การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
9598
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/10/22
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1004 รหัสสำเนา 17848
คำถามอย่างย่อ
จงอธิบายเหตุผลที่บ่งบอกว่าดนตรีฮะรอม
คำถาม
เพราะเหตุใดดนตรีจึงฮะรอม?
คำตอบโดยสังเขป

ดนตรีและเครื่องเล่นดนตรีตามความหมายของ ฟิกฮฺ มีความแตกต่างกัน. คำว่า ฆินา หมายถึง การส่งเสียงร้องจากลำคอออกมาข้างนอก โดยมีการเล่นลูกคอไปตามจังหวะ, ซึ่งทำให้ผู้ฟังเกิดประเทืองอารมณ์และมีความสุข ซึ่งมีความเหมาะสมกับงานประชุมที่ไร้สาระ หรืองานประชุมที่คร่าเวลาให้หมดไปโดยเปล่าประโยชน์

ส่วนเสียงดนตรี หมายถึงเสียงที่เกิดจากการเล่นเครื่องตรี หรือการดีดสีตีเป่าต่างๆ

เมื่อพิจารณาอัลกุรอานบางโองการและรายงานฮะดีซ ประกอบกับคำพูดของนักจิตวิทยาบางคน, กล่าวว่าการที่บางคนนิยมกระทำความผิดอนาจาร, หลงลืมการรำลึกถึงอัลลอฮฺ, ล้วนเป็นผลในทางไม่ดีที่เกิดจากเสียงดนตรีและการขับร้อง ซึ่งเสียงเหล่านี้จะครอบงำประสาทของมนุษย์ ประกอบกับพวกทุนนิยมได้ใช้เสียงดนตรีไปในทางไม่ดี ดังนั้น สิ่งเหล่านี้อาจเป็นเหตุผลหนึ่งในเชิงปรัชญาที่ทำให้เสียงดนตรีฮะรอม

เหตุผลหลักที่ชี้ว่าดนตรีฮะรอม (หรือเสียงดนตรีบางอย่างฮะลาล) คือโองการอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ซึ่งโองการอัลกุรอานประกอบด้วย โองการที่ 72 บทฟุรกอน, โองการที่ 30 บทฮัจญฺ, โองการที่ 3 บทมุอฺมินูน, และโองการที่ 6 บทลุกมาน, ซึ่งบรรดาอิมาม (อ.) ได้อธิบายความหมายของโองการเหล่านั้นไว้ว่า วัตถุประสงค์ของคำว่า “เกาลุนซุร” “ละฮฺว์” และ “ลัฆวี” ในโองการหมายถึง “ฆินา” เสียงดนตรี

นอกจากนั้นยังมีรายงานฮะดีซที่พิสูจน์ว่า เสียงดนตรีฮะรอม, และรายงานฮะดีซอีกกลุ่มหนึ่งที่บ่งบอกว่าอุปกรณ์ดนตรี และการใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้นฮะรอม, ซึ่งรายงานเหล่านี้ได้พิสูจน์ให้แล้วว่าเครื่องดนตรีบางประเภทฮะรอม

จากคำกล่าวที่ว่า ฆินา หมายถึงเสียงเพลงหรือเสียงที่ลากให้ยาว หรือใช้กับทุกการเปล่งเสียงร้อง, ด้วยเหตุนี้เองบรรดาฟุเกาะฮาส่วนใหญ่จึงถือว่า ความไร้สาระ นั่นเองทีเป็นเงื่อนไขของการเป็นฮะรอมของเสียงเพลง นอกจากนั้นบางท่านยังได้เสริมว่าแม้แต่ความดึงดูดใจของเสียงเพลงก็เป็นฮะรอมด้วย, และส่วนเสียงดนตรีก็เช่นกัน บรรดานักปราชญ์ส่วนใหญ่ถือว่าเป็นความไร้สาระประเภทหนึ่ง และเป็นฮะรอมด้วยเหมือนกัน นอกจากนั้นเสียงดนตรีที่ดึงดูดใจก็ถือว่าฮะรอมเหมือนกัน

คำตอบเชิงรายละเอียด

1.คำอธิบายความเข้าใจเสียงดนตรี :

