การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
10520
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/08/14
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1220 รหัสสำเนา 15870
หมวดหมู่ รหัสยทฤษฎี
คำถามอย่างย่อ
จะเชิญชวนชาวคริสเตียนให้รู้จักอิสลามด้วยรหัสยนิยมอิสลาม(อิรฟาน)ได้อย่างไร?
คำถาม
ใช้รหัสยนิยมอิสลาม(อิรฟาน)เป็นสื่อกลางให้ชาวคริสเตียนรู้จักอิสลามได้อย่างไร?
คำตอบโดยสังเขป

คุณสามารถกระทำได้โดยการแนะนำให้รู้จักคุณสมบัติเด่นของอิรฟาน(รหัสยนิยมอิสลาม) และเล่าชีวประวัติของบรรดาอาริฟที่มีชื่อเสียงของอิสลามและสำนักคิดอะฮ์ลุลบัยต์
1). อิรฟานแบ่งออกเป็นสองประเภทด้วยกัน อิรฟานเชิงทฤษฎี และอิรฟานภาคปฏิบัติ เนื้อหาหลักของวิชาอิรฟานเชิงทฤษฎีก็คือ
. แจกแจงเกี่ยวกับแก่นเนื้อหาของเตาฮี้ด(เอกานุภาพของอัลลอฮ์)
. สาธยายคุณลักษณะของมุวะฮ์ฮิด(ผู้ยึดถือเตาฮี้ด)ที่แท้จริง
เตาฮี้ดในแง่อิรฟานหมายถึงการเชื่อว่า นอกเหนือจากพระองค์แล้ว ไม่มีสิ่งใดที่มีอยู่โดยตนเอง ทั้งหมดล้วนเป็นภาพลักษณ์ของอัลลอฮ์ในฐานะทรงเป็นสิ่งมีอยู่เพียงหนึ่งเดียวทั้งสิ้น
กล่าวคือ สัมพันธภาพระหว่างอัลลอฮ์กับสรรพสิ่งที่พระองค์สร้างนั้นเปรียบเสมือนต้นไม้กับเงา เงามีอยู่ได้ก็เพราะมีต้นไม้ ซึ่งจริงๆแล้วเงาเป็นเพียงผลพลอยจากการที่ต้นไม้บังแสงแดดเท่านั้น
ในปริทรรศน์ของอิรฟาน มุวะฮ์ฮิดที่แท้จริงก็คือ มนุษย์ผู้สมบูรณ์ผู้เป็นดั่งภาพลักษณ์ของพระนามและคุณลักษณะทั้งหมดของพระองค์อย่างครบถ้วนบนหน้าแผ่นดิน
ในมุมมองของอิรฟานภาคปฏิบัติ มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่มีสองภาค ภาควิญญาณและภาคสัตว์ การจาริกทางจิตวิญญาณคือวิธีเสริมสร้างภาควิญญาณให้เข้มแข็งเพื่อให้ประสบความผาสุก เพื่อจะเสริมสร้างภาควิญญาณ นักจาริกจะต้องขัดเกลาและบริหารจิตใจตามบทบัญญัติศาสนา กล่าวได้ว่าเนื้อหาทั้งหมดของอิรฟานล้วนสอนให้รู้ถึงแนวทางขัดเกลาและฝึกฝนตนเองตามหลักชะรีอะฮ์ในฐานะที่เป็นวิธีฝึกฝนที่ดีที่สุด ซึ่งจะทำให้มนุษย์ตระหนักถึงการกำกับดูแลของพระองค์เสมอและจะบังเกิดความรักในพระองค์ การตระหนักและการสำรวมตนจะทำให้มนุษย์บรรลุความใกล้ชิดพระองค์ ได้รับฐานะแห่งฟะนาอ์และรื่นรมย์กับความผาสุกอันนิรันดร์ ความผาสุกนี้เองเป็นเป้าหมายที่ศาสนาพร่ำสอนให้เราไขว่คว้ามาให้ได้ อย่างไรก็ดี กระบวนการอิรฟานจำเป็นต้องมีครูผู้นำทาง และบรรดาอิมาม(.)คือผู้นำทางที่แท้จริงในหนทางแห่งอิรฟาน
2). เมื่อพิจารณาคำสอนของอะฮ์ลุลบัยต์จะพบว่า อิรฟานอิสลามนั้นมีคุณสมบัติพิเศษที่สำนักรหัสยะอื่นๆไม่มี อาทิเช่น
1. เคารพบทบัญญัติชะรีอะฮ์
2. ยอมรับหลักญิฮาดและการต่อสู้
3. เสริมปัญญาและความรู้
4. ช่วยเหลือผู้ทุกข์ยาก
5. รักษาเกียรติของตน
6. ประกอบอาชีพ และหลีกเลี่ยงการปลีกตนเช่นนักบวช

