การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
13869
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/04/21
 
รหัสในเว็บไซต์ th13399 รหัสสำเนา 13579
หมวดหมู่ เทววิทยาใหม่
คำถามอย่างย่อ
สรรพสัตว์นั้นมีจิตวิญญาณหรือไม่ ถ้าหากมีชีวิตของสัตว์กับมนุษย์แตกต่างกันอย่างไร
คำถาม
สรรพสัตว์นั้นมีจิตวิญญาณหรือไม่ ถ้าหากมีชีวิตของสัตว์กับมนุษย์แตกต่างกันอย่างไร
คำตอบโดยสังเขป

ก่อนที่จะเข้าเรื่องสิ่งจำเป็นที่ต้องกล่าวถึงคือ พื้นฐานของคำตอบที่จะนำเสนอนั้นวางอยู่บนพื้นฐานของ ฮิกมัต มุตะอาลียะฮฺ (ฟัลซะฟะฮฺ ซ็อดรออีย์) ดังนั้น ในทัศนะดังกล่าวเกี่ยวกับเนื้อเรื่องที่เราจะกล่าวถึงนั้น จึงแบ่งเรื่องหลักออกเป็น 2 ส่วน และรายละเอียดเรื่องรองอีกสองสามเรื่องด้วยกัน

ในส่วนแรก เริ่มต้นด้วยหัวข้อว่าการมีชีวิตอยู่ในสรรพสัตว์ซึ่งจะกล่าวอธิบายถึงประเด็นต่อไปนี้

1. ในแงปรัชญาทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับชีวิต ชีวิตของสรพสัตว์เป็นหนึ่งในองค์ประกอบแน่นอนที่ได้กล่าวนามถึง แม้ว่าองค์ประกอบแต่ละประเภทจะมีความพิเศษในตัวเองก็ตาม และจากสาเหตุนี้เองที่ทำให้สิ่งนั้นมีความพิเศษกว่าสิ่งอื่น

2. บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลาย เนื่องจากมีชีวิตของความเป็นสัตว์อยู่ในตัว ถ้าสมมุติว่าเราจะตั้งสมมุติฐานว่าสัตว์ไม่มีชีวิต มันก็ไม่แตกต่างอะไรไปจากสภาพก่อนหน้าที่จะเป็นสัตว์ หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สัตว์ไม่ได้เกิดขึ้นมาบนโลกเลย

3. จำนวนของสรรพสัตว์ เช่น ผึ้ง แมงมุม และฯลฯ บางครั้งจะเห็นร่องรอยการมีชีวิตของพวกมันได้อย่างชัดเจน

4. นักวิชาการได้กล่าวถึงการมีชีวิตในสรรพสัตว์ในแง่ของวิชาการ จากสิ่งที่ได้ค้นคว้าและวิจัยออกมา เช่น ความรู้ประจักษ์ของสัตว์ถึงการมีอยู่ของตัวเอง หรือการแทรกแซงความต้องการในกริยาของสรรพสัตว์ หรือการรวมรวบชีวิตสรรพสัตว์ในโลกอื่น ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้บ่งบอกให้เห็นถึงชีวิตที่มีอยู่ในบรรดาสรรพสัตว์

5. เหตุผลที่บ่งบอกถึงการมีชีวิตอยู่ในสรรพสัตว์ หรือการสัมพันธ์ไปยังการรับรู้และความรู้สึกในรูปลักษณ์ของตัวอย่าง โดยสรรพสัตว์เหล่านั้น ตลอดจนการแสดงออกและร่องรอยต่างๆ ที่ไม่เหมือนกันของสัตว์เหล่านั้น

ประเด็นที่สอง ภายใต้หัวข้อที่ว่า ชีวิตที่แตกต่างระหว่างสรรพสัตว์กับมนุษย์ ประกอบด้วย

ชีวิตมนุษย์และสัตว์ถ้าหากจะพิจารณาด้านกายภาพแล้วจะเห็นว่ามีความแตกต่างกัน องค์ประกอบด้านกายภาพของมนุษย์นั้นมีความสมบูรณ์มากกว่าสัตว์ และทำนองเดียวกันในแง่ของชีวิตทั้งสองก็มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ด้วยเหตุนี้ พื้นฐานความแตกต่างของมนุษย์กับสรรพสัตว์ เช่น มนุษย์มีศักยภาพในการสนทนา โดยใช้ประโยชน์จากพยัญชนะ คำ อักษร ความคิด และ ...เขาได้ถ่ายถอดสิ่งนั้นไปสู่คนอื่น หรือผลต่างๆ ด้านจิตวิทยาของเขาที่เผชิญอยู่กับปัจจัยต่างๆ ที่แตกต่างกัน เช่น หัวเราะ ร้องไห้ และ ฯลฯ

