การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
17625
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2550/09/24
คำถามอย่างย่อ
เพราะเหตุใดอัลลอฮฺ จึงไม่ตอบรับดุอาอฺขอฉัน?
คำถาม
เป็นเวลาหลายปีแล้ว ที่ฉันเฝ้าวอนขอดุอาอฺ แล้วมันอยู่ที่ไหนหรือ???เดือนรอมฎอนคือเดือนแห่งการตอบรับดุอาอฺ แต่ทำไมถึงไม่ถูกตอบรับ? อัลลอฮฺ ตรัสว่า : จงวิงวอนต่อข้าเพื่อข้าจะได้ตอบรับ นานกี่เดือนกี่ปีหรือ?
คำตอบโดยสังเขป

ดุอาอฺ คือหัวใจของอิบาดะฮฺ, ดุอาอฺคือการเชื่อมน้ำหยดหนึ่งกับทะเล และด้วยการเชื่อมต่อนั่นเองคือ การตอบรับ.ความสัมฤทธิ์ผลจากอัลลอฮฺต่างหาก ที่มนุษย์ได้มีโอกาสดุอาอฺต่อพระองค์, การตอบรับดุอาอฺนั้นมีมารยาทและเงื่อนไขอยู่ในตัว, ต้องเอาใจใส่ต่อสิ่งเหล่านั้น และต้องขจัดอุปสรรค์ที่ขวางกั้นให้หมดไป, อุปสรรคสำคัญอันเป็นเหตุให้ดุอาอฺไม่ถูกตอบรับคือ บาปกรรม,การรู้จักอัลลอฮฺก็เป็นอีกเงื่อนไขหนึ่งที่สำคัญที่สุด ที่ทำให้ดุอาอฺถูกตอบรับ

คำตอบเชิงรายละเอียด

ท่านอิมามอะลี (อ.) ได้กล่าวคำเทศนาอันเป็นสำนวนจับใจในวันศุกร์หนึ่ง ซึ่งในตอนท้ายของคำเทศนาท่านกล่าวว่า : โอ้ ประชาชนเอ๋ย มีความทุกข์อันยิ่งใหญ่อยู่ 7 ประการ ซึ่งจำเป็นต้องขอความคุ้มครองและพึ่งพิงต่ออัลลอฮฺ, ผู้รู้ที่หลงผิด, ผู้ดำรงอิบาดะฮฺที่เหนื่อยหน่าย, ผู้ล้มละลายจากทรัพย์สิน, ผู้ที่สูญสิ้นอำนาจมารมีตกต่ำยิ่งกว่าคนขอทานที่เจ็บป่วย, ซึ่งจำเป็นต้องพึ่งพาอัลลอฮฺ, เวลานั้นได้มีชายคนหนึ่งยืนขึ้นพร้อมทั้งกล่าวว่า : ท่านพูดความจริงหรือ, โอ้ อะมีรุลมุอฺมินีน ท่านคือกิบละฮฺสำหรับพวกเรา เมื่อพวกเราระหนอย่างไร้จุดหมาย ท่านคือแสงสว่างสำหรับพวกเรา เมื่อพวกเราตกอยู่ในความมืดมิด แต่พวกเราขอถามท่านเกี่ยวกับพระดำรัสของอัลลอฮฺ ที่ตรัสว่า : »จงวิงวอนต่อข้าเพื่อข้าจะได้ตอบรับเจ้า« แล้วพวกเราก็ได้วิงวอน แต่เกิดอะไรขึ้นหรือ พระองค์จึงไม่ตอบรับคำวิงวอน? ท่านอิมาม กล่าวว่า : »เป็นเพราะหัวใจของพวกเธอได้ทรยศคุณสมบัติพิเศษ 8 ประการ

หนึ่ง พวกเธอรู้จักอัลลอฮฺ, สิทธิของพระองค์คือ สิ่งที่พระองค์ทรงวาญิบแก่พวกเธอ, แต่พวกเธอมิได้ปฏิบัติตาม.ด้วยเหตุนี้ การรู้จักจึงไม่ยังประโยชน์แก่พวกเธอ

สอง พวกเธอศรัทธาต่อศาสดาของพระองค์, แต่มิได้ปฏิบัติตามแบบฉบับและแนวทางของท่าน อีกทั้งยังทำลายบทบัญญัติของท่าน. ดังนั้น ความศรัทธาของเธอจะมีประโยชน์อันใดอีกหรือ?

