การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
7194
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2555/05/08
คำถามอย่างย่อ
จำเป็นหรือไม่ที่มิตรภาพระหว่างบุคคลขึ้นอยู่กับความคล้ายคลึงกันทางกายภาพ อย่างเช่น อายุและส่วนสูงที่เท่ากัน ฯลฯ?
คำถาม
นักบรรยายท่านหนึ่งเคยกล่าวว่า เพื่อนสองคนนอกจากจะต้องมีความคล้ายคลึงกันทางความคิดแล้ว ยังจะต้องคล้ายคลึงกันในแง่รูปลักษณ์ภายนอกด้วย อาทิเช่นอยู่ในวัยใกล้เคียงกัน มีร่างกายที่ทัดเทียมกัน (มิไช่ว่าคนหนึ่งร่างเล็กแต่อีกคนหนึ่งร่างกายกำยำ หรือคนหนึ่งหน้าอ่อนแต่อีกคนหน้าตามีอายุ) สรุปคือควรจะเข้ากันได้ในทุกๆด้าน มิฉะนั้นสังคมจะเกิดความเข้าใจผิดได้ ถามว่าความคิดดังกล่าวถูกต้องหรือไม่?
คำตอบโดยสังเขป

สิ่งที่อิสลามใช้เป็นเกณฑ์ในการเลือกคบค้าสมาคมอันดับแรกก็คือคุณลักษณะทางจิตใจ หาไช่รูปลักษณ์ภายนอกไม่ อย่างไรก็ดี คุณลักษณะภายนอกบางประการอาจเป็นสิ่งสำคัญในบางสถานการณ์ ตัวอย่างเช่น การที่ไม่ควรคบหากับผู้ที่จะเป็นเหตุให้ถูกสังคมมองในทางที่ไม่ดี
หลักเกณฑ์ของอิสลามคือ ควรต้องมีอีหม่าน, สามารถจุนเจือเพื่อนได้ทั้งทางโลกและทางธรรม, ช่วยตักเตือนในความผิดพลาด ฯลฯ

คำตอบเชิงรายละเอียด

เพื่อนคือผู้ที่อยู่เคียงข้างยามเดียวดาย ร่วมแบ่งทุกข์ปันสุข หยิบยื่นความช่วยเหลือยามยาก เป็นที่พึ่งได้ยามเผชิญอุปสรรค และเป็นที่ปรึกษายามกังวลใจ อย่างไรก็ดี เนื่องจากเพื่อนของแต่ละบุคคลถือเป็นดัชนีชี้วัดบุคลิกและระดับคุณธรรมได้ นอกจากนี้ เพื่อนยังมีอิทธิพลต่อนิสัยใจคอของมนุษย์เราในช่วงวัยต่างๆค่อนข้างสูง การเลือกคบเพื่อนจึงมีส่วนช่วยประคองศีลธรรมสังคมและพฤติกรรมมนุษย์ได้ ดังที่ท่านอิมามอลี(อ.)กล่าวว่า “มิตรสหายเปรียบดั่งผ้าที่นำมาปะชุนสังคม ฉะนั้นจงเลือกคบบุคคลที่คล้ายคลึงกับท่านเถิด”[1]

สัมพันธภาพทางจิตใจย่อมจะนำสู่การเชื่อมโยงทางสังคมที่จับต้องได้ ในทางกลับกัน สัมพันธภาพทางสังคมก็ส่งผลต่อสภาพจิตใจได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่นิยมการขัดเกลาจิตใจและพัฒนาบุคลิกภาพให้บรรลุซึ่งศีลธรรมจรรยาจึงต้องใช้หลักเกณฑ์ทางศาสนาเป็นมาตรฐานในการพิจารณาคบหาเพื่อน อีกทั้งยังต้องระมัดระวังอิทธิพลของเพื่อนที่มีต่อจิตใจ จึงกล่าวได้ว่า คุณสมบัติทางนิสัยใจคอคือสิ่งที่อิสลามถือเป็นมาตรฐานหลักในการเลือกคบเพื่อน หาไช่คุณสมบัติภายนอกไม่

