การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
8139
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2555/01/19
 
รหัสในเว็บไซต์ fa5326 รหัสสำเนา 20875
คำถามอย่างย่อ
มีฮะดีษจากอิมามศอดิก(อ.)ระบุว่า “การก่อสงครามกับรัฐทุกครั้งที่เกิดขึ้นก่อนการปรากฏกายของอิมามมะฮ์ดี จะเป็นเหตุให้บรรดาอิมามและชีอะฮ์ต้องเดือดร้อนและเศร้าใจ” เราจะชี้แจงการปฏิวัติอิสลามในอิหร่านอย่างไร?
คำถาม
ในสายรายงานหนึ่งของเศาะฮีฟะฮ์ ซัจญาดียะฮ์ มีฮะดีษจากอิมามศอดิก(อ.)ระบุว่า “การก่อสงครามกับรัฐทุกครั้งที่เกิดขึ้นก่อนการปรากฏกายของอิมามมะฮ์ดี จะเป็นเหตุให้บรรดาอิมามและชีอะฮ์ต้องเดือดร้อนและเศร้าใจ” แล้วเราจะประยุกต์เข้ากับการปฏิวัติอิสลามในอิหร่านได้อย่างไร?
คำตอบโดยสังเขป

ต้องเรียนชี้แจงดังต่อไปนี้:
หนึ่ง: เป็นไปได้ว่าฮะดีษประเภทนี้อาจจะเกิดจากการตะกียะฮ์ หรือเกิดจากสถานการณ์ล่อแหลมในยุคที่การจับดาบขึ้นสู้มิได้มีผลดีใดๆ อนึ่ง ยังมีฮะดีษหลายบทที่อิมามให้การสนับสนุนการต่อสู้บางกรณี

สอง: ฮะดีษที่คุณยกมานั้น กล่าวถึงกรณีการปฏิวัติโค่นอำนาจด้วยการนองเลือด แต่ไม่ได้ห้ามมิให้เคลื่อนไหวปรับปรุงสังคม เพราะหากศึกษาประวัติศาสตร์ก็จะพบว่าบรรดาอิมามเองก็ปฏิบัติตามแนววิธีดังกล่าวเช่นกัน
หากพิจารณาถึงแนววิธีในการปฏิวัติอิสลามในอิหร่านกอปรกับแนวคิดของผู้นำการปฏิวัติ ก็จะทราบทันทีว่าการปฏิวัติดังกล่าวมิไช่การปฏิวัติด้วยการนองเลือด และผู้นำปฏิวัติก็ไม่สนับสนุนแนวคิดดังกล่าว
สรุปได้ว่า การปฏิวัติอิสลามมิได้ขัดต่อเนื้อหาของฮะดีษประเภทดังกล่าวแต่อย่างใด

คำตอบเชิงรายละเอียด

เราไม่สามารถจะชี้ขาดเกี่ยวกับความชอบธรรมของการปฏิวัติอิสลามในอิหร่าน และพิสูจน์ความสัมพันธ์ระหว่างการเคลื่อนไหวครั้งยิ่งใหญ่ดังกล่าวกับหลักการศาสนาด้วยฮะดีษเพียงบทเดียว ทว่าต้องพิจารณาตำราศาสนาและวัตรปฏิบัติของบรรดาอิมามในหน้าประวัติศาสตร์อย่างถี่ถ้วนเสียก่อน จึงจะสามารถได้ข้อสรุปที่ถูกต้องแม่นยำที่สุด

ด้วยเหตุนี้ เราจึงใคร่ขอแจกแจงและวิเคราะห์คำถามต่อไปนี้ในภาพรวม:
หนึ่ง. ฮะดีษที่ปรากฏในบทนำของเศาะฮีฟะฮ์ ซัจญาดียะฮ์สามารถใช้ปฏิเสธความชอบธรรมของการเคลื่อนไหวเชิงปฏิวัติหรือการจับอาวุธต่อสู้ได้หรือไม่?
สอง. จะชี้แจงอย่างไรเกี่ยวกับฮะดีษประเภทนี้ ที่ห้ามมิให้เรียกร้องการเปลี่ยนแปลงใดๆก่อนการปรากฏกายของอิมามมะฮ์ดี(.)?
สาม. จากคำถามข้างต้น เหตุใดผู้รู้ที่เคร่งครัดศาสนาอย่างอิมามโคมัยนีจึงเคลื่อนไหวต่อต้านและปฏิวัติรัฐบาล?

เราจะร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาข้างต้น แล้วจึงนำเสนอบทสรุปในตอนท้าย

1. ขอชี้แจงคำถามข้อแรกดังนี้ว่า สมมุติว่าฮะดีษที่ปรากฏในบทนำของเศาะฮีฟะฮ์ สัจญาดียะฮ์มีสายรายงานที่น่าเชื่อถือจากอิมามศอดิก(.)ก็ตาม อย่างไรก็ดี เรากลับพบว่าเนื้อหาของฮะดีษนี้มีข้อสังเกตุที่ทำให้ไม่อาจจะคัดค้านการต่อสู้ก่อนการปรากฏกายของอิมามมะฮ์ดี(.)ทุกครั้งได้อย่างสิ้นเชิง เนื่องจาก:

หนึ่ง. ในฮะดีษดังกล่าวเล่าว่าท่านอิมามศอดิก(.)ร่ำไห้อย่างหนักเมื่อได้ยินข่าวการเป็นชะฮีดของยะฮ์ยา บุตรของเซด ซึ่งหากท่านเชื่อว่าการต่อสู้ดังกล่าวเป็นการหาเรื่องใส่ตัวโดยไม่มีประโยชน์ใดๆ ท่านคงจะไม่เสียใจถึงเพียงนี้ อย่างไรก็ดี บางคนอาจถือว่าการร่ำไห้ของอิมามเกิดจากความอาลัยอาวรณ์เครือญาติเท่านั้น ซึ่งไม่ได้หมายความว่าท่านจะให้การสนับสนุนการต่อสู้ดังกล่าว
สมมุติว่าเชื่อตามนั้น แต่จะหักล้างคำตอบถัดไปอย่างไร