สาม พวกเธออ่านอัลกุรอาน, แต่มิได้นำเอาสิ่งนั้นไปปฏิบัติ, พวกเธอพูดว่า ครับผม พวกเราจะเชื่อฟังปฏิบัติตาม, แต่กลับต่อต้าน

สี่ พวกเธอกล่าวว่า พวกเรากลัวไฟนรก, แต่พวกเธอกลับเข้าใกล้ไฟนรกไปทุกขณะ เพราะบาปกรรมที่ก่อขึ้น, ดังนั้น ความเกรงกลัวของพวกเธออยู่ที่ไหนหรือ?

ห้า พวกเธอกล่าวว่าพวกเราปรารถนาสรวงสวรรค์ ขณะที่พวกเธอได้กระทำภารกิจหนึ่งอันเป็นเหตุให้ห่างไกลจากสวรรค์ไปทุกขณะ แล้วความปรารถนาของพวกเธออยู่ที่ไหนหรือ?

หก พวกเธอได้รับประโยชน์จากความโปรดปรานอันอเนกอนันต์ของพระเจ้า, แต่พวกเธอไม่เคยขอบคุณความโปรดปรานเหล่านั้น

เจ็ด พระองค์มีบัญชาแก่พวกเธอว่า จงเป็นศัตรูกับชัยฏอนมารร้าย ตรัสว่า:  »ชัยฏอนนั้นคือศัตรูตัวฉกาจของเธอ ดังนั้น จงถือว่ามารคือศัตรูของเจ้า« แต่พวกเธอกับมิได้แสดงตนเป็นศัตรู ทว่าได้เป็นมิตรกับมาร

แปด พวกเธอมองเห็นแต่ข้อบกพร่องและข้อตำหนิของคนอื่น แต่กับหลงลืมข้อตำหนิของตนเอง. ขณะที่เป็นการสมควรยิ่งที่จะประณามว่ากล่าวตนเอง แต่กับประณามตำหนิคนอื่น. พวกเธอมีคุณสมบัติเหล่านี้อยู่ในตัว แล้วดุอาอฺจะถูกตอบรับได้อย่างไร?  พวกเธอต้องเปิดประตูดุอาอฺแก่ตัวเอง มั่นวิงวอนขอต่อพระองค์ ปรับปรุงแก้ไขการงานของตนให้ถูกต้อง ทำจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์ ส่งเสริมการทำความดีและห้ามปรามความชั่ว เพื่อว่าอัลลอฮฺจะได้ตอบรับดุอาอฺของพวกเธอ«[1]

ตามหลักคำสอนของศาสนาของเรา ดุอาอฺ คืออิบาดะฮฺหรือบางครั้งถูกแนะนำว่า เป็นหัวใจของอิบาดะฮฺด้วยซ้ำไป. ถ้าหากพิจารณาบทบัญญัติของอิสลาม เราจะพบว่าบทบัญญัติส่วนใหญ่เหล่านั้นครอบคลุมอยู่เหนือดุอาอฺทั้งหลาย. อัลลอฮฺ ทรงกล่าวเรียกร้องมนุษย์หลายต่อหลายครั้งในอัลกุรอานว่า ให้ดุอาอฺ

เช่น ตรัสว่า : »จงวิงวอนต่อข้า เพื่อข้าจะได้ตอบรับคำวิงวอนของเจ้า«[2] หรือตรัสว่า : »และเมื่อบ่าวของข้าวิงวอนต่อข้า อันที่จริงข้านี้อยู่ใกล้ ข้าจะตอบรับคำวิงวอนของผู้ที่วิงวอน ถ้าเขาวิงวอนต่อข้า ดังนั้น จงวิงวอนต่อข้า และจงมีศรัทธาต่อข้า เพื่อจะได้รับการชี้นำ«[3]

ดุอาอฺ คือการเชื่อมต่อหยดน้ำไปยังมหาสมุทร. เพียงแค่การได้สัมพันธ์โดยตัวของมันแล้วมีค่ายิ่งและเท่ากับเป็นการตอบรับจากพระองค์. เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสแม้แต่การสายสัมพันธ์เชื่อมต่อไปยังพระองค์ เพียงแค่มนุษย์ได้รำลึกถึงพระองค์ และวิงวอนต่อพระองค์ ขอความคุ้มครองต่อพระองค์ และมอบตัวเองเข้าสู่พระองค์ เท่านี้ก็นับว่าได้รับความโปรดปรานอย่างยิ่งจากพระองค์แล้ว ดังนั้น มนุษย์ต้องถือเอาโอกาสนี้ขอบคุณต่อพระองค์ผู้บริสุทธิ์ให้มากยิ่ง อัลลอฮฺ ตรัสว่า : »จงรำลึกถึงข้า เพื่อข้าจะได้รำลึกถึงเจ้า« การรำลึกของเรามิได้ยังประโยชน์อันใดต่อพระองค์ทั้งสิ้น, ทั้งการรำลึกของเราและการระลึกของพระองค์ล้วนเป็นประโยชน์ต่อเราทั้งสิ้น.

