การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
10735
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2555/04/24
คำถามอย่างย่อ
ชีอะฮ์และมุอ์ตะซิละฮ์มีทัศนคติเกี่ยวกับความยุติธรรมแตกต่างกันอย่างไร?
คำถาม
ชีอะฮ์และมุอ์ตะซิละฮ์มีทัศนคติเกี่ยวกับความยุติธรรมแตกต่างกันอย่างไร?
คำตอบโดยสังเขป

ทั้งสองสำนักคิดนี้ต่างก็ถือว่าความยุติธรรมของอัลลอฮ์คือหนึ่งในหลักศรัทธาของตน ทั้งสองเชื่อว่าความดีและความชั่วพิสูจน์ได้ด้วยสติปัญญา กล่าวคือสติปัญญาสามารถจะพิสูจน์ความผิดชอบชั่วดีในหลายๆประเด็นได้แม้ไม่ได้รับแจ้งจากชะรีอัตศาสนา ความอยุติธรรมก็เป็นหัวข้อหนึ่งที่สติปัญญาของมนุษย์ทุกคนพิสูจน์ได้ว่าเป็นความชั่ว ด้วยเหตุนี้ อัลลอฮ์จึงไม่ทรงลดพระองค์มาแปดเปื้อนกับความชั่วดังกล่าว แต่ทรงเป็นผู้ไว้ซึ่งความเที่ยงธรรมอย่างไม่ต้องสงสัย
ข้อแตกต่างระหว่างสองสำนักคิดข้างต้นก็คือ เมื่อเผชิญข้อโต้แย้งที่ว่า “หากทุกการกระทำของมนุษย์มาจากพระองค์จริง แสดงว่าการให้รางวัลและการลงโทษมนุษย์ย่อมไม่มีความหมาย” มุอ์ตะซิละฮ์ชี้แจงด้วยการปฏิเสธเตาฮี้ด อัฟอาลี (เอกานุภาพเชิงกรณียกิจ) แต่ชีอะฮ์ปฏิเสธทางออกดังกล่าวที่ถือว่ามนุษย์ไม่ต้องพึ่งพาอัลลอฮ์ในการกระทำ โดยเชื่อว่าการกระทำของมนุษย์เชื่อมต่อกับการกระทำของอัลลอฮ์ในเชิงลูกโซ่ มิได้อยู่ในระนาบเดียวกัน จึงทำให้ตอบข้อโต้แย้งข้างต้นได้โดยที่ยังเชื่อในความยุติธรรมของพระองค์ดังเดิม

คำตอบเชิงรายละเอียด

แม้ทั้งสองสำนักคิดนี้จะศรัทธาในอัดล์ (หลักความยุติธรรมของอัลลอฮ์) แต่ข้อแตกต่างสำคัญระหว่างชีอะฮ์และมุอ์ตะซิละฮ์ในเรื่องนี้ก็คือ มุอ์ตะซิละฮ์พิสูจน์อัดล์ด้วยการปฏิเสธเตาฮี้ด อัฟอาลี(เอกานุภาพด้านกรณียกิจ)  ซึ่งเป็นหลักที่ถือว่าการกระทำทุกอย่างไม่ว่าจะดีหรือชั่วล้วนมาจากพระองค์ ไม่มีผู้กระทำอื่นใดนอกจากพระองค์ ซึ่งก็หมายความว่าตราบใดที่พระองค์ไม่ทรงลิขิต ก็จะไม่มีเหตุการณ์ใดๆเกิดขึ้นเลย[1] เสมือนว่ากลุ่มมุอ์ตะซิละฮ์หวั่นเกรงว่า ถ้าหากยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ลิขิตทุกความดีความชั่ว จะทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนได้ว่า การตอบแทนในสวรรค์และการลงทัณฑ์ในนรกล้วนขัดต่อความยุติธรรมของพระองค์ ทำให้กลุ่มนี้ปฏิเสธเตาฮี้ดอัฟอาลี และถือว่าการกระทำของแต่ละคนล้วนเกิดขึ้นโดยมนุษย์ผู้กระทำเท่านั้น หาได้ครอบคลุมถึงอัลลอฮ์ไม่ ทั้งนี้ก็เพื่อให้การตอบแทนและลงทัณฑ์มนุษย์สอดคล้องกับหลักความยุติธรรมของพระองค์

ส่วนชีอะฮ์เชื่อว่า การยอมรับเตาฮี้ดอัฟอาลีมิได้ขัดต่ออำนาจการตัดสินใจของมนุษย์ เพราะการตัดสินใจของมนุษย์อยู่ภายใต้การตัดสินใจของอัลลอฮ์ ซึ่งแม้ว่ามนุษย์จะไม่อาจกระทำการใดๆได้เลยหากพระองค์ไม่ทรงประสงค์ แต่ก็สามารถชี้แจงได้ว่า พระองค์เลือกที่จะให้อิสระแก่มนุษย์ในระดับหนึ่งภายใต้พลานุภาพอันกว้างขวางของพระองค์ ทำให้สามารถชมเชยหรือตำหนิการกระทำมนุษย์ได้
และเพื่อเสริมความเข้าใจ เราขอนำเสนอเนื้อหาจากบทความชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับประเด็นนี้

