การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
16408
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2550/12/10
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1895 รหัสสำเนา 28159
หมวดหมู่ ปรัชญาอิสลาม
คำถามอย่างย่อ
ความต่างกิจกรรมของวิญญาณขณะนอนหลับ และสลบคืออะไร?
คำถาม
มีความแตกต่างอย่างไร ระหว่างกิจกรรมต่างๆ ของจิตวิญญาณ ขณะนอนหลับและสลบ แล้วทำไมความฝันขณะนอนหลับจึงอยู่ในความทรงจำ แต่ขณะสลบมิได้เป็นเข่นนั้น?
คำตอบโดยสังเขป

รูปแบบการปฏิสัมพันธ์ระหว่างร่างกายกับจิตวิญญาณขณะตื่นนอน กับการปฏิสัมพันธ์ขณะนอนหลับนั้นมีความแตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้ ตามคำสอนของอิสลามจึงได้เรียกการนอนหลับว่า เป็นพี่น้องของความตาย

วิทยาศาสตร์แม้ว่าจะไม่มีข้อมูลการปฏิสัมพันธ์ระหว่างจิตวิญญาณกับร่างกายขณะนอนหลับ แต่สามารถค้นพบการเปลี่ยนแปลงและปฏิกิริยาบางอย่างทางร่างกายขณะนอนหลับได้ บนพื้นฐานของการค้นคว้านั้นและการทำสอบพบว่ามนุษย์มีการนอนหลับในสองระดับ ด้วยนามว่า REM และ Non REM ซึ่งทั้งสองมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยปกติแล้วการความฝันที่มักเกิดในระดับของ Non REM เกิดจากการหลับลึกซึ่งจะไม่อยู่ในความทรงจำ แต่เฉพาะการนอนหลับในระ REM เท่านั้นที่จะคงอยู่ในความทรงจำ ส่วนการสลบหมดสติเกิดจากการเบี่ยงเบนของวิญญาณ และเป็นการหลับที่ลุ่มลึกมาก ทำให้เขาไม่มีความทรงจำอันใดหลงเหลืออยู่

คำตอบเชิงรายละเอียด

ภารกิจของจิตวิญญาณเป็นหนึ่งในปัญหาที่สลับซับซ้อนที่สุด ซึ่งจนถึงปัจจุบันความรู้ของมนุษย์ยังไร้ความสามารถในการรับรู้ ด้วยเหตุนี้ ทำให้นักวิชาการมีความคิดเห็นขัดแย้งกัน ในลักษณะที่ว่า นักวิชาการบางท่านกล่าวว่า มีทัศนะเกี่ยวกับจิตวิญญาณมากเกินพันทัศนะ และยังมีประเด็นอื่นๆ อีกที่เกี่ยวข้อง[1]

อัลกุรอาน ได้เน้นถึงความไร้สามารถของมนุษย์ในการรู้จักวิญญาณ โดยกล่าวว่า »พวกเขาจะถามเจ้า เกี่ยวกับวิญญาณจงกล่าวเถิดว่า รื่องวิญญาณนั้นเป็นไปตามพระบัญชาของพระผู้อภิบาลของฉัน พวกท่านจะไม่ได้รับความรู้ใดๆ เว้นแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น”[2]

จากโองการและรายงาน เข้าใจได้ว่า วิญญาณ เป็นการมีอยู่ที่ต่างไปจากสังขาร เป็นอรูปห่างไกลจากวัตถุและสสาร กล่าวคือ มิได้จำกัดอยู่ในเวลาและสถานที่ ทำนองเดียวกันเป็นที่ชัดเจนว่าปฏิสัมพันธ์ของวิญญาณที่มีต่อร่างกายนั้น ทั้งในตอนตื่นและหลับ การแยกออกของวิญญาณจากร่างกาย กับความตายนั้นมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง อัลกุรอาน กล่าวว่า “อัลลอฮฺ จะทรงปลิดชีวิตเมื่อถึงความตายและผู้ที่ยังไม่ตายโดยสมบูรณ์ขณะนอนหลับ ดังนั้น พระองค์จะปลิดชีวิตผู้ที่พระองค์กำหนดความตายแก่เขาแล้ว และจะทรงยืดชีวิตหนึ่งไปถึงวาระที่กำหนดไว้ แน่นอน ในการนี้ย่อมเป็นสัญญาสำหรับหมู่ชนผู้ใคร่ครวญ”[3]