คำว่า “มิวสิก” หรือ “มิวสิกิยา” เป็นคำพูดที่มาจากกรีก ซึ่งในสารานุกรมเทียบได้ตรงกับคำว่า ฆินา ส่วนในความเข้าใจด้านศาสนาหรือนิยามทางวิชาฟิกฮฺ,มีความแตกต่างกัน. คำว่า ฆินา ในคำจำกัดความของชัรอียฺหมายถึง การร้องโดยเปล่งเสียงออกมาจากลำคอ มีการเอื้อน หรือเล่นลูกคอไปตามจังหวะ สร้างความรื่นรมและความหรรษาให้แก่ผู้ฟัง ซึ่งมีความเหมาะสมกับงานประชุมที่ไร้สาระ หรืองานประชุมเพื่อคร่าเวลาให้หมดไปโดยเปล่าประโยชน์, ส่วนเสียงดนตรีนั้นหมายถึงเสียงที่เกิดจากการดีดสีตีเปล่าเครื่องดนตรี, บนพื้นฐานดังกล่าวนี้, ความสัมพันธ์ระหว่างมิวสิกที่รู้จักกันโดยทั่วไปกับมิวสิกทางฟิกฮฺ, อุมูลวะคุซูซมุฎลัก[1]

2. วิทยปัญญาการฮะรอมของเสียงดนตรีและเพลง

ถ้าหากพิจารณษอัลกุรอาน บางโองการ รายงานบางบท และคำพูดของนักจิตวิทยาบางคน สามารถกล่าวได้ว่าประเด็นดังต่อไปนี้คือวิทยปัญญาการเป็นฮะรอมของเสียงดนตรีและเพลง :

ก. การโน้มน้าวมนุษย์ไปสู่การทำความชั่วอนาจาร :

รายงานฮะดีซจากท่านนบี (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า : “เสียงเพลงคือบันใดก้าวไปสู่การซินา”[2] ประสบการณ์ได้แสดงให้เห็นว่าผู้คนจำนวนมากมายได้ละทิ้งความสำรวมตน ไปสู่การก่อกรรมชั่วเนื่องจากอิทธิพลของเสียงเพลง. ห้องดนตรีส่วนใหญ่คือศูนย์กลางของความชั่วร้ายอนาจาร[3]

ข.เสียงเพลงทำให้มนุษย์ลืมการรำลึกถึงอัลลอฮฺ :

อัลกุรอาน กล่าวว่า :“มนุษย์บางกลุ่มซื้อคำพูดที่ไร้สาระ เพื่อหลอกลวงผู้คนที่ปราศจากความรู้ให้หลงออกจากทางของอัลลอฮฺ ถือเอาโองการของพระเจ้าเป็นเรื่องขบขัน พวกเขาจะได้รับการลงโทษอันอัปยศ”[4]  อัลกุรอาน โองการนี้กล่าวถึงตัวการสำคัญที่ทำให้มนุษย์หลงทางไปจากแนวทางของอัลลอฮฺ นั่นคือ “ละฮฺวุลฮะดีซ” คำว่า ละฮฺวุน หมายถึงสิ่งที่โน้มนำมนุษย์ให้หมกมุ่นกับตัวเอง จนเป็นสาเหตุทำให้หลงลืมและต้องละทิ้งการงานที่สำคัญ ซึ่งรายงานฮะดีซอธิบายว่าสิ่งนั้นหมายถึง เสียงเพลง[5]

ค. ผลที่ไม่ดีของเสียงเพลงและดนตรีที่มีต่อสภาพจิตใจและประสาท :

เสียงเพลงและเสียงดนตรีเป็นหนึ่งในยาเสพติดที่มอมเมาและทำลายระบบประสาท “ถ้าพิจารณาชีวประวัติของนักดนตรีที่มีชื่อเสียงบ่งบอกให้เห็นว่า ในช่วงชีวิตได้รับความทุกข์ทางจิตใจ,ซึ่งระบบประสาทของตนค่อยๆ หายไปที่ละน้อย และบางกลุ่มได้รับความทุกข์ทรมานและมีอาการป่วยทางจิต หรือบางกลุ่มได้สูญมือ, บางกลุ่มเป็นอัม

ง.ดนตรีคือสื่อและเป็นเครื่องมือของนักล่าอาณานิคม

นักล่าอาณานิคม บนโลกนี้ส่วนใหญ่แล้วมีความหวาดกลัวต่อการตื่นตัวของประชาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชน, ด้วยเหตุนี้เองหนึ่งในนโยบายอันกว้างใหญ่ของพวกล่าอาณานิคมคือ การทำให้สังคมจมดิ่งปราศจากข่าวสารและข้อมูล ขณะเดียวกันก็มอมเมให้สังคมหมกมุ่นอยู่กับสิ่งไร้สาระ และเป็นพิษต่อสังคมอาทิเช่น การส่งเสริมเสียงเพลงและดนตรีให้ยิ่งใหญ่, พวกเขาได้จัดทำเครื่องดนตรีที่สำคัญเพื่อมอมเมาความคิดของประชาชนให้หมกมุ่นอยู่กับสิ่งนั้น[6]