ในที่นี้ขอนำเสนอคุณสมบัติทางจิตใจบางประการของเพื่อนดังต่อไปนี้

1. อีหม่านคือฐานรากที่สำคัญที่สุดของมิตรภาพ สิ่งเดียวที่มั่นคงถาวรก็คือศรัทธาที่มีต่อหลักความเชื่อทางศาสนา สายสัมพันธ์ที่อิงความรักในอัลลอฮ์เป็นหลักเกณฑ์ย่อมจะไม่มีวันขาดสะบั้น ทั้งนี้ก็เพราะตั้งอยู่บนรากฐานอันแข็งแกร่ง สิ่งนี้ถือเป็นเอกลักษณ์ของอิสลามที่กำหนดว่าศรัทธาคือรากฐานของทุกสิ่งทุกอย่าง อิสลามถือว่ามิตรภาพหรือความชิงชังที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของอีหม่านชี้ให้เห็นถึงสัมพันธภาพที่เหนียวแน่นระหว่างพระเจ้าและมนุษย์

โองการกุรอานหลายบทกล่าวไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยพยายามระงับมิให้ผู้ศรัทธากระชับสายสัมพันธ์กับเหล่าผู้ปฏิเสธ ผู้ตั้งภาคี และเหล่าผู้กลับกลอก อาทิเช่นโองการที่ว่า “บรรดาผู้ศรัทธามิบังควรเลือกผู้ปฏิเสธเป็นมิตรแทนที่ผู้ศรัทธาด้วยกัน และหากผู้ใดกระทำเช่นนี้ ย่อมถือว่าไม่มีสายสัมพันธ์ใดๆกับพระองค์ (ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอัลลอฮ์ขาดสะบั้นลง) เว้นเสียแต่ว่าจะงดพฤติกรรมดังกล่าว...”[2]

2. มิตรแท้ควรเป็นผู้ปราดเปรื่องด้วยปัญญา: ปัญญาคือศักยภาพที่ช่วยให้มนุษย์เข้าใจสิ่งต่างๆได้ และเนื่องจากปัญญาเปรียบดั่งประทีปแห่งชีวิตที่ช่วยส่องสว่างสู่ความผาสุกของมนุษย์ เป็นเหตุให้อิสลามถือว่าปัญญาคือหลักเกณฑ์ประการหนึ่งสำหรับการเลือกคบเพื่อน โดยรณรงค์ให้คบค้าสมาคมกับผู้ทรงปัญญาหรือนักวิชาการ

มีฮะดีษจากท่านอิมามอลี(อ.)กล่าวว่า “ไม่มีปัญหาใดๆหากจะคบคนฉลาดหลักแหลม เพราะแม้ว่าเธออาจจะไม่ได้ประโยชน์จากศีลธรรมของเขา แต่จงใช้ประโยชน์จากปัญญาของเขาทว่าพึงหลีกห่างมารยาทอันไม่พึงประสงค์ที่เขามี และจงคบกับผู้มีไมตรีจิตแม้ว่าเธออาจไม่ได้รับประโยชน์จากปัญญาของเขา แต่จงใช้ปัญญาของเธอเรียนรู้ไมตรีจิตจากเขา และจงออกห่างผู้ต่ำต้อยที่ไร้ความคิด”[3]

ท่าน(อ.)ยังได้กล่าวอีกว่า “การคบหาคนฉลาดจะช่วยให้วิญญาณมีชีวิตชีวา”[4]
ทว่าเพื่อนที่เบาปัญญาเปรียบดั่งยาพิษที่บ่อนทำลายสุขภาพจิตทุกเมื่อเชื่อวัน

อิมามศอดิก(อ.)กล่าวว่า “ผู้ที่ยังสานสัมพันธ์กับคนเขลาย่อมจะได้รับอิทธิพลจากพฤติกรรมเบาปัญญา อันจะทำให้เขาค่อยๆมีลักษณะนิสัยเช่นนั้น”[5]

