การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
7862
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2553/10/21
 
รหัสในเว็บไซต์ fa317 รหัสสำเนา 10187
คำถามอย่างย่อ
ศาสนามีความเหมาะสมกับความเสรีของเราหรือว่าไม่เข้ากัน
คำถาม
ศาสนามีความเหมาะสมกับความเสรีของเราหรือว่าไม่เข้ากัน
คำตอบโดยสังเขป

เสรีภาพในการศาสนานั้นสามารถตรวจสอบได้จาก เสรีภาพทางจิตวิญญาณ และเสรีภาพทางสังคมการเมือง ในมุมมองจิตวิญญาณ, แก่นแท้ของมนุษย์คือ นัฟซ์มุญัรร็อด (หมายถึงสภาพที่เป็น อรูป ไม่ต้องอาศัยร่างกายและวัตถุหรืออาการทางกายภาพ) เพราะเป็นอาณาจักรแห่งความเร้นลับมีแนวโน้มของความคิดเห็นที่มีต่อแหล่งกำเนิดของตน และนั่นเป็นเพราะว่าชีวิตของเราขึ้นอยู่กับร่างกาย ซึ่งมีพันธผูกพันอยู่กับกิจการทางโลก มนุษย์ไม่มีทางหลีกเลี่ยงที่ต้องสร้างความสมบูรณ์แบบของตน โดยการปฏิบัติภารกิจบนโลกนี้ซึ่งโลกนั้นเป็นเพียงเรือกสวนไร่นาสำหรับปรโลก แต่บางคนเนื่องจากใส่ใจต่อความเป็นอิสรเสรี เขาจึงตกหลุมพรางการละเล่นและความสวยงามภายนอกของโลก และสิ่งนี้กลายเป็นสาเหตุสำคัญที่เขาไม่สามารถพัฒนาจิตใจให้สูงส่งได้ และแทนที่จะคิดถึงแก่นแท้ความจริงของภารกิจ หรือของสรรพสิ่งที่มีอยู่ แต่คิดถึงเฉพาะเปลือกนอกเหล่านั้นและคิดว่านั้นเป็นแก่นความจริง เขาจึงหลงลืมแก่นแท้ความจริงโดยสิ้นเชิง มีความเพลิดเพลินต่อโลกหรือหลงโลกนั่นเอง พวกเขาตั้งความหวังกับโลกไว้อย่างสวยหรู และไม่มีข้อจำกัดในการใช้ประโยคทางโลก พวกเขาได้ให้ความอิสระชนิดปราศจากเงื่อนไขแก่ตัวเอง ขณะที่เสรีภาพคือการปลดปล่อยตนเองให้รอดพ้นจากราชประสงค์ของความเป็นสัตว์ โลก และอำนาจฝ่ายต่ำ และนี่คือเสรีภาพที่เป็นความต้องการของศาสนา จากมุมมองของศาสนาไม่ใช่เรื่องแปลกที่บุคคลหนึ่งอาจเป็นมหาจักรพรรดิที่มีอำนาจ แต่เขาขัดเกลาจิตวิญญาณเพื่อความสมบูรณ์แบบ ประหนึ่งผู้ยากจนไร้ซึ่งสมบัติ ขณะที่เขาเป็นกษัตริย์ปกครองประเทศ

สรุป : สิ่งที่ผู้หลงโลกทั้งหลายกำลังค้นหาคือ อิสรภาพจอมปลอมอันปราศจากเงื่อนไข แต่เสรีภาพที่ศาสนาต้องการคือ เสรีภาพที่แท้จริง ทั้งในมิติทางสังคมก็อยู่ในกรอบความคิดทางศาสนา ตลอดจนการคิดทางการเมืองและสังคมอิสลามก็อยู่ในกรอบเช่นกัน ไม่ใช่ความเสรีชนิดสุดโต่ง และไม่ใช่ทั้งการบีบบังคับให้ยอมจำนนในเงื่อนไขภายนอก และยอมรับการปกครองของทุกรัฐบาลที่อยุติธรรม ซึ่งได้ทำลายเกียรติยศของเขา ดังนั้น เราจึงสามารถกล่าวได้ว่า มีเสรีภาพส่วนบุคคลและของสังคมอยู่ในศาสนาอิสลาม แต่มีความแตกต่างกันระหว่างวิสัยทัศน์ในอิสลามและตะวันตก เสรีภาพทางศาสนาก็เหมือนดังเช่นความเชื่อที่มีพื้นฐานการพัฒนาของทุกสิ่งอยู่ที่พระเจ้า ด้วยเหตุนี้ ทุกภารกิจการงานของมนุษย์จึงควรมาจากพระเจ้า และอยู่ในทิศทางที่แสวงหาความโปรดปรานของพระองค์ ในแง่ของการพัฒนาคุณธรรมและวัฒนธรรม ซึ่งได้เชิญชวนสังคมมนุษย์ความยุติธรรม และละเว้นการฝ่าฝืนและการละเมิดสิทธิของผู้อื่น และอีกด้านหนึ่งได้เชิญชวนให้ศาสนิกไปสู่การศึกษาและการเรียนรู้วิชาการในศาสตร์ต่างๆ เพื่อการใช้ประโยชน์อย่างถูกต้อง และเหมาะสม