3.มีหลายประเด็นที่ถูกกล่าวถึงวิทยปัญญาของการฮะรอมของเสียงเพลงและดนตรี ซึ่งมิใช่เหตุผลสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้เอง,ในบางประเด็นที่ผลของดนตรีไม่ฮะรอม แต่ก็ยังมีกฎเกณฑ์ที่ฮะรอม

4. เหตุผลหลักที่เสียงเพลงและดนตรีฮะรอม (หรือฮะลาลบางประเภท) คือโองการอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) บรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้รับการพิจารณาและวิเคราะห์โดยฝ่ายนิติศาสตร์อิสลามแล้ว ซึ่งในบทความนี้จะกล่าวเฉพาะบางประเด็นเท่านั้น อาทิเช่น

ก. โองการอัลกุรอาน แม้ว่าจะไม่ได้อธิบายถึงเสียงเพลงและดนตรีโดยตรงก็ตาม เฉกเช่น บทบัญญัติที่ได้กล่าวถึงหลักสำคัญและหลักทั่วไปเอาไว้, แต่บางโองการซึ่งได้รับการตีความไว้โดยท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ซึ่งได้ตีความเทียบตรงกับเพลงและดนตรี,ซึ่งจะขอนำเสนอสักสองสามโองการดังต่อไปนี้ :

1. ท่านอิมามซอดิก (อ.) กล่าวอธิบายโองการที่กล่าวว่า “และบรรดาผู้ไม่เป็นพยานในการเท็จ และเมื่อพวกเขาผ่านเรื่องไร้สาระ พวกเขาผ่านไปอย่างมีเกียรติ”[7] “พวกเขาหลีกเลี่ยงคำพูดไร้สาระ”[8] โดยกล่าวว่า “วัตถุประสงค์หมายถึงงานเลื้ยงที่ไร้สาระและเสียงเพลง”[9]

2.ท่านอิมามซอดิก (อ.) กล่าวถึงโองการที่กล่าวว่า “และพวกเขาที่เป็นผู้ผินหลังให้เรื่องไร้สาระต่าง ๆ”[10] โดยกล่าวว่า “วัตถุประสงค์จากเรื่องไร้สาระต่างๆ” ของโองการข้างต้นหมายถึง ดนตรีและสิ่งไร้สาะทั้งหลาย”[11]

3.ท่านอิมามบากิร (อ.) และอิมามซอดิก (อ.) กล่าวถึงโองการที่กล่าวว่า “มนุษย์บางกลุ่มซื้อคำพูดที่ไร้สาระ เพื่อหลอกลวงผู้คนที่ปราศจากความรู้ให้หลงออกจากทางของอัลลอฮฺ ถือเอาโองการของพระเจ้าเป็นเรื่องขบขัน พวกเขาจะได้รับการลงโทษอันอัปยศ”[12] โดยกล่าวว่า “วัตถุประสงค์ของคำพูดไร้สาระคือ เพลง”[13]

ประเด็นสำคัญ : แม้ว่ารายงานส่วนใหญ่และโองการที่กล่าวมาจะไม่ได้กล่าวถึงเพลงโดยตรง แต่บางรายงานก็ได้กล่าวถึงเพลงโดยตรงก็มี[14] บรรดานักปราชญ์ทั้งหลายถือว่าบางโองการเหล่านี้บ่งชี้ถึงเรื่องเพลงและดนตรี[15]

ข) เหตุผลที่สำคัญที่สุดเรื่องดนตรีฮะรอม,คือรายงานจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ที่ได้ตกทอดมาถึงเรา และรายงานเหล่านั้นได้บ่งบอกให้เห็นว่า ดนตรีเป็นฮะรอม ซึ่งจะขอหยิบยกบางรายงานมากล่าวในที่นี้ อาทิเช่น :

ท่านอิมามบากิร (อ.) กล่าวว่า : “ดนตรีคือสิ่งหนึ่งซึ่งอัลลอฮฺทรงจุดไฟนรกเตรียมไว้แล้ว”[16] ท่านอิมามมซอดิก (อ.) กล่าวว่า “จงออกห่างจากเสียงดนตรี”[17]

ค) เกี่ยวกับการเป็นฮะรอมของเสียงเพลง มีรายงานจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ซึ่งจะขอหยิบยกบางรายงานมากล่าวในที่นี้ อาทิเช่น :