สอง. สำนวนของฮะดีษนี้มีอยู่ว่าไม่มีผู้ใดในหมู่พวกเราอะฮ์ลุลบัยต์จะต่อสู้กับการกดขี่หรือทวงความยุติธรรมก่อนการปรากฏกายของมะฮ์ดี เว้นแต่จะประสบทุกข์ภัย อีกทั้งการต่อสู้ของเขาก็รังแต่จะทำให้พวกเราและสาวกเดือดร้อน[1]
หากพิจารณาตัวบทภาษาอรับให้ดีจะพบว่านอกจากจะมีฮะดีษที่ใช้กริยาในรูปปัจจุบันกาล มีฮะดีษบางบทที่ใช้กริยาอดีตกาล ซึ่งหากยึดตามนี้ ย่อมต้องปฏิเสธทุกการต่อสู้ก่อนยุคอิมามศอดิก(.)ให้หมด เนื่องจากไม่มีระบุกรณียกเว้นใดๆในฮะดีษ

เมื่อเป็นเช่นนั้น จะพูดได้หรือไม่ว่าอิมามศอดิก(.)ไม่เห็นด้วยกับสงครามของอิมามอลี(.) ตลอดจนการต่อสู้ด้วยเลือดของอิมามฮุเซน(.) อีกทั้งถือว่าการต่อสู้สองกรณีข้างต้นเป็นผลเสียต่อชีอะฮ์โดยรวม?!

แม้ว่าเนื้อหาฮะดีษจะครอบคลุมทุกกรณี อันรวมถึงการต่อสู้ของอิมามอลีและอิมามฮุเซน(.) แต่ทว่าเป็นที่ทราบกันดีว่าอิมามศอดิก(.)มิได้ต้องการสื่อเช่นนั้นอย่างแน่นอน

ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถนำฮะดีษในบทนำของเศาะฮีฟะฮ์ฯมาตัดสินความถูกต้องของการต่อสู้และการปฏิรูปทุกครั้งในหน้าประวัติศาสตร์ ยิ่งไปกว่านั้น เป็นไปได้ว่าอิมามกล่าวในภาวะตะกียะฮ์ หรือต้องการเพียงสื่อให้ทราบว่าการต่อสู้เหล่านี้จะไม่สัมฤทธิ์ผล และรัฐในอุดมคติจะเกิดขึ้นหลังจากที่อิมามมะฮ์ดีปรากฏกายเท่านั้น การต่อสู้ก่อนอิมามมะฮ์ดีแม้ในกรณีที่เป็นวาญิบก็ตาม ย่อมจะประสบกับอุปสรรคนานัปการ และนำความเดือดร้อนมาสู่เหล่าชีอะฮ์โดยรวม อย่างไรก็ดี ไม่สามารถจะนำภาวะดังกล่าวมาเป็นข้ออ้างมิให้มีการเคลื่อนไหวฟื้นฟูสังคม เนื่องจากเรามีหน้าที่ปฏิบัติ มิได้มีหน้าที่จะต้องฟันธงว่าจะสัมฤทธิ์ผลหรือไม่ ดังที่อิมามโคมัยนีกล่าวแก่ชะฮีด อายะตุลลอฮ์ สะอีดีว่าหากคนเราได้ทำหน้าที่ที่อัลลอฮ์ทรงบัญชา ถือว่าเราได้ตามเป้าประสงค์แล้ว ไม่ว่าจะสัมฤทธ์ผลตามที่คาดหวังไว้หรือไม่ก็ตาม[2]
เราจะอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ในส่วนต่อไป

2. นอกจากฮะดีษที่คุณยกมา ยังมีฮะดีษอื่นๆที่มีเนื้อหาคล้ายคลึงกันนี้ อาทิเช่นทุกธงรบที่ชูขึ้นก่อนอิมามมะฮ์ดี(.)ล้วนเป็นธงของทรราชย์ทั้งสิ้น[3] หรือ “...เสมือนลูกนกที่หวังจะเหิรบินทั้งที่ยังไม่พร้อม ซึ่งจะกลายเป็นของเล่นของเด็กๆในที่สุด[4] ฯลฯ[5]

พึงสังเกตุว่าฮะดีษเหล่านี้กล่าวไว้ในช่วงการปกครองของราชวงศ์ทรราชย์อุมัยยะฮ์ ซึ่งทุกขบวนการที่ต่อต้านราชวงศ์นี้ล้วนได้รับความนิยมจากผู้คนแม้จะเป็นขบวนการที่แฝงเจตนาที่ไม่ซื่อสัตย์ก็ตาม อาทิเช่นขบวนการเคาะวาริจที่แม้จะมีแนวคิดที่ผิดเพี้ยน แต่ก็ต่อสู้กับอำนาจรัฐด้วยเช่นกัน

บรรดาอิมามชีอะฮ์ต้องการจะชี้แจงให้สาวกทราบว่า มิไช่ว่าทุกขบวนการต่อสู้จะถูกต้องเสมอไป ทั้งนี้เพื่อมิให้เลื่อมใสต่อขบวนการที่ผิดเพี้ยน แต่ก็มิได้หมายความว่าจะปฏิเสธการต่อสู้โดยสิ้นเชิงแม้จะในกรอบที่จำกัด ลองพิจารณาฮะดีษจากท่านอิมามศอดิก(.)ต่อไปนี้ว่าจะได้ผลสรุปอย่างที่กล่าวมาหรือไม่

ท่านกล่าวว่าหากพบเห็นขบวนการต่อสู้ พวกท่านก็พิจารณาตามความเหมาะสมก็แล้วกัน แต่ท่านจะต้องไตร่ตรองว่าเป้าหมายของการต่อสู้ของท่านคืออะไร อย่ายึดติดเพียงแค่จะต่อสู้ตามอย่างเซด บิน อลีเท่านั้น เพราะเซดเป็นผู้รู้ที่ซื่อสัตย์ที่มิได้ต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว เขาเพียงเชิญชวนให้พวกท่านภักดีต่ออิมามจากวงศ์วานนบี(..) และหากได้รับชัยชนะ ก็จะปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าวอย่างแน่นอน
ท่านกล่าวต่อไปว่าสถานการณ์ยุคนั้นยังไม่เหมาะที่จะจับอาวุธขึ้นสู้ และได้กล่าวถึงประเด็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของอิมามมะฮ์ดี(.)ด้วย[6]