ดุอาอฺ มีมารยาทและเงื่อนไขอันเฉพาะ ซึ่งแน่นอนว่า การเอาใจใส่ต่อสิ่งเหล่านั้น ดุอาอฺของเราจะถูกตอบรับ โอวาทของท่านอิมามอะลี (อ.) ที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ ได้แสดงให้เห็นมารยาทและเงื่อนไขต่างๆ ของดุอาอฺไว้อย่างมากมาย. มีผู้ศรัทธากลุ่มหนึ่งได้มาหาท่านอิมามซอดิก (อ.) พร้อมกับกล่าวว่า : พวกเราได้ดุอาอฺแล้ว, แต่เป็นเพราะอะไร ดุอาอฺของพวกเราไม่ถูกตอบรับ? ท่านอิมาม (อ.) กล่าวว่า : »เนื่องจากพวกเธอได้ดุอาอฺ โดยมิได้แนะนำผู้ใดต่อพระองค์«[4]

บางครั้งเราวิงวอนขอบางสิ่งต่ออัลลอฮฺทั้งที่สิ่งนั้นเป็นอันตรายต่อตัวเอง, ประหนึ่งเด็กที่ไม่รู้ได้วอนขอบางสิ่งจากมารดา ทั้งที่สิ่งนั้นเป็นอันตรายต่อตัวเอง. ดังนั้น ถ้าหากมารดาได้ตอบสนองตามความต้องการของบุตร เท่ากับได้อธรรมต่อเขา ในเวลานั้น เป็นไปได้ที่บุตรอาจจะไม่พอใจมารดา หรือโกรธ, แต่นั่นก็เป็นประโยชน์กับตัวเอง.ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า : »โอ้ ปวงบ่าวของอัลลอฮฺเอ๋ย พวกเธอเปรียบเสมือนคนป่วย และอัลลอฮฺคือแพทย์ผู้รักษา, การเยียวยารักษาอาการป่วยคือ สิ่งที่อยู่ในดุลพินิจของแพทย์ ซึ่งแพทย์รู้และจะพิจารณา มิใช่สิ่งที่คนไข้ต้องการ พึงสังวรไว้เถิด จงมอบหมายการงานต่อพระองค์ เพื่อว่าสิ่งนั้นจะได้ถูกต้อง[5]«

บางครั้งเรามองเห็นประโยชน์ของเราเพียงด้านเดียว โดยลืมคิดไปว่าการตอบรับดุอาอฺของเรา อาจเป็นอันตรายต่อคนอื่นก็ได้. ดุอาอฺของเราอาจถูกตอบรับนานแล้ว,แต่เราอาจไม่รู้ตัว. หรือบางครั้งเราอาจรีบร้อนในการตอบรับ เพียงแค่ดุอาอฺจบลง เราก็ต้องการให้ดุอาอฺถูกตอบรับโดยทันที. รายงานกล่าวว่า ดุอาอฺของมูซาและฮารูน (อ.) เกี่ยวกับฟาโรห์นั้น นานถึง 40 ปี จึงถูกตอบรับ.[6]

บางครั้งการไม่ตอบรับดุอาอฺคือ ความกรุณาอย่างหนึ่งจากพระเจ้า เพื่อจะได้รับเตาฟีกในการสนทนากับอัลลอฮฺ นานยิ่งขึ้น, ท่านอิมามริฎอ (อ.) กล่าวว่า : »ดังที่พระเจ้าทรงล่าช้าในการตอบรับดุอาอฺของมุอฺมิน,เนื่องจากพระองค์ปรารถนาที่จะรับฟังคำวิงวอนของปวงบ่าวให้มากยิ่งขึ้น แต่ดุอาอฺของพวกกลับกลอกพระองค์จะทรงตอบรับโดยเร็ว, เนื่องจากพระองค์ไม่ทรงปรารถนาที่จะได้ยินเสียงของพวกเขา«[7]

ถ้าหากเราพิจารณาสักนิด เราจะเข้าใจว่าอัลลอฮฺ ทรงประทับอยู่ทั่วทั้งจักรวาล พระองค์ทรงมองเห็นทุกสรรพสิ่งในจักรวาล, ดังนั้น จงอย่าปล่อยให้การต้อนรับของเจ้าของบ้าน ทำให้เราถูกกีดกันออกจากเจ้าของบ้าน »เนื่องจากมี 100 ย่อมมี 99 อยู่ในมือแล้ว« ดังนั้น เมื่อเรามีอัลลอฮฺ อยู่ในใจเท่ากับเราได้รับทุกสิ่งแล้ว.

