การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
10598
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2555/04/24
คำถามอย่างย่อ
ชีอะฮ์และมุอ์ตะซิละฮ์มีทัศนคติเกี่ยวกับความยุติธรรมแตกต่างกันอย่างไร?
คำถาม
ชีอะฮ์และมุอ์ตะซิละฮ์มีทัศนคติเกี่ยวกับความยุติธรรมแตกต่างกันอย่างไร?
คำตอบโดยสังเขป

ทั้งสองสำนักคิดนี้ต่างก็ถือว่าความยุติธรรมของอัลลอฮ์คือหนึ่งในหลักศรัทธาของตน ทั้งสองเชื่อว่าความดีและความชั่วพิสูจน์ได้ด้วยสติปัญญา กล่าวคือสติปัญญาสามารถจะพิสูจน์ความผิดชอบชั่วดีในหลายๆประเด็นได้แม้ไม่ได้รับแจ้งจากชะรีอัตศาสนา ความอยุติธรรมก็เป็นหัวข้อหนึ่งที่สติปัญญาของมนุษย์ทุกคนพิสูจน์ได้ว่าเป็นความชั่ว ด้วยเหตุนี้ อัลลอฮ์จึงไม่ทรงลดพระองค์มาแปดเปื้อนกับความชั่วดังกล่าว แต่ทรงเป็นผู้ไว้ซึ่งความเที่ยงธรรมอย่างไม่ต้องสงสัย
ข้อแตกต่างระหว่างสองสำนักคิดข้างต้นก็คือ เมื่อเผชิญข้อโต้แย้งที่ว่า “หากทุกการกระทำของมนุษย์มาจากพระองค์จริง แสดงว่าการให้รางวัลและการลงโทษมนุษย์ย่อมไม่มีความหมาย” มุอ์ตะซิละฮ์ชี้แจงด้วยการปฏิเสธเตาฮี้ด อัฟอาลี (เอกานุภาพเชิงกรณียกิจ) แต่ชีอะฮ์ปฏิเสธทางออกดังกล่าวที่ถือว่ามนุษย์ไม่ต้องพึ่งพาอัลลอฮ์ในการกระทำ โดยเชื่อว่าการกระทำของมนุษย์เชื่อมต่อกับการกระทำของอัลลอฮ์ในเชิงลูกโซ่ มิได้อยู่ในระนาบเดียวกัน จึงทำให้ตอบข้อโต้แย้งข้างต้นได้โดยที่ยังเชื่อในความยุติธรรมของพระองค์ดังเดิม

คำตอบเชิงรายละเอียด

แม้ทั้งสองสำนักคิดนี้จะศรัทธาในอัดล์ (หลักความยุติธรรมของอัลลอฮ์) แต่ข้อแตกต่างสำคัญระหว่างชีอะฮ์และมุอ์ตะซิละฮ์ในเรื่องนี้ก็คือ มุอ์ตะซิละฮ์พิสูจน์อัดล์ด้วยการปฏิเสธเตาฮี้ด อัฟอาลี(เอกานุภาพด้านกรณียกิจ)  ซึ่งเป็นหลักที่ถือว่าการกระทำทุกอย่างไม่ว่าจะดีหรือชั่วล้วนมาจากพระองค์ ไม่มีผู้กระทำอื่นใดนอกจากพระองค์ ซึ่งก็หมายความว่าตราบใดที่พระองค์ไม่ทรงลิขิต ก็จะไม่มีเหตุการณ์ใดๆเกิดขึ้นเลย[1] เสมือนว่ากลุ่มมุอ์ตะซิละฮ์หวั่นเกรงว่า ถ้าหากยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ลิขิตทุกความดีความชั่ว จะทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนได้ว่า การตอบแทนในสวรรค์และการลงทัณฑ์ในนรกล้วนขัดต่อความยุติธรรมของพระองค์ ทำให้กลุ่มนี้ปฏิเสธเตาฮี้ดอัฟอาลี และถือว่าการกระทำของแต่ละคนล้วนเกิดขึ้นโดยมนุษย์ผู้กระทำเท่านั้น หาได้ครอบคลุมถึงอัลลอฮ์ไม่ ทั้งนี้ก็เพื่อให้การตอบแทนและลงทัณฑ์มนุษย์สอดคล้องกับหลักความยุติธรรมของพระองค์

