การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
13111
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/10/22
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1825 รหัสสำเนา 17843
คำถามอย่างย่อ
สตรีในทัศนะอิสลามมีสถานภาพสูงส่งเพียงใด ?พวกเธอมีสิทธิเท่าเทียมกับผู้ชายหรือ?
คำถาม
สตรีในทัศนะอิสลามมีสถานภาพสูงส่งเพียงใด ?พวกเธอมีสิทธิเท่าเทียมกับผู้ชายหรือ?
คำตอบโดยสังเขป

ในทัศนะอิสลาม, สตรีและบุรุษนั้นมีเป้าหมายร่วมกันนั่นคือ – การพัฒนาตนไปให้ถึงยังสถานอันสูงสุดของความเป็นมนุษย์ – และการไปถึงเป้าหมายดังกล่าว ทั้งสองจึงมีมาตรฐานอันเดียวกัน ซึ่งความต่างเรื่องเพศอันเป็นความจำเป็นของการสร้าง แทบจะไม่มีบทบาทอันใดทั้งสิ้นในการสร้าง หรือเพิ่มเติมศักยภาพและความสามารถดังกล่าวนั้น หรือคุณค่าในทางศาสนาเองก็มิได้มีบทบาทอันใดเช่นกัน ดังนั้น ความสมบูรณ์ของสตรีจึงมิได้อยู่ในฐานะภาพเดียวกันกับความสมบูรณ์ของบุรุษ หรือใช่ว่าบุรุษจะใช้ความเป็นเพศชาย มาควบคุมความเป็นสตรีก็หาไม่

ดังนั้น ในทัศนะของอิสลาม :

1.สตรี, จึงเป็นสถานที่ปรากฏความสวยงาม ความประณีต และความเงียบสงบ

2.สตรี, คือที่มาแห่งความสงบมั่นของบุรุษ, ส่วนบุรุษนั่นเป็นสถานพำนักพักพิง ให้ความรับผิดชอบ และการเป็นผู้นำของสตรี

3.ความใกล้ชิดกับพระเจ้าเป็นผลที่เกิดจากการประพฤติปฏิบัติดี, หรือการดำเนินในหนทางของการขัดเกลาจิตวิญญาณก็มิได้จำกัดเฉพาะอยู่ในเรื่องเพศแต่อย่างใด

4.ความแตกต่างระหว่างบุรุษและสตรีในเรื่องหลักการปฏิบัติ, ก็มิได้เกิดจากการอธรรม หรืออำนาจอธิปไตยของบุรุษ ซึ่งถืออำนาจบาดใหญ่มาจากหน้าที่ความรับผิดชอบที่มีมากกว่า ในเรื่องการดูแลและรับผิดชอบครอบครัว และสังคม

คำตอบเชิงรายละเอียด

ถ้าหากเราปิดหูปิดตาไม่มองสภาพความเป็นจริง หรือปรากฏการณ์ต่างๆ ที่ได้เกิดขึ้นและเป็นไป หรือไม่ยอมพิจารณาแม้ในสิ่งที่ตนยอมรับ แล้วเวลานั้นได้แสดงทัศนะออกมา ซึ่งเราก็จะพบว่าจริงๆ แล้วความสมบูรณ์ของสตรีนั้น มิได้อยู่ในสถานภาพเดียวกันกับบุรุษแต่อย่างใด หรือมิใช่ว่าบุรุษจะมีความทะเยอทะยาน และกระโดดโลดเต้นในความเป็นบุรุษของตน

ความจริงก็คือ กายภาพในการสร้างมนุษย์นั้นมีเป็นสองครึ่งที่มีความอิสระโดยสิ้นเชิง, ทว่าทั้งสองได้ถูกสร้างขึ้นมาอย่างมีความสัมพันธ์กัน (บุรุษและสตรี)

สิ่งที่บ่งบอกให้เห็นว่าบุรุษและสตรีนั้นมีดีกว่ากันก็คือ ความกระตือรือร้นในการพัฒนาไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่แท้จริง,กล่าวคือการเปลี่ยนแปลงศักยภาพให้เป็นทุนมนุษย์ขณะที่อยู่ในขั้นตอนของการพัฒนา –แต่ในแง่ของวะฮฺยูและคำสอนอิสลาม – และอัลกุรอานแล้วไม่มีความแตกต่างกันระหว่างเพศหญิงและเพศชาย นอกเสียจากว่าเป็นความจำเป็น ความเป็นระบบ และความสัมพันธ์ในการสร้างเท่านั้น

เนื่องจากคำถามคือ “การรู้จักสถานภาพของสตรี” ในประเด็น “คำสอนอิสลาม” ดังนั้น จึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพิจารณาจากทุนด้านในอันเป็นแนวคิดของศาสนา กล่าวคือจำเป็นต้องได้รับประโยชน์จากอัลกุรอาน ซุนนะฮฺอันเป็นแก่นของนบี (ซ็อล ฯ) และอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.)

ทัศนะและมิติแห่งสถานภาพของสตรี

สถานภาพของสตรีในทัศนะอิสลามนั้น สามารถกล่าวสรุปได้ใน 3 ประเด็นดังต่อไปนี้

ก. ฐานะคือบุคลิกของความเป็นมนุษย์

1. สตรีคือแหล่งที่มาของความละเอียดอ่อน ความประณีต ความน่ารัก ความสวยงาม และความสงบ. เนื่องจากสรรรพสิ่งทั้งหลายคือแหล่งที่มาอันเป็นนามธรรมจากบรรดานามทั้งหลายของพรเจ้า, เนื่องจากบรรดาสิ่งถูกสร้างนั้นมาจากคุณลักษณะปัจจุบันของพระเจ้า (มิใช่มาจากคุณลักษณะแห่งอาตมันของพระองค์) อันประกอบด้วย ภาพปรากฎของพระเจ้าในรูปร่างของสิ่งถูกสร้างต่างๆ ดังเช่นที่ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า : การสรรเสริญทั้งมวลเป็นสิทธิแด่เอกองค์อัลลอฮฺ ซึ่งทรงปรากฏแจ้งแก่สิ่งถูกสร้าง (มนุษย์) ของพระองค์[1] และ[2]