ท่านอิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า : “ชิ้นส่วนอุปกรณ์และเสียงเป็นการงานของชัยฎอน ดังนั้น ทุกสิ่งบนพื้นดินถ้ามีของประเภทนี้ ถือว่ามาจากชัยฏอนมารร้าย”[18] ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า : “ฉันขอสั่งห้ามพวกเจ้าจากชิ้นส่วนอุปกรณ์และเสียงเพลง”[19]

ง) จากการอธิบายที่กล่าวถึงคำว่า ฆินา หมายถึง “การลากเสียงยาว” ทว่าหมายถึงทุกเสียงที่เปล่งร้องทำนองออกไป[20] ท่านเชคอันซอรีย์ กล่าวว่า “เป็นที่ชัดเจนว่าไม่มีสิ่งใดเป็นฮะรอม”[21] ด้วยเหตุนี้เองบรรดานักปราชญ์จึงถือว่า “ความไร้สาระ” คือเงื่อนไขสำคัญที่ว่าดนตรีเป็นฮะรอม กล่าวคือ ดนตรีไร้สาระและเป็นฮะรอม.[22]

คำว่า “ละฮฺวุน” ได้ให้ความหมายว่าสื่อที่นำไปสู่การลืมรำลึกถึงพระเจ้า และการจมดิ่งไปสู่ความหยาบคาย[23] กล่าวว่า เสียงเพลงคือการร้องลำนำที่ฮะรอม เหมาะสมกับงานชุมนุมที่ไร้สาระ อนาจาร ปล่อยตัวปล่อยใจเพื่อแสวงความสุขชนิดไร้สาระ[24]

นักปราชญ์บางท่านนอกจากจะถือ ความไร้สาระ แล้วยังได้เพิ่มเรื่อง การประเทืองอารมณ์ เข้าไปอีก[25] ความหรรษาหรือประเทืองอารมณ์ เป็นสภาพหนึ่งที่เกิดจากผลของการได้ยินเสียงขับร้อง หรือเสียงดนตรีที่ฝังเข้าไปในจิตใจ และทำให้เขาออกนอกความสมดุลของตัวเอง ส่วนเรื่องเสียงดนตรี (เสียงที่เกิดจากการดีดสีตีเป่าเครื่องดนตรี) ก็เช่นเดียวกันนักปราชญ์ส่วนใหญ่ถือว่า ถ้าเป็นเรื่องไร้สาระแล้วละก็ เป็นฮะรอมทั้งสิ้น และบางคนยังถือว่า การฟังเสียงดนตรีที่ก่อให้เกิดความหรรษาและประเทืองอารมณ์แล้วเป็น ฮะรอม[26]

ประเด็นสุดท้าย : ดังที่กล่าวไปแล้วว่าการวิพากษ์วิจารณ์ปัญหาดังกล่าว เป็นหน้าที่ของนักปราชญ์ผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งบุคคลที่ไม่มีศักยภาพเพียงพอในการอิจญฺติฮาด (วินิจฉัย) แล้วละก็ ควรจะปฏิบัติตามทัศนะของมัรญิอฺตักลีด



[1] ซัยยิด มุจญฺตะบา ฮุซัยนี, (คำถามตอบต่างๆ สำหรับนักศึกษา) หน้า 169, อิมามโคมัยนี, อัลมะกาซิบมุฮัรเราะมะฮฺ, เล่ม 1 หน้า 198 – 224,ฮุซัยนี, อะลี, อัลมิวสิกกี, หน้า 16, 17, ตับรีซีย์, อิสติฟตาอาต, คำถามที่ 10, 46, 47, 1048, ฟาฎิล, ญามิอุลมะซาอิล, เล่ม 1, คำถามที่ 974, 978, 979.

[2] الغناء رقیة الزنا؛, บิฮารุลอันวาร, เล่ม 76, หมวด 99, อัลฆินาอ์

[3] อิทธิพลของเสียงเพลงที่มีต่อระบบประสาทและจิตใจ, หน้า 29, ตัฟซีรรูฮุลมะอานี, เล่ม 21 , หน้า 6, ตัฟซีรเนะมูเนะฮฺ, เล่ม 17, หน้า 25, 26.

[4] อัลกุรอาน บทลุกมาน, โองการที่ 6 กล่าวว่า :

ومن الناس من یشتری لهو الحدیث لیضل عن سبیل الله بغیرعلم و یتخذها هزوا اولئک لهم عذاب مهین؛

[5] วะซาอิลุชชีอะฮฺ, เล่ม 12, หมวดที่ 99, - ابواب ما یکتسب به-

[6] ตัฟซีรเนะมูเนะฮฺ, เล่ม 17, หน้า 27.