ส่วนชีอะฮ์เชื่อว่า การยอมรับเตาฮี้ดอัฟอาลีมิได้ขัดต่ออำนาจการตัดสินใจของมนุษย์ เพราะการตัดสินใจของมนุษย์อยู่ภายใต้การตัดสินใจของอัลลอฮ์ ซึ่งแม้ว่ามนุษย์จะไม่อาจกระทำการใดๆได้เลยหากพระองค์ไม่ทรงประสงค์ แต่ก็สามารถชี้แจงได้ว่า พระองค์เลือกที่จะให้อิสระแก่มนุษย์ในระดับหนึ่งภายใต้พลานุภาพอันกว้างขวางของพระองค์ ทำให้สามารถชมเชยหรือตำหนิการกระทำมนุษย์ได้
และเพื่อเสริมความเข้าใจ เราขอนำเสนอเนื้อหาจากบทความชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับประเด็นนี้

สถานภาพของประเด็นความยุติธรรมในความเชื่อของกลุ่มมุอ์ตะซิละฮ์
กลุ่มมุอ์ตะซิละฮ์เชื่อว่าการกระทำบางอย่างถือเป็นความยุติธรรมโดยตรง และบางอย่างถือเป็นการกดขี่ ตัวอย่างเช่น การที่พระองค์ให้รางวัลแก่ผู้บำเพ็ญความดีหรือการลงโทษผู้กระทำผิดนั้น ในความเป็นจริงแล้วก็ถือเป็นความยุติธรรม ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่พระองค์จะปฏิบัติสวนทางกับแนวดังกล่าว เนื่องจากทรงเป็นผู้เที่ยงธรรมและไม่เคยกดขี่ผู้ใด ทั้งนี้เพราะการกดขี่ถือเป็นเรื่องน่ารังเกียจสำหรับพระองค์

กลุ่มนี้เชื่อว่าความดีความชั่วจำแนกเป็นเอกเทศและตั้งอยู่บนฐานแห่งสติปัญญา
ท่านชะฮีดมุเฏาะฮะรีกล่าวไว้ว่า “พวกเขาเชื่อว่าความดีความชั่วที่โดยปกติมักใช้เป็นมาตรวัดพฤติกรรมมนุษย์นั้น สามารถนำมาใช้เป็นมาตรฐานของกิจของอัลลอฮ์ได้ด้วย พวกเขาเชื่อว่าความยุติธรรมโดยตัวของมันแล้วถือเป็นสิ่งดี ส่วนการกดขี่ โดยตัวของมันเองเป็นสิ่งน่ารังเกียจ ฉะนั้น อัลลอฮ์ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดปัญญาอันเยี่ยมยอด ย่อมไม่ทรงละทิ้งสิ่งที่สติปัญญาตัดสินว่าเป็นเรื่องดี และทรงไม่เกลือกกลั้วกับสิ่งที่สติปัญญาตัดสินว่าน่ารังเกียจ”

มุอ์ตะซิละฮ์เชื่อว่าสติปัญญามนุษย์สามารถจำแนกผิดชอบชั่วดีได้อย่างอิสระ โดยสามารถรับรู้ความดีงามของถูกต้อง ความซื่อสัตย์ ความยำเกรง ความรักนวลสงวนตัว ฯลฯ และรับรู้ความน่ารังเกียจของการโกหก การทรยศ การหลงกิเลส ฯลฯ ได้โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยการบอกเล่าของศาสนา ด้วยเหตุนี้จึงเชื่อกันว่าการกระทำต่างๆมีความผิดชอบชั่วดีอยู่ในตัวก่อนที่พระองค์จะแจ้งเสียอีก ความเชื่อเช่นนี้ย่อมจะส่งผลต่อความเชื่อในเรื่องอื่นๆ อาทิความเชื่อเกี่ยวกับอัลลอฮ์ และความเชื่อที่เกี่ยวกับมนุษย์ อย่างเช่นปริศนาที่ว่า “พระองค์ทรงมีเป้าหมายในการสร้างสรรพสิ่งต่างๆหรือไม่?”