ข้อคิดที่ได้จากฮะดีษประเภทนี้ก็คือ อัลลอฮ์ทรงประสงค์ให้อิมามมะฮ์ดีเป็นผู้ปฏิรูปประชาคมโลกอย่างสมบูรณ์ และหากมีผู้ใดแอบอ้างลักษณะดังกล่าวก็ย่อมเป็นเพียงแค่คำขวัญที่มิอาจเป็นไปได้จริง อย่างไรก็ดี พระประสงค์ดังกล่าวมิได้ขัดขวางผู้ศรัทธามิให้ปฏิบัติหน้าที่ในการฟื้นฟูสังคมในระดับความสามารถที่ตนมี เพราะมิเช่นนั้นการต่อสู้ของอิมามฮุเซน(.)ก็ย่อมผิดพลาดด้วย เนื่องจากเกิดขึ้นก่อนอิมามมะฮ์ดี(.)
แน่นอนว่าการฟื้นฟูสังคมในขอบเขตจำกัด จะต้องได้รับการชี้นำโดยผู้ที่มีอีหม่านแรงกล้าที่ยึดปณิธานเพื่ออัลลอฮ์เท่านั้น จึงจะถือว่าเป็นที่ยอมรับ

อิมามโคมัยนีก็เล็งเห็นจุดนี้เป็นอย่างดี ดังที่กล่าวไว้ว่าแน่นอนว่าเราไม่สามารถเติมเต็มโลกนี้ด้วยความยุติธรรมได้อย่างสมบูรณ์ เพราะหากกระทำได้คงทำไปแล้ว แต่เพราะเกินความสามารถของเรา จึงต้องรอให้อิมามมะฮ์ดี(.)มาบริหารเอง ทุกวันนี้โลกเต็มไปด้วยการกดขี่ข่มเหง พวกคุณเป็นเพียงแค่จุดเล็กๆในโลกกว้างที่คราคร่ำไปด้วยการกดขี่ หากเราสามารถสกัดกั้นได้ก็จะต้องสกัดกั้น นี่เป็นหน้าที่ของเรา[7]

เราขออ้างอิงฮะดีษต่อไปนี้จากอิมามซัยนุลอาบิดีน(.) ผู้เป็นตำนานแห่งเศาะฮีฟะฮ์ ซัจญาดียะฮ์เพื่อพิสูจน์แนวคิดของเรา
อิบ้าด บะเศาะรี ได้พบกับท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน(.)ระหว่างทางสู่มักกะฮ์ เขามองอิมามอย่างเหยียดหยามแล้วถามว่าโอ้บุตรของฮุเซน เจ้าเกาะการทำฮัจญ์ไว้แน่นเพราะเป็นเรื่องง่ายดาย แต่ละเลยการญิฮาดอันยากลำบาก (ไม่เคยได้ยินหรือว่า)อัลลอฮ์ทรงตรัสในกุรอานว่าอัลลอฮ์ทรงซื้อชีวิตและทรัพย์สินของเหล่าผู้ศรัทธาด้วยมูลค่าแห่งสรวงสวรรค์ และพวกเขาสังหารและถูกสังหารในหนทางของพระองค์... และนี่คือชัยชนะอันยิ่งใหญ่

ท่านอิมามตอบว่าจงอ่านโองการต่อไปด้วยเขาจึงอ่านต่อไปว่าบรรดาผู้ยำเกรงที่กลับใจสู่พระองค์, เหล่าผู้แซ่ซ้องที่ถือศีลอด, เหล่าผู้ที่โค้งรุกู้อ์และสุญูดบ่อยครั้ง, เหล่าผู้กำชับสู่ความดีและห้ามปรามจากความชั่ว และระมัดระวังขอบเขตของอัลลอฮ์...” เมื่อถึงตรงนี้ ท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน(.)กล่าวแก่เขาว่าหากฉันพบบุคคลที่มีลักษณะเช่นนี้เมื่อใด เมื่อนั้นการญิฮาดเคียงข้างบุคคลเหล่านี้จึงจะมีค่ามากกว่าการทำฮัจย์[8]

ควรทราบว่าในยุคนั้นมีนักรบในคราบมุสลิมอยู่สองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งคือกองทัพของบนีอุมัยยะฮ์ที่หวังพิชิตดินแดนอย่างเดียว กลุ่มที่สองก็คือกลุ่มติดอาวุธอย่างเช่นพวกเคาะวาริจที่ต่อสู้กับกลุ่มแรกทั้งที่ตนมีแนวคิดที่ผิดเพี้ยน ซึ่งทั้งสองกลุ่มไม่จัดอยู่ในประเภทนักต่อสู้ที่มีการกล่าวถึงในโองการข้างต้น จะเห็นได้ว่าท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน(.)มิได้ปฏิเสธหลักการญิฮาด ทว่าท่านไม่ตีขลุมว่าการต่อสู้ทุกประเภทเป็นญิฮาดเสมอไป ท่านเลือกที่จะแจกแจงหลักเกณฑ์ที่กุรอานกำหนด แล้วกล่าวว่าหากพบว่ามีบุคคลที่มีคุณสมบัติดังกล่าว เมื่อนั้นการญิฮาดจึงจะมีคุณค่า

เมื่อพิจารณาแล้วจะทราบว่า ทั้งตัวผู้นำการปฏิวัติอิสลามในอิหร่าน ตลอดจนผู้ที่สละชีพเพื่อการนี้ส่วนใหญ่มีคุณสมบัติดังกล่าวอย่างครบครัน

3. นอกจากฮะดีษประเภทที่อ้างในคำถามแล้ว ควรคำนึงถึงประเด็นอื่นๆดังต่อไปนี้ควบคู่ไปด้วย เพื่อจะได้บทสรุปว่าเหตุใดอิมามโคมัยนีจึงเป็นผู้นำการปฏิวัติอิสลาม