[7] อัลกุรอาน บทฟุรกอน, 72. (والذین لا یشهدون الزور)

[8] อัลกุรอาน บทฮัจญฺ, 30. (واجتنبوا قول الزور)

[9] วะซาอิลุชชิอะฮฺ, เล่ม 12, หมวด 99, ฮะดีซที่ 2, 3, 5, 9, 26.

[10] อัลกุรอาน บทมุอฺมินูน, 3, กล่าวว่า (والذین عن اللغو معرضون)

[11] ตัฟซีรอะลี บินอิบรอฮีม, เล่ม 2 , หน้า 88.

[12] อัลกุรอาน บทลุกมาน, 6.

[13] วะซาอิลุชชีอะฮฺ, เล่ม 12, หมวด 99, ฮะดีซที่ 6, 7, 11, 16, 25.

[14] อ้างแล้วเล่มเดิม, หมวดที่ 100, ฮะดีซที่ 3.

[15] อัลมะกาซิบ อัลมุฮัรเราะมะฮฺ, อิมามโคมัยนี (รฎ.) เล่ม 1,หน้า 2.

[16] วะซาอิลุชชีอะฮฺ, เล่ม 12, หมวด 99, ฮะดีซที่ 6.

[17] อ้างแล้วเล่มเดิม, ฮะดีซที่ 23 – 24.

[18] อ้างแล้วเล่มเดิม, หมวดที่ 100, ฮะดีซที่ 5 – 6

[19]อางแล้วเล่มเดิม 

[20] อัลมะกาซิบ อัลมุฮัรเราะมะฮฺ, อิมามโคมัยนี (รฎ.) เล่ม 1,หน้า 229.

[21] อัลมะกาซิบ เชคอันซอรีย์, เล่ม 1, หน้า 292

[22] ริซาละฮฺ ดอเนชญู, หน้า 171.

[23] อะฮฺมัด ชัรมะคอนี, อินซาน, ฆินา, มิวสิก, หน้า 14

[24] ริซาละ ดอเนชญู, หน้า 171, อย่างไรก็ตามข้อห้าม (ฮะรอม) เด็ดขาดของทุกเสียงร้องที่มีความไพเราะ ไม่เข้ากับธรรมชาติและสติปัญญาของมนุษย์ และยังขัดแย้งกับบางรายงานอีกด้วยที่ระบุว่า ให้อ่านอัลกุรอานด้วยท่วงทำนองและเสียงที่ไพเราะ, ด้วยเหตุนี้เอง วัตถุประสงค์จึงหมายถึงเป็นบางอย่างอันเฉพาะ ซึ่งสามารถตีความตามมาตรฐานของข้อห้ามที่การกล่าวว่า "เท็จ" หรือ "ไร้สาระ"

[25] อ้างแล้วเล่มเดิม

[26] เตาฎีฮุล มะซาอิล มะรอญิอ์ตักลีด, เล่ม 2, หน้า 813 – 819, มะซาอิลญะดีด, เล่ม 1, หน้า 47.