3. เพื่อนแท้คือผู้ที่มอบข้อบกพร่องของเราเป็นของขวัญแก่เราเอง: อิสลามถือว่ามิตรภาพที่มีคุณค่าต้องเป็นดั่งน้ำทิพย์ชโลมชีวิตส่วนตัวและสังคมของเราได้ ฉะนั้น ผู้ที่พบเห็นข้อบกพร่องของเราแต่ไม่เตือนให้ทราบ ย่อมไม่ไช่เพื่อนแท้ เพราะจากมุมมองของฮะดีษแล้ว เพื่อนที่แท้จริงเปรียบดุจกระจกเงาที่สะท้อนข้อบกพร่องแก่เราเพื่อให้สามารถปรับปรุงแก้ไขได้เนื่องจากหวังดีและอยากเห็นเพื่อนประสบความผาสุก จึงได้แจ้งให้ทราบถึงข้อบกพร่องบางประการเพื่อจะได้แก้ไขอย่างทันท่วงที

กุรอานกล่าวว่า “ปวงบุรุษและสตรีล้วนเป็นกัลญาณมิตรกันและกัน ตักเตือนสู่ความดีและห้ามปรามกันในความชั่ว ดำรงนมาซและชำระซะกาต และภักดีต่ออัลลอฮ์และศาสนทูต ไม่ช้าพระองค์จะทรงประทานเมตตาธรรมแก่พวกเขา พระองค์ทรงยิ่งด้วยพระปรีชาและวิทยปัญญา”[6]
อิมามศอดิกกล่าวว่า “มิตรที่ดีที่สุดของฉันก็คือผู้ที่มอบคำตักเตือนเกี่ยวกับข้อบกพร่องของฉัน”[7]

4. มิตรแท้คือผู้ที่มีจิตดำริในการบรรเทาความเดือดร้อนทั้งในด้านทรัพย์สินและจิตใจเท่าที่สามารถจะกระทำได้
อิมามฮะซัน(อ.)ให้โอวาทเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า
“จงเลือกคบผู้ที่เป็นดั่งเครื่องประดับยามคบหา
ผู้ที่รักษาเกียรติของเธอยามเธอที่ช่วยเหลือ
ผู้ที่ยื่นมือเข้าช่วยยามที่เธอต้องการ
ผู้ที่รับรองคำพูด(ที่ถูกต้อง)ของเธอ
ผู้ที่จะสนับสนุนเธอยามที่เธอต่อสู้กับศัตรู
ผู้ที่จะเกื้อหนุนเธอยามที่เธอกระทำความดี
ผู้ที่จะช่วยเติมเต็มให้ยามที่ชีวิตของเธอมีจุดบอด
ผู้ที่รู้คุณเธอยามที่เธอปฏิบัติดีด้วย
ผู้ที่จะหยิบยื่นเสมอเมื่อเธอขอร้อง
และผู้ที่จะเอ่ยปากช่วยเหลือเธอแม้ยามที่เธอเงียบ”[8]

เหล่านี้ถือเป็นคุณสมบัติส่วนบุคคลที่มิตรแท้ควรมี นอกจากนี้ยังควรพิจารณาคุณสมบัติทางสังคม กล่าวคือควรถือวิถีประชาเป็นหลักเกณฑ์ในการพิจารณาสานสัมพันธ์ฉันเพื่อนฝูงด้วย ซึ่งขอนำเสนอโดยสังเขปดังนี้

  1. อายุ: ควรพิจารณาสองข้อคิดต่อไปนี้
    ก. ในกรณีที่ผู้ที่เราต้องการคบเป็นเพื่อนมีอายุมากกว่า สามารถที่จะศึกษาประสบการณ์จากเขาในฐานะพี่น้องทางศาสนาหรือเพื่อนรุ่นพี่ได้ โดยควรให้เกียรติและระมัดระวังไม่แสดงพฤติกรรมที่เหมาะสมกับวัยเดียวกัน และไม่ควรแสดงอากัปกริยาอันจะทำให้ผู้คนในสังคมตำหนิได้
    ข. สิ่งที่กล่าวไปแล้วข้างต้นสามารถใช้กับเพื่อนที่มีอายุเท่ากันได้ นั่นเป็นเพราะสถานภาพทางสังคมของแต่ละบุคคลเป็นสิ่งสำคัญที่พึงให้เกียรติ
  2. ควรคำนึงถึงภูมิหลังทางสังคมของบุคคลที่ต้องการจะคบค้าสมาคมเสมอ ตัวอย่างเช่น ผู้ที่เป็นที่ยอมรับในสังคมไม่ควรคบหากับบุคคลที่มีบุคลิกภาพเชิงลบในแง่สังคม เพราะถึงแม้ว่าควรจะมีไมตรีกับผู้ที่เราจะตักเตือน แต่ก็ไม่จำเป็นเสมอไปที่จะต้องคบหาบุคคลดังกล่าวเป็นมิตรสหายใกล้ชิด
  3. ในกรณีที่บุคคลสองคนสนิทสนมแน่นแฟ้นในลักษณะที่จะทำให้สังคมติฉินนินทาได้ก็ควรระมัดระวังพฤติกรรมที่จะทำให้เกิดข้อครหาขึ้น ดังที่ท่านอิมามอลี(อ.)เคยกล่าวว่า “พึงหลีกเลี่ยงเหตุปัจจัยที่จะทำให้ผู้คนกล่าวหาได้ เพราะมิตรชั่วจะหลอกลวงเสมอ”[9]

ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ระเบียนต่อไปนี้
คุณสมบัติของผู้ศรัทธา,คำถามที่ 2534 (ลำดับในเว็บไซต์ 2671)
ยามที่ผู้ศรัทธาพบปะกันและกัน,คำถามที่11824 (ลำดับในเว็บไซต์ 13365 )
วิธีคบหาผู้อื่น,คำถามที่8795 (ลำดับในเว็บไซต์ 8752)
ชีวิตปัจเจกและชีวิตสังคม,คำถามที่ 8351(ลำดับในเว็บไซต์ 8370)

 

 


[1] ตะมีมี อามิดี,อับดุลวาฮิด บิน มุฮัมมัด, ฆุเราะรุ้ลฮิกัม,หน้า 423,สำนักงานเผยแพร่อิสลาม,กุม,ปี1366

[2] อาลิ อิมรอน,28

[3] กุลัยนี,มุฮัมมัด บิน ยะอ์กู้บ,อัลกาฟี,เล่ม 2,หน้า 638,ดารุลกุตุบิลอิสลามียะฮ์,เตหราน,ปี1365

[4] ฆุเราะรุ้ลฮิกัม,หน้า429,ฮะดีษที่ 9771

[5] มุฮัดดิษ นูรี,มุสตัดร้อก อัลวะซาอิ้ล,เล่ม 8,หน้า 336,สถาบันอาลุลบัยต์(อ.),กุม,ฮ.ศ.1408

[6] เตาบะฮ์,71

[7] อัลกาฟี,เล่ม 2,หน้า 639

[8] มัจลิซี,มุฮัมมัด บากิร, บิฮารุลอันว้าร,เล่ม 44,หน้า 139,สถาบันอัลวะฟา,เบรุต,ฮ.ศ.1404

[9] อามิลี,เชคฮุร,วะซาอิลุชชีอะฮ์,เล่ม 12,หน้า 36,สถาบันอาลุลบัยต์(อ.),กุม,ฮ.ศ.1409