อนึ่ง กลุ่มมุอ์ตะซิละฮ์เลือกที่จะปฏิเสธความเชื่อในเรื่องเตาฮี้ดอัฟอาลีเนื่องจากพวกเขาเชื่อในหลักอัดล์ โดยเชื่อว่าผลพวงของการยอมรับเตาฮี้ดอัฟอาลีก็คือการยอมรับว่าอัลลอฮ์เป็นผู้สร้างการกระทำของมนุษย์ โดยที่มนุษย์ไม่มีบทบาทใดๆต่อการกระทำของตัวเอง และว่าการเชื่อเช่นนี้ขัดต่อหลักอัดล์ของพระองค์ มุมมองของกลุ่มนี้ตรงข้ามกับมุมมองของกลุ่มอะชาอิเราะฮ์ที่ปฏิเสธอิสรภาพของมนุษย์ต่อพฤติกรรมของตนเอง

เหตุผลเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของหลักอัดล์ในมุมมองของมุอ์ตะซิละฮ์ ทำให้ทราบว่าเหตุใดพวกเขาจึงให้ความสำคัญต่ออัดล์ในฐานะที่เป็นหลักศรัทธาเสมือนชีอะฮ์ โดยจัดให้เป็นหลักศรัทธาข้อที่สองจากหลักศรัทธาห้าประการ

จึงเข้าใจได้ว่ากลุ่มมุอ์ตะซิละฮ์ยอมเสียความเชื่อเกี่ยวกับเตาฮี้ดอัฟอาลีไปเพื่อรักษาหลักแห่งอัดล์ ในขณะที่อะชาอิเราะฮ์ยอมเสียอัดล์ไปเพื่อคงไว้ซึ่งเตาฮี้ดอัฟอาลี ทว่าในความเป็นจริงแล้ว มุอ์ตะซิละฮ์เองก็ไม่สามารถแจกแจงหลักแห่งอัดล์ได้อย่างถูกต้อง และอะชาอิเราะฮ์เองก็ยังเข้าไม่ถึงแก่นแห่งเตาฮี้ดอัฟอาลี สรุปได้ว่าความขัดแย้งระหว่างสองกลุ่มนี้เกิดจากมุมมองต่อเตาฮี้ดและอัดล์นั่นเอง

อัดล์ในทัศนะของอิมามียะฮ์
นักวิชาการชีอะฮ์ได้ประยุกต์คำสอนของกุรอานและฮะดีษของท่านนบี(ซ.ล.)และอะฮ์ลุลบัยต์ในการลำดับหลักแห่งอัดล์เข้าเป็นหลักศรัทธาลำดับที่สองจากหลักศรัทธาห้าประการ โดยถือว่าการกระทำต่างๆมีความผิดชอบชั่วดีแฝงอยู่ในตัวของมันเอง กล่าวคือการกระทำบางอย่างเป็นเรื่องดี และการกระทำบางอย่างเป็นเรื่องน่ารังเกียจ สติปัญญามนุษย์สามารถรับรู้ถึงความดีและความน่ารังเกียจของการกระทำต่างๆได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาบัญญัติทางศาสนา ดังที่รับรู้ว่าความยุติธรรมเป็นเรื่องดี และการกดขี่เป็นเรื่องน่ารังเกียจ ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงบัญชามนุษย์เฉพาะเรื่องที่ดีงาม และห้ามปรามเฉพาะเรื่องที่น่ารังเกียจเท่านั้น บทบัญญัติศาสนาจึงเป็นไปตามความผิดชอบชั่วดีที่แท้จริงที่ปรากฏอยู่ในแต่ละการกระทำ และพระองค์ย่อมห้ามปรามทุกสิ่งที่เป็นอันตราย เนื่องจากพระองค์จะไม่ทรงกระทำสิ่งที่น่ารังเกียจอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้จึงถือว่าพระองค์ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ชะฮีดมุเฏาะฮะรีกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “อัลลอฮ์ทรงประทานเมตตาหรือลงบะลาตามความเหมาะสมในแต่ละกรณี ทั้งนี้ ระบบระเบียบของโลกมีกลไกเฉพาะอันมีผลต่อการแผ่เมตตา ให้รางวัล ทดสอบ และลงโทษ”