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ทำไม อิบลิส (ซาตาน) จึงถูกสร้างขึ้นจากไฟ ?
    10683 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/10/21
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น โปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...
  • อิมามฮะซัน มุจญฺตะบา (อ.) ได้สมรสกับหญิงหลายคน และหย่าพวกนางหรือ?
    7455 ชีวประวัติมะอฺซูม (อ.) 2555/08/22
    หนึ่งในประเด็น อันเป็นความเสียหายใหญ่หลวง และน่าเสียใจว่าเป็นที่สนใจของแหล่งฮะดีซทั่วไปในอิสลาม, คือการอุปโลกน์และปลอมแปลงฮะดีซ โดยนำเอาฮะดีซเหล่านั้นมาปะปนรวมกับฮะดีซที่มีสายรายงานถูกต้อง โดยกลุ่มชนที่มีความลำเอียงและรับจ้าง ท่านอิมามฮะซัน มุจญฺตะบา (อ.) เป็นอิมามผู้บริสุทธิ์ท่านที่สอง, เป็นหนึ่งในบุคคลที่บรรดานักปลอมแปลงฮะดีซ ได้กุการมุสาพาดพิงไปถึงท่านอย่างหน้าอนาถใจที่สุด ในรูปแบบของรายงานฮะดีซ ซึ่งหนึ่งในการมุสาเหล่านั้นคือ การแต่งงานและการหย่าร้างจำนวนมากหลายครั้ง แต่หน้าเสียใจตรงที่ว่า รายงานเท็จเหล่านี้บันทึกอยู่ในแหล่งอ้างอิงฮะดีซและหนังสือประวัติศาสตร์ ทั้งซุนนียฺและชีอะฮฺ แต่ก็หน้ายินดีว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หลักความเชื่อที่ถูกต้องมีอยู่อยู่มือจำนวนไม่น้อยเช่นกัน ซึ่งทำให้การอุปโลกน์และปลอมแปลงฮะดีซของพวกเขาเป็นที่ประจักษ์ชัดเจน ...
  • ในมุมมองของรายงาน,ควรจะประพฤติตนอย่างไรกับผู้มิใช่มุสลิม?
    7646 สิทธิและกฎหมาย 2555/08/22
    อิสลาม เป็นศาสนาที่วางอยู่บนธรรมชาติอันสะอาดยิ่งของมนุษย์ ศาสนาแห่งความเมตตา ได้ถูกประทานลงมาเพื่อชี้นำมนุษย์ไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง และความผาสุกของมนุษย์ชาติทั้งหมด อีกด้านหนึ่งการเลือกนับถือศาสนาเป็นความอิสระของมนุษย์ ดังนั้น ในสังคมอิสลามนั้นท่านจะพบว่ามีผู้มิใช่มุสลิมปะปนอยู่ไม่มากก็น้อย อิสลามมีคำสั่งให้รักษาสิทธิ ประพฤติดี และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสันติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบุคคลที่นับถือศาสนา ไม่ว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมอิสลาม ภายใต้การปกครองของรัฐอิสลาม หรือบุคคลที่อยู่ในสังคมอื่นที่มิใช่อิสลาม, ผู้ปฏิเสธศรัทธาที่ดำรงชีวิตอยู่ภายใต้รัฐอิสลาม จำเป็นรักษาเงื่อนไขของผู้ร่วมอาศัยด้วย ถ้าหากไม่รักษาเงื่อนไขของผู้ร่วมอาศัย หรือทรยศหักหลังก็จำเป็นต้องถูกลงโทษตามกฎหมายอิสลาม ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38950 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ริวายะฮ์ที่กล่าวว่า “ในสมัยที่อิมามอลี (อ.) ปกครองอยู่ ท่านมักจะถือแซ่เดินไปตามถนนหนทางและท้องตลาดพร้อมจะลงโทษอาชญากรและผู้กระทำผิด” จริงหรือไม่?
    6412 สิทธิและกฎหมาย 2555/03/18
    สำนักงานท่านอายะตุลลอฮ์อัลอุซมา มะการิม ชีรอซี ริวายะฮ์ข้างต้นกล่าวถึงช่วงรุ่งอรุณขณะที่ท่านสำรวจท้องตลาดในเมืองกูฟะฮ์ และการที่ท่านมักจะพกแซ่ไปด้วยก็เนื่องจากต้องการให้ประชาชนสนใจและให้ความสำคัญกับกฏหมายนั่นเอง สำนักงานท่านอายะตุลลอฮ์อัลอุซมาศอฟีย์ กุลพัยกานี ริวายะฮ์ได้กล่าวไว้เช่นนั้นจริง และสิ่งที่อิมามอลี(อ.) ได้กระทำไปคือสิ่งที่จำเป็นต่อสถานการณ์ในยุคนั้น การห้ามปรามความชั่วย่อมมีหลายวิธีที่จะทำให้บังเกิดผล ดังนั้นจะต้องเลือกวิธีที่จะทำให้สังคมคล้อยตามความถูกต้อง คำตอบของท่านอายะตุลลอฮ์มะฮ์ดี ฮาดาวี เตหะรานี