สถานภาพของประเด็นความยุติธรรมในความเชื่อของกลุ่มมุอ์ตะซิละฮ์
กลุ่มมุอ์ตะซิละฮ์เชื่อว่าการกระทำบางอย่างถือเป็นความยุติธรรมโดยตรง และบางอย่างถือเป็นการกดขี่ ตัวอย่างเช่น การที่พระองค์ให้รางวัลแก่ผู้บำเพ็ญความดีหรือการลงโทษผู้กระทำผิดนั้น ในความเป็นจริงแล้วก็ถือเป็นความยุติธรรม ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่พระองค์จะปฏิบัติสวนทางกับแนวดังกล่าว เนื่องจากทรงเป็นผู้เที่ยงธรรมและไม่เคยกดขี่ผู้ใด ทั้งนี้เพราะการกดขี่ถือเป็นเรื่องน่ารังเกียจสำหรับพระองค์

กลุ่มนี้เชื่อว่าความดีความชั่วจำแนกเป็นเอกเทศและตั้งอยู่บนฐานแห่งสติปัญญา
ท่านชะฮีดมุเฏาะฮะรีกล่าวไว้ว่า “พวกเขาเชื่อว่าความดีความชั่วที่โดยปกติมักใช้เป็นมาตรวัดพฤติกรรมมนุษย์นั้น สามารถนำมาใช้เป็นมาตรฐานของกิจของอัลลอฮ์ได้ด้วย พวกเขาเชื่อว่าความยุติธรรมโดยตัวของมันแล้วถือเป็นสิ่งดี ส่วนการกดขี่ โดยตัวของมันเองเป็นสิ่งน่ารังเกียจ ฉะนั้น อัลลอฮ์ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดปัญญาอันเยี่ยมยอด ย่อมไม่ทรงละทิ้งสิ่งที่สติปัญญาตัดสินว่าเป็นเรื่องดี และทรงไม่เกลือกกลั้วกับสิ่งที่สติปัญญาตัดสินว่าน่ารังเกียจ”

มุอ์ตะซิละฮ์เชื่อว่าสติปัญญามนุษย์สามารถจำแนกผิดชอบชั่วดีได้อย่างอิสระ โดยสามารถรับรู้ความดีงามของถูกต้อง ความซื่อสัตย์ ความยำเกรง ความรักนวลสงวนตัว ฯลฯ และรับรู้ความน่ารังเกียจของการโกหก การทรยศ การหลงกิเลส ฯลฯ ได้โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยการบอกเล่าของศาสนา ด้วยเหตุนี้จึงเชื่อกันว่าการกระทำต่างๆมีความผิดชอบชั่วดีอยู่ในตัวก่อนที่พระองค์จะแจ้งเสียอีก ความเชื่อเช่นนี้ย่อมจะส่งผลต่อความเชื่อในเรื่องอื่นๆ อาทิความเชื่อเกี่ยวกับอัลลอฮ์ และความเชื่อที่เกี่ยวกับมนุษย์ อย่างเช่นปริศนาที่ว่า “พระองค์ทรงมีเป้าหมายในการสร้างสรรพสิ่งต่างๆหรือไม่?”

อนึ่ง กลุ่มมุอ์ตะซิละฮ์เลือกที่จะปฏิเสธความเชื่อในเรื่องเตาฮี้ดอัฟอาลีเนื่องจากพวกเขาเชื่อในหลักอัดล์ โดยเชื่อว่าผลพวงของการยอมรับเตาฮี้ดอัฟอาลีก็คือการยอมรับว่าอัลลอฮ์เป็นผู้สร้างการกระทำของมนุษย์ โดยที่มนุษย์ไม่มีบทบาทใดๆต่อการกระทำของตัวเอง และว่าการเชื่อเช่นนี้ขัดต่อหลักอัดล์ของพระองค์ มุมมองของกลุ่มนี้ตรงข้ามกับมุมมองของกลุ่มอะชาอิเราะฮ์ที่ปฏิเสธอิสรภาพของมนุษย์ต่อพฤติกรรมของตนเอง

เหตุผลเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของหลักอัดล์ในมุมมองของมุอ์ตะซิละฮ์ ทำให้ทราบว่าเหตุใดพวกเขาจึงให้ความสำคัญต่ออัดล์ในฐานะที่เป็นหลักศรัทธาเสมือนชีอะฮ์ โดยจัดให้เป็นหลักศรัทธาข้อที่สองจากหลักศรัทธาห้าประการ