อัลกุรอาน กล่าวถึงความตายโดยใช้คำว่า “ตะวัฟฟา” หมายถึงการได้รับหลังจากนั้นได้เอาไป อีกนัยหนึ่ง วิญญาณที่อัลลอฮฺ ทรงมอบแก่มนุษย์พระองค์ได้นำกลับคืนไปอีกครั้ง ซึ่งการปลิดดวงวิญญาณนั้นแบ่งออกเป็น 2 ช่วงด้วยกันกล่าวคือ 1.ขั้นตอนที่อ่อนแอคือขณะนอนหลับ 2. ขั้นตอนที่แข็งแรงขณะเสียชีวิต

ไม่ว่าอย่างไรก็ตามทั้งสองขั้นตอนนั้นต้องใคร่ครวญเป็นพิเศษ วิญญาณที่ได้แยกออกจากร่างขณะนอนหลับ เป็นวิญญาณเช่นไร และร่องรอยของวิญญาณนั้นเป็นอย่างไร? ช่วงเวลาที่ดวงวิญญาณถูกปลิด มีสัญลักษณ์อย่างไรบ้าง เนื่องจากขณะนอนหลับนั้นมีการเปลี่ยนแปลงในตัวบุคคลไม่มากเท่าใด เพียงแค่ต่อมที่รับรู้และร่างกายของเขาจะอ่อนแอลงเท่านั้น[4]

ดังที่นักวิทยาศาสตร์และนักสรีระวิทยา ขณะที่ค้นคว้าเกี่ยวกับการนอนหลับและความฝัน ก็ได้พบว่ามนุษย์ขณะนอนหลับนั้นใกล้เคียงกับความตายมากที่สุด ซึ่งการวิจัยของพวกเขาเป็นเพียงด้านร่างกาย และการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเท่านั้น มิใช่มิติของวิญญาณ พวกเขาได้แบ่งการนอนหลับออกเป็น 2 ช่วง ภายใต้หัวข้อว่า การนอนหลับไม่สมบูรณ์ (REM (กับการนอนหลับธรรมดา (Non REM)

ก) การนอนหลับสบาย เรียกว่า “คลื่นสั้น” (Non REM) ในช่วงนี้ สมองของคนเราจะได้รับการผักผ่อน คลื่นสมอง จะสงบและผ่อนคลาย ความเหน็ดเหนื่อยเมื้อยล้าจากการทำงานในตอนกลางจะค่อยๆ หายไปจากร่างกาย การนอนหลับสบายนี้เริ่มต้นตั้งแต่เราได้เข้าไปสู่ที่นอนแบบยาวนาน แต่ค่อยๆ เปลี่ยนไปซึ่ง 90 นาทีต่อมาความนานนั้นจะค่อยๆ ลดลงตามลำดับ

ข) การนอนหลับไม่สมบูรณ์หลับไม่สนิท หรือ(REM (การนอนหลับประเภทนี้จะเกิดการต่อต้านกันในร่างกาย เนื่องสมองคลื่นสมองจะเต้นเร็วเหมือนทำงานอยู่เสมอ มีความกังวลคล้ายคนตื่นนอน ดวงตาทั้งสองปิดอยู่ใต้เปลือกตา เมื่อตื่นขึ้นจะกรอกสายตาไปทางซ้ายและขวาขึ้นบนและลงล่าง แต่ร่างกายไม่ขยับเขยื้อนแต่อย่างใด ซึ่งในความเป็นจริงอวัยวะและกล้ามเนื้อร่างกายเหมือนเป็นอัมพาต เมื่อเราฝันไป ขณะนอนหลับไม่สนิทในช่วงที่สองในระยะ 90 นาที