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ฮะดีษว่าด้วยการต่อสู่ในยุคสุดท้ายที่เริ่มจากอิหร่านเชื่อถือได้เพียงใด?
    17593 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/15
    ตำราทั้งฝ่ายชีอะฮ์และซุนหนี่รายงานพ้องกันว่าจะมีขบวนการต่อสู้ครั้งสำคัญเกิดขึ้นเพื่อเป็นการปูทางสู่การปรากฏกายของอิมามมะฮ์ดี(อ.) โดยเหล่าผู้ถือธงดำในขบวนการนี้จะเป็นผู้เตรียมความพร้อมก่อนที่อิมามมะฮ์ดีจะขึ้นปกครองโลกทั้งผอง[1]รัฐบาลตระเตรียมการของชาวอิหร่านเพื่อปูทางสู่รัฐของอิมามมะฮ์ดีมีสองระยะด้วยกัน:หนึ่ง. เริ่มต่อสู้โดยการชี้นำของบุรุษชาวเมืองกุมซึ่งเป็นไปได้ว่าขบวนการของเขาเป็นจุดเริ่มต้นของการปรากฏกายของอิมามเนื่องจากมีฮะดีษระบุว่าขบวนการของอิมามจะเริ่มจากทางทิศตะวันออก.[2]สอง. การเรืองอำนาจโดยซัยยิดโครอซอนีโดยการสนับสนุนของผู้บัญชาการทัพชื่อชุอัยบ์บินศอลิห์[3]ดังที่กล่าวไปแล้วฮะดีษที่เกี่ยวกับการปรากฏกายของอิมามมะฮ์ดีบทหนึ่งระบุว่า:....عَنْ عَلِیِّ بْنِ عِیسَى عَنْ أَیُّوبَ بْنِ یَحْیَى الْجَنْدَلِ عَنْ أَبِی الْحَسَنِ الْأَوَّلِ ع قَالَ رَجُلٌ مِنْ أَهْلِ قُمَّ یَدْعُو النَّاسَ إِلَى الْحَقِّ یَجْتَمِعُ مَعَهُ ...
  • เหตุใดบรรดาอิมาม(อ.)จึงไม่สามารถปกป้องฮะร็อมของตนเองให้พ้นจากการโจมตีของผู้ก่อการร้ายได้?
    6335 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/10/13
    นอกจากอัลลอฮ์จะทรงมอบอำนาจแห่งตัชรี้อ์(อำนาจบังคับใช้กฎชะรีอัต)แก่นบี(ซ.ล.)และบรรดาอิมาม(อ.)แล้วพระองค์ยังได้มอบอำนาจแห่งตั้กวีนีอีกด้วยเป็นเหตุให้บุคคลเหล่านี้สามารถจะแสดงอิทธิฤทธิ์ต่อสรรพสิ่งในโลกได้อำนาจดังกล่าวยังมีอยู่แม้บุคคลเหล่านี้สิ้นลมไปแล้วทั้งนี้ก็เพราะพวกเขาถือเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่ยังคงไว้ซึ่งอำนาจดังกล่าวแม้อยู่ในอาลัมบัรซัค(มิติหลังมรณะ) อย่างไรก็ดีบุคคลเหล่านี้ไม่เคยใช้อำนาจดังกล่าวอย่างพร่ำเพรื่อแต่จะใช้อำนาจนี้ในสถานการณ์ที่จำเป็นต่อการดำรงอยู่ของศาสนาของอัลลอฮ์หรือกรณีที่จำเป็นต่อการนำทางมนุษย์เท่านั้นซึ่งต้องไม่ขัดต่อจารีตวิถี(ซุนนะฮ์)ของพระองค์ด้วยอีกด้านหนึ่งการให้เกียรติสุสานของบรรดาอิมาม(อ.)นับเป็นหนทางที่เที่ยงตรงส่วนการประทุษร้ายต่อสถานที่ดังกล่าวก็นับเป็นหนทางที่หลงผิดแน่นอนว่าจารีตวิถีหนึ่งของพระองค์ก็คือการที่ทรงประทานเสรีภาพแก่มนุษย์ในอันที่จะเลือกระหว่างหนทางที่เที่ยงตรงและหลงผิดด้วยเหตุนี้เองที่บรรดาอิมาม(อ.)ไม่ประสงค์จะใช้อำนาจพิเศษโดยไม่คำนึงความเหมาะสมยิ่งไปกว่านั้นพระองค์อัลลอฮ์เองซึ่งแม้จะทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่งแต่ก็มิได้ทรงใช้อำนาจทุกกรณีเห็นได้จากการที่มีผู้สร้างความเสียหายแก่อาคารกะอ์บะฮ์หลายครั้งในหน้าประวัติศาสตร์แต่พระองค์ทรงใช้พลังพิเศษกับกองทัพของอับเราะฮะฮ์เท่านั้นเนื่องจากเขายาตราทัพเพื่อหวังจะบดขยี้กะอ์บะฮ์โดยเฉพาะ ...
  • ทำไมจึงให้สร้อยนามมะอ์ศูมะฮ์แก่ท่านหญิงฟาติมะฮ์ มะอ์ศูมะฮ์ ท่านดำรงสถานะมะอ์ศูมด้วยหรืออย่างไร?