จึงเข้าใจได้ว่ากลุ่มมุอ์ตะซิละฮ์ยอมเสียความเชื่อเกี่ยวกับเตาฮี้ดอัฟอาลีไปเพื่อรักษาหลักแห่งอัดล์ ในขณะที่อะชาอิเราะฮ์ยอมเสียอัดล์ไปเพื่อคงไว้ซึ่งเตาฮี้ดอัฟอาลี ทว่าในความเป็นจริงแล้ว มุอ์ตะซิละฮ์เองก็ไม่สามารถแจกแจงหลักแห่งอัดล์ได้อย่างถูกต้อง และอะชาอิเราะฮ์เองก็ยังเข้าไม่ถึงแก่นแห่งเตาฮี้ดอัฟอาลี สรุปได้ว่าความขัดแย้งระหว่างสองกลุ่มนี้เกิดจากมุมมองต่อเตาฮี้ดและอัดล์นั่นเอง

อัดล์ในทัศนะของอิมามียะฮ์
นักวิชาการชีอะฮ์ได้ประยุกต์คำสอนของกุรอานและฮะดีษของท่านนบี(ซ.ล.)และอะฮ์ลุลบัยต์ในการลำดับหลักแห่งอัดล์เข้าเป็นหลักศรัทธาลำดับที่สองจากหลักศรัทธาห้าประการ โดยถือว่าการกระทำต่างๆมีความผิดชอบชั่วดีแฝงอยู่ในตัวของมันเอง กล่าวคือการกระทำบางอย่างเป็นเรื่องดี และการกระทำบางอย่างเป็นเรื่องน่ารังเกียจ สติปัญญามนุษย์สามารถรับรู้ถึงความดีและความน่ารังเกียจของการกระทำต่างๆได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาบัญญัติทางศาสนา ดังที่รับรู้ว่าความยุติธรรมเป็นเรื่องดี และการกดขี่เป็นเรื่องน่ารังเกียจ ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงบัญชามนุษย์เฉพาะเรื่องที่ดีงาม และห้ามปรามเฉพาะเรื่องที่น่ารังเกียจเท่านั้น บทบัญญัติศาสนาจึงเป็นไปตามความผิดชอบชั่วดีที่แท้จริงที่ปรากฏอยู่ในแต่ละการกระทำ และพระองค์ย่อมห้ามปรามทุกสิ่งที่เป็นอันตราย เนื่องจากพระองค์จะไม่ทรงกระทำสิ่งที่น่ารังเกียจอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้จึงถือว่าพระองค์ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ชะฮีดมุเฏาะฮะรีกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “อัลลอฮ์ทรงประทานเมตตาหรือลงบะลาตามความเหมาะสมในแต่ละกรณี ทั้งนี้ ระบบระเบียบของโลกมีกลไกเฉพาะอันมีผลต่อการแผ่เมตตา ให้รางวัล ทดสอบ และลงโทษ”

แม้ว่าทั้งชีอะฮ์และมุอ์ตะซิละฮ์จะมีหลักความเชื่อที่คล้ายคลึงกันหลายประการ อันทำให้ได้รับฉายาว่า “อัดลียะฮ์”ร่วมกัน ทว่ายังมีข้อแตกต่างบางประเด็นระหว่างสองสำนักคิดดังกล่าวอยู่ เป็นต้นว่า ชีอะฮ์ยอมรับหลักแห่งอัดล์โดยไม่ส่งผลให้ต้องปฏิเสธเตาฮี้ดอัฟอาลีหรือเตาฮี้ดซาตี(เอกานุภาพเชิงอาตมัน) อันทำให้อัดล์และเตาฮี้ดอยู่คู่กันได้ สำนักคิดชีอะฮ์ยอมรับในหลักแห่งอัดล์, บทบาทของสติปัญญา, กลไกของโลกอันสอดคล้องกับวิทยปัญญา และอิสรภาพของมนุษย์ในการตัดสินใจ โดยไม่จำเป็นต้องหักล้างเตาฮี้ดซาตีหรืออัฟอาลีแต่อย่างใด ชีอะฮ์ยอมรับอิสระเสรีภาพของมนุษย์ในการตัดสินใจ แต่ก็มิได้ถือว่ามนุษย์เป็นภาคีของอัลลอฮ์ หรือมีอิทธิพลต่ออำนาจลิขิตของพระองค์ ยอมรับเกาะฎอเกาะดัรของอัลลอฮ์ แต่ไม่ยอมรับว่ามนุษย์ถูกบังคับให้เป็นไปตามเกาะฎอเกาะดัรเหล่านั้นโดยดุษณี

ความยุติธรรมในทัศนะของมุอ์ตะซิละฮ์นั้นมีอยู่เฉพาะเตาฮี้ดศิฟาตี (เอกานุภาพเชิงคุณสมบัติ) มิไช่เตาฮี้ดอัฟอาลี เนื่องจากเชื่อว่าเตาฮี้ดอัฟอาลีขัดแย้งกับหลักความยุติธรรมของพระองค์ พวกเขาให้นิยามเตาฮี้ดศิฟาตีว่า “ภาวะที่อาตมันของพระองค์ปราศจากซึ่งคุณสมบัติใดๆทั้งสิ้น” โดยไม่สามารถจะพิสูจน์ได้เสมือนชีอะฮ์ว่าอาตมันและคุณสมบัติของพระองค์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง เตาฮี้ดอัฟอาลีของชีอะฮ์ก็ต่างจากเตาฮี้ดอัฟอาลีของอะชาอิเราะฮ์เช่นกัน เนื่องจากอะชาอิเราะฮ์นิยามว่า “ไม่มีสิ่งใดจะมีอานุภาพเว้นแต่จะเชื่อมโยงกับพระองค์เท่านั้น” อันหมายความว่าผู้ที่สร้างกริยาต่างๆของมนุษย์ก็คืออัลลอฮ์ โดยมนุษย์มิได้มีอานุภาพใดๆต่อกริยาของตนเองโดยสิ้นเชิง