แม้ว่าทั้งชีอะฮ์และมุอ์ตะซิละฮ์จะมีหลักความเชื่อที่คล้ายคลึงกันหลายประการ อันทำให้ได้รับฉายาว่า “อัดลียะฮ์”ร่วมกัน ทว่ายังมีข้อแตกต่างบางประเด็นระหว่างสองสำนักคิดดังกล่าวอยู่ เป็นต้นว่า ชีอะฮ์ยอมรับหลักแห่งอัดล์โดยไม่ส่งผลให้ต้องปฏิเสธเตาฮี้ดอัฟอาลีหรือเตาฮี้ดซาตี(เอกานุภาพเชิงอาตมัน) อันทำให้อัดล์และเตาฮี้ดอยู่คู่กันได้ สำนักคิดชีอะฮ์ยอมรับในหลักแห่งอัดล์, บทบาทของสติปัญญา, กลไกของโลกอันสอดคล้องกับวิทยปัญญา และอิสรภาพของมนุษย์ในการตัดสินใจ โดยไม่จำเป็นต้องหักล้างเตาฮี้ดซาตีหรืออัฟอาลีแต่อย่างใด ชีอะฮ์ยอมรับอิสระเสรีภาพของมนุษย์ในการตัดสินใจ แต่ก็มิได้ถือว่ามนุษย์เป็นภาคีของอัลลอฮ์ หรือมีอิทธิพลต่ออำนาจลิขิตของพระองค์ ยอมรับเกาะฎอเกาะดัรของอัลลอฮ์ แต่ไม่ยอมรับว่ามนุษย์ถูกบังคับให้เป็นไปตามเกาะฎอเกาะดัรเหล่านั้นโดยดุษณี

ความยุติธรรมในทัศนะของมุอ์ตะซิละฮ์นั้นมีอยู่เฉพาะเตาฮี้ดศิฟาตี (เอกานุภาพเชิงคุณสมบัติ) มิไช่เตาฮี้ดอัฟอาลี เนื่องจากเชื่อว่าเตาฮี้ดอัฟอาลีขัดแย้งกับหลักความยุติธรรมของพระองค์ พวกเขาให้นิยามเตาฮี้ดศิฟาตีว่า “ภาวะที่อาตมันของพระองค์ปราศจากซึ่งคุณสมบัติใดๆทั้งสิ้น” โดยไม่สามารถจะพิสูจน์ได้เสมือนชีอะฮ์ว่าอาตมันและคุณสมบัติของพระองค์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง เตาฮี้ดอัฟอาลีของชีอะฮ์ก็ต่างจากเตาฮี้ดอัฟอาลีของอะชาอิเราะฮ์เช่นกัน เนื่องจากอะชาอิเราะฮ์นิยามว่า “ไม่มีสิ่งใดจะมีอานุภาพเว้นแต่จะเชื่อมโยงกับพระองค์เท่านั้น” อันหมายความว่าผู้ที่สร้างกริยาต่างๆของมนุษย์ก็คืออัลลอฮ์ โดยมนุษย์มิได้มีอานุภาพใดๆต่อกริยาของตนเองโดยสิ้นเชิง

ในขณะที่เตาฮี้ดอัฟอาลีของชีอะฮ์เน้นเกี่ยวกับเรื่องของบ่วงโซ่เชิงเหตุและผล โดยถือว่าทุกผลลัพธ์นอกจากจะเกิดจากเหตุที่อยู่ใกล้สุดแล้ว ยังเป็นอานุภาพจากพระองค์อีกด้วย ซึ่งทั้งสองประการนี้เชื่อมเป็นบ่วงโซ่ มิได้เป็นเอกเทศจากกัน