คำตอบเชิงรายละเอียด

จิตวิญญาณของเราเนื่องจากเป็น (นัฟซ์มุญัรร็อด) หมายถึงมีสภาพที่เป็น อรูป ไม่ต้องอาศัยร่างกายและวัตถุหรืออาการทางกายภาพ สำหรับจิตวิญญาณของมนุษย์นั้นไม่มีความยาว ความกว้าง ความลึก คุณภาพ ความร้อน ความเย็น ไม่มีทิศทั้งเบื้องสูงและเบื้องต่ำ ข้างหน้าและข้างหลัง[1] เพราะเป็นอาณาจักรแห่งความเร้นลับมีแนวโน้มของความคิดเห็นที่มีต่อแหล่งกำเนิดของตน

มวลสรรพสิ่งมีชีวิตในจักรวาล บางครั้งเป็นสรรพสิ่งถูกสร้างขึ้นมาโดยมีสรีระและเรือนร่างและกายภาพ หรืออยู่ใน โลกเร้นลับที่เป็นอรูปซึ่งมีอยู่ในอีกลักษณะหนึ่ง (ด้านบนของโลกแห่งกายภาพซึ่งประกอบด้วยระบบที่ค่อยเป็นค่อยไปแล้ว ยังมีอีกโลกหนึ่งซึ่งครอบคลุมทั้งสิ่งมีชีวิตที่นอกเหนือไปจากการเจริญเติบโตที่ละน้อย และนอกเหนือไปจากเวลา) ซึ่งเรียกโลกนั้นว่า "อาลัมอัมร์” ซึ่งสรรพสิ่งในโลกนั้นครอบคลุมเหนือโลกแห่งการสร้างสรรค์[2] ซึ่งทั้งอาลัมอัมร์และการสร้างสรรค์ทั้งหมดมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น อัลกุรอานกล่าวว่า : พึงรู้ไว้เถิดว่า การสร้างและกิจการทั้งหลายนั้นเป็นสิทธิของพระองค์เท่านั้น มหาบริสุทธิ์แด่อัลลอฮ์ผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก”[3] อีกด้านหนึ่งจะเห็นว่า จิตวิญญาณของเราต้องอาศัยสรีระและเรือนร่าง เพื่อการพัฒนาและการเจริญเติบโตในเงื่อนไขอันจำกัด

มนุษย์ไม่มีหนอื่นใดอีกแล้วนอกจากต้องผ่านโลกเพื่อก้าวไปสู่ความสมบูรณ์สูงสุดของตน  ต้องผ่านความยากลำบาก ภยันตรายนานัปการและอุปสรรคอีกมากมาย เพื่อฝึกปรือตนให้กล้าแกร่งทั้งด้านคุณธรรมและศีลธรรม (โลกคือสถานเพราะปลูกสำหรับปรโลก.[4]) แต่เนื่องจากความเสรีจึงทำให้มีความหวังต่อโลกเป็นปัจจัยสำคัญทำให้ลืมการขัดเกลาจิตใจตนเอง และการโบยบินไปสู่อาณาจักรแห่งความจริง โลกได้ตบแต่งและประดับประดาภายนอกของตนอย่างสวยงาม เมื่อมนุษย์ได้พบเห็นต่างคิดว่าโลกเป็นสถานที่อมตะและนิรันดร ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า : “ผู้ใดมองโลกด้วยตาใจโลกก็จะทำให้เขามองเห็น ส่วนผู้ที่จ้องมองโลกด้วยตาเนื้อ โลกจะทำให้เขาตาบอด”[5]

ชีวิตทางโลก : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงสาธยายถึงชีวิตทางโลกเอาไว้ว่า : แน่นอน การใช้ชีวิตบนโลกนี้เป็นเพียงการละเล่นและความสนุกร่าเริงเท่านั้น”[6] คำว่า ละอิบ คือการกระทำหนึ่งที่ไม่มีที่สิ้นสุดยกเว้นการจินตนาการ ส่วนคำว่า ละฮ์วุน หมายถึง ทุกสิ่งที่ทำให้มนุษย์หมกมุ่นอยู่กับตนอันเป็นสาเหตุทำให้ลืมคนอื่น ดังนั้น จะเห็นว่าโองการกำลังชี้ให้เห็นความจริงที่ว่า การใช้ชีวิตบนโลกนี้ก็เหมือนกับ จิตวิญญาณมนุษย์ที่ขึ้นอยู่กับร่างกายและผ่านระบบทางร่างกายทำให้จิตวิญญาณมีความสมบูรณ์, โลกจะทำให้มนุษย์หมกมุ่นอยู่กับตนเองจนกระทั่งหลงลืมคนอื่น จุดเริ่มต้นของความหลงลืมคือ ชีวิตทางโลก โลกจะหลอกลวงจิตวิญญาณเพื่อให้รวมกับร่างกาย หลังจากนั้นจะแนะนำให้ท่านตัดขาดความสัมพันธ์กับโลกที่มิใช่กายภาพ และทุกสิ่งที่เป็นความงาม ความสูงส่ง และความสุขร่างเริงซึ่งมีอยู่ในโลกก่อนหน้าโลกแห่งวัตถุ (อาลัมอัมร์) ถูกลืมเลือนไปจนหมดสิ้น ความภาคภูมิใจตำแหน่งแห่งความใกล้ชิด การได้อยู่ร่วมกับผู้สะอาดบริสุทธิ์ บรรยากาศและความคุ้นเคย และความศักดิ์สิทธิ์มิได้อยู่ในความทรงจำของเขาอีกต่อไป ดังนั้น ชีวิตของเขาจึงทุ่มเทให้แก่ความสนุกสนานและการละเล่น ทุกสรรพสิ่งที่พวกเขาหันหน้าไปสู่ จะไม่มีสิ่งใดเกินเลยไปจากการจินตนาการ และความหวังลมๆ แล้งๆ เมื่อเขาได้สัมพันธ์กับสิ่งเหล่านั้นเขาก็จะไม่พบความจริงอันใดทั้งสิ้น[7]