ในขณะที่เตาฮี้ดอัฟอาลีของชีอะฮ์เน้นเกี่ยวกับเรื่องของบ่วงโซ่เชิงเหตุและผล โดยถือว่าทุกผลลัพธ์นอกจากจะเกิดจากเหตุที่อยู่ใกล้สุดแล้ว ยังเป็นอานุภาพจากพระองค์อีกด้วย ซึ่งทั้งสองประการนี้เชื่อมเป็นบ่วงโซ่ มิได้เป็นเอกเทศจากกัน

ด้วยเหตุนี้ เตาฮี้ดในมุมมองของชีอะฮ์จึงครอบคลุมเตาฮี้ดเชิงอาตมัน, เชิงอิบาดัต, เชิงคุณลักษณะ, เชิงกริยา ซึ่งล้วนสอดคล้องกับหลักความยุติธรรมของพระองค์ทั้งสิ้น

จึงกล่าวได้ว่าอุละมาชีอะฮ์อิมามียะฮ์ได้ปกปักษ์รักษาหลักความเชื่ออันชัดเจนของอิสลามให้พ้นจากข้อครหาใหม่ๆที่สังคมกาฟิรใช้โจมตี โดยได้อาศัยการผดุงเอกภาพระหว่างมุสลิม และอิงคำสอนจากกุรอาน ดุอาและฮะดีษที่เน้นการแสดงเหตุและผล ตลอดจนสร้างเสริมศักยภาพการคิดเกี่ยวกับสารธรรมอิสลาม และได้รับแรงบันดาลใจจากคุฏบะฮ์อันน่าอัศจรรย์ของท่านอิมามอลี(อ.) ในฐานะที่เป็นผู้นำเสนอสารธรรมอิสลามเชิงวิเคราะห์เจาะลึกเป็นท่านแรก

ด้วยเหตุนี้เราจึงมักเห็นว่านักปรัชญาอิสลามส่วนใหญ่เลื่อมใสในแนวทางชีอะฮ์ บุคคลเหล่านี้สามารถผดุงไว้ซึ่งปรัชญาอิสลามวิถีชีอะฮ์ ดังที่นักประวัติศาสตร์อะฮ์ลิสซุนนะฮ์เองก็ยอมรับว่าปัญญาของชีอะฮ์เป็นปัญญาแนวปรัชญามาตั้งแต่อดีตกาล อันหมายความว่านับแต่อดีตเป็นต้นมา แนวคิดชีอะฮ์เป็นแนวคิดเชิงปัญญาและการแสดงเหตุผลเสมอมา เหล่านี้ทำให้อุละมาชีอะฮ์สามารถใช้คำสอนของบรรดาอิมาม(อ.)พิสูจน์ให้ชาวโลกประจักษ์ถึงบทบาทสำคัญของหลักความยุติธรรมของอัลลอฮ์ที่ปรากฏในจารีตของพระองค์และบรรดาศาสดา

หลักความยุติธรรมของพระองค์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อแนวทางชีอะฮ์ ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่าภายหลังการจากไปของท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.)ผู้เป็นปรมาจารย์แห่งวิวรณ์ ท่านอิมามอลี(อ.)ได้ดำรงตำแหน่งผู้นำท่านแรกตามทัศนะของชีอะฮ์ ทั้งสองท่านนี้ล้วนเป็นรูปจำลองของความยุติธรรมและความรักที่มีต่อพระองค์ ซึ่งมาตรว่าความยุติธรรมจะจำแลงเป็นมนุษย์ก็ย่อมกลายเป็นท่านนบี(ซ.ล.)และท่านอิมามอลี(อ.)อย่างแน่นอน

ในทางกลับกัน หากบุคลิกของทั้งสองท่านนี้แปรเป็นนามธรรมก็ย่อมจะกลายเป็น “ความยุติธรรม” เนื่องจากสองท่านนี้ต่างเปรียบดั่งจารีตของพระองค์ เหตุเพราะเปี่ยมไปด้วยความยุติธรรม ดังที่พระองค์ทรงตรัสเกี่ยวกับจารีตของท่านนบี(ซ.ล.)ว่า لَقَدْ كانَ لَكُمْ فِى رَسُولِ اللهِ أُسْوَةٌ حَسَنَةٌ...