จากมุมมองของอัลกุรอาน, ความเร้นลับในการสร้างสตรีนั้นมีความกระตือรือร้นมากยิ่งกว่า การสร้างสตรีในฐานะที่เป็นผู้มีส่วนร่วมในก่อตั้งครอบครัว หรือการมีเพศสัมพันธ์อันเป็นสัญชาติญาณพื้นฐานของมนุษย์

“และหนึ่งจากสัญญาณทั้งหลายของพระองค์คือ ทรงสร้างคู่ครองให้แก่พวกเจ้าจากตัวของพวกเจ้า เพื่อพวกเจ้าจะได้มีความสุขอยู่กับนาง และทรงมีความรักใคร่และความเมตตา ระหว่างพวกเจ้า แท้จริงในการนี้แน่นอน ย่อมเป็นสัญญาณแก่หมู่ชนผู้ใคร่ครวญ[3]

2.ความพิเศษต่างๆ แห่งเชื้อชาติ และชนิด และ....ล้วนเป็นสิ่งผุสลายทั้งสิ้น “ผู้ที่เกียรติยิ่ง ณ อัลลอฮฺคือผู้มีความสำรวมตนจากบาป”[4]

3. การเชิญชวนของบรรดาศาสดาทั้งหลาย (อ.) และคำพูดของบรรดาคัมภีร์แห่งฟากฟ้าทั้งหมดล้วนเกี่ยวพันกับมนุษย์ทั้งสิ้น ซึ่งประโยคหนึ่งได้ประกาศก้องเสมอว่า “ดังนั้นผู้ใดปฏิบัติตามข้าฯ แท้จริงเขาเป็นพวกของข้าฯ”[5]

4.สถานภาพของสตรีในการสร้างมิได้เป็นพรมแดนแห่งชัยชนะ, การมี หรือการไปถึงยังเป้าหมายแต่อย่างใด “โอ้ มนุษย์เอ๋ย แท้จริงเจ้าต้องพากเพียรไปสู่พระผู้อภิบาลของเจ้าอย่างทรหดอดทน แล้วเจ้าจะได้พบพระองค์”[6] “แต่ละคนย่อมได้รับการค้ำประกันในสิ่งที่เขาขวนขวายไว้”[7] “และมนุษย์จะไม่ได้อะไรเลยนอกจากสิ่งที่เขาได้ขวนขวายเอาไว้ และแท้จริงการขวนขวายของเขาก็จะได้เห็นในไม่ช้า”[8]

5. บุคคลใดก็ตามเป็นบ่าวที่แท้จริงของพระเจ้า เขาจะได้ใกล้ชิดกับพระองค์ไม่ว่าบุรุษหรือสตรีก็ตาม

“และเมื่อบ่าวของข้าถามเจ้าว่าว่าข้าอยู่ไหน? อันที่จริงข้านี้อยู่ใกล้ ข้าจะตอบรับคำวิงวอนของผู้ที่วิงวอน ถ้าเขาวิงวอนต่อข้า”[9]

6. การไปถึงยังวิถีชีวิตหรือชีวิตที่ดี (สะอาดบริสุทธิ์) ประกอบไปด้วยเงื่อนไขสำคัญ 2 ประการ อันได้แก่ : การประพฤติคุณงามความดี และการเป็นผู้ศรัทธา (ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม)

“ผู้ใดปฏิบัติความดีไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม ขณะที่เขาเป็นผู้มีศรัทธา ดังนั้น แน่นอนเราจะให้เขาดำรงชีวิตที่ดี และแน่นอนเราจะตอบแทนพวกเขาซึ่งรางวัลของพวกเขา ที่ดียิ่งกว่าที่พวกเขาเคยกระทำไว้”[10]

7.แม้ว่าเขาจะย่างก้าวอยู่บนสัจธรรมความจริง, กระนั้นยังได้รับการสาปแช่งจากพระเจ้า

“แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา และได้สิ้นชีพลง ขณะที่พวกเขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาอยู่นั้น ชนเหล่านี้จะประสพกับการสาปแช่งของอัลลอฮฺ และมะลาอิกะฮฺและปวงมนุษย์”[11]

สิ่งที่ได้รับจากบรรดาโองการเหล่านี้คือ, ผู้ที่อัลลอฮฺทรงตรัสถึงคือ มนุษย์ทั้งสิ้น, อันเนื่องจากมนุษย์, อยู่ในกลุ่มของผู้มีศรัทธาและปฏิบัติการงานของตน “ดังนั้น ทุกคนคือผู้ดำเนินกิจกรรมของตน” ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม, ส่วนสตรีในมุมมองของวะฮฺยู, ในประเด็นของบุคลิกภาพคือ “ความเป็นมนุษย์” เพศนั้นมิได้มีผลกระทบต่อการมีบทบาทและหน้าที่ของบุคคลแต่อย่างใด

อีกประเด็นที่ต้องพิจารณาถึงคือ สถานของสตรีในมุมมองของอิสลาม :

ข. สตรีคือบันใดของนักเอรฟานและฟากฟ้าแห่งการรู้จัก

1. มิได้เป็นเช่นนั้น, กล่าวคือพระเจ้ามิได้มีลักษณะเป็นเพศชาย หรือการรู้จัก ทว่าในความเป็นจริงพระองค์คือขุมคลัง สตรีคือ สิ่งต้องห้ามเมื่อได้ถูกนำเสนอแก่พวกเขา พวกเขาจะมุ่งไปสู่เป้าหมาย ดังนั้น การพัฒนาจิตใจจะขึ้นอยู่กับสูตรสำเร็จดังต่อไปนี้ : การรู้จัก, ความรัก, การเชื่อฟัง, และความใกล้ชิด