    7824 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/06/23
    ชื่อของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ คือ“ฟาติมะฮ์” ตำราประวัติศาสตร์ก็ได้เอ่ยถึงท่านโดยใช้นามว่า ฟาติมะฮ์ บินติ มูซา บินญะอ์ฟัร (อ.) ท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ไม่ได้เป็นมะอ์ศูมในความหมายทางหลักของศาสตร์แห่งเทววิทยาอิสลามอย่างที่ใช้กับบรรดาศาสดาและบรรดาอะอิมมะฮ์ แต่ทว่าเธอมีความบริสุทธิ์ทางจิตใจและความเพียบพร้อมทางด้านจิตใจที่สูงส่ง อนึ่ง ประเด็นของอิศมะฮ์และความบริสุทธิ์ถือเป็นประเด็นที่ต้องอาศัยการเปรียบเทียบกับสิ่งอื่น เมื่อคำนึงถึงฮะดีษหลายบทที่ได้กล่าวถึงฐานันดรและความสูงส่งของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์แล้ว สามารถกล่าวได้ว่าท่านนั้นมีความสูงส่งในด้านของอิศมะฮ์ ในระดับสูง – แม้ไม่ถึงขั้นของอะอิมมะฮ์ ...
  • บรรดาเชลยแห่งกัรบะลาอฺมุฮัรรอม ได้เคลื่อนออกจากกัรบะลาอฺไปยังเมืองชามวันอะไร?
    7210 تاريخ کلام 2554/06/22
    ตามรายงานที่ปรากฏอยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์และมะกอติล, กองคาราวานเชลยแห่งกัรบะลาอฺได้เคลื่อนออกจากกัรบะลาอฺในวันที่ 11 เดือนมุฮัรรอมและวันที่ 12 เดือนมุฮัรรอมได้มาถึงเมืองกูฟะฮฺและเคลื่อนออกจากเมืองกูฟะฮฺไปยังเมืองชามในวันที่ 19 เดือนมุฮัรรอมและถึงเมืองชามในวันที่ 1 เดือนเซาะฟัร[1]
  • ความเชื่อคืออะไร
    18035 เทววิทยาใหม่ 2554/04/21
    ความเชื่อคือความผูกพันขั้นสูงสุดของมนุษย์เกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณซึ่งถือว่าเป็นมงคลแก่ผู้คนและพร้อมที่จะแสดงความรักและความกล้าหาญของตนออกมาเพื่อสิ่งนั้นความเชื่อในกุรอานมี 2 ปีก : ศาสตร์และการปฏิบัติศาสตร์เพียงอย่างเดียวสามารถรวมเข้าด้วยกันกับการปฏิเสธศรัทธาได้ขณะเดียวกันการปฏิบัติเพียงอย่างเดียวสามารถเชื่อมโยงกับการกลับกลอกได้ในหมู่บรรดานักศาสนศาสตร์อิสลามได้แสดงทัศนะเกี่ยวกับความเชื่อไว้ ...
  • การสัมผัสสิ่งที่เป็นนะญิสจะทำให้เราเป็นนะญิสด้วยหรือไม่? หากต้องการทำความสะอาดเราจะต้องอาบน้ำยกฮะดัษใหญ่หรือไม่?
    8025 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/25
    หากสิ่งหนึ่งที่สะอาดสัมผัสกับสิ่งที่เปื้อนนะญิสโดยหนึ่งในสองหรือทั้งสองสิ่งนั้นมีความชื้นในลักษณะที่ถ่ายทอดถึงกันได้สิ่งสะอาดดังกล่าวก็จะเปื้อนนะญิสด้วย[1]สำหรับการทำความสะอาดสิ่งนั้นหลังจากที่ได้กำจัดธาตุนะญิสออกแล้วหากสิ่งที่เป็นนะญิสที่ไม่ใช่ปัสสาวะการล้างด้วยน้ำปริมาตรกุรน้ำปริมาตรก่อลี้ลหรือน้ำไหลผ่านถือว่าเพียงพอแล้ว       