3). จากการศึกษาชีวประวัติของอาริฟที่ต่อสู้กับสิ่งชั่วร้ายในสังคมเคียงข้างการบำเพ็ญกุศล ชี้ให้เห็นว่าอิรฟานอิสลามมีศักยภาพพอที่จะบ่มเพาะมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งสามารถนำเสนอความงดงามของอิรฟานสู่สายตาของผู้ประสงค์จะศึกษาได้เป็นอย่างดี

คำตอบเชิงรายละเอียด

คุณสามารถกระทำได้โดยการแนะนำให้รู้จักคุณสมบัติเด่นของอิรฟาน(รหัสยนิยมอิสลาม) และเล่าชีวประวัติของบรรดาอาริฟที่มีชื่อเสียงของอิสลามและสำนักคิดอะฮ์ลุลบัยต์
1) อิรฟานแบ่งออกเป็นสองประเภทด้วยกัน อิรฟานเชิงทฤษฎี และอิรฟานภาคปฏิบัติ เนื้อหาหลักของวิชาอิรฟานเชิงทฤษฎีก็คือ
1.1 แจกแจงเกี่ยวกับแก่นเนื้อหาของเตาฮี้ด(เอกานุภาพของอัลลอฮ์)
1.2 สาธยายคุณลักษณะของมุวะฮ์ฮิด(ผู้ยึดถือเตาฮี้ด)ที่แท้จริง
เตาฮี้ดในแง่อิรฟานหมายถึงการเชื่อว่า นอกเหนือจากพระองค์แล้ว ไม่มีสิ่งใดที่มีอยู่จริง ในมุมมองของอาริฟ ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นภาพลักษณ์ของอัลลอฮ์ทั้งสิ้น ซึ่งดำรงอยู่ได้เพราะความการุณย์ของพระองค์ ด้วยเหตุนี้ เตาฮี้ดในมุมมองของอาริฟจึงลึกซึ้งและมั่นคงมากกว่าเตาฮี้ดในมุมมองนักปรัชญา อาริฟถือว่าอัลลอฮ์คือการมีอยู่ที่แท้จริง สรรพสิ่งอื่นๆเป็นเพียงผลพวงจากพระองค์เท่านั้น อาริฟเชื่อว่าการมีอยู่เป็นสภาวะอันเป็นเอกะ ที่ไม่อาจจะแบ่งเป็นพหุลักษณ์ได้ ไม่ว่าจะเชิงกว้างหรือแนวดิ่ง ส่วนพหุลักษณ์ที่เราเห็นในโลกนั้น เป็นเพียงภาพสะท้อน มิไช่การมีอยู่ที่แท้จริง สัมพันธภาพระหว่างอัลลอฮ์กับสรรพสิ่งที่พระองค์สร้างนั้นเปรียบเสมือนต้นไม้กับเงา หรือระหว่างคนกับภาพของเขาในกระจก
ในปริทรรศน์ของอิรฟาน มุวะฮ์ฮิดที่แท้จริงก็คือ มนุษย์ผู้สมบูรณ์ที่เป็นดั่งภาพลักษณ์ของพระนามและคุณลักษณะทั้งหมดของพระองค์บนหน้าแผ่นดิน รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้หาอ่านได้ในหนังสืออิรฟาน อาทิเช่น ตัมฮีดุลก่อวาอิด ของอิบนิ ตัรกะฮ์ อิศฟะฮานี, ฟุศูศุลฮิกัม ของอิบนิ อะเราะบี รวมทั้งหนังสือที่อรรถาธิบาย, มิศบาฮุ้ลอุนส์ ของอิบนิ ฟะนารี ฯลฯ