ด้วยเหตุนี้ เตาฮี้ดในมุมมองของชีอะฮ์จึงครอบคลุมเตาฮี้ดเชิงอาตมัน, เชิงอิบาดัต, เชิงคุณลักษณะ, เชิงกริยา ซึ่งล้วนสอดคล้องกับหลักความยุติธรรมของพระองค์ทั้งสิ้น

จึงกล่าวได้ว่าอุละมาชีอะฮ์อิมามียะฮ์ได้ปกปักษ์รักษาหลักความเชื่ออันชัดเจนของอิสลามให้พ้นจากข้อครหาใหม่ๆที่สังคมกาฟิรใช้โจมตี โดยได้อาศัยการผดุงเอกภาพระหว่างมุสลิม และอิงคำสอนจากกุรอาน ดุอาและฮะดีษที่เน้นการแสดงเหตุและผล ตลอดจนสร้างเสริมศักยภาพการคิดเกี่ยวกับสารธรรมอิสลาม และได้รับแรงบันดาลใจจากคุฏบะฮ์อันน่าอัศจรรย์ของท่านอิมามอลี(อ.) ในฐานะที่เป็นผู้นำเสนอสารธรรมอิสลามเชิงวิเคราะห์เจาะลึกเป็นท่านแรก

ด้วยเหตุนี้เราจึงมักเห็นว่านักปรัชญาอิสลามส่วนใหญ่เลื่อมใสในแนวทางชีอะฮ์ บุคคลเหล่านี้สามารถผดุงไว้ซึ่งปรัชญาอิสลามวิถีชีอะฮ์ ดังที่นักประวัติศาสตร์อะฮ์ลิสซุนนะฮ์เองก็ยอมรับว่าปัญญาของชีอะฮ์เป็นปัญญาแนวปรัชญามาตั้งแต่อดีตกาล อันหมายความว่านับแต่อดีตเป็นต้นมา แนวคิดชีอะฮ์เป็นแนวคิดเชิงปัญญาและการแสดงเหตุผลเสมอมา เหล่านี้ทำให้อุละมาชีอะฮ์สามารถใช้คำสอนของบรรดาอิมาม(อ.)พิสูจน์ให้ชาวโลกประจักษ์ถึงบทบาทสำคัญของหลักความยุติธรรมของอัลลอฮ์ที่ปรากฏในจารีตของพระองค์และบรรดาศาสดา

หลักความยุติธรรมของพระองค์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อแนวทางชีอะฮ์ ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่าภายหลังการจากไปของท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.)ผู้เป็นปรมาจารย์แห่งวิวรณ์ ท่านอิมามอลี(อ.)ได้ดำรงตำแหน่งผู้นำท่านแรกตามทัศนะของชีอะฮ์ ทั้งสองท่านนี้ล้วนเป็นรูปจำลองของความยุติธรรมและความรักที่มีต่อพระองค์ ซึ่งมาตรว่าความยุติธรรมจะจำแลงเป็นมนุษย์ก็ย่อมกลายเป็นท่านนบี(ซ.ล.)และท่านอิมามอลี(อ.)อย่างแน่นอน

ในทางกลับกัน หากบุคลิกของทั้งสองท่านนี้แปรเป็นนามธรรมก็ย่อมจะกลายเป็น “ความยุติธรรม” เนื่องจากสองท่านนี้ต่างเปรียบดั่งจารีตของพระองค์ เหตุเพราะเปี่ยมไปด้วยความยุติธรรม ดังที่พระองค์ทรงตรัสเกี่ยวกับจารีตของท่านนบี(ซ.ล.)ว่า لَقَدْ كانَ لَكُمْ فِى رَسُولِ اللهِ أُسْوَةٌ حَسَنَةٌ...