3.1. แม้กระทั่งอิมามมะอ์ศูมที่มิได้ขึ้นปกครองอาณาจักรหรือนำการต่อสู้โดยตรง ต่างก็เลือกที่จะดำเนินงานตามระบบที่มีลักษณะคู่ขนานกับรัฐทรราชย์ อาทิเช่นการส่งตัวแทนไปตามแว่นแคว้นต่างๆ การห้ามมิให้ชีอะฮ์ร้องเรียนศาลของรัฐ โดยให้ร้องเรียนกับตัวแทนของอิมาม(.)แทน[9]  ตลอดจนการระดมทุนทรัพย์ประเภทต่างๆ ปฏิบัติการเหล่านี้ทำให้ผู้ปกครองรัฐหวาดผวาและจ้องจะกำจัดบรรดาอิมามเสมอมา

รายงานว่ามีผู้ยุแยงตะแคงรั่วฮารูนอัรเราะชี้ดว่า ฉันแปลกใจเหตุใดบ้านเมืองจึงมีเคาะลีฟะฮ์(กาหลิบ)สององค์ องค์หนึ่งคือมูซา บิน ญะฟัรที่มีผู้คนส่งเงินทองมาให้  มะดีนะฮ์ อีกองค์หนึ่งก็คือท่าน ที่กำลังเก็บภาษีผู้คน  แคว้นอิรัก![10]

ผู้สถาปนาสาธารณรัฐอิสลามในอิหร่านกล่าวถึงยุทธศาสตร์ดังกล่าวของบรรดาอิมามว่าถ้าหากบรรดาอิมามของเรานั่งเฉยๆอยู่ในบ้าน  และ...  อีกทั้งเชิญชวนผู้คนให้ภักดีต่อราชวงศ์อุมัยยะฮ์หรือราชวงศ์อับบาส แน่นอนว่าพวกเขาจะยกย่องอิมามของเราไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม แต่ความที่รู้ว่าอิมามแต่ละท่านดำเนินการใต้ดินเพื่อโค่นอำนาจพวกตนเนื่องจากไม่มีกำลังทหารพอจะสู้อย่างเปิดเผย จึงจับกุมและขังคุกกว่าสิบปี
อิมามมูซา กาซิมถูกจองจำเพียงเพราะท่านนมาซหรือถือศีลอดหรืออย่างไร? หรือถูกทรมานเพราะท่านเรียกร้องให้ประชาชนภักดีต่อฮารูนเราะชี้ดโดยดุษณี? หรือว่าไม่ไช่ แต่เป็นเพราะพวกเขาเห็นว่าท่านเป็นภัยคุกคามอำนาจของตน จึงใช้วิธีจับกุม สังหาร กดขี่ และเนรเทศกับบรรดาอิมาม[11]

จากข้อวิเคราะห์ดังกล่าว ชีอะฮ์ที่แท้จริงจึงมิอาจนิ่งเฉยไม่ฟื้นฟูสังคมนานหลายศตวรรษเพียงเพราะข้ออ้างที่ว่าต้องการรอคอยการมาของอิมามมะฮ์ดีเท่านั้น 

3.2. เรามีฮะดีษมากมายที่กล่าวถึงและให้การยอมรับขบวนการต่อสู้บางกลุ่มก่อนการปรากฏกายของอิมามมะฮ์ดี(.) มีบทหนึ่งกล่าวถึงการต่อสู้ของชาวตะวันออกเพื่อปูทางสู่รัฐบาลของอิมามมะฮ์ดี(.)[12] ซึ่งอิมามโคมัยนีเองก็หวังว่าการปฏิวัติในอิหร่านคือกรณีดังกล่าว ท่านกล่าวว่าอินชาอัลลอฮ์ การแผ่ขยายการปฏิวัติจะทำให้มหาอำนาจซาตานเสื่อมอำนาจลง เป็นผลให้เหล่าผู้ถูกกดขี่ขึ้นครองอำนาจ ปูทางสู่การจัดตั้งรัฐบาลโลกโดยอิมามมะฮ์ดี(.)”[13]
นอกจากนี้ยังมีฮะดีษบางบทกล่าวถึงการต่อสู้ของบุรุษชาวเยเมนก่อนยุคอิมามมะฮ์ดี โดยรณรงค์ให้เหล่าชีอะฮ์ให้การสนับสนุนบุคคลดังกล่าว[14] ... ฯลฯ

3.3. บรรดาอิมามมะอ์ศูม(.)แต่งตั้งให้ผู้รู้ศาสนาเป็นตัวแทนของท่านในยามเร้นกาย[15] แน่นอนว่าประชาชนย่อมหวังจะเห็นพวกเขาเจริญรอยตามบรรดาอิมาม(.)แห่งวงศ์วานนบี(..) จึงเห็นได้ว่าผู้รู้ศาสนามีบทบาทในการปรับปรุงสังคมตลอดยุคแห่งการเร้นกายของอิมามมะฮ์ดี แม้กระทั่งบางท่านที่วิพากษ์วิจารณ์การปฏิวัติอิสลามในอิหร่านเองก็ยังจัดตั้งหน่วยงานมัรญะอียะฮ์ของตนขึ้นมาเพื่อเสริมศีลธรรมในหมู่ประชาชน โดยมิได้ถือว่าผิดคำสอนของบรรดาอิมาม(.)แต่อย่างใด

3.4. เป็นที่ชัดเจนว่าแม้การญิฮาดเชิงรุกจะเป็นสิ่งต้องห้ามในยุคเร้นกาย แต่ไม่มีผู้รู้ศาสนาท่านใดฟัตวาห้ามมิให้ต่อสู้เพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินแม้จะด้วยการจับอาวุธสู้ก็ตาม ซ้ำยังถือว่าเป็นวาญิบอีกด้วย
การปฏิวัติอิสลามในอิหร่านเกิดขึ้นในภาวะที่ชีวิต ทรัพย์สิน และเกียรติยศของมุสลิมถูกคุกคามโดยศัตรูในและนอกประเทศ อาทิเช่นกรณีการบังคับถอดฮิญาบอันนำพาสู่การสังหารหมู่ที่มัสญิดโกฮารช้อด กรณีสิทธิสภาพนอกอาณาเขต หรือกรณีการเฉลิมฉลองระบอบกษัตริย์อิหร่านครบ 2,500 ปี