ส่วนในมุมมองของอิรฟานภาคปฏิบัติ มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่มีสองภาค ภาคจิตวิญญาณและภาคสัตว์ แต่ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อยู่ที่ภาคจิตวิญญาณเท่านั้น มนุษย์มีศักยภาพสูงพอที่จะบรรลุถึงความสมบูรณ์ ซึ่งต้องเริ่มจากระดับพื้นฐาน ไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงขีดสูงสุดของความสมบูรณ์ ทั้งนี้ก็เพราะภาคจิตวิญญาณแสวงหาโลกุตรธรรม(มะละอุ้ล อะอ์ลา) แต่ภาคสัตว์แสวงหาโลกย์ ฉะนั้น หากมนุษย์เลือกที่จะขัดเกลาจิตใจ และไต่ระดับสู่ความสมบูรณ์ด้วยการฝึกฝนด้วยคำสอนทางอิรฟาน เขาก็จะบรรลุเกียรติภูมิสูงสุด แต่หากเลือกที่จะบำเรอกิเลสและทุ่มเทให้กับภาคสัตว์ของตนเอง ก็จะประสบกับความอัปยศ[1] จึงสรุปได้ว่าจุดประสงค์หลักของวิชาอิรฟานภาคปฏิบัติคือการขัดเกลาและฝึกฝนจิตใจเพื่อฉีกม่านกิเลสที่บดบังใจ อิสลามจึงให้ความความสำคัญต่อการขัดเกลาจิตใจอย่างยิ่ง อิมามศอดิก(.)กล่าวว่าหากท่านมีอายุขัยเหลือเพียงสองวัน จงใช้หนึ่งวันแรกในการขัดเกลาจิตใจ เพื่อจะได้รับประโยชน์ในวันตายของท่าน[2] อันหมายความว่าการขัดเกล่าจิตใจคือหนทางสู่สัจธรรม
อย่างไรก็ดี การฝึกฝนจิตใจตามวิถีอิรฟานอิสลามแตกต่างจากสำนักอื่นๆ สำนักฮินดูและแนวทางของมานีเชื่อว่าการตัดสัมพันธ์และปลีกวิเวกคือหนทางบรรลุความผาสุก แต่อิรฟานของอิสลามถือว่าการปฏิบัติตามหลักชะรีอะฮ์คือวิธีเดียวสำหรับขัดเกลาจิตใจ นอกจากนี้ วิธีฝึกฝนจิตใจที่อิรฟานอิสลามนำเสนอก็ต่างจากแนวการฝึกฝนของนักบวชคริสเตียน เพราะนักบวชปลีกตัวเองจากสังคมและมุ่งฝึกฝนโดยครองโสดตามป่าเขาลำเนาไพร และหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่เหมาะสม ซึ่งกุรอานถือว่าวิธีเหล่านี้เป็นอุตริกรรมที่เกิดขึ้นในศาสนาคริสต์ แต่อิรฟานอิสลามถือว่าแนวการฝึกฝนที่ดีที่สุดคือการปฏิบัติตามสิ่งอนุมัติและงดเว้นสิ่งอันเป็นฮะรอมทางชะรีอะฮ์ และปฏิบัติตามแนวคำสอนของอะฮ์ลุลบัยต์อย่างเคร่งครัด[3] ดังที่บิดาแห่งอิรฟานอิสลาม อิมามอลี(.)ได้กล่าวว่าالشریعة ریاضة النفس”(ชะรีอัตจะช่วยฝึกฝนจิตใจ) [4] ซึ่งเป็นที่ยอมรับของเหล่าครูบาอาจารย์ด้านอิรฟานทุกคน อิบนิ ซีนา เชื่อว่าอิบาดะฮ์คือวิธีฝึกฝนจิตใจอิบาดะฮ์จะช่วยกำราบจิตใจให้อ่อนน้อม เพื่อจะไม่รบกวนเราและส่งเสริมเราขณะกำลังมีสมาธิต่ออัลลอฮ์[5]

และเนื่องจากอิรฟานอิสลามได้รับอิทธิพลจากกุรอานและฮะดีษจากอะฮ์ลุลบัยต์ จึงไม่จำแนกระหว่างชะรีอัต เฏาะรีกัต และฮะกีกัต ชะรีอัตก็คือประมวลบทบัญญัติศาสนาที่บรรดาผู้รู้นำเสนอจากกุรอานและฮะดีษ บรรดาอาริฟเชื่อว่ากฏชะรีอัตตั้งอยู่บนพื้นฐานของคุณประโยชน์ที่แท้จริง และหากปฏิบัติอย่างเคร่งครัดก็จะนำพามนุษย์สู่ความผาสุก ชะรีอัตจึงกลายเป็นเงื่อนไขหลักของอิรฟาน ดังที่อาริฟอย่างมุฮ์ยิดดีน อะเราะบี ถือว่าเงื่อนไขของกิจกรรมอิรฟานคือจะต้องไม่ขัดต่อบทบัญญัติชะรีอัต[6] ญุนัยด์ บัฆดาดี กล่าวว่าทุกแนวทางจะพบทางตันนอกจากแนวทางของท่านนบี(..)และบรรดาอิมาม(.) และแม้ว่าผู้ใดบรรลุขั้นฟะนาอ์แล้วก็ตาม เขายังมีหน้าที่ทางศาสนาเช่นเดิม[7] อัลลามะฮ์ ฏอบาฏอบาอี ผู้เป็นเอกอุแห่งอิรฟานกล่าวว่าข้อบังคับและข้อห้ามทางชะรีอัตถือเป็นหน้าที่ของ(อาริฟ)ทุกระดับขั้น และยิ่งมีสถานะใกล้ชิดพระองค์มากเท่าใด ภาระหน้าที่ทางศาสนาก็ยิ่งหนักขึ้น ไม่มีสถานะใดที่คนเราหลุดพ้นจากหน้าที่ทางศาสนา[8]

