจำเป็นในกรณีนี้ถ้าหากเลยรอบปีต้องจ่ายคุมซ์ไปแล้ว (เช่นสองสามเดือนหลังรอบปีคุมซ์) เขาได้ใช้ไปในเรื่องดังกล่าวนั้นไม่ต้องจ่ายคุมซ์
  • มีฮะดีษอยู่บทหนึ่งระบุว่าอัลลอฮ์ทรงยกย่องความบริสุทธิ์ของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ด้วยการไม่ปล่อยให้ลูกหลานของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ตกนรก
    6665 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/19
    ฮะดีษนี้ปรากฏอยู่ในตำราฝ่ายซุนหนี่และชีอะฮ์โดยมีความน่าเชื่อถือสูงเนื่องจากมีหลากสายรายงานแต่คำถามที่มีมาตั้งแต่อดีตก็คือความหมายของลูกหลานในฮะดีษนี้ครอบคลุมเพียงใด? เมื่อพิจารณาเทียบกับฮะดีษอื่นๆก็จะเข้าใจได้ว่าฮะดีษนี้เจาะจงเฉพาะบุตรชั้นแรกของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(อ.)เท่านั้นที่ได้รับความเมตตาให้มีภาวะปลอดบาปอันเป็นการสมนาคุณแด่การสงวนตนของท่านหญิงทว่าลูกหลานชั้นต่อๆไปแม้จะได้รับสิทธิบางอย่างแต่จะไม่ได้รับความปลอดภัยจากการลงทัณฑ์อย่างสมบูรณ์ ...
  • มีฮะดีษระบุว่า การปัสสาวะอย่างไม่ระวังจะทำให้ถูกบีบอัดในมิติแห่งบัรซัค กรุณาอธิบายให้กระจ่างด้วยค่ะ
    6840 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/15
    ในตำราฮะดีษมีบางรายงานระบุว่าท่านนบีเคยกล่าวไว้ว่า “จงระมัดระวังในการชำระปัสสาวะเถิดเพราะการลงโทษส่วนใหญ่ในสุสานเกิดจากการปัสสาวะ”[1] ท่านอิมามศอดิกก็เคยกล่าวว่า “การลงทัณฑ์ในสุสานส่วนใหญ่มีสาเหตุเนื่องมาจากปัสสาวะ”[2]อย่างไรก็ดีต้องชี้แจงเกี่ยวกับปรัชญาของอะห์กามว่าถึงแม้ฮุกุ่มทุกประเภทจะอิงคุณและโทษในฐานะที่เป็นเหตุผลก็ตามแต่เป็นเรื่องยากที่จะสามารถแจกแจงเหตุและผลของฮุก่มแต่ละข้ออย่างละเอียดละออได้ที่สุดแล้วก็ทำได้เพียงแจกแจ้งทีละข้อซึ่งหลักเกณฑ์ที่ว่าสามารถครอบคลุมส่วนใหญ่เท่านั้นมิไช่ทั้งหมดจึงทำให้อาจจะมีข้อยกเว้นบางกรณี[3]ประเด็นการไม่ระมัดระวังนะญิสของปัสสาวะนั้นสติปัญญาของคนเราเข้าใจได้เพียงระดับที่ว่าพฤติกรรมดังกล่าวจะทำลายน้ำนมาซอันเป็นเงื่อนไขของอิบาดะฮ์อย่างเช่นการนมาซ แต่ไม่อาจจะเข้าถึงสัมพันธภาพเชิงเหตุและผลระหว่างการปัสสาวะอย่างไม่ระวังกับการถูกลงโทษในสุสานได้อย่างไรก็ตามสติปัญญายอมรับในภาพรวมว่าการกระทำของมนุษย์จะส่งผลถึงโลกนี้และโลกหน้า[1]บิฮารุลอันว้าร,เล่ม
  • มุคตารคือ ษะกะฟีย์ ซึ่งในหัวใจมีความรักให้ท่านอบูบักร์และอุมมัรเท่านั้น? แล้วทำไมเขาจึงไม่ปกป้องท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ในกัรบะลาอฺ?
    8650 تاريخ بزرگان 2554/12/21
    รายงานเกี่ยวกับมุคตารที่ปรากฏอยู่ในตำราฮะดีซนั้นแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มกล่าวคือรายงานบางกลุ่มกล่าวสรรเสริญเขา
  • การปฏิเสธฮะดีษโดยยึดถือเพียงกุรอานจะทำให้เกิดเอกภาพในหมู่มุสลิมจริงหรือ?