อัลลอฮฺ ตรัสว่า : “และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาการงานของพวกเขาเปรียบเสมือนภาพลวงตาในที่ราบโล่งเตียน คนกระหายน้ำคิดว่ามันเป็นแอ่งน้ำ เมื่อเขามาถึงมันเขาจะไม่พบสิ่งใดเลย” [8]

ความเป็นแก่นแท้ของภายนอกและภายใน : มนุษย์คือสรรพสิ่งถูกสร้างประเภทหนึ่งที่มี้เนื้อหนังมังสา มีร่างกายและจิตวิญญาณ ในความคิดของเขาสิ่งนั้นคือ ความจริง  เขาจึงได้ทุ่มเทความสนใจไปในเรื่องที่เป็นรูปธรรม และเรื่องทั่วไปของจิตสำนึก โดยได้ละเลยเรื่องราวด้านในและภารกิจอันเป็นความเร้นลับ (เรื่องจิตด้านใน) บุคคลจุพวกนี้จึงมีความสุขอยู่กับการรับประทานอาหาร การดื่ม การนอนหลับและการดำรงชีวิตไปวันๆ หนึ่งเท่านั้น ดังที่อัลกุรอานกล่าวว่า : “พวกเขารู้แต่เพียงผิวเผินในเรื่องการดำรงชีวิตในโลกนี้ แต่พวกเขาไม่คำนึงถึงการมีชีวิตในปรโลก”[9]

แต่สำหรับบุคคลที่ใส่ถวิลหาข้อเท็จจริง จะเข้าใจในความจริงและแก่แท้ของกิจการต่างๆ เขารู้ดีว่าภายนอกของสรรพสิ่งคือ ตัวแทนของสิงที่อยู่ข้างใน ด้วยเหตุนี้ ภาพภายนอกสำหรับพวกเขาเป็นเพียงเปลือก ส่วนภายในคือแก่นหรือสมองของสิ่งนั้น และเป็นธรรมดาว่าสมองนั้นจะไม่เสียสละตัวเองเพื่อผิวเน่นอน ท่นอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า : แท้จริงหมู่มวลมิตรของอัลลอฮฺคือ บุคคลที่มองดูภายในของโลก ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่จะมองดูภายนอก (ความสิวิไลซ์และความสวยงาม) พวกเขาหมกมุ่นอยู่กับภารกิจในอนาคตของโลก (ตระเตรียมเสบียงเพื่อรอวันตาย) ขณะที่ประชาชนกำลังสารวนอยู่กับกิจวัตรประจำวันของโลก (ทำมาหากินเพื่อปากท้อง)[10]

ความหวังที่แท้จริงกับจอมปลอม : บรรดาพวกที่ลุ่มหลงโลกต่างคิดว่าการได้รับความสนุกสนานทางโลก และการใช้ประโยชน์จากมันไม่มีข้อจำกัดแต่อย่างใด มีอิสระจากทุกเงื่อนไข ขณะที่เขาได้รับฟังคำสั่งราคะจากจิตใจทีฟุ้งซ่าน (ราคะของจิตวิญญาณฟุ้งซ่านของมนุษย์ เป็นลักษณะทางกายภาพของมนุษย์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องภายในและเรือนร่าง ประกอบกับภารกิจนั้นเกี่ยวข้องกับสรีระวัตถุที่ไม่มีค่าอันใด) ผู้ที่หลงโลกนั้นปรารถนาที่จะดำรงอยู่ในโลกตลอดไป จิตส่วนนี้มักนำพามนุษย์ไปสู่ความเสียหาย ไร้แก่นสารความจริง