เฏาะรีกัตอันเป็นเนื้อในของชะรีอัตนั้น กล่าวถึงสภาวะต่างๆที่นักจาริกอิรฟานจะได้ประสบ ซึ่งสภาวะแห่งฟะนาอ์ฟิลฮักก์”(สลายอัตตาเพื่อประจักษ์เพียงพระองค์)ถือเป็นสภาวะสูงสุดในเฏาะรีกัต[9]
ผลก็คือนักจาริกอิรฟานจะได้เดินทางสู่ความสมบูรณ์ด้วยความรักอันบริสุทธิ์ที่มีต่อพระองค์และการสังวรณ์ว่าอยู่ในขอบเขตอำนาจของพระองค์ เขามุ่งหน้าสู่พระผู้อภิบาลด้วยพาหนะแห่งอิคล้าศ ความอ่อนน้อม ความสมถะ ความระอาต่อโลกียะ รักษาความสะอาดทางร่างกายและจิตใจ หมั่นตะฮัจญุด และเชื่อฟังวิลายะฮ์(ของอะฮ์ลุลบัยต์) อิรฟานอิสลามคือการรู้แจ้งเห็นจริงที่จะปลุกมนุษย์ให้ตื่นจากภวังค์แห่งโลกีย์ เพื่อก้าวสู่ความสว่างไสวและความไพบูลย์ อาริฟคือผู้ที่ไขว่คว้าความผาสุกในอาคิเราะฮ์ ขณะเดียวกันก็หาเลี้ยงชีพและช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ดังที่ประมุขแห่งนักจาริกอิรฟาน อิมามอลี(.) ควบรวมศักยภาพและความดีงามทุกด้านไว้อย่างลงตัว ท่านโอดครวญวิงวอนต่ออัลลอฮ์ในยามค่ำคืน ดังที่ท่านนบี(..)กล่าวว่าเขา(อลี)หลงใหลในพระองค์อย่างดื่มด่ำในขณะเดียวกัน ท่านก็มิได้ปลีกตนเองจากผู้คนและกิจกรรมทางสังคม ท่านร้อนรุ่มใจทุกครั้งเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กกำพร้า ท่านแบกอาหารแจกจ่ายผู้ยากไร้เป็นประจำ และเคร่งครัดในการใช้จ่ายเงินในคลังเป็นอย่างยิ่ง[10]

2) ดังที่ทราบแล้วว่าอิรฟานถือกำเนิดจากคำสอนของอะฮ์ลุลบัยต์ โดยมีคุณลักษณะเด่นที่ไม่สามารถพบได้ในสำนักจาริกอื่นๆ ซึ่งแม้กระทั่งในแวดวงมุสลิมเอง หากนักจาริกคนใดหันห่างจากคำสอนของอะฮ์ลุลบัยต์เท่าใด ก็จะห่างไกลจากอิรฟานที่แท้จริงของอิสลามเท่านั้น
คุณสมบัติต่อไปนี้ถือได้ว่าเป็นดัชนีชี้วัดที่สำคัญของอิรฟานอันได้มาจากคำสอนอิสลาม[11] ซึ่งนักจาริกอิรฟานจะต้องมีอย่างครบถ้วน (โดยหากต่างศาสนิกได้พิจารณาถึงดัชนีเหล่านี้ อาจปรารถนาจะรู้จักอิสลามมากยิ่งขึ้น)
2.1 เคารพบทบัญญัติชะรีอะฮ์(อธิบายไปแล้ว)
2.2 ยอมรับหลักญิฮาดและการต่อสู้
อิสลามเป็นศาสนาที่ให้ความสำคัญต่อทุกแง่มุมชีวิตมนุษย์ และประสงค์จะให้ทุกศักยภาพมีพัฒนาการที่สอดรับกัน ธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์มีทั้งมิติแห่งการต่อสู้และมิติแห่งอิรฟาน หากผู้ใดเก่งกล้าในสมรภูมิเพียงอย่างเดียวหรือมุ่งแต่จะทำอิบาดะฮ์อย่างเดียว แสดงว่าจิตใจของเขาได้รับการดูแลอย่างไม่ทั่วถึง
อิมามอลี(.)กล่าวถึงคุณค่าของการญิฮาดว่าญิฮาดคือประตูสวรรค์บานหนึ่ง ซึ่งอัลลอฮ์จะทรงเปิดแก่เอาลิยาอ์ของพระองค์เท่านั้น... และผู้ใดที่เพิกเฉยละเลยการญิฮาด อัลลอฮ์จะทรงคลุมเขาด้วยอาภรณ์แห่งความอัปยศ... และเขาจะรู้สึกด้อยค่าปัญญาทึบ อีกทั้งจะไม่กล้าปกป้องสิทธิ์ของตนเองในสังคม และจะไม่ได้รับความเป็นธรรมใดๆ[12]