ขณะที่, ไม่มีความแตกต่างกันสักนิดเดียวไม่ว่าจะเป็นใคร หรือจะย่างก้าวไปสู่การรู้จัก และวิทยปัญญามากน้อยเพียงใดก็ตาม สิ่งสำคัญคือการรู้จักคุณค่าของการชี้นำ เวลานั้นเขาจึงจะได้อยู่ในข้อสัญญาของพระเจ้าที่ว่า :

“บรรดาพวกที่ต่อสู้ในวิถีทางของเรา, เขาจะได้เข้าสู่หนทางแห่งความใกล้ชิดกับเรา” และเขาได้ย่างก้าวอย่างสุขุมเพื่อไปถึงเป้าหมาย ทั้งบุรุษและสตรีอัลกุรอานได้หยิบยกตัวอย่างอันสำคัญยิ่งอันเป็นบทเรียนสำคัญแก่พวกเราเอาไว้ :

อัลลอฮฺ (ซบ.) ตรัสถึงบุคคลที่มีศรัทธาไว้ –ตัวอย่าง- “ภรรยาของฟิรอาวน์” (นางไม่พึงพอใจกับการปฏิเสธและความหยิ่งผยองของฟิรอาวน์แต่อย่างใด) นางได้ดุอาอฺกับพระเจ้าว่า “อัลลอฮฺทรงยกเอาภริยาของของฟิรเอานุเป็นอุทาหรณ์แก่บรรดาผู้ศรัทธา ขณะที่นางกล่าวว่า โอ้ พระผู้อภิบาลของข้าฯ โปรดสร้างบ้านหลังหนึ่ง ณ ที่พระองค์ในสรวงสวรรค์แก่ข้าฯ โปรดช่วยข้าฯ ให้พ้นจากฟิรเอานุและการกระทำของเขา และทรงโปรดช่วยข้าฯ ให้พ้นจากหมู่ชนผู้อธรรม”[12]

ตัวอย่างที่ดีอีกประการหนึ่งคือ ท่านหญิงมัรยัม (อ.) ซึ่งอัลกุรอาน บทตะฮฺรีม โองการที่ 12 ได้กล่าวถึงนางเอาไว้

ขณะเดี่ยวกัน อัลกุรอานได้กล่าวถึงตัวอย่างของประชาชาติที่เลวทรามเอาไว้เช่นกัน โดยกล่าวถึงสตรี 2 คน (ภรรยาของศาสดานูฮฺ และศาสดาลูฏ) เป็นตัวอย่างเอาไว้[13] โองการต่างๆ เหล่านี้,ได้ยกตัวอย่างของสตรีที่ดีและไม่ดี ซึ่งมิได้หมายความว่ามีเฉพาะสตรี หรือเป็นตัวอย่างสำหรับสตรีเท่านั้น ทว่าเป็นตัวอย่างแก่ทุกคน

2. ทุนอันมีความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาขัดเกลาจิตใจคือ “หัวใจ” และ “หัวใจที่แตกสลาย” ซึ่งสตรีคือทุนที่มีความสำคัญยิ่งกว่าบุรุษเพศ : “แนวทางในการพัฒนามนุษย์ไปสู่ความสูงส่งมีความแตกต่างกัน กล่าวคือ แนวทางหนึ่งคือการคิดใคร่ครวญ ส่วนอีกแนวทางหนึ่งคือการรำลึก, ลิ้นคือหนทางของการรำลึก ส่วนหัวใจคือหนทางของการวิงวอน หนทางของความรัก ดังนั้น ถ้าหากสตรีไม่ประสบความสำเร็จยิ่งไปกว่าบุรุษ นางก็อยู่ในระดับเดียวกันกับบุรุษ”[14]

3.ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า : “ความรู้แห่งพระเจ้าองค์เดียวและการอิบาดะฮฺที่ดีและประเสริฐสุคคือ การขอลุแก่โทษ”[15] เป็นที่ประจักษ์ว่าการไปถึงยังความรู้เหล่านี้ ไม่มีความแตกต่างกันระหว่างบุรุษและสตรี

4. ถ้าหากมีความสำรวมตนต่อพระเจ้า บุคคลนั้นก็จะไปถึงยังตำแหน่งของการมีมโนธรรม และแน่นอน ความสำรวมตนจากความผิด (ตักวา) ก็มีได้เฉพาะเจาะจงอยู่ในกลุ่มใดเป็นการเฉพาะด้วย

“แท้จริง บุคคลใดสำรวมตนจากความชั่วและอดทน (เขาจะประสบชัย) เนื่องจากอัลลอฮฺ มิทรงทำลายรางวัลของบรรดาผู้ทำความดีให้เสียหาย[16]

แต่บุคคลใดก็ตาม “ส่วนผู้ที่เกรงกลัวต่อฐานันดรของพระผู้อภิบาลของเขา และได้ระวังจิตใจจากอำนาจฝ่ายต่ำ แน่นอน สรวงสวรรค์เป็นที่พำนักสำหรับเขา”[17]

สรุป : มีตัวอย่างมากมายสำหรับสตรีที่ประสบความสำเร็จในฐานะของ อาริฟ ในทุกยุคทุกสมัย, ซึ่งเราท่านทั้งหลายประจักษ์กับสายตาตนเองแล้วว่า การเปิดประตูไปสู่การขัดเกลา และการรู้จักจิตใจตนเอง สตรีคือผู้มีบทบาทสำคัญยิ่ง

ค. สถานภาพของสตรีในบทบัญญัติของพระเจ้า

แน่นอน สิ่งอันเป็นเหตุก่อให้เกิดคำถามต่างๆ มากมาย หรือความสงสัยเกี่ยวกับสถานภาพของสตรีในอิสลามคือ, บทบัญญัติบางประการที่เกี่ยวข้องกับสตรี แต่ถ้าพิจารณาโดยละเอียดถี่ถ้วนทั่วไปแล้วเกี่ยวกับ บทบัญญัติและชนิดหรือเพศของพวกเธอ เราก็สามารถขจัดความสงสัยเหล่านั้นไปได้อย่างง่ายดายที่สุด

บทบัญญัติของอิสลาม – พิจารณาด้านเพศ – สามารถแบ่งออกได้หลายกลุ่มดังนี้ :

1. บทบัญญัติร่วม : เช่น การถือศีลอด, นมาซ, ฮัจญ์, และ ....