ไม่เพียงแต่พระองค์จะทรงยกย่องท่าน หากแต่ยังถือว่าท่านคือแบบฉบับที่สมบูรณ์สำหรับมนุษยชาติทุกกาลสมัย และกำชับแก่มนุษยชาติให้ยึดถือแนวทางของท่านอีกด้วย[2]

 

 


[1] อัลอินซาน, อัตตักวี้ร, ฯลฯ

[2] ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ http://www.mazaheb.ir/index.php?option=com_content&task=view&id=41&Itemid=37

 

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • การมองอย่างไรจึงจะถือว่าฮะรอมและเป็นบาป?
    8963 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/21
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น ปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...
  • ปรัชญาของการทำกุรบานในพิธีฮัจญ์คืออะไร?
    11897 สิทธิและกฎหมาย 2555/04/28
    บทบัญญัติและข้อปฏิบัติทั้งหมดในศาสนาอิสลามนั้นตราขึ้นโดยคำนึงถึงความเหมาะสมและคุณประโยชน์สำหรับทุกสิ่งมีชีวิตอย่างทั่วถึง บทบัญญัติของอิสลามประการหนึ่งที่เป็นข้อบังคับสำหรับผู้ประกอบพิธีฮัจย์ก็คือการเชือดกุรบานในวันอีดกุรบาน ณ แผ่นดินมินา จุดเด่นของการทำกุรบานในพิธีฮัจญ์คือ “การที่ผู้ประกอบพิธีฮัจย์ได้คำนึงถึงการเชือดเฉือนอารมณ์ไฝ่ต่ำของตนเอง ,การแสวงความใกล้ชิดยังพระผู้เป็นเจ้า, การช่วยเหลือผู้ยากไร้ ฯลฯ ซึ่งแม้ว่าในบางกรณีจะไม่ได้ใช้ประโยชน์จากเนื้อกุรบานก็จริง แต่ก็ทำให้ได้รับประโยชน์ทางจิตใจดังที่กล่าวไปแล้ว เป็นที่น่ายินดีที่ในหลายปีมานี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายตามโรงเชือดสัตว์ที่นครมักกะฮ์ โดยเฉพาะการแช่แข็งเนื้อสัตว์ทำให้สามารถแจกจ่ายเนื้อเหล่านี้ให้แก่ผู้ยากไร้ ซึ่งช่วยไม่ให้เนื้อสัตว์เหล่านี้สูญเสียไปอย่างเปล่าประโชน์ ถึงแม้ว่าการจัดการทั้งหมดนี้จะไม่ส่งผลร้อยเปอร์เซนต์ แต่ก็เชื่อได้ว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว โดยอีกไม่ช้ากระบวนการดังกล่าวอาจจะแล้วเสร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ ...
  • อะฮ์ลิสซุนนะฮ์จะต้องเชื่อเช่นไรจึงจะถือว่าเป็นชีอะฮ์แล้ว?
    6536 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/09
    ชีอะฮ์และซุนหนี่มีความเชื่อและหลักปฏิบัติที่คล้ายคลึงกันมากมายอาจมีบางประเด็นที่เห็นต่างกันข้อแตกต่างสำคัญระหว่างชีอะฮ์กับซุนหนี่ก็คือประเด็นปัญหาเกี่ยวกับหลักอิมามัตและภาวะผู้นำของบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์ของนบี(ซ.ล.) พี่น้องซุนหนี่จะรับสายธารชีอะฮ์ได้ก็ต่อเมื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติต่อประเด็นอิมามัตเสียก่อนทั้งนี้ก็เนื่องจากชีอะฮ์เชื่อว่าหากไม่นับรวมสถานภาพการรับวะฮีย์แล้ว
  • สามารถครอบครองที่ดินบริจาคได้หรือไม่? สามารถขายที่ดินบริจาคได้หรือไม่?
    5921 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/21
    โปรดพิจารณาคำวินิจฉัยของมัรญิอฺตักลีดเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวท่านอายะตุลลอฮฺอัลอุซมาคอเมเนอี (ขออัลลอฮฺทรงปกป้องท่าน