ความเสรีภาพในความเป็นจริงคือ การปลดปล่อยตนเองจากบ่วงของโลกและอำนาจฝ่ายต่ำ ซึ่งความเสรีภาพดังกล่าวนี้คือความต้องการของศาสนา จากมุมมองของศาสนามนุษย์อาจจะเป็นพระมหากษัตริย์ของโลกมีอำนาจอยู่ในมือ แต่เป็นทาสของอำนาจฝ่ายต่ำ ฉะนั้น บุคคลเช่นนี้ถือว่าไม่มีอิสระถูกจองจำด้วยอำนาจฝ่ายต่ำ และจะไม่ได้รับประโยชน์จากเสรีภาพเลย ในทางตรงกันข้ามถ้าเป็นคนจนแต่มีความสมบูรณ์ย่อมดีกว่า ดัวยเหตุนี้ ถ้าสุละต่านสามารถควบคุมอำนาจใฝ่ต่ำของตนได้ ไม่เพียงแต่เขาจะไม่ก่อความเสียหาย ทว่าเขายังมีศักยภาพในการสร้างประโยชน์ได้อีกมากมาย ดังนั้น แก่นแท้ของเสรีคือ การควบคุมของสติปัญญาในการไม่ปฏิบัติตามอำนาจฝ่ายต่ำและโมหะ

ในทัศนะของศาสนา ทาส หมายถึงบุคคลที่ตกเป็นทาสของอำนาจฝ่ายต่ำ โมหะ และราคะของตนเองสติปัญญาก็อยู่ภายใต้การควบคุมของสิ่งนั้นด้วย ท่นอิมามอเลี (อ.) กล่าวว่า : ตั้งเท่าไหร่แล้วที่ปัญญาตกเป็นทาสและอารมณ์เป็นเจ้านาย[11] ท่านอิมาม (อ.) กล่าวอีกว่า: เสรีไม่ได้หมายถึงชายคนหนึ่งได้ละทิ้งสิ่งไร้ค่า (โลก) ไปดอกหรือ พึงรู้ไว้เถิดว่า ชีวิตของเจ้าไม่อาจแลกเปลี่ยนกับสิ่งใดได้นอกจากสวรรค์ ดังนั้น จงอย่าขายชีวิตของเจ้ากับสิ่งใด นอกจากสวรรค์[12]

เสรีภาพทางจิตวิญญาณและสังคม : เมื่อมนุษย์ปล่อยวางอำนาจฝ่ายต่ำของตน และพบแก่นแท้ของตนเอง แน่นอน ชีวิตทางสังคม วัฒนธรรม กิจการทางการเมือง และสังคมของเขาก็จะมีความสุขตามไปด้วย ดังที่รายงานจำนวนมากมายได้กล่าวสำทับประเด็นนี้เอาไว้ว่า มนุษย์ต้องเผชิญกับศัตรูภายในและภายนอก 2 ประการ ซึ่งศัตรูเหล่านั้นต้องการให้เขาถูกจับเป็นเชลย แต่ถ้าเขาเอาชนะศัตรูทั้งภายในและภายนอกได้เขาก็จะได้พบกับความเสรีภาพแต่น่าเสียดายที่ปัจจุบันกลุ่มสำนักคิด เช่น ซูฟี ได้พยายามต่อสู้กับศัตรูภายใน ปลดปล่อยตนเองจากอำนาจฝ่ายต่ำและคุณธรรมของซาตาน, แต่ไม่ได้ใส่ใจต่อเสรีภาพภายนอก และไม่ได้ปลดปล่อยตนจากเทพพระเจ้าทั้งหลาย (ในทางตรงกันข้ามมีบางกลุ่มต่อสู้เพื่อเสรีภาพภาพทางสังคม ไม่คิดว่าข้อจำกัดจะเป็นสาเหตุของความทุกข์ยากของมนุษย์ แต่อย่างใด

แต่บางกลุ่มเชื่อว่า การที่มนุษย์จะพบกับความสมบูรณ์และเสรีภาพที่แท้จริงได้ เขาต้องการเสรีภาพทั้งสองประเภทนั้น ซึ่งเสรีภาพทั้งสองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน เสรีภาพทางสังคมจะไม่เกิดขึ้นถ้าปราศจากอิสรภาพทางจิตวิญญาณ และนี่เป็นความเจ็บปวดของสังคม มนุษย์ต้องการที่จะสร้างให้เสรีภาพทางสังคมเกิดขึ้น แต่เขาไม่ได้มองหาเสรีภาพทางจิตวิญญาณ ทุกวันนี้มนุษย์ต้องการสร้างสังคมในอุดมคติ และปลดปล่อยตนเองจากความสับสนวุ่นวายของปัญหาส่วนตัวและสังคม จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการมีอิสระและเสรีภาพชนิดสุดโต่งด้านใดด้านใหม่ ต้องหาแนวทางที่สร้างดุลภาพทางสังคม หลีกเลี่ยงความเสรีโดยศึกษาทั้งสองกรณี[13] ดังนั้น จะเห็นว่าในศาสนาอิสลามมีเสรีภาพทั้งส่วนตัวและสังคมอยู่ แต่มีความแตกต่างกันระหว่างแนวคิดของอิสลามกับตะวันตก[14]

ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับโลก : บรรดาศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายได้มาเพื่อสร้างความเจริญรุ่งเรืองสำหรับโลก เพียงแต่ว่าท่านเหล่านั้นได้มองโลกด้วยสายตาแห่งปรโลก โลกเสมือนเป็นสถานที่เพราะปลูกสำหรับปรโลก การกระทำทุกอย่างบนโลกนี้, ทั้งคำพูดและความประพฤติล้วนมีความหมายต่อปรโลกทั้งสิ้น ท่านเหล่านั้นได้สร้างโลกในลักษณะนี้แก่พวกเรา พวกเขาได้บนโลกนี้เพื่อสั่งสอนประชาชาติว่า วันนี้ควรจะดำรงชีวิตอย่างไรเพื่อความสุขของวันพรุ่งนี้ ดังนั้น คำสั่งสอนของศาสดาก็เพื่อชีวิตในวันนี้ สำหรับชีวิตของโลก เพื่อเราจะได้รับความเจริญรุ่งเรืองอันนิรันดรสำหรับชีวิตในปรโลก

ศาสนาและการพัฒนา : ศาสนาและการพัฒนาในแนวคิดและประเภทต่างๆ เช่น นโยบายพัฒนาทางเศรษฐกิจ, การเมือง, สังคม และวัฒนธรรม และไม่ได้ปล่อยปละละเลยสิ่งนั้น เพราะศาสนาได้ประกาศสั่งสอนครอบคลุมมนุษย์ทั้งโลก และถือว่ามนุษย์ทั้งหมดคือผู้ช่วยเหลือศาสนา ดังนั้น ในเรื่องการพัฒนาจำเป็นต้องมีนโยบายครอบคลุมทั่วถึงทั้งหมด ฉะนั้น การรู้จักศาสนาจึงถือเป็นพื้นฐานสำคัญ แม้ว่าการรู้จักศาสนานั้นจะเป็นเรื้องยุ่งยากก็ตาม เนื่องจากศาสนามีรากฐานสำคัญ 3 ประการ ประการหนึ่งอยู่ภายในของมนุษย์ ส่วนอีกสองประการขึ้นอยู่กับชีวิตภายนอกของเขา สองพื้นฐานสำคัญภายนอกได้แก่อัลกุรอานและอิตรัต (ลูกหลานนบี)  ส่วนฐานภายในได้แก่ศาสนา สติปัญญา และธรรมชาติ ซึ่งถือเป็นเหตุผลตามชัรอีย์ หมายถึง สิ่งที่สติปัญญาได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ถือเป็นเหตุผลทางชัรอีย์ ด้วยเหตุนี้ ศาสนาจึงประกอบด้วยปัญญาและการอ้างอิง (กุรอานและฮะดีซ)

การพัฒนาความถูกต้องในวิสัยของความเชื่อ ศีลธรรม และวัฒนธรรม : เนื่องจากพื้นฐานของทุกภารกิจคือ พระ เจ้า พระองค์คือผู้ทรงสร้างทุกอย่าง ทรงประทาน กำไรหรือขาดทุนล้วนเป็นของพระองค์ พระองค์ทรงสร้างโลก อนาคตและการชุมนุมของมนุษย์เพื่อการปฏิสัมพันธ์กับพระเจ้า ดังนั้น ทุกภารกิจของมนุษย์ทั้งในแง่เศรษฐกิจวัฒนธรรม และการศึกษา ...จำเป็นต้องมาจากคำสั่งของพระเจ้า และอยู่ในความพึงพอพระทัยของพระองค์ ศาสนาได้เชิญชวนมนุษย์ให้มีคุณธรรม ศีลธรรม และมีวัฒนธรรม และขยายความยุติธรรมทางสังคมให้กว้างออกไป อย่างฉ้อฉลและละเมิดสิทธิของผู้อื่น อีกด้านหนึ่งได้ส่งเสริมสนับสนุนให้มนุษย์ได้เรียนรู้วิชาการ และการใช้ประโยชน์ที่เหมาะสมจากความรู้ ในลักษณะที่ว่าไม่มีคุณธรรมหรือประโยชน์จากความรู้ใด เว้นเสียแต่ว่าศาสนาได้สั่งสอนและเชิญชวนไปสู่การปฏิบัติทั้งเป็นข้อบังคับ และการสมัครใจ[15]

เสรีภาพทางการเมืองและการพัฒนาสังคม : ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาสากลแห่งโลกกล่าวว่า สำหรับบรรดาผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับศาสนา และไม่ได้ต่อสู้กับศาสนาสามารถมีชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข พระ เจ้าไม่ได้ห้ามว่าคุณ อัลกุรอานกล่าวว่า “อัลลอฮฺ มิได้ทรงห้ามสูเจ้าไม่ให้ทำดีหรือให้ความยุติธรรม แก่บรรดาผู้ที่ไม่ได้ต่อต้านสูเจ้าในการเผยแพร่ศาสนา และมิได้ขับไล่สูเจ้าออกจากบ้านเรือนของสูเจ้า เนื่องจาก อัลลอฮฺทรงรักผู้มีความยุติธรรม”[16]