ไม่เพียงแต่พระองค์จะทรงยกย่องท่าน หากแต่ยังถือว่าท่านคือแบบฉบับที่สมบูรณ์สำหรับมนุษยชาติทุกกาลสมัย และกำชับแก่มนุษยชาติให้ยึดถือแนวทางของท่านอีกด้วย[2]

 

 


[1] อัลอินซาน, อัตตักวี้ร, ฯลฯ

[2] ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ http://www.mazaheb.ir/index.php?option=com_content&task=view&id=41&Itemid=37

 

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ผมเป็นชาวฟิลิปินส์ ในสถานการณ์ที่ผมไม่สามารถไปหามุจตะฮิดคนใดคนหนึ่งได้ และในกรณีที่ผมไม่มั่นใจว่ามีผู้ที่เป็นซัยยิด (เป็นลูกหลานของท่านศาสดา (ซ.ล.) ที่เป็นผู้ยากไร้อาศัยอยู่ในประเทศของผมหรือไม่นั้น ผมจะต้องจ่ายคุมุสแก่ผู้ใด?
    6774 สิทธิและกฎหมาย 2555/02/05
    คำตอบที่ได้รับมาจากสำนักงานต่างๆของบรรดามัรยิอ์มีดังนี้สำนักงานท่านอายะตุลลอฮ์ซิซตานี–คุณสามารถที่จะแยกเงินคุมุสของท่านไว้และเก็บไว้ก่อนจนกว่าจะมีโอกาสที่จะนำเงินดังกล่าวไปมอบให้กับตัวแทนของท่านอายะตุลลอฮ์สำนักงานท่านอายะตุลลอฮ์มะการิมชีรอซี–สามารถจ่ายทางเว็บไซต์ของมัรญะอ์ดังกล่าวได้คำตอบของท่านอายะตุลลอฮ์ฮาดาวีย์เตหะรานีเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวคือคุณสามารถจ่ายทางอินเตอร์เน็ตได้โดยโอนเงินให้กับมุจตะฮิดหรือตัวแทนของท่านและทางที่ดีควรจ่ายให้กับผู้นำรัฐหรือตัวแทนของท่านในทุกกรณีไม่สามารถจ่ายเงินคุมุสให้กับผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตจากท่านหรือตัวแทนของท่านเสียก่อน ...
  • จุดประสงค์ของท่านอิมามอะลี (อ.) จากการที่อัลลอฮฺทรงนิ่งเงียบต่อบางบทบัญญัติ? เพราะเหตุใดจึงตรัสว่าเพื่อการได้รับสิ่งนั้นไม่ต้องทำตนให้ลำบากดอก?
    7294 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/04/07
    ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวในคำพูดของท่านว่า อัลลอฮฺ (ซบ.) มิทรงอธิบายแก่แท้ของทุกสิ่งเกี่ยวบทบัญญัติและวิชาการ, ทว่ายังมีอีกหลายสิ่งที่พระองค์มิทรงกำหนดให้เป็นหน้าที่แก่มนุษย์ พระองค์ทรงนิ่งเงียบกับสิ่งเหล่านั้น, เช่น หน้าที่ในการรับรู้วิชาการบางอย่างโดยละเอียด ซึ่งไม่มีผลต่อปรโลกแต่อย่างใด, แต่พระองค์ก็มิได้เฉยเมยเนื่องจากการหลงลืมแต่อย่างใด, เนื่องจากอัลลอฮฺทรงห่างไกลจากการหลงลืมทั้งปวง, ทว่าเนื่องจากสิ่งนั้นไม่มีมรรคผลอันใดแก่ปรโลกของมนุษย์ และด้วยเหตุผลที่ว่าการหมกมุ่นอยู่กับสิ่งเหล่านั้น เป็นสาเหตุทำให้มนุษย์ต้องละทิ้งความรู้อันก่อเกิดประโยชน์อย่างยิ่ง บางทีจุดประสงค์จาก การนิ่งเฉย เกี่ยวกับบางอย่าง, อาจเป็นเรื่องมุบาฮฺก็ได้ เช่น ความรู้เรื่องดาราศาสตร์, การคำนวณ, เรขาคณิต, บทกวี, หัตถกรรมโดยประณีต และ... การละเลยสิ่งเหล่านี้เนื่องจากไม่ให้ความสำคัญ และเป็นการไม่ใส่ใจของตัวท่านเอง แน่นอน มีวิชาการที่ค่อนข้างยากเช่น เรื่องเทววิทยา ปรัชญา หรือปรัชญาของบทบัญญัติ การจมดิ่งอยู่กับสิ่งเหล่านี้ – สำหรับบุคคลทั่วไปที่มิใช่นักวิชาการ หรือไม่มีความฉลาดเพียงพอ- นอกจากจะไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์อันเป็นประโยชน์แล้ว ยังอาจเป็นสาเหตุก่อให้เกิดเบี่ยงเบนทางความเชื่อได้อีกต่างหาก ...
  • มีฟัตวาเกี่ยวกับอาชีพที่สองไหม? หรือว่าการมีอาชีพที่สองเท่ากับเป็นคนหลงโลก?
    7683 สิทธิและกฎหมาย 2555/01/23