2. บทบัญญัติเฉพาะสำหรับสตรี เช่น : การมีรอบเดือน ระดูเกินกำหนด และ ..

3. บทบัญญัติที่ดูเหมือนว่าจะแบ่งแยกชนชั้น เช่น : มรดกอันเป็นส่วนแบ่งของสตรี, ค่าปรับ, ค่าสินไหม, และ ...

โดยทั่วไปแล้วการมีบทบัญญัติเฉพาะสำหรับสตรี หรือการมีบทบัญญัติในสองลักษณะ (ภายนอกกับการแบ่งแยก) มีหลายองค์ประกอบด้วยกัน กล่าวคือ :

1.ผู้ชาย, คือผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายของครอบครัว ดังนั้น ชายจึงต้องมีทรัพย์สินไว้ในครอบครองมากกว่าฝ่ายหญิง (ด้วยเหตุนี้ สิทธิในการรับมรดก –เฉพาะบางประการ- เท่านั้นที่ได้มากกว่าสตรี[18]

2.รายงานบางบทที่กล่าวถึง การประณามสตรี, ก็คือสตรีในฐานะของเจ้านาย มิใช่ในฐานะของสตรี คือมนุษย์ประเภทหนึ่ง ตัวอย่าง “สตรีเสมือนแมงป่อง ทว่าคำเหน็บแนมของหญิงนั้นไพเราะ”[19]

3. รายงานฮะดีซบางบท (โดยเฉพาะจากนะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ) ที่ได้กล่าวประณามสตรีเอาไว้, สตรีที่ออกสงคราม ยะมัล ในสมัยปกครองของท่านอิมามอะลี (อ.) โดยการบัญชาการของ อาอิชะฮฺ คือสตรีที่ได้รับการประณามจากท่านอิมามอะลี (ซึ่งเฉพาะเจาะจงสตรีในยุคนั้นสมัยนั้นเท่านั้น)[20]

4. ในบางประเด็นของบทบัญญัติ เช่น การเริ่มสงคราม, การตัดสินคดีความ และ .... ได้รับการยกเว้นจากสตรี มิใช่ว่าเป็นการกีดกันสิทธิของสตรี ซึ่งประเด็นนี้มีความละเอียดอ่อนมาก เนื่องจากอัลลอฮฺมิทรงประสงค์ให้สตรีต้องตกอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบอันหนักหนาสาหัส ซึ่งทำให้ฝ่ายศัตรูได้รับความสบายใจ.

ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า “สตรีคือที่มาของความหอมรัญจวนจิตและบอบบาง มิใช่ผู้เก่งกาจที่โหดร้ายและป่าเถื่อน”[21] 

5. บทบัญญัติบางประการ เช่น การถึงวัยบรรลุนิติภาวะตามศาสนบัญญัติของเด็กหญิงก่อนเด็กชาย .. ด้วยเหตุนี้ เด็กหญิงจึงมีโอกาสได้รับการอบรมสั่งสอนและการเอาใจใส่ดูแลก่อนเด็กชาย ซึ่งประวัติศาสตร์ได้บันทึกเอาไว้ในของ การขยายเผ่าพันธุ์ว่า โดยเฉพาะผู้หญิงนั้นจะสมรสก่อนผู้ชาย

6. บางครั้งการจำกัดบางประการ หรือการห้ามบางอย่างที่มีแก่เด็กหญิงก็เพื่อป้องการความเสียหาย ความอนาจาร และอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ – ซึ่งประเด็นนี้เป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งประการหนึ่ง – เช่น ได้มีคำสั่งแก่สตรีว่า จงพูดจาให้ไพเราะและดี แต่อย่างดัดเสียงจนน่าเกลียดเพื่อการยั่วยวน เพื่อหัวใจที่เป็นโรคร้าย หรือการยั่วยุของมาร จะได้ไม่มุ่งหมายต่อเจ้า อัลกุรอานกล่าวว่า “ไม่ควรพูดจาเพราะพริ้ง เพราะจะทำให้ผู้ที่มีโรคในจิตใจของตนเกิดความโลภ แต่จงพูดด้วยถ้อยคำที่พอเหมาะพอควร”[22]

7.ดังที่ทราบกันเป็นอย่างดีว่าความบกพร่อง และความเลวเป็นเพียงการสมมุติเมื่อสัมพันธ์ไปยังสิ่งอื่น เช่นเดียวกับเพศชายและเพศหญิงก็เป็นเพียงการสมมุติเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ เมื่อใดก็ตามที่เห็นการประณามหรือการจำกัดสำหรับสตรี ก็ถือว่าสิ่งนั้นเป็นการสมมุติเช่นกัน ตามคำสอนของอิสลามจะเห็นว่ามีอยู่หลายกรณีด้วยกันที่ให้สิทธิพิเศษแก่สตรี เช่น :

ท่านเราะซูล (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า “ถ้าหากท่านกำลังนมาซมุซตะฮับ และเวลานั้นบิดาได้เรียกหาท่าน, ต้องไม่ยุตินมาซ, แต่ถ้ามารดาได้ร้องเรียกหาท่าน จำเป็นต้องหยุดนมาซและไปหามารดา”[23]

คำสั่งโดยตรงและชัดเจนของอัลกุรอานกล่าวว่า : “และจงอยู่ร่วมกับพวกนางด้วยดี”[24]

เพื่อการค้นคว้าเพิ่มเติม โปรดดูได้จาก :

นิซอมฮุกูกซันดัรอิสลาม, ชะฮีด มุรตะฎอ มุเฏาะฮะรี

ซันดัร อออิเนะฮฺญะมอล วะญลอล, ญะวาดี ออมูลี, อับดุลลอฮฺ

หัวข้อ : กุรอานและการเป็นผู้คุ้มครองของบุรุษเหนือสตรี, คำถามที่ 267.