มีดังนี้ หากผู้ปกครองในอิสลามเห็นสมควรว่าจะต้องลงโทษผู้ต้องหาและผู้ร้ายในสถานที่เกิดเหตุ หลังจากที่พิสูจน์ความผิดด้วยวิธีที่ถูกต้อง และพิพากษาตามหลักศาสนาหรือข้อกำหนดที่ผู้ปกครองอิสลามได้กำหนดไว้ การลงทัณฑ์ในสถานที่เกิดเหตุถือว่าไม่ไช่เรื่องผิด และในการนี้ไม่จำเป็นต้องอ้างอิงริวายะฮ์ดังกล่าวแต่อย่างใด แต่รายงานที่ถูกต้องที่ปรากฏในตำราฮะดีษอย่าง กุตุบอัรบาอะฮ์[1] ก็คือ ท่านอิมามอลี (อ.) พกแซ่เดินไปตามท้องตลาดและมักจะตักเตือนประชาชนให้ระมัดระวังในเรื่องต่าง ๆ โดยไม่มีตำราเล่มใดบันทึกว่าอิมามอลี (อ.) เคยลงโทษผู้ใดในตลาด
  • ตัฟซีรอิมามฮะซัน อัสการีย์ (อ.) »อัลฮัมดุลลิลฮิร็อบบิลอาละมีน« หมายถึงอะไร?
    11262 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/05/17
    ตัฟซีรอิมามฮะซัน อัสการียฺ (อ.) เป็นหนึ่งในตัฟซีรที่กล่าวว่าเป็นของท่านอิมาม ซึ่งมีเหตุผลบางประการพาดพิงว่าตัฟซีรดังกล่าวเป็นของท่านอิมาม แต่เป็นเหตุผลที่เชื่อถือไม่ได้แน่นอน ตัฟซีรชุดนี้ได้มีการตีความอัลกุรอาน บทฟาติฮะฮฺ (ฮัม) และบทบะเกาะเราะฮฺ โองการ 282 โดยรายงานฮะดีซ ซึ่งในวิชาอุลูมกุรอานเรียกว่าตัฟซีร »มะอฺซูเราะฮฺ« อย่างไรก็ตาม, ท่านอิมามฮะซันอัสการียฺ (อ.) ได้อธิบายถึงประโยคที่ว่า «اَلْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعالَمِين» ไว้ในหลายประเด็น, เนื่องจาการขอบคุณอัลลอฮฺ เพราะความโปรดปรานต่างๆ อันไม่อาจคำนวณนับได้, การสนับสนุนสรรพสิ่งถูกสร้าง, ความประเสริฐ และความดีกว่าของชีอะฮฺ เนื่องจากการยอมรับวิลายะฮฺ และอิมามะฮฺของท่านอิมามอะลี (อ.) และกล่าวว่า เนื่องจากจำเป็นต้องขอบคุณอัลลอฮฺ เพราะความโปรดปรานของพระองค์ จึงได้กล่าวว่า «اَلْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعالَمِين» ...
  • โองการตัฏฮีร กล่าวอยู่ในอัลกุรอานบทใด?
    7548 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/06/30
    อัลกุรอาน โองการที่รู้จักกันเป็นอย่างดีหรือ โองการตัฏฮีร, โองการที่ 33 บทอัลอะฮฺซาบ.อัลกุรอาน โองการนี้อัลลอฮฺ ทรงอธิบายให้เห็นถึง พระประสงค์ที่เป็นตักวีนีของพระองค์ สำหรับการขจัดมลทินให้สะอาดบริสุทธิ์สมบูรณ์ แก่ชนกลุ่มหนึ่งนามว่า อะฮฺลุลบัยตฺ อัลกุรอาน โองการนี้นับว่าเป็นหนึ่งในโองการทรงเกียรติยศยิ่ง เนื่องจากมีรายงานจำนวนมากเกินกว่า 70 รายงาน ทั้งจากฝ่ายซุนนีและชีอะฮฺ กล่าวถึงสาเหตุแห่งการประทานลงมา จำนวนมากมายของรายงานเหล่านั้นอยู่ในขั้นที่ว่า ไม่มีความสงสัยอีกต่อไปเกี่ยวกับจุดประสงค์ของโองการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุประสงค์ของโองการที่กล่าวเกี่ยวกับ อะฮฺลุลบัยตฺ ของท่านศาสดา (ซ็อล น) ซึ่งประกอบไปด้วย ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ ท่านอะลี ท่านฮะซัน และท่านฮุซัยนฺ (อ.) แม้ว่าโองการข้างต้นจะถูกประทานลงมา ระหว่างโองการที่กล่าวถึงเหล่าภริยาของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ก็ตาม แต่ดังที่รายงานฮะดีซและเครื่องหมายอื่นๆ ที่บ่งบอกถึงประเด็นดังกล่าวนั้น สามารถเข้าใจได้ว่า โองการข้างต้นและบทบัญญัติของโองการ มิได้เกี่ยวข้องกับบรรดาภริยาของท่านศาสดาแต่อย่างใด และการกล่าวถึงโองการที่มิได้เกี่ยวข้องกันไว้ในที่เดียวกัน ...
  • ได้ยินว่าระหว่างสงครามอิรักกับอิหร่านนั้น ร่างของบางคนที่ได้ชะฮีดแล้ว, แต่ไม่เน่าเปื่อยสลาย, รายงานเหล่านี้เชื่อถือได้หรือยอมรับได้หรือไม่?