ประเภทของการพัฒนา : การพัฒนาแบ่งออกเป็น 2 ประเภท กล่าวคือ การพัฒนาที่ได้รับคำชมกับการประณาม การพัฒนาที่ได้รับการตำหนิประณาม เช่น การฟุ่มเฟือย การจัดสวัสดิการ และการควบคุมดูแล เนื่องจากอัลกุรอานถือว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนได้รับการตำหนิติฉินทั้งสิ้น มีการลงโทษ และผู้ที่เพียงแต่คิดพัฒนาส่วนบุคคล อัลกุรอานกล่าวว่า : ชนกลุ่มหนึ่งคิดเห็นแก่ตัว"[17] "บรรดาผู้ปฏิเสธนั้นพวกเขาจะหลงระเริงและกินเยี่ยงปศุสัตว์กิน"[18] และบรรดาผู้ที่คิดเห็นแก่ตัวก็ได้รับการตำหนิเอาไว้เช่นกัน[19] บรรดาผู้ทีมีความโลภและตระหนี่ถี่เหนียวอย่างรุนแรงก็ได้รับการตำหนิไว้[20] และบุคคลที่มีภูมิคุ้มกันให้รอดพ้นจากความโลภเห็นแก่ตัวเขาคือผู้ประสบความสำเร็จ[21] ดังนั้น การพัฒนาเพื่อความเจริญรุ่งเรืองและสุขสบายในชีวิตการเป็นอยู่โดยลืมสัญชาติญาณความเป็นมนุษย์ ย่อมได้รับการตำหนิ แต่การพัฒนาที่ได้รับการสรรเสริญสิ่งที่เขาผลิตมีความพยายามเต็มรูปแบบ และประสบความสำเร็จ ในการใช้จ่ายของเขามีความพอเพียง มีความรู้สึกสะดวกสบาย ฉะนั้น จากมุมมองนี้หากมนุษย์ได้อุตสาหพยายาม เพื่อขจัดความต้องการของมนุษย์และของสังคม ความพยายามเช่นนี้เป็นที่ยอมรับและได้รับความชื่นชม ขณะที่การพัฒนาที่ได้รับการตำหนิคือการพัฒนาเพื่อการเพิ่มความมั่งคั่ง และความภาคภูมิใจ แน่นอนการพัฒนาเช่นนี้ย่อมได้รับการตำหนิ[22]



[1] Hassan Hassanzadeh Amoli, นุซูซุลฮิกัม อะลีกุซูซิลฮิกัม, มัรกัซ นัชร์ฟัรอังระญา,หน้า. 180

[2]  อัลลามะฮฺ เฏาะบาเฏาะบาอี ซัยยิดฮุซัยน์ “มนุษย์ตั้งแต่แรกจนสิ้นสุด” แปลและเรียบเรียงโดย ร้ยฮานี ซอดิก สำนักพิมพ์ ซะฮฺรออ์ หน้า 13

[3]  อัลกุรอานบทอัลอะอ์รอฟ 54

[4] มุฮัมมัด เรย์ ชะฮฺรี, (Sayed Hamid Hosseini) มุนตะค็อบ มีซานุลฮิกมะฮฺ, รายงานที่ 2137, หน้า. 187 (รายงานจากท่านศาสดา)

[5] นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ, คำเทศนา 82

[6]  อัล-กุรอานบทมูฮัมมัด, 36

[7]  อัลลามะฮฺ เฏาะบาเฏาะบาอี ซัยยิดฮุซัยน์ “มนุษย์ตั้งแต่แรกจนสิ้นสุด” แปลโดอย Sadeq Larijani, p. 51

[8]  อัลกุรอานบทนูร 39

[9] อัล-กุรอาน บทโรม 7

[10] นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ, ฮิกมะฮฺ ที่ 432

[11] นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ, ฮิกมะฮฺ ที่ 211

[12] เรย์ ชะฮฺรี มุฮัมมัด มีซาน อัลฮิกมะฮฺ, เล่ม 2, รายงานลำดับที่ 3589

[13] Morteza Motahari ความรู้ทางศาสนา, การวิเคราะห์จากมุมมองของ มุเฏาะฮะรีย์ -- Dzhakam Ali, 56