2.3 เสริมปัญญาและความรู้
การขวนขวายศึกษาและเพิ่มพูนปัญญา ถือเป็นดัชนีชี้วัดที่สำคัญอีกประการหนึ่งของอิรฟาน กุรอานกล่าวว่าผู้รู้กับผู้ไม่รู้จะเท่าเทียมกันหรือ?”[13]
ท่านนบี(..)กล่าวว่าผู้ที่มีความรู้มากกว่า ย่อมมีคุณค่าเหนือผู้อื่น[14]
2.4 ทำงานหาเลี้ยงชีพและหลีกเลี่ยงการปลีกตนเช่นนักบวช
ท่านนบี(..)กล่าวว่าในวันกิยามะฮ์ ผู้ที่หาเลี้ยงชีพตนเองจะผ่านสะพานศิรอฏเร็วปานสายฟ้า[15]
2.5 รักษาเกียรติภูมิของตน
กุรอานกล่าวว่าเกียรติภูมิเป็นกรรมสิทธิของอัลลอฮ์ และร่อซู้ล และผู้ศรัทธา[16]
2.6 ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก
บะลาซุรีและอะห์มัด บิน ฮัมบัลรายงานว่าท่านอลี(.)เคยมีผลิตผลทางเกษตรถึงสี่หมื่นดีน้าร แต่ท่านก็บริจาคจนหมด แล้วจึงขายดาบเพื่อซื้ออาหารประทังชีวิตท่านกล่าวว่าหากในบ้านยังมีอาหารเหลืออยู่ ฉันจะไม่ขายดาบอย่างแน่นอน[17]

3) ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า กุรอานคือขุมพลังของอิรฟาน ท่านนบี(..)และบรรดาอิมาม(.)คือผู้อรรถาธิบายกุรอานและเป็นผู้บรรลุด้านอิรฟานอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้ ครูบาอาจารย์ที่แท้จริงในเส้นทางสู่ความไพบูลย์แห่งอิรฟานก็คือท่านนบี(..)และบรรดาอิมาม(.)
จากการศึกษาชีวประวัติของอาริฟที่ต่อสู้กับสิ่งชั่วร้ายในสังคมเคียงข้างการบำเพ็ญกุศล ชี้ให้เห็นว่าอิรฟานอิสลามมีศักยภาพพอที่จะบ่มเพาะมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งสามารถนำเสนอความงดงามของอิรฟานสู่สายตาของผู้ประสงค์จะศึกษาอิสลามได้เป็นอย่างดี



[1] อิรฟานและตะศ็อววุฟ,มุฮัมมัดริฎอ กาชิฟี,หน้า 72 และ มารยาทการจาริกทางจิต,ฮะบีบุ้ลลอฮ์ ฏอฮิรี,หน้า 6

[2] ร็อวเฎาะตุ้ลกาฟี,หน้า 150 (ان اجلت فی عمرک یومین فاجعل، احدهما لأدبک تستعین به علی یوم موتک)

[3] มารยาทการจาริกทางจิต,ฮะบีบุ้ลลอฮ์ ฏอฮิรี,หมวดอุตริกรรมในศาสนาคริสต์ ซูเราะฮ์อัลฮะดีด,27