การนอนหลับธรรมดาหรือหลับสนิทนั้นมีสี่ระดับด้วยกัน ในช่วงนั้นการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว สายตาจะมองไม่เห็น ซึ่งถ้าจะกล่าวโดยรวมแล้วการนอนหลับของคนเราแบ่งออกเป็น 5 ระดับด้วยกัน ซึ่งแต่ละระดับจะมีความแตกต่างกันออกไป ซึ่งคลื่นสมองในแต่ระดับเหล่านี้ ก็จะมีความแตกต่างกันออกไปด้วย ซึ่งแน่นอนว่า ในสองระดับนี้จะไม่มีความสม่ำเสมอในช่วงนอนหลับ[5]

ส่วนการนอนหลับแบบ REM เหมือนคนเป็นอัมพาต เซลล์ประสาทจะเคลื่อนไหว สมองและไขสันหลังจะถูกยับยั้ง ในช่วงเวลานั้นเองสมองของเขาจะทำงานหนัก เลือดและออกซิเจนจะถูกสูบฉีดใช้มาก[6]

ทำนองเดียวกัน บุคคลที่นอนหลับอยู่ในระดับของ การนอนหลับไม่สนิทหรือไม่สมบูรณ์ อวัยวะภายในส่วนมาก เช่น หัวใจ และระบบทางเดินหายใจ การสูบฉีดเลือด การสร้าง การหลั่ง จะมีเพิ่มมากขึ้นเล็กน้อย ฮอร์โมนในร่างการก็จะมีการสูบฉีดมากด้วย (มีความเป็นไปได้ที่จะมีปัญหากับหัวใจ) กระเพาะอาหาร และลำไส้ จะทำงานมากขึ้นด้วย[7]

การนอนหลับไม่สนิทหรือ REM นั้นจะได้เห็นสภาพแปลกๆ เช่น หัวใจจะเต้นไม่เป็นระบบในช่วงนี้ และอาจก่อให้เกิดโรคหัวใจได้ อาจเป็นไปได้ที่ว่าการก่อให้เกิดการโจมตีที่หัวใจ เกณฑ์ความตายในเวลากลางคืน ขณะนอนหลับนั้นมีความเป็นไปได้สูงกว่าตอนกลางวัน[8]

เป็นเพราะเหตุใดที่บางคนมีความทรงจำกับความฝัน

ผลจากการวิจัยพบว่าการทดลองต่างๆ หลังจากตื่นนอน ในระดับของการนอนหลับไม่สนิท เขาจะมีความทรงจำเรื่องความฝัน แต่ในระดับของการนอนหลับสนิทจะไม่มีความทรงจำด้านนี้เลย[9]

บางคนกล่าวว่า มนุษย์บางคนไม่เคยนอนหลับฝันเลย แน่นอนคำพูดเหลานี้ไม่ถูกต้อง แต่สิ่งที่ได้เกิดขึ้นคอ ส่วนมากแล้วจะลืมความฝันของตนเอง ถ้าหากบุคคลหนึ่งขณะนอนหลับ หรือไม่ได้ตื่นหลังจากนั้นโดยพลัน เขาจะไม่นอนหลับฝัน ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่คิดว่านานหลายปีแล้วที่เขาไม่เคยนอนหลับฝันเลย เมื่อเขาไม่เคยนอนหลับไม่สนิท REM และตื่นขึ้นในช่วงนั้น จะพบว่าเรื่องราวจากความฝันต่างๆ เหมือนเป็นความจริงและสร้างความตื่นเต้นแก่เขาเป็นอย่างยิ่ง[10]

เราจะได้ประสบและรู้ถึงสาระของการนอนฝัน ขณะนอนหลับ (หรือหลังจากนั้นเล็กน้อย) เขาได้ตื่นขึ้น ถ้าเขารู้สึกตัวในช่วงนั้น และพยายามทบทวนความฝันของตนเขาก็จะสามารถจดจำความฝันได้บางส่วน และมันจะหายไปอย่างรวดเร็ว เป็นไปได้ที่ว่าเราได้นอนหลับฝันไป แต่เราไม่อาจจดจำสาระของความฝันไว้ได้นั่นเอง[11]