 



[1] «الحمدلله المتجلی لخلقه بخلقه»،นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ, คำเทศนาที่ 108

[2] ญะวาดี ออมูลี, อับดุลลอฮฺ, ซันดัรออยอีเนะฮฺ ญะมาลวะญะลาล, หน้า 21, สำนักพิมพ์ อัสรออฺ, พิมพ์ครั้งแรก

[3]  «و من آیاته أن خلق لکم من انفسکم ازواجاً لتسکنوا الیها و جعل بینکم مودة و رحمة ان فی ذلک لآیات لقوم یتفکرون» อัลกุรอาน บทโรม, 21

[4]  อัลกุรอาน บทฮุจรอต, 13

[5]   «فمن تبعنی فأنه منی»อัลกุรอาน บทอิบรอฮีม, 36.

[6] อัลกุรอาน บทอิงชิกอก, 6.

[7]อัลกุรอาน บทฏูร, 21.

[8] อัลกุรอาน บทอันนัจญฺมุ, 39 – 40.

[9] อัลกุรอาน บทบะเกาะฮฺ, 186.

[10]  « من عمل صالحاً من ذکر و انثی و هو مؤمن فلنحیینه حیاة طیبة...» อัลกุรอาน บทอันนะฮฺลุ, 97.

[11]  «ان الذین کفروا و ما توا و هم کفار اولئک علیهم لعنة الله والملائکة والناس أجمعین» อัลกุรอาน บทบะเกาะฮฺ, 161.

[12]  «وضرب الله مثلاً للذین آمنوا إمراة فرعون إذ قالت رب ابن لی عندک بیتاً فی الجنة و نجنی من فرعون و عمله و نجنی من القوم الظالمین»อัลกุรอาน บทตะฮฺรีม, 11

[13]  «ضرب الله مثلاً للذین کفروا امراة نوح و امراة لوط...»อัลลอฮฺทรงยกเอาภริยาของนูฮฺและภริยาของลูฏเป็นอุทาหรณ์แก่บรรดาผู้ปฏิเสธ. อัลกุรอาน บทตะฮฺรีม, 10.

[14] ญะวาดี ออมูลี, อับดุลลอฮฺ, ซันดัรออยอีเนะฮฺ ญะมาลวะญะลาล, หน้า 197

[15]  «خیر العلم التوحید و خیر العبادة الأستغفار»อุซูล กาฟียฺ, กุลัยนี, เล่ม 2, หน้า 517

[16] อัลกุรอาน บทยูซุฟ, 90

[17] อัลกุรอาน บทนาซิอาต, 40-41.

[18] เพื่อการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมว่า เป็นเพราะเหตุใดมรดก และค่าปรับของสตรีจึงได้เพียงครึ่งหนึ่งของบุรุษ, โปรดศึกษาได้จากหัวข้อ ความแตกต่างระหว่างมรดกของชายและหญิงในบทบัญญัติอิสลาม คำถามที่ 116 (ไซต์) ความแตกต่างในเรื่องค่าปรับระหว่างหญิงกับชายในบทบัญญัติอิสลาม คำถามที่ 117 (ไซต์) มรดกที่เท่าเทียมกันระหว่างชายกับหญิง คำถามที่ 536 (ไซต์ 585) ชายมิได้ดีกว่าหญิง คำถามที่ 531 (ไซต์ 579)

[19] นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ, คำสุภาษิตที่, 61.

[20]  เช่น นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ, คำเทศนา 80, «ان النساء النواقص الایمان...». อันที่จริงสตรีคือ ผู้มีศรัทธาไม่สมบูรณ์

[21] «فان المراة ریحانة و لیست بقهرمانة»،นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ, จดหมายที่ 31.

[22] อัลกุรอาน บทอะฮฺซาบ, 32.

[23] ญามิอ์ อะฮาดีซ อัชชีอะฮฺ, เล่ม 21, หน้า 428-429

[24]  «و عاشر و هن بالمعروف» อัลกุรอาน บทนิซาอฺ, 19.