ฉะนั้น ถ้าหากเราคิดไปเองว่า อัลลอฮฺ ไม่ทรงตอบรับดุอาอฺของเรา, เราต้องไม่สิ้นหวัง เราต้องไม่หมดหวังในความเมตตาของพระองค์ เพราะการหมดหวังในความเมตตาของอัลลอฮฺ ถือเป็นบาปอันใหญ่หลวงยิ่ง อัลลอฮฺ ตรัสว่า : »โอ้ ปวงบ่าวของข้าผู้ละเมิดต่อตนเอง อย่าได้หมดหวังต่อพระเมตตาของอัลลอฮฺ แท้จริง อัลลอฮฺ ทรงอภัยความผิดทั้งหลายทั้งมวล พระองค์คือพระผู้ทรงอภัยผู้ทรงปรานีเสมอ«[8]

อุปสรรคสำคัญที่สุดที่ขวางกั้นการตอบรับ ดุอาอฺ คือบาปกรรมต่างๆ ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวต่ออัลลอฮฺ ในดุอาอฺ โกเมลว่า : โอ้ พระผู้อภิบาลของข้าฯ โปรดอภัยในความผิดบาปที่กีดขวางการตอบรับดุอาอฺ. ช่างไร้มารยาทและไร้ความอายสิ้นดี ถ้าหากเราฝ่าฝืนคำสั่งของพระองค์ แล้วปรารถนาบางสิ่งจากพระองค์ อีกทั้งยังคาดหวังว่าพระองค์จะเปิดพระทัยกว้างตอบรับคำวิงวอนและความปรารถนาของเรา.

บาปกรรมคือ ตัวการที่จะทำให้ความศรัทธาที่มีต่ออัลลอฮฺ และเราะซูลของพระองค์ลดน้อยลง และกลายเป็นสาเหตุสำคัญทำให้มนุษย์ลืมหรือปฏิเสธอัลลอฮฺและสัญลักษณ์ต่างๆ ของพระองค์ อัลกุรอานกล่าวว่า : »แล้วบั้นปลายของบรรดาผู้กระทำความชั่วเลวร้ายยิ่งคือ การปฏิเสธสัญญาณทั้งหลายของอัลลอฮฺ และพวกเขาได้เย้ยหยัน«[9] ในทางกลับกัน, อิบาดะฮฺคือ สื่อนำมาซึ่งความเชื่อมั่น »จงเคารพภักดีพระผู้อภิบาลของเจ้า จนกระทั่งความเชื่อมั่นจะมาถึงสูเจ้า«[10]

ดุอาอฺ คือการเปิดเผยความต้องการของปวงบ่าวต่ออัลลอฮฺ ใช่มิต้องสงสัยว่าพระองค์คือผู้ทรงเมตตา, แต่ขณะเดียวกันพระองค์ทรงปรีชาญาณยิ่ง และทั้งความเมตตาและความการุณย์จะไม่เกินเลยวิทยปัญญาของพระองค์ อัลลอฮฺ มิทรงตระหนี่ถี่เหนียว ดังนั้น พระองค์จะทรงตอบรับคำวิงวอนของปวงบ่าวบนวิทยปัญญาของพระองค์ มิใช่บนความปรารถนาของปวงบ่าว

อัลลอฮฺ ตรัสว่า : »และหากอัลลอฮฺทรงตอบรับตามความปรารถนาของมนุษย์ ชั้นฟ้าทั้งหลาย และแผ่นดินและสิ่งที่อยู่ในนั้นต้องเสียหายอย่างแน่นอน«[11]

อัลลอฮฺ ตรัสว่า : »นโอ้ ปวงบ่าวของข้า จงเชื่อฟังปฏิบัติตามบัญชาของข้าเถิด แต่จงอย่าบอกข้าว่า สิ่งใดดีสำหรับเจ้า ข้ารู้ดีกว่าเจ้า และข้ามิได้ตระหนี่ถี่เหนียวในการประทานสิ่งสมควรยิ่งแก่เจ้า«[12] มนุษย์พึงปฏิบัติหน้าที่ของตน เนื่องจากอัลลอฮฺ ทรงทราบดีว่าสมควรกระทำสิ่งใด