อย่างไรก็ตามโดยทั่วไปแล้วสามารถกล่าวได้ว่า “การนอนหลับคือ การเบี่ยงเบนวิญญาณไปจากร่างกาย ซึ่งการเบี่ยงเบนนี้บางครั้งหนักหน่วง บางครั้งก็แผ่วเบา และบางครั้งก็นาน และบางครั้งก็สั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลาสลบคือ ช่วงเวลาที่วิญญาณเบี่ยงเบนไปจากร่างกาย แม้ว่าช่วงเวลานั้นจะขึ้นอยู่กับประเภทของยาสลบ และการผ่าตัดซึ่งมีความแตกต่างกัน แต่สิ่งสำคัญคือยาสลบซึ่งมีผลอย่างรุนแรงกับร่างกาย ทำให้ปฏิสัมพันธ์ของจิตวิญญาณแยกออกจากร่างกาย แม้ว่าจะมีปฏิสัมพันธ์อยู่บ้างแต่ก็น้อยและอ่อนแอมาก ซึ่งทำให้ร่างกายมีการดำเนินกิจกรรมอ่อนแอ ประหนึ่งว่าจิตวิญญาณปราศจากอุปกรณ์และร่างกาย ด้วยเหตุนี้ จนถึงช่วงเวลาหนึ่งร่างกายไร้ความสามารถอย่างสมบูรณ์ ในการเป็นเครื่องของจิตวิญญาณ ในทางตรงกันข้ามจิตวิญญาณเองก็มีปฏิสัมพันธ์กับร่างกายแบบอ่อนแอที่สุด บนพื้นฐานดังกล่าวนี้ เหตุผลของการเบี่ยงเบนจิตวิญญาณไปจากร่างกาย หรือการมีปฏิสัมพันธ์อ่อนแอระหว่างจิตวิญญาณกับร่างกาย ในขณะสลบ แม้แต่ได้มีการดำเนินการหนัก เช่น ผ่าตัดร่างกาย แต่เนื่องจากจิตวิญญาณยังมิได้ควบคุมร่างกาย ทำให้เขาไม่ต่นจากสลบ[12]

ผลจากที่กล่าวมา :

1.ปฏิสัมพันธ์ระหว่างวิญญาณกับร่างกาย มิได้มีเพียงช่วงนอนหลับ ทว่าในช่วงตื่นก็ไม่เป็นที่ชัดเจนสำหรับเรา

2.มนุษย์สามารถจดจำความฝันในช่วงการนอนหลับไม่สนิทเท่านั้น เนื่องจากการนอนหลับสนิทจะมีความทรงจำน้อยมาก ดังนั้น การจดจำความฝันในช่วงที่นอนหลับไม่สนิท และตื่นขึ้นโดยฉับพลับหลังจากฝัน

3.สาเหตุที่มนุษย์ ไม่มีความทรงจำความฝันในช่วงของการนอนหลับสนิทได้ เนื่องจากจิตวิญญาณไปเบี่ยงเบนไปจากร่างกายมากกว่าการนอนหลับไม่สนิท ด้วยเหตุนี้เอง ขณะสลบหรือหมดสติ จิตวิญญาณจะเบี่ยงเบนไปจากร่างกายมาก และเมื่อช่วงเวลาผ่านไปนานพอสมควร จิตวิญญาณจะค่อยๆ กลับมาสู่ร่างอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่อาจจดจำความฝันได้

 


[1] มาะการิมชีรอซียฺ, บทเรียนหลักศรัทธาสำหรับเยาวชน หน้า 5

[2] บทอัสรออฺ 85, «وَ يَسْئَلُونَكَ عَنِ الرُّوحِ قُلِ الرُّوحُ مِنْ أَمْرِ رَبِّي وَ ما أُوتيتُمْ مِنَ الْعِلْمِ إِلاَّ قَليلا»

[3] บทซุมัร 42

[4] มิซบาฮฺ ยัซดี มุฮัมมัดตะกี พีชเนยอซฮอเยะ มุดีรียัต อิสลามี หน้า 71, 72

[5] โคดา พะนอฮียฺ มุฮัมมัด กะรีม จิตวิทยาทางสรีระวิทยา หน้า 242.