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ความหมายของวิลายะฮฺของฮากิมบนสิ่งต้องห้ามคืออะไร?
    9238 สิทธิและกฎหมาย 2555/05/17
    คำนิยามที่ชัดเจนและสั้นของกฎนี้คือ ผู้ปกครองบรรดามุสลิม มีสิทธิบังคับในบางเรื่องซึ่งบุคคลนั้นมีหน้าที่จ่ายสิทธิ์ (ในความหมายทั่วไป) แต่เขาได้ขัดขวาง ดังนั้น ผู้ปกครองมีสิทธิ์บังคับให้เขาจ่ายสิทธิที่เขารับผิดชอบอยู่ ในช่วงระยะเวลาที่ไม่ใกล้ไกลนี้ มรดกทางบทบัญญัติได้ให้บทสรุปแก่มนุษย์ในการยอมรับว่า วิลายะฮฺของฮากิมที่มีต่อสิ่งถูกห้าม ในฐานะที่เป็นแก่นหลักของประเด็น (โดยหลักการเป็นที่ยอมรับ) ณ บรรดานักปราชญ์ทั้งหมด โดยไม่ขัดแย้งกัน, แม้ว่าบางท่านจะกล่าวถึงองค์ประกอบที่แตกต่างกันก็ตาม ...
  • กรุณาอธิบายสาเหตุและเงื่อนไขของวะลียุลฟะกีฮ์ ตลอดจนเหตุผลที่เลือกพณฯอายะตุลลอฮ์ อุซมา คอเมเนอี ขึ้นดำรงตำแหน่งวะลียุลฟะกีฮ์.
    7001 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/12
    ในทัศนะของชีอะฮ์, วิลายะฮ์ของฟะกีฮ์(ผู้เชี่ยวชาญศาสนา)ในยุคที่อิมามเร้นกายนั้นเป็นผลต่อเนื่องมาจากวิลายะฮ์ของบรรดาอิมามมะอ์ศูม(อ) กล่าวคือในยุคที่อิมามมะอ์ศูม(อ)ยังไม่ปรากฏกายหน้าที่การปกครองดูแลประชาคมมุสลิมจะได้รับการสืบทอดสู่บรรดาฟะกีฮ์ซึ่งฟุก่อฮา(พหูพจน์ฟะกีฮ์
  • ในกุรอานมีกี่ซูเราะฮ์ที่มีชื่อเหมือนบรรดานบี?
    21198 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/03/04
    ในกุรอานมีหกซูเราะฮ์ที่มีชื่อคล้ายบรรดานบี ได้แก่ ซูเราะฮ์นู้ห์, อิบรอฮีม, ยูนุส, ยูซุฟ, ฮู้ด และ มุฮัมมัด อย่างไรก็ดี จากคำบอกเล่าของฮะดีษบางบททำให้นักอรรถาธิบายกุรอานเชื่อว่า ซูเราะฮ์บางซูเราะฮ์อย่างเช่น ฏอฮา[1], ยาซีน[2], มุดดัษษิร[3], มุซซัมมิ้ล[4] หมายถึงท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) จึงอาจจะจัดได้ว่าซูเราะฮ์ต่างๆข้างต้นถือเป็นซูเราะฮ์ที่มีชื่อเหมือนบรรดานบีได้เช่นเดียวกัน คำถามนี้ไม่มีคำตอบเชิงรายละเอียด [1] มะการิม ชีรอซี,นาศิร,ตัฟซี้รเนมูเนะฮ์,เล่ม ...
  • เป็นไปได้หรือไม่ที่จะรู้จักบุคคลสำคัญในสวรรค์และนรก?
    7033 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/03/07
    มีหลายโองการในกุรอานที่กล่าวถึงบทสนทนาระหว่างชาวสวรรค์และชาวนรก ซึ่งทำให้พอจะทราบคร่าวๆได้ว่าชาวสวรรค์สามารถที่จะรับรู้สภาพและชะตากรรมของบุคคลต่างๆในนรกได้ นอกจากนี้ เหล่าบุรุษชาวอะอ์ร้อฟรู้จักสีหน้าของชาวสวรรค์และชาวนรกเป็นอย่างดี มีฮะดีษมากมายที่ระบุว่าเหล่าบุรุษแห่งอะอ์ร้อฟนั้น ตามนัยยะเชิงแคบก็คือบรรดาอิมามมะอ์ศูม(อ.) ส่วนนัยยะเชิงกว้างก็หมายถึงบรรดามนุษย์ที่ได้รับการเลือกสรร ซึ่งจะอยู่ในลำดับถัดจากบรรดาอิมาม โดยบุคคลเหล่านี้อยู่เหนือชาวสวรรค์และชาวนรกทั้งมวล เราขอนำเสนอความหมายของโองการเหล่านี้ดังต่อไปนี้ 1. โองการที่ 50-57 ซูเราะฮ์ อัศศ้อฟฟ้าต “ในสรวงสวรรค์ ผู้คนต่างหันหน้าเข้าหากันแล้วถามไถ่กันและกัน โดยหนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นว่า แท้จริงฉันมีสหายคนหนึ่งที่ถามฉันว่า เธอเชื่อได้อย่างไรที่ว่าหลังจากที่เราตายและกลายเป็นธุลีดินแล้ว จะถูกนำไปพิพากษา (ชาวสวรรค์กล่าวว่า) ท่านรับรู้สภาพปัจจุบันของเขาหรือไม่? เมื่อนั้นก็ได้ทราบว่าเขาอยู่ ณ ใจกลางไฟนรก (ชาวสวรรค์)กล่าวแก่เขาว่า ขอสาบานต่อพระองค์ เจ้าเกือบจะทำให้ฉันหลงทางแล้ว หากปราศจากซึ่งพระเมตตาของพระองค์ ฉันคงจะอยู่(ในไฟนรก)เช่นกัน”[1] 2. โองการที่ 50-57 ซูเราะฮ์ มุดดัษษิร “ทุกคนย่อมค้ำประกันความประพฤติของตนเอง นอกจากสหายแห่งทิศขวาซึ่งจะถามไถ่กันในสรวงสวรรค์ ...
  • เป็นไปได้อย่างไรที่คนเราจะรักและกลัวอัลลอฮ์ในขณะเดียวกัน?
    6326 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/23