3.5.. ทั้งๆที่ประเทศอิหร่านในขณะนั้นมีกลุ่มติดอาวุธมากมายที่มีแนวทางการต่อสู้ที่แตกต่างกัน แต่อิมามโคมัยนีที่เป็นผู้ควบคุมกระแสหลักของการปฏิวัติกลับเน้นแนวทางสันติวิธี อันเป็นสิ่งที่บรรดาอิมาม(.)เน้นย้ำในสภาวะเช่นนั้น แม้จะต้องเผชิญกับแรงกดดันจากกลุ่มนักปฏิวัติหลายกลุ่ม แต่ท่านก็ไม่อนุญาตให้จับอาวุธในการปฏิวัติเด็ดขาด แนววิธีนี้ตรงกับเนื้อหาของฮะดีษในเศาะฮีฟะฮ์ซัจญาดียะฮ์ที่อ้างอิงในคำถาม ผลคือรัฐบาลชาห์ต้องรับผิดชอบต่อการสังหารหมู่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพียงฝ่ายเดียว

ท่านให้สัมภาษณ์นิตยสารฟิกาโร่ในช่วงที่กระแสปฏิวัติร้อนระอุที่สุดว่าจนถึงบัดนี้ ฉันยังคงยืนหยัดบนคำแนะนำให้ดำเนินการด้วยแนวทางสันติวิธีเสมอ[16]

สรุปคือ แม้การปราบปรามอย่างโหดร้ายของรัฐบาลชาห์ปาห์เลวีจะอำนวยให้สามารถจับอาวุธขึ้นป้องกันตัวได้ก็ตาม แต่อิมามโคมัยนีกลับเน้นแนวทางสันติวิธีอย่างชาญฉลาด ทำให้การปฏิวัติได้รับชัยชนะในที่สุด และถึงแม้ว่าประชาชนมากมายจะต้องเสียสละชีวิตในแนวทางดังกล่าว แต่ท้ายที่สุดการปฏิวัติในอิหร่านก็ไม่ถูกจัดอยู่ในการปฏิวัติด้วยอาวุธ ทว่าเป็นการเรียกร้องให้แก้ไขสังคมในมุมกว้าง ซึ่งไม่มีโองการหรือฮะดีษใดที่ปฏิเสธแนวคิดดังกล่าว 

ส่วนการที่มีผู้คนมากมายถูกสังหารในหนทางนี้ ก็เปรียบได้กับการสังหารบรรดาอิมาม(.)อย่างเช่นอิมามมูซา กาซิม(.) ซึ่งแม้ว่าท่านเหล่านั้นมิได้จับอาวุธขึ้นสู้กับทรราชย์ แต่ก็ถูกข่มเหง จับกุม และสังหารเพียงเพราะมีพฤติกรรมที่ฝ่ายกุมอำนาจมองว่าเป็นภัยคุกคาม



[1] เศาะฮีฟะฮ์ ซัจญาดียะฮ์,หน้า 20,สำนักพิมพ์อัลฮาดี,กุม

[2] เศาะฮีฟะฮ์อิมาม,เล่ม 2,หน้า 86

[3] ฮุร อามิลี,มุฮัมมัด บิน ฮะซัน, วะซาอิลุชชีอะฮ์,เล่ม 15,หน้า 52,ฮะดีษที่ 19969,สำนักพิมพ์อาลุลบัยต์,กุม,..1409

[4] เพิ่งอ้าง,หน้า 51,ฮะดีษที่ 19965

[5] ในหน้า 50,เล่ม 15,วะซาอิลุชชีอะฮ์ มีบทว่าด้วยสถานะการจับอาวุธต่อสู้ก่อนอิมามมะฮ์ดี(.) ซึ่งสามารถพบเห็นฮะดีษประเภทนี้ในบทดังกล่าว

[6] ฮุร อามิลี,มุฮัมมัด บิน ฮะซัน, วะซาอิลุชชีอะฮ์,เล่ม 15,หน้า 50 -51,ฮะดีษที่ 19964

[7] เศาะฮีฟะฮ์อิมาม,เล่ม 21,หน้า 16 -17,เกี่ยวกับเรื่องนี้สามารถพบสุนทรพจน์ของท่านได้ที่เล่ม 3,หน้า 339 -340

[8] กุลัยนี,มุฮัมมัด บิน ยะอ์กู้บ,อัลกาฟี,เล่ม 5,หน้า 22,ดารุ้ลกุตุบุลอิสลามียะฮ์,เตหราน

[9] ดู: ฮะดีษที่มีในหมวดแรกของบทว่าด้วยคุณลักษณะผู้พิพากษาในหนังสือวะซาอิลุชชีอะฮ์,เล่ม 27

[10] มัจลิซี,มุฮัมมัดบากิร,บิฮารุลอันว้าร,เล่ม 48,หน้า 239,ฮะดีษที่ 48,สำนักพิมพ์อัลวะฟา,เบรุต,..1404