[6] คาร์ลสันนีล จิตวิทยาทางสรีระวิทยา หน้า 401.

[7] โคดา พะนอฮียฺ มุฮัมมัด กะรีม จิตวิทยาทางสรีระวิทยา หน้า 247

[8] โรเบิร์ต จิตวิทยาทางสรีระวิทยา หน้า 325

[9] โคดา พะนอฮียฺ มุฮัมมัด กะรีม จิตวิทยาทางสรีระวิทยา หน้า 253

[10] คาร์ลสันนีล จิตวิทยาทางสรีระวิทยา หน้า 403

[11] ริต้าแอล และกลุ่มนักเขียน จิตวิทยาฮายล์การ์ด หน้า 372

[12] ซีดี วิชาการพะรีชอน

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • จำเป็นหรือไม่ที่มิตรภาพระหว่างบุคคลขึ้นอยู่กับความคล้ายคลึงกันทางกายภาพ อย่างเช่น อายุและส่วนสูงที่เท่ากัน ฯลฯ?
    6794 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/06/23
    สิ่งที่อิสลามใช้เป็นเกณฑ์ในการเลือกคบค้าสมาคมอันดับแรกก็คือคุณลักษณะทางจิตใจ หาไช่รูปลักษณ์ภายนอกไม่ อย่างไรก็ดี คุณลักษณะภายนอกบางประการอาจเป็นสิ่งสำคัญในบางสถานการณ์ ตัวอย่างเช่น การที่ไม่ควรคบหากับผู้ที่จะเป็นเหตุให้ถูกสังคมมองในทางที่ไม่ดี หลักเกณฑ์ของอิสลามคือ ควรต้องมีอีหม่าน, สามารถจุนเจือเพื่อนได้ทั้งทางโลกและทางธรรม, ช่วยตักเตือนในความผิดพลาด ฯลฯ ...
  • ความสัมพันธ์ระหว่างพระประสงค์ของพระเจ้ากับความต้องการของมนุษย์เป็นอย่างไร
    6713 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/12/22
    มนุษย์คือการมีอยู่อยู่ประเภทที่เป็นไปได้หมายถึงแก่นแท้แห่งการมีอยู่ของมนุษย์นั้นมาจากพระเจ้าพระเจ้าทรงรังสรรค์มนุษย์ขึ้นมาด้วยเจตนารมณ์เสรีและพระประสงค์ของพระองค์และด้วยความพิเศษนี้เองพระองค์ได้ทำให้เขามีความสูงส่งกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆด้วยเหตุนี้มนุษย์คือสรรพสิ่งมีอยู่ที่ดีที่สุดพระองค์ทรงวางกฎหมายและมอบให้มนุษย์เป็นผู้ที่พระองค์กล่าวถึงอีกทั้งทรงอนุญาตให้มนุษย์สามารถตัดสินใจได้เองว่าจะเชื่อฟังปฏิบัติตามหรือจะปฏิเสธอนุญาตให้มนุษย์เลือกและจัดการกับชะตากรรมของพวกเขาเองและนี่คือมนุษย์เขาสามารถเลือกในสิ่งดีงาม
  • จุดประสงค์ของประโยคที่อัลกุรอาน กล่าว่า “สตรีคือไร่นาของบุรุษ” หมายถึงอะไร?
    10571 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/09/08
    ความหมายของประโยคดังกล่าวที่ว่า “สตรีคือไร่นาของบุรุษ” หมายถึงเป็นการอุปมาสตรีเมื่อสัมพันธ์ไปยังสังคมมนุษย์ ประหนึ่งไร่นาของสังคมมนุษย์นั่นเอง ดั่งประที่ประจักษ์ว่าถ้าหากสังคมปราศจากซึ่งไร่นาแล้วไซร้ พืชพันธ์ธัญญาหาร ต่างๆ ก็จะไม่มีและสูญเสียจนหมดสิ้น สังคมจะปราศจากซึ่งอาหาร สำหรับการดำรงชีพ เวลานั้นพงศ์พันธ์ของมนุษย์ก็จะไม่มีหลงเหลือสืบต่อไปอีกเช่นกัน ดังนั้น ถ้าหากโลกนี้ไม่มีสตรี เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ไม่อาจสืบสานสายตระกูลต่อไปอีกได้ เชื้อสายมนุษย์จะสิ้นสุดลงในที่สุด[1] ตามความเป็นจริงแล้ว อัลกุรอาน ต้องการที่จะแสดงให้สังคมได้เห็นว่า การมีอยู่ของสตรีนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสังคม อย่าเข้าใจผิดว่าสตรีคือที่ระบายความใคร่ หรือกามรมย์ของบุรุษแต่เพียงอย่างเดียว ดังที่บางสังคมเข้าใจเช่นนั้น พวกเขาจึงใช้สตรีไปในวิถีทางที่ผิด ฉะนั้น อัลกุรอานต้องการแสดงให้เห็นว่า ความน่ารักของสตรีมิใช่ที่ระบายตัณหาราคะของผู้ชาย ทว่าพวกนางคือสื่อสำหรับปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้ดำรงสืบต่อไป[2] ดังนั้น โองการข้างต้นคือตัวอธิบายให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างบุรุษและสตรี ดั่งเช่นที่ไร่นาสาโทถ้าปราศจากเมล็ดพันธ์พืช จะไม่มีประโยชน์อันใดอีกต่อไป ในทำนองเดียวกันเมล็ดพันธ์ ถ้าปราศจากไร่นาก็ไม่มีประโยชน์เช่นกัน มีคำพูดกล่าวว่า จากโองการข้างต้นเข้าใจความหมายได้ว่า หน้าที่ของบุรุษคือ ต้องใส่ใจและดูแลภรรยาของตนอย่างดี เพื่อการได้รับประโยชน์ และขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างประโยชน์ให้เกิดแก่สังคม
  • จะเชิญชวนชาวคริสเตียนให้รู้จักอิสลามด้วยรหัสยนิยมอิสลาม(อิรฟาน)ได้อย่างไร?
    10600 รหัสยทฤษฎี 2554/08/14
    คุณสามารถกระทำได้โดยการแนะนำให้รู้จักคุณสมบัติเด่นของอิรฟาน(รหัสยนิยมอิสลาม) และเล่าชีวประวัติของบรรดาอาริฟที่มีชื่อเสียงของอิสลามและสำนักคิดอะฮ์ลุลบัยต์1). อิรฟานแบ่งออกเป็นสองประเภทด้วยกันอิรฟานเชิงทฤษฎีและอิรฟานภาคปฏิบัติเนื้อหาหลักของวิชาอิรฟานเชิงทฤษฎีก็คือก. แจกแจงเกี่ยวกับแก่นเนื้อหาของเตาฮี้ด(เอกานุภาพของอัลลอฮ์)ข. สาธยายคุณลักษณะของมุวะฮ์ฮิด(ผู้ยึดถือเตาฮี้ด)ที่แท้จริงเตาฮี้ดในแง่อิรฟานหมายถึงการเชื่อว่านอกเหนือจากพระองค์แล้วไม่มีสิ่งใดที่“มีอยู่”โดยตนเองทั้งหมดล้วนเป็นภาพลักษณ์ของอัลลอฮ์ในฐานะทรงเป็นสิ่งมีอยู่เพียงหนึ่งเดียวทั้งสิ้น
  • ในเมื่อไม่สามารถมองเห็นพระองค์ได้ แล้วคำว่า لَّمَحْجُوبُونَ หมายถึงอะไร?
    7478 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/08
    คำว่า “ฮิญาบ” (สิ่งปิดกั้น) มิได้สื่อถึงความหมายเชิงรูปธรรมเพียงอย่างเดียวทั้งนี้ก็เพราะเหตุผลทางปัญญาและกุรอาน, ฮะดีษพิสูจน์แล้วว่าอัลลอฮ์มิไช่วัตถุธาตุ[1]ฉะนั้นฮิญาบในที่นี้จึงมีความหมายเชิงนามธรรมมิไช่ความหมายเชิงรูปธรรมดังที่ปรากฏในโองการต่างๆอาทิเช่นوَ إِذَا قَرَأْتَ الْقُرْءَانَ جَعَلْنَا بَیْنَکَ وَ بَینْ‏َ الَّذِینَ لَا یُؤْمِنُونَ بِالاَخِرَةِ حِجَابًا مَّسْتُورًا  (ยามที่เจ้าอัญเชิญกุรอานเราได้บันดาลให้มีปราการล่องหนกั้นกลางระหว่างเจ้ากับผู้ที่ไม่ศรัทธาต่อปรโลก)