    ในทัศนะอิสลามไม่มีความหมายอันใดเกี่ยวกับอาชีพหรืออาชีพที่สอง, สิ่งที่ศาสนาอิสลามหรืออัลลอฮฺ (ซบ.) ได้ประณามเอาไว้คือ, ความลุ่มหลงและจิตผูกพันอยู่กับโลกทำให้ห่างไกลจากศีลธรรมและปรโลก
  • ฮะดีษที่ระบุว่า ในยุคของอิมามมะฮ์ดี(อ.)จะมีผู้คนบางกลุ่มสูญเสียศรัทธา ส่วนกาฟิรบางกลุ่มรับอิสลามนั้น หมายถึงบุคคลกลุ่มใดบ้าง?
    8558 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/04/02
    ฮะดีษที่คุณอ้างอิงจากหนังสือมีซานุลฮิกมะฮ์นี้ รายงานมาจากหนังสือ“อัลฆ็อยบะฮ์”ของท่านนุอ์มานี ซึ่งต้นฉบับดังกล่าวระบุถึงสถานภาพของเหล่าสาวกในยุคที่อิมามมะฮ์ดี(อ.)ลุกขึ้นสู้ว่า “รายงานจากอิบรอฮีมเล่าว่า มีผู้รายงานจากอิมามศอดิก(อ.)แก่ฉันว่า เมื่อมะฮ์ดี(อ.)ลุกขึ้นสู้ กลุ่มผู้ที่เคยคิดว่าตนเองเป็นสหายของท่านจะออกจากภารกิจนี้(การเชื่อฟังอิมาม) ส่วนกลุ่มที่คล้ายผู้บูชาสุริยันและจันทราจะเข้ามาสวามิภักดิ์ต่อท่านแทน”[1] แม้ว่าสายรายงานของฮะดีษนี้จะน่าเชื่อถือ แต่ยังถือว่าเป็นสายรายงานที่“มุรซั้ล”(ขาดตอน) เนื่องจากผู้รายงาน (อิบรอฮีม บิน อับดิลฮะมี้ดซึ่งเป็นสหายของอิมามกาซิม(อ.))นั้น กล่าวว่ารายงานจากบุคคลผู้หนึ่งที่ได้ยินจากอิมามศอดิก(อ.) โดยผู้รายงานมิได้เปิดเผยชื่อของบุคคลดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ฮะดีษข้างต้นจึงถือว่าขาดตอนในแง่สายรายงาน ส่วนในแง่เนื้อหานั้น ฮะดีษข้างต้นมีใจความว่า ในยุคที่อิมามมะฮ์ดี(อ.)ปรากฏกายนั้น เหล่าสหายที่คิดว่าตนเองเป็นพรรคพวกของท่านจะบิดพริ้วไม่เชื่อฟังท่าน แต่ในขณะเดียวกันก็มีบุคคลบางกลุ่มที่มิไช่ผู้ศรัทธา(ซึ่งฮะดีษใช้สำนวนว่า “เปรียบดังผู้บูชาสุริยันจันทรา”) กลับเลื่อมใสและเข้าสวามิภักดิ์ต่อท่าน และกลายเป็นสาวกแท้จริงที่ช่วยเหลือภารกิจต่างๆของท่าน กล่าวได้ว่าฮะดีษข้างต้นต้องการจะตำหนิกลุ่มบุคคลที่อ้างว่าศรัทธาและภักดีต่อท่าน แต่แล้วเมื่อประสบกับการทดสอบในภาคปฏิบัติ ก็ไม่อาจจะทนอยู่ภายใต้อำนาจปกครองของท่านได้อีกต่อไป บุคคลเหล่านี้ไม่เพียงแต่ไม่ได้รับอานิสงส์ใดๆจากการปรากฏกายของอิมามมะฮ์ดี(อ.) แต่กลับต้องประสบกับความวิบัติอีกด้วย ซึ่งอาจจะหนักข้อถึงขั้นลุกขึ้นต่อต้านท่านอิมาม ทว่าในทางตรงกันข้าม บุคคลที่เคยมีความศรัทธาบกพร่อง (กาฟิรและมุชริกีนบางกลุ่ม) อาจจะเอือมระอาต่อการอยู่ใต้อาณัติของผู้กดขี่ เมื่อได้เห็นรัฐบาลที่เที่ยงธรรมของอิมามก็อาจจะเข้ารับอิสลามและสวามิภักดิ์ต่อท่านก็เป็นได้ อย่างไรก็ดี อัลลามะฮ์มัจลิซีได้รายงานฮะดีษนี้ตามสายรายงานเดียวกันนี้ ทว่ามีข้อแตกต่างในเนื้อหาเล็กน้อยว่า: “เมื่อมะฮ์ดี(อ.)ลุกขึ้นต่อสู้ บุคคลบางกลุ่มที่เคยคิดว่าตนเองเป็นสาวกของท่านจะออกจากแนวทางของท่าน และแปรสภาพประดุจเหล่าผู้บูชาสุริยันและจันทรา”[2] กล่าวคือผู้ที่มีศรัทธาสั่นคลอนนั้น ...
  • การคบชู้หมายถึงอะไร?
    10736 สิทธิและกฎหมาย 2557/05/22