[11] เศาะฮีฟะฮ์อิมาม,เล่ม 4,หน้า 21

[12] บิฮารุลอันว้าร,เล่ม 51,หน้า 87

[13] เศาะฮีฟะฮ์อิมาม,เล่ม 15,หน้า 248 -249

[14] บิฮารุลอันว้าร,เล่ม 52,หน้า 230

[15] วะซาอิลุชชีอะฮ์,เล่ม 27,หน้า 131,ฮะดีษที่ 33401

[16] เศาะฮีฟะฮ์อิมาม,เล่ม 4,หน้า 3

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • แนวทางที่ถูกต้อง และง่ายในการเลือกมัรญิอฺตักลีดที่มีความรู้สูงสุด สำหรับบุคคลที่เพิ่งเข้ารับอิสลาม และไม่สามารถแยกแยะอุละมาอฺได้คืออะไร?
    13476 สิทธิและกฎหมาย 2555/08/22
    การตักลีดกับมุจญฺตะฮิดที่มีความรู้สูงสุด หมายถึงมิได้จำกัดอยู่แค่บุคคลที่มีความเชื่ยวชาญพิเศษเฉพาะปัญหาฟิกฮฺ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น การปฏิบัติหน้าที่ตามหลักชัรอียฺของตนนั้น จำเป็นต้องปฏิบัติตามมุจญฺตะฮิดที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษ สมบูรณ์ในเรื่องฟิกฮฺ และต้องเป็นผู้รู้ที่มีความรู้มากกว่ามุจญฺตะฮิดด้วยกัน ในสมัยของตน และมุจญฺตะฮิดที่มีความรู้สูงสุดสามารถรู้จักได้จากหนึ่ง 3 วิธีดังนี้ : หนึ่ง : ตัวเราต้องมั่นใจด้วยตัวเอง สอง : มีผู้รู้สองคนที่ยุติธรรมยืนยันในความรู้ของมุจญฺตะฮิดท่านนั้น สาม : ผู้รู้กลุ่มหนึ่งได้ยืนยันและรับรองการเป็นมุจญฺตะฮิด และการเป็นผู้มีความรู้สูงสุดของเขา น่ายินดีว่าปัจจุบันบรรดาคณาจารย์ระดับสูงของสถาบันสอนศาสนา ณ เมืองกุม ได้แนะนำผู้รู้ที่มีคุณสมบัติของมุจญฺตะฮิดสมบูรณ์ ในฐานะของมัรญิอฺตักลีดไว้หลายคนด้วยกัน ซึ่งมุสลิมทุกคนสามารถเลือกปฏิบัติตามอุละมาอฺเหล่านั้น ในฐานะมัรญิอฺตักลีด ท่านหนึ่งท่านใดก็ได้ และกิจการงานของตนให้ถือปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของท่าน ที่มีอยู่ในริซาละฮฺ เตาฎีฮุลมะซาอิล ในกรณีนี้ท่านจะมั่นใจได้ว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ทางชัรอียฺของท่านแล้ว และปัจจุบันเนื่องจากการติดต่อสื่อสารนั้นสะดวกสบาย และเป็นไปได้ในรูปแบบต่างๆ มีหลายภาษาให้เลือก ดังนั้น สำหรับบุคคลที่เพิ่งเข้ารับอิสลาม สามารถรับรู้ข้อมูลนี้ได้อย่างง่ายดาย ...
  • สายรายงานของฮะดีษที่ท่านอิมามอลี(อ.)กล่าวแก่ชาวอรับเกี่ยวกับชาวเปอร์เซียว่า“พวกท่าน(อรับ)รบกับพวกเขา(เปอร์เซีย)เพื่อให้ยอมรับการประทานกุรอาน แต่ก่อนโลกนี้จะพินาศ พวกเขาจะรบกับพวกท่านเพื่อการตีความกุรอาน”เชื่อถือได้เพียงใด?
    8219 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/09/11
    ในตำราฮะดีษมีฮะดีษชุดหนึ่งที่มีนัยยะถึงการที่ท่านอิมามอลี(อ.)กล่าวกับชาวอรับเกี่ยวกับชาวเปอร์เซียว่า “พวกท่าน(อรับ)รบกับพวกเขา(เปอร์เซีย)เนื่องด้วยการประทานกุรอานแต่ก่อนโลกนี้จะพินาศพวกเขาก็จะรบกับพวกท่านเนื่องด้วยการตีความกุรอาน”สายรายงานของฮะดีษบทนี้เชื่อถือได้ ...
  • มีคำอธิบายอย่างไรเกี่ยวกับโองการที่ ซูเราะฮ์เราะอ์ด وَ لَوْ أَنَّ قُرْآناً سُیِّرَتْ بِهِ الْجِبالُ أَوْ قُطِّعَتْ بِهِ الْأَرْضُ أَوْ کُلِّمَ بِهِ الْمَوْتى‏ بَلْ لِلَّهِ الْأَمْرُ جَمیعا
    8896 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/18
    ในประเด็นที่ว่าโองการوَ لَوْ أَنَّ قُرْآناً سُیِّرَتْ بِهِ الْجِبالُ أَوْ قُطِّعَتْ بِهِ الْأَرْضُ... หมายความว่าอย่างไรนั้นนักอรรถาธิบายกุรอานได้นำเสนอไว้สองทัศนะด้วยกัน1. โองการต้องการจะสื่อว่าหากจะมีตำราใดที่จะสามารถเคลื่อนย้ายภูเขาหรือแยกแผ่นดินหรือทำให้ผู้ตายสนทนาได้ตำรานั้นย่อมมิไช่อื่นใดนอกจากกุรอานทั้งนี้ก็เพราะกุรอานประเสริฐเหนือทุกคัมภีร์2. โองการข้างต้นเป็นคำตอบโต้ข้อเรียกร้องของบรรดากาเฟรแห่งมักกะฮ์ที่เรียกร้องให้ท่านนบีแสดงอภินิหารโดยโองการนี้สื่อว่าคนพวกนี้มีนิสัยดื้อรั้นแม้หากกุรอานแสดงอภินิหารเคลื่อนย้ายภูเขาตามที่พวกเขาต้องการหรือแม้จะแยกแผ่นดินและผุดตาน้ำหรือแม้จะชุบชีวิตผู้ตายให้ปฏิญาณถึงความเป็นศาสดาของเจ้า (โอ้มุฮัมมัด)ให้เป็นที่ประจักษ์แก่พวกเขาก็ตามแต่คนเหล่านี้ก็จะยังดื้อแพ่งไม่ศรัทธาอยู่วันยังค่ำ. ...
  • เหตุใดท่านอิมามอลี(อ.)จึงวางเฉยต่อการหมิ่นประมาทท่านหญิงฟาฏิมะฮ์?
    8087 ประวัติหลักกฎหมาย 2554/10/09