[14] Morteza Motahari, เกี่ยวกับการปฏิวัติอิสลาม, หน้า 101 เป็นต้นไป

[15] Abdollah Javadi Amoli, มนุษย์กับศาสนา, หน้า 213-212 -- 210

[16] อัลกุรอาน บทมุมตะฮินะฮฺ 8

[17] อัลกุรอานบทอาลิอิมรอน 154

[18] อัลกุรอานบทมุฮัมมัด 12

[19]  อัลกุรอาน บทเตาบะฮฺ 34

[20] อัลกุรอาน บทนิซาอฺ, 128

[21] อัลกุรอานบท ฮัชร์, 9

[22] Abdollah Javadi Amoli, มนุษย์กับศาสนา, หน้า 222-220 -- 219

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • บาปใหญ่จะได้รับการอภัยหรือไม่?
    17345 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/21
    บาปใหญ่คือบาปประเภทที่กุรอานหรือบทฮะดีษแจ้งว่าจะต้องถูกสำเร็จโทษ(แต่ก็ยังมีสิ่งชี้วัดอื่นๆที่บ่งบอกถึงบาปใหญ่) ทั้งนี้การฝืนกระทำบาปเล็กซ้ำหลายครั้งก็ทำให้บาปเล็กกลายเป็นบาปใหญ่ได้เช่นกันอย่างไรก็ดีอัลลอฮ์ได้ทรงให้สัญญาในกุรอานว่าจะทรงอภัยโทษบาปทุกประเภทโดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องเตาบะฮ์อย่างถูกต้องเสียก่อนเตาบะฮ์ในกรณีสิทธิของอัลลอฮ์หมายถึงการชดเชยอะมั้ลอิบาดะฮ์ที่เคยงดเว้นประกอบกับการกล่าวอิสติฆฟารอย่างบริสุทธิใจส่วนเตาบะฮ์ในกรณีสิทธิของมนุษย์หมายถึงการกล่าวอิสติฆฟารคืนสิทธิแก่ผู้เสียหายและขอให้คู่กรณียกโทษให้ ...
  • เพราะเหตุใดอัลกุรอานบางโองการ มีความหมายขัดแย้งกับความบริสุทธิ์ของศาสดา
    8565 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/04/21
    คำตอบสำหรับคำถามข้างต้นสามารถกล่าวได้ว่า1) คำว่าอิซมัตเป็นสภาพหนึ่งทางจิตวิญญาณที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่มีความบริสุทธิ์อันเป็นสาเหตุทำให้บุคคลนั้นหันหลังให้กับบาปกรรมพฤติกรรมชั่วร้ายและความผิดต่างๆโดยสิ้นเชิงอีกทั้งสภาพดังกล่าวยังปกป้องบุคคลนั้นให้รอดพ้นจากความผิดพลาดและการหลงลืมโดยปราศจากการปฏิเสธเจตนารมณ์เสรีหรือมีการบีบบังคับให้บุคคลนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์2. ...
  • สำนักคิดทั้งสี่ของอะฮฺลุซซุนะฮฺ เกิดขึ้นได้อย่างไร และการอิจญฺติฮาดของพวกเขาได้ถูกปิดได้อย่างไร?
    7964 สิทธิและกฎหมาย 2555/01/23
    วิชาการในอิสลามและฟิกฮฺอิสลามหลังจากเหตุการณ์ในยุคแรกของอิสลามปัญหาตัวแทนและเคาะลิฟะฮฺของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) แล้วได้แบ่งออกเป็น
  • ผมได้หมั้นหมายกับคู่หมั้นมานานเกือบ 10 ปี แล้วเราสามารถอ่านอักด์ชัรอียฺก่อนแต่งงานตามกฎหมายได้หรือไม่?
    6580 สิทธิและกฎหมาย 2555/04/07
    คำตอบจากบรรดามัรญิอฺตักลีดเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว ตามที่มีผู้ถามมา[1] ฯพณฯท่านอายะตุลลอฮฺ .. : 1. ฯพณฯ ท่านอายะตุลลอฮฺ คอเมเนอี : ด้วยการใส่ใจและตรวจสอบเงื่อนไขทางชัรอียฺแล้ว, โดยตัวของมันไม่มีปัญหาแต่อย่างใด 2.ฯพณฯ ท่านอายะตุลลอฮฺ ซิตตานียฺ : การอ่านอักด์นิกาห์กับหญิงสาวบริสุทธิ์ต้องขออนุญาตบิดาของเธอก่อน 3.ฯพณฯ ท่านอายะตุลลอฮฺ ซอฟฟี ฆุลภัยฆอนียฺ : การแต่งงานของชายผู้ศรัทธากับหญิงผู้ศรัทธา มีเงื่อนไขหลักหลายประการ (เช่น การได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองของฝ่ายหญิงเป็นต้น) โดยตัวของมันแล้วไม่มีปัญหา แต่ถ้มีปัญหาอื่นจงเขียนคำถามมาให้ชัดเจน เพื่อจะได้ตอบไปตามความเหมาะสม 4.ฯพณฯ ท่านอายะตุลลอฮฺ มะการิม ชีรอซียฺ : ตามตัวบทกฎหมายของรัฐอิสลาม, การแต่งงานลักษณะนี้ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ...
  • ตัฟซีรอิมามฮะซัน อัสการีย์ (อ.) »อัลฮัมดุลลิลฮิร็อบบิลอาละมีน« หมายถึงอะไร?
    11518 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/05/17
    ตัฟซีรอิมามฮะซัน อัสการียฺ (อ.) เป็นหนึ่งในตัฟซีรที่กล่าวว่าเป็นของท่านอิมาม ซึ่งมีเหตุผลบางประการพาดพิงว่าตัฟซีรดังกล่าวเป็นของท่านอิมาม แต่เป็นเหตุผลที่เชื่อถือไม่ได้แน่นอน ตัฟซีรชุดนี้ได้มีการตีความอัลกุรอาน บทฟาติฮะฮฺ (ฮัม) และบทบะเกาะเราะฮฺ โองการ 282 โดยรายงานฮะดีซ ซึ่งในวิชาอุลูมกุรอานเรียกว่าตัฟซีร »มะอฺซูเราะฮฺ« อย่างไรก็ตาม, ท่านอิมามฮะซันอัสการียฺ (อ.) ได้อธิบายถึงประโยคที่ว่า «اَلْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعالَمِين» ไว้ในหลายประเด็น, เนื่องจาการขอบคุณอัลลอฮฺ เพราะความโปรดปรานต่างๆ อันไม่อาจคำนวณนับได้, การสนับสนุนสรรพสิ่งถูกสร้าง, ความประเสริฐ และความดีกว่าของชีอะฮฺ เนื่องจากการยอมรับวิลายะฮฺ และอิมามะฮฺของท่านอิมามอะลี (อ.) และกล่าวว่า เนื่องจากจำเป็นต้องขอบคุณอัลลอฮฺ เพราะความโปรดปรานของพระองค์ จึงได้กล่าวว่า «اَلْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعالَمِين» ...