    8473 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/05/17
    โดยปกติโครงสร้างของร่างกายมนุษย์, จะเป็นไปในลักษณะที่ว่า เมื่อจิตวิญญาณได้ถูกปลิดไปจากร่างกายแล้ว, ร่างกายของมนุษย์จะเผ่าเปื่อยและค่อยๆ สลายไป, ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้น้อยมาก ที่ร่างกายของบางคนหลังจากเสียชีวิตไปแล้วนานหลายปี จะไม่เน่าเปื่อยผุสลายและอยู่ในสภาพปกติ. แต่อีกด้านหนึ่ง อัลลอฮฺ ทรงพลานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่างและทุกการงาน[1] ซึ่งอย่าเพิ่งคิดว่าสิ่งนี้จะไม่มีความเป็นไปได้ หรือห่างไกลจากภูมิปัญญาแต่อย่างใด. เพราะว่านี่คือกฎเกณฑ์ทั่วไป ซึ่งได้รับการละเว้นไว้ในบางกรณี, เช่น กรณีที่ร่างของผู้ตายอาจจะไม่เน่าเปื่อย โดยอนุญาตของอัลลอฮฺ ดังเช่น มามมีย์ เป็นต้น จะเห็นว่าร่างกายของเขาไม่เน่าเปื่อย ซึ่งเรื่องนี้ได้ผ่านพ้นไปนานหลายพันปีแล้ว และประสบการณ์ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นความจริงดังกล่าวแล้วด้วย ดังนั้น ถ้าหากพระประสงค์ของอัลลอฮฺ ครอบคลุมเหนือประเด็นดังกล่าวนี้ ก็เป็นไปได้ที่ว่าบางคนอาจเสียชีวิตไปแล้วหลายร้อยปี แต่ร่างกายของเขาไม่เน่าเปื่อยผุสลาย ยังคงสมบูรณ์เหมือนเดิม แล้วพระองค์ทรงเป่าดวงวิญญาณให้เขาอีกครั้ง ซึ่งเขาผู้นั้นได้กลับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง, อัลกุรอานบางโองการ ก็ได้เน้นย้ำถึงเรื่องราวของศาสดาบางท่านเอาไว้[2] เช่นนี้เองสิ่งที่กล่าวไว้ในรายงานว่า ถ้าหากบุคคลใดที่มีนิสัยชอบทำฆุซลฺ ญุมุอะฮฺ, ร่างกายของเขาในหลุมฝังศพจะไม่เน่นเปื่อย
  • ในทัศนะอิสลาม บาปของฆาตกรที่เข้ารับอิสลามจะได้รับการอภัยหรือไม่?
    8114 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/12
    อิสลามมีบทบัญญัติเฉพาะสำหรับผู้ที่เพิ่งเข้ารับอิสลามอาทิเช่นหากก่อนรับอิสลามเคยละเมิดสิทธิของอัลลอฮ์เช่นไม่ทำละหมาดหรือเคยทำบาปเป็นอาจินเขาจะได้รับอภัยโทษภายหลังเข้ารับอิสลามทว่าในส่วนของการล่วงละเมิดสิทธิเพื่อนมนุษย์เขาจะไม่ได้รับการอภัยใดๆเว้นแต่คู่กรณีจะยอมประนีประนอมและให้อภัยเท่านั้นฉะนั้นหากผู้ใดเคยล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่นเมื่อครั้งที่ยังมิได้รับอิสลามการเข้ารับอิสลามจะส่งผลให้เขาได้รับการอนุโลมโทษทัณฑ์จากอัลลอฮ์ก็จริงแต่ไม่ทำให้พ้นจากกระบวนการพิจารณาโทษในโลกนี้
  • การให้การเพื่อต้อนรับเดือนมุฮัรรอม ตามทัศนะของชีอะฮฺถือว่ามีความหมายหรือไม่?
    7480 สิทธิและกฎหมาย 2554/12/20
    การจัดพิธีกรรมรำลึกถึงโศกนาฏกรรมของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ถือเป็นซุนนะฮฺ (แบบฉบับ) ซึ่งได้รับการสถาปนาและสนับสนุนโดยบรรดาอิมามมะอฺซูม (อ.)

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60132 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57573 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42220 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39370 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38950 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34004 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28021 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27966 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27804 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25802 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...