    7809 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/19
    ความเชื่อในการยึดถือเพียงกุรอานและปฏิเสธฮะดีษมีมาตั้งแต่ยุคแรกของอิสลามแหล่งอ้างอิงทั้งฝ่ายซุนหนี่และชีอะฮ์ต่างบันทึกตรงกันว่าช่วงบั้นปลายชีวิตของท่านนบี(ซ.ล.) เมื่อท่านสั่งให้นำปากกาและหมึกมาบันทึกคำสั่งเสียของท่านเพื่อประชาชาติอิสลามจะไม่หลงทางภายหลังจากท่านนั้นเคาะลีฟะฮ์ที่สองอุมัรบินค็อฏฏ้อบกลับคัดค้านคำสั่งดังกล่าวพร้อมกับกล่าวว่า “คัมภีร์ของอัลลอฮ์(กุรอาน)เพียงพอแล้วสำหรับเรา (ไม่จำเป็นต้องใช้ซุนนะฮ์นบี)ไม่มีใครสามารถจะอ้างได้ว่าไม่จำเป็นต้องมีฮะดีษถามว่ารายละเอียดหน้าที่ทางศาสนามีอยู่ในกุรอานอย่างครบถ้วนหรือไม่? ข้อปลีกย่อยของฟัรฎูต่างๆอาทิเช่นนมาซ, ศีลอด, ซะกาต, ฮัจย์ฯลฯมีในกุรอานกระนั้นหรือ?กุรอานกล่าวว่า “สิ่งที่ศาสนทูตนำมาก็จบรับไว้(ปฏิบัติตาม) และสิ่งที่เขาระงับก็จงหลีกเลี่ยงจงยำเกรงต่อพระองค์เพราะพระองค์ทรงมีบทลงโทษอันรุนแรง”[i]แน่นอนว่าคำสั่งและข้อห้ามปรามของท่านนบี(ซ.ล.)ก็คือซุนนะฮ์ของท่านนั่นเองซึ่งเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงบัญชาให้เราปฏิบัติตามอะห์มัดบินฮัมบัลหนึ่งในอิมามทั้งสี่ของพี่น้องซุนหนี่กล่าวไว้ในหนังสือมุสนัดว่าท่านนบี(ซ.ล.)กล่าวว่า “ฉันได้ฝากฝังสองสิ่งเลอค่าซึ่งมีคุณค่าต่างกันไว้ในหมู่พวกท่านนั่นคือคัมภีร์ของอัลลอฮ์อันเปรียบดั่งสายเชือกที่เชื่อมโยงระหว่างฟากฟ้าและปฐพีและวงศ์วานอะฮ์ลุลบัยต์ของฉันสองสิ่งนี้จะไม่พรากจากกันกระทั่งบรรจบกับฉันณบ่อน้ำเกาษัร”จะเห็นได้ว่าในฮะดีษนี้ท่านนบี(ซ.ล.)และอะฮ์ลุลบัยต์(อ.)ได้รับการจัดให้เคียงคู่กุรอานอันหมายความว่าดังที่มุสลิมทุกคนมีหน้าที่ต้องยึดถือกุรอานฉันใดพวกเขาก็จะต้องยึดถืออะฮ์ลุลบัยต์ในภาวะจำเป็นฉันนั้นสองสิ่งนี้จะสมบูรณ์เมื่อเคียงคู่กันการเลือกยึดถืออย่างใดอย่างหนึ่งจะทำให้สิ่งนั้นบกพร่อง[i]อัลฮัชร์,
  • ความสำคัญและความพิเศษ และคำวิจารณ์หนังสือบิฮารุลอันวาร?
    7334 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/12/21
    กลุ่มฮะดีซจากหนังสือบิฮารุลอันวาร,ถือได้ว่าเป็นผลงานที่สำคัญที่สุดของอัลลามะฮฺมัจญิลิซซียฺ, หรืออาจกล่าวได้ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นดาอิเราะตุลมะอาริฟฉบับใหญ่ของชีอะฮฺซึ่งได้รวบรวมเอาปัญหาศาสนาเกือบทั้งหมด,เช่นตัฟซีรกุรอาน, ประวัติศาสตร์, ฟิกฮฺ, เทววิทยา, และปัญหาอื่นๆอีกบางส่วนที่สำคัญที่สุดและเป็นความพิเศษของหนังสือบิฮารุลอันวารคือ:เริ่มต้นบทใหม่ทุกบทจะกล่าวถึงโองการอัลกุรอาน
  • ท่านอิมามอลี(อ.)อธิบายถึงการก้าวสู่ตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ของเคาะลีฟะฮ์สามคนแรกไว้ในคุฏบะฮ์บทใด?
    6474 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/28
    ท่านอิมามอลี(อ.)กล่าวถึงการก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ของเคาะลีฟะฮ์สามคนแรกไว้ในคุฏบะฮ์ที่สามซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักในนาม “คุฏบะฮ์ชิกชิกียะฮ์” จากคำที่ท่านกล่าวตอนท้ายคุฏบะฮ์คุฏบะฮ์นี้มีเนื้อหาครอบคลุมคำตัดพ้อของท่านอิมามอลี(อ.)เกี่ยวกับประเด็นคิลาฟะฮ์และเล่าถึงความอดทนต่อการสูญเสียตำแหน่งดังกล่าวอีกทั้งเหตุการณ์ที่ประชาชนให้สัตยาบันต่อท่านซึ่งจะนำเสนอรายละเอียดในคำตอบแบบสมบูรณ์ ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60047 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57420 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42134 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39207 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38874 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33941 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27957 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27874 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27687 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25708 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...