  • ความต่างกิจกรรมของวิญญาณขณะนอนหลับ และสลบคืออะไร?
    16513 ปรัชญาอิสลาม 2555/09/29
    รูปแบบการปฏิสัมพันธ์ระหว่างร่างกายกับจิตวิญญาณขณะตื่นนอน กับการปฏิสัมพันธ์ขณะนอนหลับนั้นมีความแตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้ ตามคำสอนของอิสลามจึงได้เรียกการนอนหลับว่า เป็นพี่น้องของความตาย วิทยาศาสตร์แม้ว่าจะไม่มีข้อมูลการปฏิสัมพันธ์ระหว่างจิตวิญญาณกับร่างกายขณะนอนหลับ แต่สามารถค้นพบการเปลี่ยนแปลงและปฏิกิริยาบางอย่างทางร่างกายขณะนอนหลับได้ บนพื้นฐานของการค้นคว้านั้นและการทำสอบพบว่ามนุษย์มีการนอนหลับในสองระดับ ด้วยนามว่า REM และ Non REM ซึ่งทั้งสองมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยปกติแล้วการความฝันที่มักเกิดในระดับของ Non REM เกิดจากการหลับลึกซึ่งจะไม่อยู่ในความทรงจำ แต่เฉพาะการนอนหลับในระ REM เท่านั้นที่จะคงอยู่ในความทรงจำ ส่วนการสลบหมดสติเกิดจากการเบี่ยงเบนของวิญญาณ และเป็นการหลับที่ลุ่มลึกมาก ทำให้เขาไม่มีความทรงจำอันใดหลงเหลืออยู่ ...
  • เพราะเหตุใดอัลลอฮฺ (ซบ.) จึงทรงสร้างชัยฏอน?
    9947 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/04/21
    ประการแรก: บทบาทของชัยฏอนในการทำให้มนุษย์หลงผิดและหลงทางออกไปนั้นอยู่ในขอบข่ายของการเชิญชวนประการที่สอง : ความสมบูรณ์นั้นจะอยู่ท่ามกลางการต่อต้านและสิ่งตรงกันข้ามด้วยเหตุผลนี้เองการสร้างสรรพสิ่งเช่นนี้ขึ้นมาในระบบที่ดีงามมิได้เป็นสิ่งไร้สาระและไร้ความหมายแต่อย่างใดทว่าถูกนับว่าเป็นรูปโฉมหนึ่งจากความเมตตาและความดีของพระเจ้า ...
  • ในประโยคคำปฏิญาณ (อัชฮะดุ อันลา อิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ) ได้นำเอาประโยคปฏิเสธขึ้นหน้าก่อนการปฏิญาณ (ในความเป็นเอกะของพระองค์) มีเหตุผลอันใดหรือ?
    24624 ادله نقلی 2557/10/06
    คำว่า ชะฮาดะตัยนฺ คือการผนวกสองประโยคเข้าด้วยกันคือ คำปฏิญาณประโยคแรกคือ (อัชฮะดุ อันลา อิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ) เพื่อพิสูจน์และสารภาพถึงความเป็นหนึ่งเดียวของพระเจ้า ซึ่งเฉพาะเจาะจงและคู่ควรยิ่งแก่การเคารพภักดี สำหรับองค์พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก ส่วนคำปฏิญาณที่สอง (อัชฮะดุ อันนะ มุฮัมมะดัน เราะซูลลุลอฮฺ) เพื่อพิสูจน์และปฏิญาณว่า ท่านนะบีมุฮัมมัดคือ ศาสนทูตแห่งอิสลาม มิได้พิสูจน์การเป็นศาสนทูตคู่ควรแก่ท่านนะบี ด้วยเหตุนี้ ชะฮาดัตแรก จึงเป็นเน้นอันเฉพาะเจาะจงสำหรับพระองค์ ประโยคจึงเริ่มต้นด้วย “การปฏิเสธ” ลานะฟีญินซฺ เพื่อเน้นให้เห็นความสำคัญของคำว่า “อิลาฮะ” ซึ่งถือว่าเป็นคำนามที่เป็นนักกิเราะฮฺ (มิได้ระบุเจาะจง) แน่นอน บริบทของการปฏิเสธนี้ ให้ประโยชน์ในแง่รวมทั้งหมด โดยปฏิเสธพระเจ้าที่มีทั้งหมดบนโลก และปฏิเสธการมีส่วนร่วมในความเป็นพระเจ้า ของพระเจ้าที่แท้จริง ดังนั้น การที่กล่าวว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใด “นอกจาก” อิลลา นั่นเป็นจำกัดให้เห็นถึงความสำคัญอันเฉพาะสำหรับ อัลลอฮฺ เพื่อประกาศให้รู้ว่าไม่มีใคร หรือสิ่งใดมีส่วนร่วมในการเป็นพระผู้อภิบาลของพระองค์ ดังนั้น ในความเป็นจริงจึงพิสูจน์ด้วยประโยคที่กล่าวว่า “นอกจากอัลลอฮฺ” ...