    การที่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ถูกทุบตีมิได้ขัดต่อความกล้าหาญของท่านอิมามอลี(อ.) เพราะในสถานการณ์นั้นท่านต้องเลือกระหว่างการจับดาบขึ้นสู้เพื่อทวงสิทธิของครอบครัวที่ถูกละเมิดหรือจะอดทนสงวนท่าทีแล้วหาทางช่วยเหลืออิสลามด้วยวิธีอื่นจากการที่การจับดาบขึ้นสู้ในเวลานั้นเท่ากับการต่อต้านและสร้างความแตกแยกในหมู่มุสลิมอันจะทำให้สังคมมุสลิมยุคแรกอ่อนเปลี้ยส่งผลให้กองทัพโรมันเหล่าศาสดาจอมปลอมและผู้ตกศาสนาจ้องตะครุบให้สิ้นซากท่านอิมามอลี(อ.)ยอมสละความสุขของตนและครอบครัวเพื่อผดุงไว้ซึ่งอิสลามศาสนาที่เป็นผลงานคำสอนทั้งชีวิตของท่านนบี(ซ.ล.)และการเสียสละของเหล่าชะฮีดในสมรภูมิต่างๆ ...
  • จะเชื่อว่าพระเจ้าเมตตาได้อย่างไร ในเมื่อโลกนี้มีทั้งสิ่งดีและสิ่งเลวร้าย ความน่ารังเกียจและความสวยงาม?
    9227 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/07/10
    หากได้ทราบว่าพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ให้มีคุณลักษณะที่ดีที่สุดอีกทั้งยังสนองความต้องการของเขาทั้งในโลกนี้และโลกหน้าตลอดจนได้สร้างสรรพสิ่งอื่นๆเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่มนุษย์เมื่อนั้นเราจะรู้ว่าพระองค์ทรงมีเมตตาแก่เราเพียงใดส่วนความเมตตาของพระองค์ที่มีต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆก็เข้าใจได้จากการที่พระองค์ทรงประทานชีวิตประทานศักยภาพในการดำรงชีวิตและมอบความเจริญเติบโตให้ด้วยเมตตาอย่างไรก็ดีในส่วนของสิ่งเลวร้ายและอุปสรรคต่างๆนานาที่มีในโลกนั้น
  • จะชี้แจงความแตกต่างระหว่างคริสเตียนและอิสลามกรณีพระเจ้ามีบุตรอย่างไร?
    13212 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/07/31
    เมื่อพิจารณาถึงเนื้อหาซูเราะฮ์กุ้ลฮุวัลลอฮ์จะเข้าใจว่ามุสลิมเชื่อว่าอัลลอฮ์มิได้ถือกำเนิดจากผู้ใดและมิได้ให้กำเนิดผู้ใดศาสนาเอกเทวนิยมล้วนเชื่อเช่นนี้ซึ่งแนวทางของพระเยซูก็อยู่ในเกณฑ์เดียวกันเหตุเพราะศาสนาเทวนิยมล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานของสติปัญญาและธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของมนุษย์สติปัญญาก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่งย่อมไม่ต้องพึ่งพาสิ่งใดแน่นอนว่าผู้มีคุณลักษณะเช่นนี้ย่อมไม่ต้องมีบิดาหรือบุตรเพราะการมีบิดาหรือบุตรบ่งบอกถึงการมีสรีระเชิงวัตถุซึ่งย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพึ่งพาอวัยวะและแน่นอนว่าพระเจ้าปราศจากข้อบกพร่องเหล่านี้ส่วนความเชื่อที่แพร่หลายในหมู่ชาวคริสเตียนในปัจจุบันนั้นชี้ให้เห็นว่ามีการบิดเบือนคำสอนอันทำให้ผิดเพี้ยนไปจากศาสนาคริสต์ดั้งเดิม ...
  • วะฮฺยูคืออะไร ประทานลงมาแก่ศาสดาอย่างไร
    22172 อัล-กุรอาน 2553/10/21
    วะฮฺยู (วิวรณ์) "ในเชิงภาษาความถึง การบ่ชี้อย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจเป็นไปได้ที่เป็นชนิดหนึ่งของคำ หรือเป็นรหัสหรืออาจเป็นเสียงอย่างเดียวปราศจากการผสม หรืออาจเป็นการบ่งชี้และสิ่งที่คล้ายคลึงกัน ความหมายและการนำไปใช้ที่แตกต่างกันของคำนี้ในพระคัมภีร์กุรอาน ทำให้เราได้พบหลายประเด็นที่สำคัญ : อันดับแรก วะฮฺยูไม่ได้เฉพาะพิเศษสำหรับมนุษย์เท่านั้น ทว่าหมายรวมถึงพืช สัตว์ และสิ่งไม่มีชีวิตอื่นด้วย .... (วะฮฺยู เมื่อสัมพันธ์ไปยังสิ่งมีชีวิตก็คือ การชี้นำอาตมันและสัญชาติญาณ หรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นการชี้นำในเชิงตักวีนีของพระเจ้า เพื่อชี้นำพวกเขาไปยังเป้าหมายของพวกเขา) แต่ระดับชั้นที่สูงที่สุดของวะฮฺยู เฉพาะเจาะจงสำหรับบรรดาศาสดา และหมู่มวลมิตรของพระองค์เท่านั้น ซึ่งจุดประสงค์ในที่นี้หมายถึง การดลความหมายนบหัวใจของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) หรือการสนทนาของพระเจ้ากับท่านเหล่านั้น บทสรุปก็คือโดยหลักการแล้วการดลอื่นๆ ...
  • ในประโยคคำปฏิญาณ (อัชฮะดุ อันลา อิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ) ได้นำเอาประโยคปฏิเสธขึ้นหน้าก่อนการปฏิญาณ (ในความเป็นเอกะของพระองค์) มีเหตุผลอันใดหรือ?
    25245 ادله نقلی 2557/10/06