[4] มีซานุ้ลฮิกมะฮ์,เล่ม 4,หน้า 207

[5] อิชาร็อตวะตัมบีฮ้าต,นิมฏ์ที่ 9,บทที่ 3

[6] ร่อซาอิ้ล,อิบนิ อะเราะบี,หน้า 233

[7] อิรฟานภาคทฤษฎี,ยะฮ์ยา ยัษริบี,หน้า 373

[8] สาส์นวิลายัต,หน้า 46

[9] ความเร้นลับของเตาฮี้ดในมะกอมต่างๆ,เชคอบูสะอี้ด,หน้า 352

[10] อิมามอลี(.)คันฉ่องส่องอิรฟาน,นาซิมซอเดะฮ์ กุมี

[11] ดู: อิมามอลี(.)ภาพลักษณ์อิรฟานภาคทฤษฎี,หน้า 91-150

[12] นะฮ์ญุ้ลบะลาเฆาะฮ์,คุฏบะฮ์ที่ 27

[13] ซูเราะฮ์อัซซุมัร,9

[14] อะมาลี,เชคศ่อดู้ก,มัจลิสที่ 6,ฮะดีษที่ 4

[15] บิฮารุ้ลอันว้าร,เล่ม 103,หน้า 9

[16] ซูเราะฮ์อัลมุนาฟิกูน,8

[17] มะนากิ้บ อิบนิ ชะฮ์รอชูบ,เล่ม 2,หน้า 72

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • อิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ท่านใดที่อ่านดุอาอฺฟะรัจญฺ?
    9016 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/05/20
    คำว่า “ฟะรัจญฺ” (อ่านโดยให้ฟาเป็นฟัตตะฮฺ) ตามรากศัพท์หมายถึง »การหลุดพ้นจากความทุกข์โศกและความหม่นหมอง«[1] ตำราฮะดีซจำนวนมากที่กล่าวถึงดุอาอฺ และการกระทำสำหรับการ ฟะรัจญฺ และการขยายภารกิจให้กว้างออกไป ตามความหมายในเชิงภาษาตามกล่าวมา ในที่นี้ จะขอกล่าวสักสามตัวอย่างจากดุอาอฺนามว่า ดุอาอฺฟะรัจญฺ หรือนมาซซึ่งมีนามว่า นมาซฟะรัจญฺ เพื่อเป็นตัวอย่างดังต่อไปนี้ : หนึ่ง. ดุอาอฺกล่าวโดย ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ชื่อว่าดุอาอฺ ฟะรัจญฺ [2]«اللَّهُمَّ إِنِّي أَسْأَلُكَ يَا اللَّهُ ...
  • มุสลิมะฮ์ท่านใดที่พูดคุยด้วยโองการกุรอานนานหลายปี?
    7062 تاريخ بزرگان 2554/06/11
    มุสลิมะฮ์ท่านนี้ก็คือฟิฎเฎาะฮ์ทาสีของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ซึ่งตำราชั้นนำต่างระบุว่านางพูดคุยด้วยโองการกุรอานนานหลายปี. ...
  • ขณะวุฎูอฺ แต่ไม่ได้อยู่ในสภาพที่จำเป็น, โดยมีบุคคลอื่นราดน้ำลงบนมือและแขนให้เรา ถือว่ามีปัญหาทางชัรอียฺหรือไม่?
    6222 สิทธิและกฎหมาย 2555/05/17
    วุฎูอฺ มีเงื่อนไขเฉพาะตัว ดังนั้น การไม่ใส่ใจต่อเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่ง เป็นสาเหตุให้วุฎูอฺบาฏิล หนึ่งในเงื่อนไขของวุฎูอฺคือ การล้างหน้า มือทั้งสองข้าง การเช็ดศีรษะ และหลังเท้าทั้งสองข้าง ผู้วุฎูอฺ ต้องทำด้วยตัวเอง ถ้าหากมีบุคคลอื่น วุฎูอฺ ให้แก่เขา, หรือช่วยเขาราดน้ำที่ใบหน้า มือทั้งสองข้างแก่เขา หรือช่วยเช็ดศีรษะและหลังเท้าทั้งสองแก่เขา วุฎูอฺ บาฏิล[1] มีคำกล่าวว่า บรรดานักปราชญ์แสดงความเห็นเกี่ยวกับเงื่อนไขนี้ ต่างกัน : 1.บางท่านแสดงทัศนะว่า : บุคคลต้อง วุฏูอฺ ด้วยตัวเอง ถ้าหากมีบุคคลอื่นช่วยเขาวุฎูอฺ ในลักษณะที่ว่าถ้าคนอื่นเห็นจะไม่พูดว่า บุคคลดังกล่าวกำลังวุฎูอฺ ถือว่าวุฏูอฺ บาฏิล
  • เพราะเหตุใดจึงต้องคลุมฮิญาบ และทำไมอิสลามจำกัดสิทธิสตรี?
    14991 ปรัชญาของศาสนา 2554/06/21
    สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีมีความคล้ายคลึงกันในแง่ของการที่มีต้นกำเนิดเดียวกันและการที่ควรได้รับความเสมอภาคทางสังคมอาทิเช่นการศึกษา, การแสดงความเห็น...ฯลฯอย่างไรก็ดีในแง่สรีระและอารมณ์กลับมีข้อแตกต่างหลายประการข้อแตกต่างเหล่านี้เองที่ส่งผลให้เกิดบทบัญญัติพิเศษอย่างเช่นการสวมฮิญาบในสังคมทั้งนี้ก็เนื่องจากสุภาพสตรีมีความโดดเด่นในแง่ความวิจิตรสวยงามแต่สุภาพบุรุษมีความโดดเด่นในแง่ผู้แสวงหาด้วยเหตุนี้จึงมีการเน้นย้ำให้สุภาพสตรีสงวนตนในที่สาธารณะมากกว่าสุภาพบุรุษทั้งนี้และทั้งนั้นหาได้หมายความว่าจะมีข้อจำกัดด้านการแต่งกายเพียงสุภาพสตรีโดยที่สุภาพบุรุษไม่ต้องระมัดระวังใดๆไม่. ...