อิฮติยาตวาญิบให้บิดหรือสะบัดพรมเสื้อผ้าฯลฯเพื่อให้น้ำที่คงเหลืออยู่ในนั้นใหลออกมาหากต้องการทำความสะอาดสิ่งที่เป็นนะญิสโดยปัสสาวะจะต้องล้างด้วยน้ำก่อลี้ลโดยให้ราดน้ำหนึ่งครั้งโดยให้น้ำไหลผ่านหากไม่หลงเหลือปัสสาวะแล้วให้ราดน้ำอีกหนึ่งครั้งก็จะสะอาดแต่ในกรณีพรมหรือเสื้อผ้าและสิ่งทอประเภทอื่นๆทุกครั้งที่ราดน้ำจะต้องบีบหรือบิดจนน้ำไหลออกมา[2]ไม่ว่ากรณีใดข้างต้นก็ไม่จำเป็นจะต้องทำอาบน้ำยกฮะดัษนอกจากผู้ที่ได้สัมผัสศพก่อนอาบน้ำมัยยิตและหลังจากที่ศพเย็นลงแล้วในกรณีนี้นอกจากเขาจะต้องล้างส่วนๆนั้นของร่างกายที่สัมผัสกับศพแล้วเขาจะต้องทำกุซุลมัสส์มัยยิต(สัมผัสศพ)ด้วยเช่นกัน[3]หากสิ่งที่สะอาดสัมผัสกับสิ่งที่เปื้อนนะญิสโดยที่สองสิ่งดังกล่าวแห้งหรือมีความชื้นต่ำเสียจนไม่ถ่ายทอดถึงกันสิ่งที่สะอาดก็จะไม่เปื้อนนะญิส[4]
  • การกระทำใดบ้างที่ส่งผลให้คนเราแลดูสง่ามีราศี?
    6834 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/28
    ในมุมมองของอิสลามความสง่างามแบ่งได้เป็นสองประเภทอันได้แก่ความงดงามภายนอกและภายใน.ปัจจัยที่สร้างเสริมความสง่างามภายในตามที่ฮะดีษบ่งบอกไว้ก็คือความอดทนความสุขุมความยำเกรง...ฯลฯ
  • สามารถครอบครองที่ดินบริจาคได้หรือไม่? สามารถขายที่ดินบริจาคได้หรือไม่?
    6185 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/21
    โปรดพิจารณาคำวินิจฉัยของมัรญิอฺตักลีดเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวท่านอายะตุลลอฮฺอัลอุซมาคอเมเนอี (ขออัลลอฮฺทรงปกป้องท่าน
  • ถูกต้องไหม ขณะที่ท่านอิมามอะลี (อ.) ถูกฟันศีรษะขณะนมาซซุบฮฺ,อิมามฮะซันและอิมามฮุซัยนฺ มิได้อยู่ด้วย?
    8439 تاريخ بزرگان 2554/12/20
    รายงานเกี่ยวกับการถูกฟันของท่านอิมามอะลี (อ.) ซึ่งขณะนั้นท่านอิมามฮะซันและอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ร่วมอยู่ด้วยนั้นมีจำนวนมากด้วยเหตุนี้เองจึงมีความเป็นไปได้หลายกรณีเกี่ยวกับประเด็นที่กำลังวิภาษกันอยู่กล่าวคือ:1.
  • ขณะลงซัจญฺดะฮฺ จะต้องเอาอวัยวะส่วนใดลงพื้นก่อนซัจญฺดะฮฺ?
    6479 สิทธิและกฎหมาย 2555/05/17
    การซัจญฺดะฮฺเป็นหนึ่งในวาญิบของนมาซ, ซึ่งมีองค์ประกอบและเงื่อนไขวาญิบและมุสตะฮับหลายประการ, เช่น หนึ่งในบางประการที่ถือว่าเป็นมุสตะฮับของซัจญฺดะฮฺ, กล่าวคือ ชาย ขณะลงซัจญฺดะฮฺให้เอาฝ่ามือลงก่อน, ส่วนหญิงให้เอาเข่าลงก่อน[1] [1] อิมามโคมัยนี, เตาฎีฮุลมะซาอิล (มะฮัชชี), ผู้ตรวจทานและค้นคว้า : บนีฮาชิมมี โคมัยนี, ซัยยิดมุฮัมมัด ฮุซัยน, เล่ม 1, หน้า 591, ดัฟตัรอินเตะชารอต อิสลามี, กุม, พิมพ์ครั้ง 8, ปี ฮ.ศ. 1424

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60773 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58456 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42877 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40442 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39491 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34631 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28695 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28592 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28544 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26460 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...