    คำว่า ชะฮาดะตัยนฺ คือการผนวกสองประโยคเข้าด้วยกันคือ คำปฏิญาณประโยคแรกคือ (อัชฮะดุ อันลา อิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ) เพื่อพิสูจน์และสารภาพถึงความเป็นหนึ่งเดียวของพระเจ้า ซึ่งเฉพาะเจาะจงและคู่ควรยิ่งแก่การเคารพภักดี สำหรับองค์พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก ส่วนคำปฏิญาณที่สอง (อัชฮะดุ อันนะ มุฮัมมะดัน เราะซูลลุลอฮฺ) เพื่อพิสูจน์และปฏิญาณว่า ท่านนะบีมุฮัมมัดคือ ศาสนทูตแห่งอิสลาม มิได้พิสูจน์การเป็นศาสนทูตคู่ควรแก่ท่านนะบี ด้วยเหตุนี้ ชะฮาดัตแรก จึงเป็นเน้นอันเฉพาะเจาะจงสำหรับพระองค์ ประโยคจึงเริ่มต้นด้วย “การปฏิเสธ” ลานะฟีญินซฺ เพื่อเน้นให้เห็นความสำคัญของคำว่า “อิลาฮะ” ซึ่งถือว่าเป็นคำนามที่เป็นนักกิเราะฮฺ (มิได้ระบุเจาะจง) แน่นอน บริบทของการปฏิเสธนี้ ให้ประโยชน์ในแง่รวมทั้งหมด โดยปฏิเสธพระเจ้าที่มีทั้งหมดบนโลก และปฏิเสธการมีส่วนร่วมในความเป็นพระเจ้า ของพระเจ้าที่แท้จริง ดังนั้น การที่กล่าวว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใด “นอกจาก” อิลลา นั่นเป็นจำกัดให้เห็นถึงความสำคัญอันเฉพาะสำหรับ อัลลอฮฺ เพื่อประกาศให้รู้ว่าไม่มีใคร หรือสิ่งใดมีส่วนร่วมในการเป็นพระผู้อภิบาลของพระองค์ ดังนั้น ในความเป็นจริงจึงพิสูจน์ด้วยประโยคที่กล่าวว่า “นอกจากอัลลอฮฺ” ...
  • ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์มีบุคลิกภาพด้านใดบ้าง?
    12053 ชีวประวัติมะอฺซูม (อ.) 2554/09/22
    มิติบุคลิกภาพด้านต่างๆของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ลึกซึ้งและละเอียดอ่อนในลักษณะที่จะต้องได้รับการพินิจพิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนเท่านั้นจึงจะสามารถประจักษ์ได้ซึ่งการนี้จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อมีการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับมิติด้านศีลธรรมและจิตใจความรู้และการต่อสู้ของนางทั้งในเชิงการเมืองและสังคมขอหยิบยกบุคลิกภาพอันโดดเด่นของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ที่กล่าวถึงในตำราฝ่ายซุนหนี่และชีอะฮ์)มานำเสนอโดยสังเขปดังนี้1. ท่านหญิงใช้ชีวิตเรียบง่ายและพอใจวิถีชีวิตสมถะทั้งที่สามารถจะได้รับความสะดวกสบายขั้นสูงสุด2. บริจาคของรักของตนมากมายทั้งที่ยังจำเป็นต้องใช้3. ทำอิบาอะฮ์และวิงวอนต่ออัลลอฮ์สม่ำเสมอด้วยความบริสุทธิใจ4. เป็นภาพลักษณ์แห่งจริตกุลสตรีและความเหนียมอาย5. แบบฉบับที่สมบูรณ์ด้านการสวมฮิญาบตามวิถีอิสลาม6. มีความรู้อันกว้างขวางซึ่งประจักษ์ได้จากการรับทราบเนื้อหาในตำรา"มุศฮัฟฟาฏิมะฮ์"7.
  • ชีอะฮ์และมุอ์ตะซิละฮ์มีทัศนคติเกี่ยวกับความยุติธรรมแตกต่างกันอย่างไร?
    11110 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/04/24
    ทั้งสองสำนักคิดนี้ต่างก็ถือว่าความยุติธรรมของอัลลอฮ์คือหนึ่งในหลักศรัทธาของตน ทั้งสองเชื่อว่าความดีและความชั่วพิสูจน์ได้ด้วยสติปัญญา กล่าวคือสติปัญญาสามารถจะพิสูจน์ความผิดชอบชั่วดีในหลายๆประเด็นได้แม้ไม่ได้รับแจ้งจากชะรีอัตศาสนา ความอยุติธรรมก็เป็นหัวข้อหนึ่งที่สติปัญญาของมนุษย์ทุกคนพิสูจน์ได้ว่าเป็นความชั่ว ด้วยเหตุนี้ อัลลอฮ์จึงไม่ทรงลดพระองค์มาแปดเปื้อนกับความชั่วดังกล่าว แต่ทรงเป็นผู้ไว้ซึ่งความเที่ยงธรรมอย่างไม่ต้องสงสัย ข้อแตกต่างระหว่างสองสำนักคิดข้างต้นก็คือ เมื่อเผชิญข้อโต้แย้งที่ว่า “หากทุกการกระทำของมนุษย์มาจากพระองค์จริง แสดงว่าการให้รางวัลและการลงโทษมนุษย์ย่อมไม่มีความหมาย” มุอ์ตะซิละฮ์ชี้แจงด้วยการปฏิเสธเตาฮี้ด อัฟอาลี (เอกานุภาพเชิงกรณียกิจ) แต่ชีอะฮ์ปฏิเสธทางออกดังกล่าวที่ถือว่ามนุษย์ไม่ต้องพึ่งพาอัลลอฮ์ในการกระทำ โดยเชื่อว่าการกระทำของมนุษย์เชื่อมต่อกับการกระทำของอัลลอฮ์ในเชิงลูกโซ่ มิได้อยู่ในระนาบเดียวกัน จึงทำให้ตอบข้อโต้แย้งข้างต้นได้โดยที่ยังเชื่อในความยุติธรรมของพระองค์ดังเดิม ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60781 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58465 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42883 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40453 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39495 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34643 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28702 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28597 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28555 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26473 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...