  • เนื่องจากชาวสวรรค์ล้วนอยู่ในวัยหนุ่มสาว เหตุใดท่านอิมามฮะซันและอิมามฮุเซน(อ.)จึงได้เป็นประมุขทั้งที่ยังมีบรรดานบีและบรรดาอิมามท่านอื่นๆอยู่?
    8715 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/01
    ท่านอิมามฮะซันและอิมามฮุเซน(อ.) ผู้เป็นหลานรักของท่านนบี(ซ.ล.)นั้นมีสถานะภาพสูงกว่าชาวสวรรค์ทั่วไปอย่างไรก็ดีเนื่องจากชาวสวรรค์ทุกท่านล้วนอยู่ในวัยหนุ่มสาวบารมีดังกล่าวจึงเจาะจงชาวสวรรค์ที่เป็นชะฮีดหรือเสียชีวิตในวัยหนุ่มสาวเป็นพิเศษซึ่งแน่นอนว่าย่อมไม่ขัดกับบารมีของบรรดานบีและบรรดาเอาลิยาอ์ของอัลลอฮ์ท่านอื่นๆอย่างแน่นอนอนึ่งเมื่อพิจารณาเบาะแสต่างๆจะพบว่าฮะดีษดังกล่าวสื่อถึงความเป็นประมุขที่มีต่อชาวสวรรค์ทั่วไปมิได้เป็นประมุขของอิมามท่านอื่นๆหรือบรรดานบี ...
  • การส่งยิ้มเมื่อเวลาพูดกับนามะฮฺรัม มีกฎเป็นอย่างไร?
    5874 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/21
    การส่งยิ้มและล้อเล่นกับนามะฮฺรัมถ้าหากมีเจตนาเพื่อเพลิดเพลินไปสู่การมีเพศสัมพันธ์หรือเกรงว่าจะเกิดข้อครหานินทาหรือเกรงว่าจะนำไปสู่ความผิดแล้วละก็ถือว่าไม่อนุญาต
  • การทำหมันแมวเพื่อป้องกันมิให้จรจัด แต่ก็มีผลกระทบไม่ดีด้านความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ฮุกุ่มเป็นอย่างไรบ้าง?
    8377 สิทธิและกฎหมาย 2555/01/23
    สำนักฯพณฯท่านผู้นำอายะตุลลอฮฺอัลอุซมาคอเมเนอี (ขออัลลอฮฺทรงคุ้มครองท่าน):
  • การที่ฝ่ายชีอะฮฺกล่าวว่า เซาะฮาบะฮฺของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) เป็นมุรตัด หรือพวกเขาได้กลับสภาพเดิมหลังจากศาสดาได้จากไปหมายความว่าอะไร? คำกล่าวอ้างเช่นนี้ยอมรับได้หรือไม่?
    9327 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/09/08
    เหตุการณ์การบิดเบือน, โดยหลักการถือว่าเป็น บิดอะฮฺหรือเอรติดอด ซึ่งในหมู่สหายของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) หลังจากที่ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้จากไป หนึ่ง, จากแหล่งอ้างอิงแน่นอนของอิสลาม ซึ่งจัดอยู่ในลำดับต้นๆ ของอิสลามนั้นเป็นเหตุผลที่ยืนยันว่า เหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความจริงอันไม่อาจปฏิเสธได้ ซึ่งมิได้มีกล่าวไว้แค่ตำราของฝ่ายชีอะฮฺเท่านั้น รายงานประเภท มุตะวาติร จำนวนมากมายที่กล่าวว่า พวกเขาได้ละทิ้งท่านศาสดา (ซ็อลฯ) มีกล่าวไว้มากมายในหนังสือ ซิฮะฮฺ ทั้ง 6 เล่มของฝ่ายซุนนียฺ และตำราที่เชื่อถือได้เล่มอื่นของพวกเขา โดยมีการกล่าวอ้างสายรายงานที่แตกต่างกัน อีกนัยหนึ่ง มีคำกล่าวยืนยันที่สมควรพิจารณาเป็นอย่างยิ่งที่ว่า หลังจากท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้จากไป มีเหล่าสหายจำนวนไม่น้อยได้ละเลยต่อแบบอย่าง และซุนนะฮฺของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) โดยหันไปสู่ศาสนาดั้งเดิมของต้นเอง และเนื่องด้วยการบิดเบือนดังกล่าวของพวกเขานั้นเอง ได้กลายเป็นสาเหตุสำคัญ ทำให้พวกเขาถูกกีดกันมิให้ดื่มน้ำจากสระน้ำเกาษัร และอีกถูกขับไล่ออกจากสระน้ำดังกล่าวอีกด้วย บรรดามะลาอิกะฮฺแห่งการลงโทษจะลากพวกเขาไปยังขุมนรกของการลงโทษ สอง, เอรติดาด ได้ถูกกล่าวถึงในรายงานลักษณะอย่างนี้ ...
  • เข้ากันได้อย่างไร ระหว่างความดีและชั่ว กับความเป็นเอกะและความเมตตาของพระเจ้า?