»พึงปล่อยทุกสิ่งไป คำพูดของมิตรย่อมไพเราะยิ่งกว่า« อัลลอฮฺ ตรัสว่า  : » แท้จริงบรรดาผู้กล่าวว่า อัลลอฮฺ คือพระผู้อภิบาลของพวกเรา แล้วพวกเขาได้ยืนหยัดตามคำกล่าวนั้น มลากิกะฮฺจะลงมาหาพวกเขา จงอย่ากลัวและอย่าเศร้าสลดใจ แต่จงรับข่าวดีนั่นคือ สรวงสวรรค์ ที่ถูกสัญญาไว้แก่สูเจ้า«[13]

ศึกษาเพิ่มเติมได้จากหัวข้อต่อไปนี้ :

เงื่อนไขการตอบรับดุอาอฺอย่างแน่นอน, คำถามที่ 983 (ไซต์)

การตอบรับดุอาอฺต่างๆ โดยเร็ว, คำถามที่ 14940 (th14733 )(ไซต์)

 


[1] มุสตัดร็อก อัลวะซาอิล, เล่ม 5, หน้า 269.

[2] อัลกุรอาน บทฆอฟิร, 60.

[3] อัลกุรอาน บทบะเกาะเราะฮฺ, 186

[4] มุสตัดร็อก อัลวะซาอิล, เล่ม 5, หน้า 191.

[5] อ้างแล้วเล่มเดิม, หน้า 153

[6] มุสตัดร็อก อัลวะซาอิล, เล่ม 5, หน้า 192.

[7] อ้างแล้วเล่มเดิม, หน้า 194.

[8] อัลกุรอาน บทอัซซุมัร, 53.

[9] อัลกุรอาน บทอัรโรม, 10.

[10] อัลกุรอาน บทฮิจญฺร์, 99.

[11] อัลกุรอาน บทมุอฺมินูน, 71.

[12] เอรชาด อัลกุลูบ, เล่ม 1, หน้า 152

[13] อัลกุรอาน บทฟุซซิลัต, 30.