  • ฮะดีษนี้เศาะฮี้ห์หรือไม่: การภักดีต่ออลี(อ.)คือสัมมาคารวะที่แท้จริง และการไม่ภักดีต่อท่าน คือการปฏิเสธพระเจ้า
    7340 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/11/09
    ฮะดีษนี้มีเนื้อหาที่ถูกต้องเนื่องจากมีรายงานอย่างเป็นเอกฉันท์กล่าวคือมีฮะดีษมากมายที่ถ่ายทอดถึงเนื้อหาดังกล่าวอย่างไรก็ดีการปฏิเสธในที่นี้ไม่ไช่การปฏิเสธอิสลามแต่เป็นการปฏิเสธอีหม่านที่แท้จริงแน่นอนว่าการปฏิเสธอีหม่านที่แท้จริงย่อมมิได้ทำให้บุคคลผู้นั้นอยู่ในฮุก่มของกาเฟรทั่วไปในแง่ความเป็นนะญิส ...ฯลฯต้องเข้าใจว่าที่เชื่อว่าการไม่จงรักภักดีต่อท่านอิมามอลี(อ.)เท่ากับปฏิเสธอีหม่านที่แท้จริงนั้นเป็นเพราะการจงรักภักดีต่อท่านคือแนวทางสัจธรรมที่พระองค์ทรงกำหนดฉะนั้นผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งของท่านก็เท่ากับฝ่าฝืนคำสั่งของพระองค์
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58076 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • เพราะเหตุใดอัลลอฮฺ (ซบ.) จึงทรงสร้างชัยฏอน?
    10149 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/04/21
    ประการแรก: บทบาทของชัยฏอนในการทำให้มนุษย์หลงผิดและหลงทางออกไปนั้นอยู่ในขอบข่ายของการเชิญชวนประการที่สอง : ความสมบูรณ์นั้นจะอยู่ท่ามกลางการต่อต้านและสิ่งตรงกันข้ามด้วยเหตุผลนี้เองการสร้างสรรพสิ่งเช่นนี้ขึ้นมาในระบบที่ดีงามมิได้เป็นสิ่งไร้สาระและไร้ความหมายแต่อย่างใดทว่าถูกนับว่าเป็นรูปโฉมหนึ่งจากความเมตตาและความดีของพระเจ้า ...
  • กฎทางชัรอียฺ และผลสะท้อนของการสาปแช่ง และการปฏิเสธความจริงแก่คนอื่น เป็นอย่างไร?
    12205 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/05/20
    ตามหลักคำสอนของศาสนาของเรา นอกจากจะห้ามมิให้มีการสาปแช่ง หรือปฏิเสธอย่างไม่ถูกต้องต่อคนอื่นแล้ว ยังไม่อนุญาตให้กระทำเช่นนั้นอีกต่างหาก, มีรายงานจำนวนมากมายจากบรรดาอิมามผู้นำ กล่าวว่า, ถ้าหากใครก็ตาม, ได้สาปแช่งบุคคลหนึ่ง ทั้งที่บุคคลนั้นไม่สมควรได้รับการสาปแช่งแม้แต่นิดเดียว, การสาปแช่งนั้นจะย้อนกลับไปหาผู้สาปแช่ง ...
  • มีฮะดีษบทใดบ้างที่กล่าวถึงบุตรซินา?
    8662 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/19
    อิสลามถือว่าบุตรที่เกิดจากการผิดประเวณี (บุตรซินา) มีสถานะเฉพาะตัวซึ่งท่านนบี(ซ.ล.)และบรรดาอิมาม(อ.)ได้กล่าวไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ตามแหล่งอ้างอิงดังต่อไปนี้1. มรดกของบุตรซินาวะซาอิลุชชีอะฮ์,เล่ม 26,หน้า 274, بَابُ أَنَّ وَلَدَ الزِّنَا لَا یَرِثُهُ الزَّانِی وَ لَا الزَّانِیَةُ وَ لَا مَنْ تَقَرَّبَ بِهِمَا وَ لَا یَرِثُهُمْ بَلْ مِیرَاثُهُ لِوُلْدِهِ أَوْ نَحْوِهِمْ وَ مَعَ عَدَمِهِمْ لِلْإِمَامِ وَ أَنَّ مَنِ ادَّعَى ابْنَ جَارِیَتِهِ وَ لَمْ یُعْلَمْ کَذِبُهُ قُبِلَ قَوْلُهُ وَ لَزِمَهُ

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60504 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58076 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42607 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39966 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39242 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34360 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28423 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28336 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28264 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26200 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...