    7073 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/04/07
    1. โลกใบนี้ได้ถูกสร้างขึ้นมาในลักษณะที่ว่า สรรพสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ไม่อาจอยู่เป็นเอกเทศหรืออยู่ตามลำพังได้, องค์ประกอบและสัดส่วนต่างๆ บนโลกนี้ ถ้าหากพิจารณาให้รอบคอบจะพบว่าทุกสรรพสิ่ง เปรียบเสมือนโซ่ที่ร้อยเรียงติดเป็นเส้นเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดเหล่านั้นรวมเรียกว่า ระบบการสร้างสรรค์อันสวยงาม, ด้วยเหตุนี้ ไม่สามารถกล่าวได้ว่าในโลกนี้มีพระเจ้า 2 องค์ เช่น พูดว่าน้ำและน้ำฝนมีพระเจ้าองค์หนึ่ง น้ำท่วมและแผ่นดินไหวมีพระเจ้าอีกองค์หนึ่ง, แน่นอน ถ้าหากน้ำท่วมและแผ่นดินไหวมาจากระบบหนึ่ง และน้ำฝน แสงแดด การโคจร และ ...ได้ตามอีกระบบหนึ่ง เท่ากับว่าโลกใบนี้มี 2 ระบบ เวลานั้นเราจึงสามารถกล่าวได้เช่นนี้ว่า โลกมีพระเจ้า 2 องค์ ด้วยเหตุนี้ เนื่องจากความจำกัดของโลกมีเพียงแค่ระบบเดียวที่เข้ากันและมีความสวยงาม ซึ่งทั้งหมดสามารถเจริญเติบโตไปสู่ความสมบูรณ์ของตนได้อย่างเสรี สรุปแล้วโลกใบนี้ต้องมีพระเจ้าองค์เดียว ผู้ทรงเมตตาปรานียิ่ง 2.ความเมตตาปรานีของพระเจ้า วางอยู่บนพื้นฐานแห่งวิทยปัญญาของพระองค์ ซึ่งสิ่งนี้ได้กำหนดว่ามนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหลายต่างได้รับการชี้นำทางไปสู่การพัฒนา และความสมบูรณ์แต่ก็มิได้หมายความว่าจะเป็นไปได้ทุกหนทางในการบริการ หรือทุกหนทางที่จะก้าวเดินไป ทว่าการไปถึงยังความสมบูรณ์นั้นได้เป็นตัวกำหนดว่า มนุษย์ต้องผ่านหนทางที่ยากลำบากไปให้ได้ เขาต้องเผชิญกับความยากลำบาก และการต่อสู้ในชีวิตเพื่อก้าวไปสู่ความสมบูรณ์ อีกนัยหนึ่งศักยภาพต่างๆ ...
  • ผมได้หมั้นหมายกับคู่หมั้นมานานเกือบ 10 ปี แล้วเราสามารถอ่านอักด์ชัรอียฺก่อนแต่งงานตามกฎหมายได้หรือไม่?
    6273 สิทธิและกฎหมาย 2555/04/07
    คำตอบจากบรรดามัรญิอฺตักลีดเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว ตามที่มีผู้ถามมา[1] ฯพณฯท่านอายะตุลลอฮฺ .. : 1. ฯพณฯ ท่านอายะตุลลอฮฺ คอเมเนอี : ด้วยการใส่ใจและตรวจสอบเงื่อนไขทางชัรอียฺแล้ว, โดยตัวของมันไม่มีปัญหาแต่อย่างใด 2.ฯพณฯ ท่านอายะตุลลอฮฺ ซิตตานียฺ : การอ่านอักด์นิกาห์กับหญิงสาวบริสุทธิ์ต้องขออนุญาตบิดาของเธอก่อน 3.ฯพณฯ ท่านอายะตุลลอฮฺ ซอฟฟี ฆุลภัยฆอนียฺ : การแต่งงานของชายผู้ศรัทธากับหญิงผู้ศรัทธา มีเงื่อนไขหลักหลายประการ (เช่น การได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองของฝ่ายหญิงเป็นต้น) โดยตัวของมันแล้วไม่มีปัญหา แต่ถ้มีปัญหาอื่นจงเขียนคำถามมาให้ชัดเจน เพื่อจะได้ตอบไปตามความเหมาะสม 4.ฯพณฯ ท่านอายะตุลลอฮฺ มะการิม ชีรอซียฺ : ตามตัวบทกฎหมายของรัฐอิสลาม, การแต่งงานลักษณะนี้ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60080 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57470 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42162 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39260 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38906 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33967 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27980 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27902 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27728 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25741 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...