  • ฮุศ็อยน์ บิน นุมัยร์ (ตะมีม) เป็นใครมาจากใหน?
    6402 تاريخ بزرگان 2555/03/08
    حصين بن نمير ซึ่งออกเสียงว่า “ฮุศ็อยน์ บิน นุมัยร์” ก็คือคนเดียวกันกับ “ฮุศ็อยน์ บิน ตะมีม” หนึ่งในแกนนำฝ่ายบนีอุมัยยะฮ์ที่มาจากเผ่า “กินดะฮ์” ซึ่งจงเกลียดจงชังลูกหลานของอิมามอลีอย่างยิ่ง และมีส่วนร่วมในการสังหารฮะบี้บ บิน มะซอฮิร หนึ่งในสาวกของอิมามฮุเซน บิน อลีในวันอาชูรอ ปีฮ.ศ. 61 โดยได้นำศีรษะของฮะบี้บผูกไว้ที่คอของม้าเพื่อนำไปยังราชวังของ “อิบนิ ซิยาด” ...
  • ชีวิตและจิตวิญญาณต้องนอนหลับหรือตายด้วยหรือไม่ ?
    6843 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/12/22
    ปัญหาเรื่องจิตวิญญาณและแก่นแท้ของมันเป็นปัญหาที่พิพาทถกเถียงกันมาตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบันซึ่งจัดได้ว่าเป็นปัญหาที่มีความสำคัญอย่างยิ่งคำถามข้างต้นก็ได้ก็เป็นผลพวงและแหล่งที่มาจากคำถามนี้เองที่ว่าแก่นแท้ของมนุษย์ก็คือ กายภาพอันเป็นวัตถุตามลักษณะที่ปรากฏกระนั้นหรือหรือว่าเบื้องหลังของมันยังมีสิ่งอื่นที่ซ่อนเร้นอยู่อีกซึ่งตาเนื้อธรรมดาไม่อาจมองเห็นได้ซึ่งอยู่นอกเหนือคุณสมบัติของวัตถุและมีลักษณะศักดิ์สิทธิ์และถ้าเป็นเช่นนั้นจริงสิ่งนั่นเป็นวัตถุหรือนามธรรมที่ไร้สถานะและชะตากรรมของสิ่งนั้นภายหลังจากการตายของร่างกายจะเป็นอย่างไร?คำตอบสำหรับคำถามข้างต้นนี้สามารถอธิบายในเชิงของทฤษฎีบท,ในลักษณะที่เป็นเชิงตรรกะเพื่อจะได้ไปถึงยังบทสรุป
  • ความสำคัญ และปรัชญาของการจัดพิธีกรรมรำลึกถึงท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) คืออะไร?
    7799 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/20
    สำหรับการติดตามผลอย่างมีนัยของการให้ความสำคัญและปรัชญาของการจัดพิธีกรรมรำลึกถึงท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) จำเป็นต้องพิจารณาประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้:1. ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60295 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57833 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42401 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39648 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39059 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34151 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28172 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28128 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28041 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25999 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...