    ความหวังความรักและความกริ่งเกรงที่มีต่ออัลลอฮ์ไม่ถือเป็นเรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใดเพราะความรู้สึกเหล่านี้เกิดขึ้นในชีวิตของเราทุกคนเป็นปกติเพียงแต่เราอาจจะเคยชินเสียจนไม่รู้ตัวแม้แต่การเดินเหินตามปกติของเราก็เกิดจากปัจจัยทั้งสามประการดังกล่าวเนื่องจากหากไม่มีความหวังเราก็จะไม่ก้าวเท้าเดินและหากไม่ก้าวเท้าเดินก็จะไม่มีวันถึงจุดหมายและหากไม่มีความกลัวเราก็จะไม่ระวังตัวจนอาจประสบอุบัติเหตุได้ซึ่งก็จะทำให้ไม่สามารถไปถึงจุดหมายได้เช่นกันตัวอย่างที่ชัดเจนอีกประการก็คือการใช้สอยเครื่องอำนวยความสะดวกเช่นยานพาหนะเครื่องใช้ไฟฟ้าเตาแก๊สฯลฯเรามีความสุขและรักที่จะใช้สอยสิ่งเหล่านี้แต่หากเราใช้สอยโดยไม่ระมัดระวังและไม่เกรงภัยที่อาจเกิดขึ้นเครื่องอำนวยความสะดวกเหล่านี้ก็อาจเป็นอันตรายแก่เราได้ทุกเมื่อ ด้วยเหตุนี้เองการผนวกความรักความกลัวและความหวังเข้าด้วยกันจึงไม่ไช่เรื่องที่น่าแปลกใจแต่อย่างใด ในกรณีของอัลลอฮ์ก็เช่นกันควรต้องกริ่งเกรงรักและคาดหวังในพระองค์ในเวลาเดียวกันทั้งนี้ก็เนื่องจากความรักและความหลงใหลในพระองค์จะสร้างแรงบันดาลใจให้มนุษย์เคลื่อนไหวสู่การปฏิบัติในสิ่งที่พระองค์พึงพอพระทัยเพื่อให้ได้รับความการุณย์และลาภเนียะมัตต่างๆทั้งในโลกนี้และโลกหน้าส่วนความกริ่งเกรงก็จะเป็นแรงบันดาลใจให้ต้องนอบน้อมยอมสยบต่อคำบัญชาของพระองค์และพยายามหลีกห่างกิเลสตัณหาและปัจจัยต่างๆที่จุดเพลิงพิโรธของพระองค์ การจับคู่กันระหว่างความหวังและความกลัวนี้จะทำให้บุคคลทั่วไปได้อยู่เย็นเป็นสุขและปราศจากความหวาดผวาในโลกหน้าเนื่องจากโลกนี้คือสถานที่หว่านเมล็ดพันธุ์เมล็ดที่หว่านไปต้องได้รับการปกป้องจากภัยคุกคามเพื่อรอให้ถึงวันเก็บเกี่ยวผลผลิตและในวันเก็บเกี่ยวผลผลิตย่อมไม่จำเป็นต้องมีการปกป้องใดๆอีกต่อไป โดยลำพังแล้วความกลัวจะนำมาซึ่งความท้อแท้ความเบื่อหน่ายและความเครียดส่วนความหวังและความรักนั้นหากไม่กำกับไว้ด้วยความกลัวก็จะนำพาสู่ความลำพองตนความดื้อรั้นซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคุณสมบัติที่ไม่พึงประสงค์ทั้งสิ้น ...
  • ทำไมจึงให้สร้อยนามมะอ์ศูมะฮ์แก่ท่านหญิงฟาติมะฮ์ มะอ์ศูมะฮ์ ท่านดำรงสถานะมะอ์ศูมด้วยหรืออย่างไร?
    7718 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/06/23
    ชื่อของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ คือ“ฟาติมะฮ์” ตำราประวัติศาสตร์ก็ได้เอ่ยถึงท่านโดยใช้นามว่า ฟาติมะฮ์ บินติ มูซา บินญะอ์ฟัร (อ.) ท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ไม่ได้เป็นมะอ์ศูมในความหมายทางหลักของศาสตร์แห่งเทววิทยาอิสลามอย่างที่ใช้กับบรรดาศาสดาและบรรดาอะอิมมะฮ์ แต่ทว่าเธอมีความบริสุทธิ์ทางจิตใจและความเพียบพร้อมทางด้านจิตใจที่สูงส่ง อนึ่ง ประเด็นของอิศมะฮ์และความบริสุทธิ์ถือเป็นประเด็นที่ต้องอาศัยการเปรียบเทียบกับสิ่งอื่น เมื่อคำนึงถึงฮะดีษหลายบทที่ได้กล่าวถึงฐานันดรและความสูงส่งของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์แล้ว สามารถกล่าวได้ว่าท่านนั้นมีความสูงส่งในด้านของอิศมะฮ์ ในระดับสูง – แม้ไม่ถึงขั้นของอะอิมมะฮ์ ...
  • ระหว่างการกระทำกับผลบุญที่พระองค์จะทรงตอบแทนนั้น มีความสอดคล้องกันหรือไม่?
    7583 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/10/18
    การสัญญาว่าจะมอบผลบุญให้อย่างที่กล่าวมามิได้ขัดต่อความยุติธรรมหรือหลักดุลยภาพระหว่างการกระทำกับผลบุญแต่อย่างใดเพราะหากจะนิยามความยุติธรรมว่าคือ"การวางทุกสิ่งในสถานะอันเหมาะสม"ซึ่งในที่นี้ก็คือการวางผลบุญบนการกระทำที่เหมาะสมก็ต้องเรียนว่ามีความเหมาะสมเป็นอย่างดีเนื่องจาก ก. จุดประสงค์ของฮะดีษที่อธิบายผลบุญเหล่านี้คือการเน้นย้ำถึงความสำคัญของอิบาดะฮ์ที่กล่าวถึงมิได้ต้องการจะดึงฮัจย์หรือญิฮาดลงต่ำแต่อย่างใดซ้ำยังถือว่าฮะดีษประเภทนี้กำลังยกย่องการทำฮัจย์หรือญิฮาดทางอ้อมได้อีกด้วยเนื่องจากยกให้เป็นมาตรวัดอิบาดะฮ์ประเภทอื่นๆ
  • จำเป็นต้องสวมแหวนทางมือขวาด้วยหรือ ?
    14417 สิทธิและกฎหมาย 2554/09/25
    หนึ่งในแบบฉบับของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และอิมามผู้บริสุทธิ์คือการสวมแหวนทางนิ้วมือข้างขวาซึ่งมีรายงานกล่าวไว้ถึงประเภทของแหวนรูปทรงและแบบ. นอกจากคำอธิบายดังกล่าวที่ว่าดีกว่าให้สวมแหวนทางนิ้วมือข้างขวาแล้วบทบัญญัติทั้งหมดที่กล่าวเกี่ยวกับแหวนก็จะเน้นเรื่องการเป็นมุสตะฮับและเฉพาะผู้ชายเท่านั้นที่ห้ามสวมแหวนทอง (และเครื่องประดับทุกชนิดที่ทำจากทองคำ) ซึ่งได้ห้ามในลักษณะที่เป็นความจำเป็นด้วยเหตุนี้
  • เพราะเหตุใดกุญแจสู่สรวงสวรรค์คือ นมาซ?
    8133 จริยธรรมทฤษฎี 2555/05/17