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ตักวาหมายถึงอะไร?
    18369 จริยธรรมทฤษฎี 2555/01/23
    ตักว่าคือพลังหนึ่งที่หยุดยั้งจิตด้านในซึ่งการมีอยู่ของมนุษย์คือสาเหตุของการมีพลังนั้นและพลังดังกล่าวจะพิทักษ์ปกป้องมนุษย์ให้รอดพ้นจากการกระทำความผิดฝ่าฝืนต่างๆความสมบูรณ์ของตักวานอกจากจะช่วยทำให้มนุษย์ห่างไกลจากความผิดบาปและการก่ออาชญากรรมต่างๆ
  • อัลลอฮฺ ทรงอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ธรรมชาติด้วยหรือไม่?
    6468 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/04/07
    อัลลอฮฺ คือพระผู้ทรงกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ ทางธรรมชาติ อาตมันสากลของพระองค์มิได้อยู่ภายใต้อำนาจของสิ่งใดทั้งสิ้น นอกจากความต้องการของพระองค์ หรือเว้นเสียแต่ว่าความประสงค์ของพระองค์ต้องการที่จะปฏิบัติภารกิจหนึ่ง ซึ่งทรงเป็นสาเหตุของการเกิดสิ่งนั้น ขณะเดียวกันการละเมิดกฎต่างๆในโลกที่ต่ำกว่า โดยพลังอำนาจที่ดีกว่าของพระองค์ถือเป็น กฎเกณฑ์อันเฉพาะ และเป็นประกาศิตที่มีความเป็นไปได้เสมอ ซึ่งเราเรียกสิ่งนั้นว่า ปาฏิหาริย์,แน่นอน ปาฏิหาริย์มิได้จำกัดอยู่ในสมัยของบรรดาศาสดาเท่านั้น ทว่าสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกสมัย เพียงแต่ว่าปาฏิหาริย์ได้ถูกมอบแก่บุคคลที่เฉพาะเท่านั้น เป็นความถูกต้องที่ว่าความรู้มีความจำกัดและขึ้นอยู่ยุคสมัยและสภาพแวดล้อม ไม่มีความรู้ใดยอมรับหรือสนับสนุนเรื่องมายากล และเวทมนต์ แต่คำพูดที่ถูกต้องยิ่งกว่าคือ เจ้าของความรู้เหล่านั้นบางครั้ง ได้แสดงสิ่งที่เลยเถิดไปจากนิยามของความรู้หรือที่เรียกว่า มายากล เวทมนต์เป็นต้น อีกนัยหนึ่งกล่าวได้ว่า สิ่งนั้นคือการมุสาและการเบี่ยงเบนนั่นเอง ...
  • เหตุผลของการเลือกบรรดาศาสดาและอิมาม ท่ามกลางปวงบ่าวอื่นๆ?
    6538 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/06/30
    บนพื้นฐานของเหตุผลทั่วไปแห่งสภาวะการเป็นศาสดา คือ การชี้นำมวลมนุษยชาติ, พระองค์จึงเลือกสรรประชาชาติบางคนจากหมู่พวกเขาในฐานะของแบบอย่าง, เพื่อเป็นตัวแทนและเป็นผู้ชี้นำทาง แน่นอนการเลือกสรรนี้มิได้ปราศจากเหตุผล คำอธิบาย ศักยภาพในการเป็นเคาะลิฟะฮฺของพระเจ้า ได้ถูกมอบแก่มนุษย์ทุกคนแล้ว เพียงแต่ว่ามิใช่มนุษย์ทุกคนจะไปถึงขั้นนั้นได้, มีเฉพาะบางคนเท่านั้นที่มีศักยภาพพอ และด้วยการอิบาดะฮฺทำให้เขาได้ไปถึงยังตำแหน่งของการเป็นตัวแทนของพระองค์บนหน้าแผ่นดิน และพวกเขาจะไม่กระทำความผิดตามเจตนารมณ์เสรีของตน, อัลลอฮฺ ทรงรอบรู้ถึงสภาพของพวกเขาทั้งก่อนการสร้างในรูปแบบภายนอก และทรงรอบรู้ถึงสภาพและความประพฤติของพวกเขาเป็นอย่างดี, การตอบแทนผลรางวัลแก่การงานของพวกเขา, พระองค์ทรงเลือก มอบสาส์น และความคู่ควรการเป็นผู้นำสังคมแก่พวกเขา, ดังนั้น ความเร้นลับในการเลือกสรรจึงวางอยู่บน 2 เหตุผล กล่าวคือ 1.การแสดงความเคารพสมบูรณ์ของหมู่มิตรของพระเจ้าที่มีต่อพระองค์ 2.ความเมตตาและความการุณย์พิเศษของพระเจ้า ที่มีต่อหมู่มิตรของพระองค์ สรุป ความเมตตาการุณย์ของพระเจ้าที่ทรงมีต่อบรรดาศาสดา และบรรดาอิมาม (อ.) เนื่องจากว่า หนึ่ง : วางอยู่บนศักยภาพและความเพียรพยายามของพวกเขา และสอง
  • “ศอดุกอติฮินนะ” และ “อุญูริฮินนะ” ในกุรอานหมายถึงอะไร?
    7983 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/03/08