    การซินา หมายถึง การมีเพศสัมพันธ์โดยผิดประเวณีกับหญิงอื่น ที่มิใช่ภรรยาตามชัรอีย์ (ภรรยาที่สมรสถาวร หรือชั่วคราว) การซินาในทัศนะอัลกุรอาน, ถือเป็นบาปใหญ่ อัลลอฮฺ ตรัสถึงการซินาไว้ว่า “จงอย่าเข้าใกล้การลอบผิดประเวณี เนื่องจากเป็นการลามกและทางอันชั่วช้ายิ่ง”[1],[2] การกระทำดังกล่าว ถ้ากระทำโดยหญิงมีสามี หรือชายมีภรรยาอยู่แล้ว เรียกว่า การเป็นชู้[3] แต่ถ้ามิได้เป็นไปในลักษณะดังกล่าวมา จะไม่ถือว่าเป็นการทำชู้ เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับบทบัญญัติของการซินา และการลงโทษที่จะติดตามมา อันถือว่าเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจ และหน้าขยะแขยงยิ่งนี้ กรุณาศึกษาจากคำตอบต่อไปนี้ อย่างไรหรือที่เรียกว่า ซินา, 8243 (ไซต์ 8288) การลงโทษ และการลุแก่โทษ กรณีการทำชู้ 7159 (ไซต์ 7508) ฮุกุ่มของการซินากับหญิงมีสามี 2688 (ไซต์ ...
  • กรุณานำเสนอฮะดีษที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับความสำคัญของการญิฮาดในหนทางของอัลลอฮ์พร้อมกับระบุแหล่งอ้างอิงได้หรือไม่?
    6489 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/03/14
    ท่านอิมามอลี(อ.)เคยกล่าวว่า “ญิฮาดคือประตูสวรรค์บานหนึ่ง ซึ่งอัลลอฮ์ได้เปิดกว้างสำหรับกัลญาณมิตรของพระองค์ ญิฮาดคืออาภรณ์แห่งความยำเกรง เสื้อเกราะอันแข็งแกร่งของอัลลอฮ์ และโล่ห์ที่ไว้ใจได้ ฉะนั้น ผู้ใดที่ละทิ้งญิฮาดโดยไม่แยแส อัลลอฮ์จะทรงสวมอาภรณ์แห่งความต่ำต้อยแก่เขา อันจะทำให้ประสบภัยพิบัติ ความน่าอดสูจะกระหน่ำลงมาใส่เขา แสงแห่งปัญญาจะดับลงในใจเขา การเพิกเฉยต่อญิฮาดจะทำให้สัจธรรมผินหน้าจากเขา ความต่ำต้อยถาโถมสู่เขา และจะไม่มีผู้ใดช่วยเหลือเขาอีกต่อไป ...
  • มีหลักฐานอะไรที่จะบ่งบอกว่าชิมร์ได้บั่นศีรษะท่านอิมามฮุเซน (อ.) จากด้านหลังบ้าง?
    6217 تاريخ بزرگان 2554/11/29
    มีการกล่าวถึงประเด็นดังกล่าวไว้ในหลายๆเหตุการณ์ด้วยกันอาทิเช่น1.           ท่านหญิงซัยนับ (อ.) กล่าวว่า ".... یا محمداه بناتک سبایا و ذریتک مقتلة تسفی علیهم ریح الصبا و هذا حسین مجزوز الرأس من القفا .." (...โอ้ท่านตาขณะนี้หลานสาวของท่านล้วนถูกจับเป็นเชลย,บุตรหลานของท่านถูกเข่นฆ่า, สายลมพัดผ่านเรือนร่างของพวกเขา, และนี่คือฮูเซน (อ.) ที่ถูกบั่นศีรษะจากด้านหลัง...)  
  • เงื่อนไขถูกต้องสำหรับการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ เป็นเช่นไร?
    6611 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/01/23
    มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับศาสนาอื่นที่มองเห็นความต้องการของมนุษย์เพียงด้านเดียวและให้ความสนใจเฉพาะด้านวัตถุปัจจัยหรือด้านจิตวิญาณเพียงอย่างเดียว, อิสลามได้เลือกสายกลาง. เพื่อเป็นครรลองดำเนินชีวิตถูกต้องแก่ประชาชาติโดยให้มนุษย์เลือกใช้ความโปรดปรานต่างๆจากพระเจ้าอย่างถูกต้องและถูกวิธี
  • อะไรคือตาบู้ตที่อัลลอฮ์สั่งให้ท่านนบี(ซ.ล.)ส่งมอบแก่ท่านอิมามอลี(อ.)ในวันเฆาะดี้ร?
    7973 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/19
    ในฮะดีษเฆาะดี้รมีคำว่าตาบู้ตอยู่จริงซึ่งกุรอานก็กล่าวถึงเช่นกัน... أَنْ یَأْتِیَکُمُ التَّابُوتُ فیهِ سَکینَةٌ مِنْ رَبِّکُمْ ... โองการนี้ต้องการจะสื่อว่า  แม้ศาสนทูตอิชมูอีลจะแจ้งแก่บนีอิสรออีลว่าตอลู้ตได้รับภารกิจจากอัลลอฮ์แต่พวกเขาก็ยังเคลือบแคลงสงสัยอยู่และขอให้ศาสนทูตระบุหลักฐานให้ชัดเจนศาสนทูตจึงกล่าวว่าสัญลักษณ์การปกครองของเขาก็คือเขาจะมายังพวกท่านพร้อมกับตาบู้ต(หีบบรรจุพันธะสัญญา)ส่วนที่ว่าตาบู้ตหรือหีบแห่งพันธะสัญญาของบนีอิสรออีลคืออะไรใครเป็นคนสร้างขึ้นบรรจุสิ่งใดบ้างนั้นมีคำอธิบายมากมายจากฮะดีษตัฟซี้รและบทพันธะสัญญาเดิม (โตร่าห์) แต่ที่ค่อนข้างชัดเจนที่สุดก็คือคำอธิบายที่ได้จากฮะดีษของอะฮ์ลุลบัยต์และทัศนะของนักตัฟซี้รบางท่านที่ว่า:   ตาบู้ตเป็นหีบไม้ที่มารดาของท่านนบีมูซา(อ.)ได้ใช้วางทารกไว้ตามพระบัญชาของอัลลอฮ์และปล่อยไปตามกระแสของแม่น้ำไนล์ สามารถเชื่อมโยงสองเหตุการณ์ระหว่างการที่บนีอิสรออีลเรียกร้องให้ตอลู้ตแสดงหีบตาบู้ตให้เห็นกับการที่อัลลอฮ์ทรงบัญชาให้ท่านนบี(ซ.ล.)ส่งมอบศาสตราวุธและหีบตาบู้ตให้แก่ท่านอิมาม(อ.)ในวันเฆาะดี้รโดยได้ข้อสรุปว่าอุปกรณ์เหล่านี้คือสิ่งที่ส่งมอบกันมาจากรุ่นสู่รุ่นจนถึงอิมามท่านสุดท้ายและอิมามมะฮ์ดี(อ.)จะแสดงหีบและศาสตราวุธนี้เป็นสัญลักษณ์ให้ชาวโลกประจักษ์ ...
  • เข้ากันได้อย่างไร ระหว่างความดีและชั่ว กับความเป็นเอกะและความเมตตาของพระเจ้า?
    7290 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/04/07
    1. โลกใบนี้ได้ถูกสร้างขึ้นมาในลักษณะที่ว่า สรรพสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ไม่อาจอยู่เป็นเอกเทศหรืออยู่ตามลำพังได้, องค์ประกอบและสัดส่วนต่างๆ บนโลกนี้ ถ้าหากพิจารณาให้รอบคอบจะพบว่าทุกสรรพสิ่ง เปรียบเสมือนโซ่ที่ร้อยเรียงติดเป็นเส้นเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดเหล่านั้นรวมเรียกว่า ระบบการสร้างสรรค์อันสวยงาม, ด้วยเหตุนี้ ไม่สามารถกล่าวได้ว่าในโลกนี้มีพระเจ้า 2 องค์ เช่น พูดว่าน้ำและน้ำฝนมีพระเจ้าองค์หนึ่ง น้ำท่วมและแผ่นดินไหวมีพระเจ้าอีกองค์หนึ่ง, แน่นอน ถ้าหากน้ำท่วมและแผ่นดินไหวมาจากระบบหนึ่ง และน้ำฝน แสงแดด การโคจร และ ...ได้ตามอีกระบบหนึ่ง เท่ากับว่าโลกใบนี้มี 2 ระบบ เวลานั้นเราจึงสามารถกล่าวได้เช่นนี้ว่า โลกมีพระเจ้า 2 องค์ ด้วยเหตุนี้ เนื่องจากความจำกัดของโลกมีเพียงแค่ระบบเดียวที่เข้ากันและมีความสวยงาม ซึ่งทั้งหมดสามารถเจริญเติบโตไปสู่ความสมบูรณ์ของตนได้อย่างเสรี สรุปแล้วโลกใบนี้ต้องมีพระเจ้าองค์เดียว ผู้ทรงเมตตาปรานียิ่ง 2.ความเมตตาปรานีของพระเจ้า วางอยู่บนพื้นฐานแห่งวิทยปัญญาของพระองค์ ซึ่งสิ่งนี้ได้กำหนดว่ามนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหลายต่างได้รับการชี้นำทางไปสู่การพัฒนา และความสมบูรณ์แต่ก็มิได้หมายความว่าจะเป็นไปได้ทุกหนทางในการบริการ หรือทุกหนทางที่จะก้าวเดินไป ทว่าการไปถึงยังความสมบูรณ์นั้นได้เป็นตัวกำหนดว่า มนุษย์ต้องผ่านหนทางที่ยากลำบากไปให้ได้ เขาต้องเผชิญกับความยากลำบาก และการต่อสู้ในชีวิตเพื่อก้าวไปสู่ความสมบูรณ์ อีกนัยหนึ่งศักยภาพต่างๆ ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60403 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57971 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42502 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39793 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39156 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34265 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28309 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28235 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28170 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26113 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...