    เป้าหมายของการสร้างมนุษย์ก็เพื่อ การแสดงความเคารพภักดีและการรู้จักพระเจ้า, ซึ่งการแสดงความเคารพภักดีต่อพระเจ้านั้น จะทำให้มนุษย์ก้าวไปสู่ความสมบูรณ์ และตำแหน่งอันใกล้ชิดต่อพระเจ้า, นมาซ คือภาพลักษณ์ที่ดีและสวยงามที่สุดของการแสดงความเคารพภักดีต่อพระเจ้า หรือการแสดงความเป็นบ่าวที่ดีต่อพระผู้ทรงสร้าง, ความเคร่งครัดต่อนมาซ 5 เวลาคือสาเหตุของความประเสริฐและเป็นพลังด้านจิตวิญญาณ ซึ่งทำให้มนุษย์ละเว้นการทำความผิดบาป หรือการแสดงความประพฤติไม่ดี อีกด้านหนึ่งเป็นการสนับสนุนส่งเสริมให้พลังแห่งความสำรวมตน ภายในจิตใจมนุษย์มีความเข้มแข็งขึ้น, ในกรณีนี้ เข้าใจได้ทันทีว่า เพราะอะไรนมาซ, จึงเป็นกุญแจสู่สรวงสวรรค์ ต้องไม่ลืมที่จะกล่าวว่า, นมาซคือหนึ่งในภาคปฏิบัติที่เป็นอิบาดะฮฺ อันมีผลบุญคือ เป็นกุญแจสู่สรวงสวรรค์, เนื่องจากรายงานฮะดีซ,เกี่ยวกับความรักที่มีต่อบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) คือ การกล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ, ความอดทน ...ก็ถือว่าเป็นกุญแจแห่งสรวงสวรรค์เช่นกัน, และเช่นกันสิ่งที่เข้าใจได้จากรายงานที่ว่า นมาซพร้อมกับความศรัทธามั่นที่มีต่ออัลลอฮฺ ความเป็นเอกะของพระองค์ ขึ้นอยู่กับความรักที่มีต่อบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) เป็นความสัมพันธ์เกี่ยวข้องที่มีความพิเศษยิ่งต่อกัน ...
  • คำพูดของอิมามศอดิกที่ว่า “ยี่สิบห้าอักขระแห่งวิชาการจะแพร่หลายในยุคที่อิมามมะฮ์ดีปรากฏกาย” หมายความว่าอย่างไร?
    8198 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/03/04
    ความเจริญรุดหน้าทางวิทยาการทั้งทางโลกและทางธรรมนั้น เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในยุคที่ท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)ปรากฏกาย วิทยาการจะรุ่งเรืองถึงขีดสุดในยุคนี้ ดังที่ปรากฏในฮะดีษที่ผู้ถามอ้างอิงไว้ข้างต้น อย่างไรก็ดี ฮะดีษทำนองนี้มิได้ระบุว่ามนุษย์ในยุคดังกล่าวจะสามารถเรียนรู้วิทยาการทั้งยี่สิบเจ็ดอักขระอย่างรวดเร็วเหมือนกันหมดทุกคน ทว่าฮะดีษของอิมามศอดิก(อ.)ข้างต้นใช้คำว่า “أخرج”[1] อันหมายถึงการที่ท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)จะนำอักขระที่เหลือออกมาเผยแพร่ เพื่อให้มนุษยชาติได้มีโอกาสเรียนรู้วิทยาการทั้งยี่สิบเจ็ดอักขระอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ อันเป็นการแผ่ขยายโอกาสอย่างกว้างขวาง แต่การที่ทุกคนสามารถจะเรียนรู้ได้ครบยี่สิบเจ็ดอักขระเท่าเทียมกันได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความไฝ่รู้ของแต่ละคน ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีบุคคลจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่บรรลุถึงวิทยฐานะอันสูงส่ง โดยจะเป็นผู้จัดตั้งสถานศึกษาและประสิทธิประสาทวิชาการแก่ผู้ที่สนใจสืบไป ดังที่อิมามอลี(อ.)กล่าวไว้ว่า “เสมือนว่าฉันกำลังเห็นเหล่าชีอะฮ์ของฉันกางเต๊นท์ในมัสญิดกูฟะฮ์เพื่อเป็นสถานที่สอนความรู้อันบริสุทธิจากอัลกุรอานแก่ประชาชน”[2] ข้อสรุป: แม้ว่าท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)จะเปิดศักราชแห่งการศึกษาวิทยาการถึงยี่สิบเจ็ดอักขระภายหลังจากที่ท่านปรากฏกาย อันกล่าวได้ว่าอาจเป็นโอกาสในการก้าวกระโดดทางวิชาการ แต่ก็มีบางคนในยุคนั้นที่ไม่สามารถจะบรรลุถึงเป้าหมายดังกล่าวได้ การจะบรรลุเป้าหมายทางวิชาการจะต้องอาศัยความพากเพียร เปรียบดั่งเป้าหมายแห่งตักวาที่ทุกคนสามารถไขว่คว้ามาได้ด้วยความบากบั่น ฉะนั้น ในเมื่อการบรรลุถึงจุดสูงสุดของตักวายังต้องอาศัยความอุตสาหะ การบรรลุถึงวิชาการทั้งยี่สิบเจ็ดอักขระก็ต้องอาศัยความพยายามและความมุมานะเช่นกัน

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60628 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58244 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42744 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40206 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39369 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34478 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28552 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28463 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28402 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26333 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...