  • ท่านอายาตุลลอฮ์คอเมเนอีฟัตวาไว้อย่างไรเกี่ยวกับการมองหญิงสาวที่ไม่ใช่มะฮ์ร็อม?
    5881 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/25
     ฟัตวาของท่านอายาตุลลอฮ์คอเมเนอีเกี่ยวกับการมองหญิงที่ไม่ใช่มะฮ์ร็อมเหมือนกับฟัตวาของอิมามโคมัยนีที่ได้เคยฟัตวาไว้ท่านอิมามโคมัยนีได้กล่าวเกี่ยวกับการมองมุสลิมะฮ์ที่ไม่ใช่มะฮ์ร็อมว่า “การมองเรือนร่างของสุภาพสตรีที่ไม่ใช่มะฮ์ร็อมไม่ว่าจะมองด้วยความเสน่หาหรือไม่ก็ตามถือว่าเป็นฮะรอมส่วนการมองใบหน้าและมือทั้งสองของนางหากไม่ได้มองด้วยความเสน่หาถือว่าไม่เป็นไรและไม่เป็นที่อนุมัติให้สุภาพสตรีมองเรือนร่างของสุภาพบุรุษเช่นกันส่วนการมองใบหน้า, ร่างกายและเส้นผมของเด็กสาวที่ยังไม่บาลิฆหากไม่ได้มองเพื่อสนองกิเลสและหากไม่เกรงว่าการมองนั้นจะโน้มนำสู่พฤติกรรมที่ฮะรอมแล้วถือว่าไม่มีปัญหาแต่อย่างใดแต่ตามหลักอิฮ์ติยาฎแล้วไม่ควรมองส่วนต่างๆของร่างกายที่คนทั่วไปมักจะปกปิดกันเช่นขาอ่อนและท้องฯลฯ [1]ท่านอายาตุลลอฮ์คอเมเนอีได้ตอบคำถามที่ว่า “การมองใบหน้าและที่มือของหญิงที่ไม่ใช่มะฮ์ร็อมมีกรณีใดบ้าง? จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องปกปิดเท้าทั้งสองจากสายตาของชายที่ไม่ใช่มะฮ์ร็อม?” ท่านได้ตอบว่า “หากฝ่ายชายมองด้วยความเสน่หาหรือในกรณีที่หญิงคนนั้นแต่งหน้าหรือมีเครื่องประดับที่มือของเธอถือว่าไม่อนุญาตให้มองส่วนการปกปิดสองเท้าจากสายตาของผู้ที่ไม่ใช่มะฮ์ร็อมนั้นถือเป็นสิ่งที่จำเป็น” [2]และได้กล่าวเกี่ยวกับสตรีที่ไม่ใช่มุสลิมว่า“หากมองใบหน้าและสองมือของสตรีที่เป็นชาวคัมภีร์เช่นชาวยิวหรือนะศอรอโดยปราศจากความเสน่หาหรือกรณีที่ไม่เกรงว่าการมองนี้จะโน้มนำสู่พฤติกรรมที่เป็นฮะรอมถือว่าอนุญาต[3]และได้ตอบคำถามที่ว่าในกรณีสตรีที่ไม่ใช่มุสลิมหากมองส่วนอื่นๆที่โดยทั่วไปมักจะเปิดเผยกันเช่นผมหูฯลฯเหล่านี้จะมีฮุกุมเช่นไร?” ท่านได้ตอบว่า “การมองโดยปราศจากความเสน่หาและไม่โน้มนำสู่ความเสื่อมเสียถือว่าไม่เป็นไร”[4]
  • สัมพันธภาพระหว่างศรัทธาและความสงบมั่นที่ปรากฏในกุรอานเกิดขึ้นได้อย่างไร?
    6983 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/03/07