    คำว่า “ศอดุกอติฮินนะ”[1] มีการกล่าวถึงในประเด็นของการแต่งงานถาวร และได้กล่าวว่าสินสอดนั้นเป็น “ศิด้าก”[2] อายะฮ์ที่คำดังกล่าวปรากฏอยู่นั้น บ่งบอกถึงสิทธิที่สตรีจะต้องได้รับ และย้ำว่าสามีจะต้องจ่ายค่าสินสอดของภรรยาของตน[3] นอกจากว่าพวกนางจะยกสินสอดของนางให้กับเขา[4] นอกจากนี้คำนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความสัจจะและความจริงใจในการแต่งงานด้วยเช่นกัน[5] ส่วนคำว่า “อุญูริฮินนะ”[6] หมายถึงการแต่งงานชั่วคราวและที่เรียกกันว่า “มุตอะฮ์” นั้นเอง และกล่าวว่า “จะต้องจ่ายมะฮัรแก่สตรีที่ท่านได้แต่งงานชั่วคราวกับนางเนื่องจากสิ่งนี้เป็นวาญิบ”[7] คำถามนี้ไม่มีคำตอบเชิงรายละเอียด
  • ในเมื่อการกดขี่เป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลกแล้ว เหตุใดอิมามมะฮ์ดี (อ.) จึงยังไม่ปรากฏกาย
    6978 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/21
    เมื่อคำนึงถึงประเด็นต่อไปนี้จะทำให้เราค้นหาคำตอบได้ง่ายยิ่งขึ้น1.     เราจะเห็นประโยคที่ว่าیملأ الارض قسطا و عدلا کما ملئت ظلما و جورا" ในหลายๆฮะดิษ[1] (ท่านจะเติมเต็มโลกทั้งผองด้วยความยุติธรรมแม้ในอดีตจะเคยคละคลุ้งไปด้วยความอยุติธรรม) สิ่งที่เราจะเข้าใจได้จากฮะดีษดังกล่าวก็คือ
  • ในประโยคคำปฏิญาณ (อัชฮะดุ อันลา อิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ) ได้นำเอาประโยคปฏิเสธขึ้นหน้าก่อนการปฏิญาณ (ในความเป็นเอกะของพระองค์) มีเหตุผลอันใดหรือ?
    25185 ادله نقلی 2557/10/06
    คำว่า ชะฮาดะตัยนฺ คือการผนวกสองประโยคเข้าด้วยกันคือ คำปฏิญาณประโยคแรกคือ (อัชฮะดุ อันลา อิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ) เพื่อพิสูจน์และสารภาพถึงความเป็นหนึ่งเดียวของพระเจ้า ซึ่งเฉพาะเจาะจงและคู่ควรยิ่งแก่การเคารพภักดี สำหรับองค์พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก ส่วนคำปฏิญาณที่สอง (อัชฮะดุ อันนะ มุฮัมมะดัน เราะซูลลุลอฮฺ) เพื่อพิสูจน์และปฏิญาณว่า ท่านนะบีมุฮัมมัดคือ ศาสนทูตแห่งอิสลาม มิได้พิสูจน์การเป็นศาสนทูตคู่ควรแก่ท่านนะบี ด้วยเหตุนี้ ชะฮาดัตแรก จึงเป็นเน้นอันเฉพาะเจาะจงสำหรับพระองค์ ประโยคจึงเริ่มต้นด้วย “การปฏิเสธ” ลานะฟีญินซฺ เพื่อเน้นให้เห็นความสำคัญของคำว่า “อิลาฮะ” ซึ่งถือว่าเป็นคำนามที่เป็นนักกิเราะฮฺ (มิได้ระบุเจาะจง) แน่นอน บริบทของการปฏิเสธนี้ ให้ประโยชน์ในแง่รวมทั้งหมด โดยปฏิเสธพระเจ้าที่มีทั้งหมดบนโลก และปฏิเสธการมีส่วนร่วมในความเป็นพระเจ้า ของพระเจ้าที่แท้จริง ดังนั้น การที่กล่าวว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใด “นอกจาก” อิลลา นั่นเป็นจำกัดให้เห็นถึงความสำคัญอันเฉพาะสำหรับ อัลลอฮฺ เพื่อประกาศให้รู้ว่าไม่มีใคร หรือสิ่งใดมีส่วนร่วมในการเป็นพระผู้อภิบาลของพระองค์ ดังนั้น ในความเป็นจริงจึงพิสูจน์ด้วยประโยคที่กล่าวว่า “นอกจากอัลลอฮฺ” ...
  • โปรดอธิบาย ปรัชญาของการกล่าวข้อผูกมัดนิกาห์ คืออะไร?
    9131 จริยศาสตร์ 2555/06/30
    ตามคำสอนของอิสลามการแต่งงานถือเป็นข้อตกลงที่ศักดิ์สิทธิ์ สำหรับการจัดตั้งครอบครัวและสิ่งที่ติดตามมาคือ, ระบบสังคม ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีผลสะท้อนและบทสรุปอย่างมากมาย เช่น : เพื่อตอบสนองความต้องการทางกามรมย์, ผลิตสายเลือดและรักษาเผ่าพันธุ์, สร้างความสมบูรณ์ในความเป็นมนุษย์, สร้างความสงบมั่นแก่จิตใจ, เป็นการรักษาความสะอาดบริสุทธิ์, เป็นการส่งเสริมความผูกพันให้มั่นคง และประเด็นอื่นๆ อีกมากมาย, ดังนั้น การจัดการข้อตกลงศักดิ์สิทธิ์นี้ให้สมประสงค์ได้, มีเพียงการปฏิบัติไปตามกฎเกณฑ์พื้นฐาน และเงื่อนไขอันเฉพาะที่อัลลอฮฺ ทรงกำหนดไว้เท่านั้น จึงจะเป็นไปได้. เช่น เงื่อนที่ว่านั้นได้แก่การกล่าวข้อผูกมัดนิกาห์ ด้วยคำพูดเฉพาะ (ดังกล่าวไว้ในหนังสือริซาละฮฺต่างๆ) พระผู้อภิบาลผู้ทรงเกรียงไกรในฐานะของ พระเจ้าผู้ทรงกำหนดกฎระเบียบ พระองค์คือผู้ทรงกำหนดคำพูดอันทรงเกียรติยิ่งนี้ และให้ความน่าเชื่อถือ พร้อมกับการเกิดขึ้นของคำพูดดังกล่าวในฐานะ อักดฺนิกาห์, จึงเป็นสาเหตุทำให้เกิดการเป็นสามีภรรยา ระหว่างชายกับหญิงขึ้น. การแต่งงานมิได้หมายถึง ความพอใจของสองฝ่ายเท่านั้น ทว่าเป็นความพึงพอใจและการยินยอมของทั้งสองฝ่าย อันถือว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญยิ่งสำหรับการแต่งงาน ที่จะเกิดขึ้นพร้อมกับการอ่านอักดฺนิกาห์ปัจจุบันนี้ เพื่อให้การแต่งงานนั้นถูกต้องสมบูรณ์ตามหลักการชัรอียฺ. การแต่งงาน มิได้หมายถึงความพอใจของสองฝ่ายเท่านั้น ทว่าเป็นความพึงพอใจและยินยอมของทั้งสองฝ่าย อันถือว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับการแต่งงาน ...
  • มลาอิกะฮ์สร้างมาจากรัศมีของบรรดาอิมาม และมีหน้าที่ร่ำไห้แด่อิมามฮุเซน(อ.)กระนั้นหรือ?
    9358 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/19
    1. ความเชื่อที่ว่ามลาอิกะฮ์สร้างขึ้นจากรัศมีนั้นได้รับการยืนยันจากฮะดีษหลายบทที่รายงานไว้ในตำราฝ่ายชีอะฮ์และซุนหนี่ตำราชีอะฮ์บางเล่มระบุถึงการสร้างสิ่งมีชีวิตต่างๆรวมถึงมลาอิกะฮ์จากรัศมีของปูชนียบุคคลอย่างท่านนบี(ซ.ล.) หรือบรรดาอิมามหรือบุคคลอื่นๆดังที่ตำราของซุนหนี่เองก็เล่าว่าเคาะลีฟะฮ์ท่านแรกและคนอื่นๆถือกำเนิดจากรัศมีของท่านนบี(ซ.ล) การที่มีฮะดีษเหล่านี้ปรากฏอยู่ในตำรับตำราของแต่ละฝ่ายมิได้หมายความว่าทุกคนจะต้องคล้อยตามฮะดีษเหล่านี้เสมอไป อย่างไรก็ดีตำราฮะดีษชีอะฮ์ได้รายงานฮะดีษชุด "ฏีนัต" ไว้ซึ่งไม่อาจจะมองข้ามได้กล่าวโดยสรุปคือหากพบว่ามุสลิมแต่ละฝ่ายอาจมีทัศนะแตกต่างกันบ้างในเรื่องการสรรสร้างของพระองค์
  • การมองอย่างไรจึงจะถือว่าฮะรอมและเป็นบาป?
    9243 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/21
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น ปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...
  • มีหลักฐานระบุว่าควรกล่าวตักบี้รและหันหน้าซ้ายขวาหลังกล่าวสลามหรือไม่?
    6749 สิทธิและกฎหมาย 2555/02/19
    การผินหน้าไปทางขวาและซ้าย ถือเป็นมุสตะฮับภายหลังให้สลามสุดท้ายของนมาซ โดยตำราฮะดีษก็ให้การยืนยันถึงเรื่องนี้  อย่างไรก็ดี วิธีปฏิบัติที่ถูกต้องมีรายละเอียดดังต่อไปนี้:1. ในกรณีของอิมามญะมาอัต ภายหลังให้สลามแล้ว ก่อนที่จะผินหน้าขวาซ้าย ให้มองไปทางขวาก่อน2. ในกรณีของมะอ์มูม ให้กล่าวสลามแก่อิมามขณะอยู่ในทิศกิบละฮ์ หลังจากนั้นจึงให้สลามทางด้านขวาและซ้าย ทั้งนี้ การสลามด้านซ้ายจะกระทำต่อเมื่อมีมะอ์มูมหรือมีกำแพงอยู่ด้านซ้าย ส่วนด้านขวาจะกระทำทุกกรณี ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีมะอ์มูมด้านขวาก็ตาม3. ในกรณีที่นมาซฟุรอดา (คนเดียว) ให้กล่าวสลามครั้งเดียวขณะอยู่ในทิศกิบละฮ์ว่า อัสลามุอลัยกุม และหันด้านขวาในลักษณะที่ปลายจมูกเบนไปด้านขวาเล็กน้อย[1]จากที่นำเสนอมาทั้งหมด ทำให้เข้าใจได้ว่าสิ่งที่เป็นมุสตะฮับสำหรับผู้ที่นมาซคนเดียวก็คือการเบนหน้าไปทางขวาให้ปลายจมูกหันทางขวาเล็กน้อย และสำหรับผู้ที่นมาซญะมาอัต ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60745 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58403 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42846 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40370 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39460 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34603 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28665 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28563 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28515 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26431 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...