    อีหม่านให้ความหมายว่าการให้การยอมรับ ซึ่งตรงข้ามกับการกล่าวหาว่าโกหก แต่ในสำนวนทั่วไป อีหม่านหมายถึงการยอมรับด้วยวาจา ตั้งเจตนาในใจ และปฏิบัติด้วยสรรพางค์กาย ส่วน “อิฏมินาน” หมายถึงความสงบภายหลังจากความกระวนกระวายใจ ความแตกต่างระหว่างอีหม่านและความสงบมั่นทางจิตใจก็คือ ในบางครั้งสติปัญญาของคนเราอาจจะยอมรับเรื่องใดเรื่องหนึ่งด้วยกระบวนการพิสูจน์เชิงเหตุและผล ทว่ายังไม่บังเกิดความสงบมั่นใจจิตใจ แต่ถ้าลองได้มั่นใจในสิ่งใดแล้ว ความมั่นใจนี้จะนำมาซึ่งความสงบมั่นทางจิตใจในที่สุด มีผู้ถามอิมามริฎอ(อ.)ว่า ท่านนบีอิบรอฮีม(อ.)มีความเคลือบแคลงสงสัยหรืออย่างไร? ท่านตอบว่า “หามิได้ ท่านมีความมั่นใจจริง แต่ทว่าท่านขอให้พระองค์ทรงเพิ่มพูนความมั่นใจแก่ตนเองอีก” ...
  • สาขามัซฮับที่สำคัญของชีอะฮ์มีจำนวนเท่าใด?
    10167 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/07/10
    คำว่า“ชีอะฮ์”โดยรากศัพท์แล้วหมายถึง“สหาย”หรือ“สาวก”และยังแปลได้ว่า“การมีแนวทางเดียวกัน” ส่วนในแวดวงมุสลิมหมายถึงผู้เจริญรอยตามท่านอิมามอลี(อ.) ซึ่งมีการนิยามความหมายของคำว่าผู้เจริญรอยตามว่า
  • เราสามารถพบอับดุลลอฮฺ 2 คน ซึ่งทั้งสองจะได้ปกครองประเทศอาหรับก่อนการปรากฏกายของท่านอิมามซะมาน ได้หรือไม่?
    6541 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/21
    หลังจากการศึกษาค้นคว้ารายงานดังกล่าวแล้วได้บทสรุปดังนี้:รายงานจากท่านอิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่าบุคคลใดก็ตามรับประกันการตายของอับดุลลอฮฺแก่ฉัน (
  • ตามทัศนะของท่านอายะตุลลอฮฺ อัลอุซมา อะลี คอเมเนอี การปรากฏตัวของสตรีที่เสริมสวยแล้ว (ถอนคิว,เขียนตาและอื่นๆ) ต่อหน้าสาธารณชน ท่ามกลางนามะฮฺรัมทั้งหลาย ถือว่าอนุญาตหรือไม่? และถ้าเสริมสวยเพียงเล็กน้อย มีกฎเกณฑ์ว่าอย่างไรบ้าง?
    10689 หลักกฎหมาย 2556/01/24
    คำถามข้อ 1, และ 2. ถือว่าไม่อนุญาต ซึ่งกรณีนี้ไม่มีความแตกต่างกันในเรื่องอุปกรณ์ที่ใช้เสริมสวย คำถามข้อ 3. ถ้าหากสาธารณถือว่านั่นเป็นการเสริมสวย ถือว่าไม่อนุญาต[1] [1] อิสติฟตาอาต จากสำนักฯพณฯท่านอายะตุลลอฮฺ อัลอุซมา คอเมเนอี (ขออัลลอฮฺทรงปกป้อง) ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60173 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57630 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42249 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39453 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38979 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34037 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28046 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28032 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27866 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25854 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...