หรือการมีเทคโนโลยี ศิลปะ สถานภาพ และความสามารถของมนุษย์ ซึ่งไม่มีอยู่ในโลกของสรรพสัตว์ ทำนองเดียวกันความแตกต่างที่ว่า อะไรคือชีวิตของมนุษย์และสรรพสัตว์ ในแง่นี้จะเห็นว่าชีวิตมนุษย์นั้นเป็น ภูมิปัญญา ส่วนชีวิตของสรรพสัตว์นั้นเป็นจินตนาการ นอกจากสิ่งที่กล่าวมาแล้วความอดทนและความสามารถของบรรดาสรรพสัตว์ ยังเป็นสิ่งช่วยขจัดความต้องการต่างๆ ในแง่กายภาพและการขยายชีวิตมนุษย์ในยาวออกไป ในแง่ของวิชาการความรู้ จนกระทั่งถึงขั้นสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้

คำตอบเชิงรายละเอียด

คำถามข้างต้น ได้รับการวิเคราะห์บนพื้นฐานของปรัชญา ซ็อดรอ และฮิกมัต มุตะอาลียะฮฺ ซึ่งจะเห็นว่าผลงานต่างๆ ของมัรฮูมมุลลาซ็อดรอ และบรรดาสานุศิษย์ของท่านเกี่ยวกับเรื่องชีวิต มะอาด ความรู้และการับรู้ หรือที่รู้จักกันในนามของ การรู้จักนั้น ได้ถูกถ่ายทอดสู่สังคมทั้งโดยการอ้างอิงถึง หรือโดยละเอียดมีจำนวนมากมาย ประเด็นที่สามารถอธิบายได้เกี่ยวกับ การมีชีวิตอยู่ในสรรพสัตว์ ได้ถูกแบ่งเป็นหัวข้อหลักไว้ 2 ประการ และหัวข้อย่อยอีก 5 ประการ หลังจากนั้นได้อธิบายถึงความแตกต่างระหว่างชีวิตของสรรพสัตว์กับชีวิตของมนุษย์:

. หลักของการมีชีวิตอยู่ในสรรพสัตว์

1. ชีวิตของสรรพสัตว์เป็นหนึ่งในองค์ประกอบของชีวิตบนโลกนี้

ปกติทั่วไป การวิพากษ์ในประเด็นของปรัชญาที่เกี่ยวข้องกับชีวิต ทุกที่เมื่อได้มีการนำเสนอการตีความ ชีวิตของสรรพสัตว์ มนุษย์ และวัตถุทั้งหลายจะถูกนับว่าเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่กล่าวถึง แม้ว่าองค์ประกอบแต่ส่วนเหล่านั้น จะมีคุณลักษณะพิเศษอันเฉพาะสำหรับตน ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เห็นความแตกต่างระหว่างพวกเขากับสิ่งอื่น แต่อย่างไรก็ตามทั้งหมดมีแก่นแห่งความจริงแท้ และองค์รูปที่ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน นั่นคือชีวิตที่เป็นนามธรรมมิใช้กายภาพ ซี่งอวัยวะทุกส่วนของมันก็เป็นนามธรรมด้วย ไม่ว่าจะเป็นชีวิตที่เป็นภูมปัญญาและอวัยวะก็เป็นภูมิปัญญา หรือชีวิตที่เป็นสัตว์เดรัจฉานซึ่งอวัยวะทั้งหมดนั้นเป็นตัวอย่าง (บางครั้งอาจเป็นพืชซึ่งองค์ประกอบของมันก็ต้องมาจากสิ่งเดียว)

2. การให้ชีวิตสรรพสัตว์ ขั้นหนึ่งจากขั้นตอนที่เป็นการสร้างจากโลกของวัตถุ

มุลลาซ็อดรอ คือบุคคลที่เชื่อว่าการสร้างสิ่งที่เป็นวัตถุขึ้นอยู่กับขั้นตอน ซึ่งนับจากขั้นตอนที่เล็กและง่ายที่สุดของสรรพสิ่ง จนกระทั่งถึงขั้นตอนของการผสมเข้ากันอย่างสมบูรณ์

บางครั้งขั้นตอนเหล่านี้เพียงแค่ผสมเข้ากันเพียงอย่างเดียว ถือว่าไม่เข้ากันแต่อย่างใด ซึ่งความสมบูรณ์ของขั้นตอนนั้นและการกำเนิดของสรรพสิ่งอันเป็นความเฉพาะที่ส่งเสริมระบบการสร้าง มีความต้องการในแหล่งพลังที่มิใช่วัตถุแต่เป็นพลังผสม[1] เช่น ขั้นตอนนี้คือขั้นตอนการกำเนิดสรรพสัตว์ พลังที่เข้าร่วมในขั้นตอนนี้และทำให้มีสรรพสัตว์เกิดขึ้นมาคือ ชีวิตของสัตว์ ดังนั้น มิใช่สัตว์เพียงอย่างเดียวที่มีชีวิต ทว่าถ้าปราศจากชีวิตของสัตว์ สัตว์จะไม่มีวันเกิดขึ้นได้อย่างเด็ดขาด การที่ชีวิตได้เข้าร่วมกับสารประกอบของวัตถุเป็นหนึ่งในความเฉพาะของโลกแห่งวัตถุ[2]

และกฎเกณฑ์นั้นเองที่ได้ใช้กับมนุษย์และพืช พลังที่นอกเหนือจากวัตถุ หรือพลังจิต มีจุดที่แตกต่างกันของสิ่งที่มีอยู่ในแง่ของวัตถุ ซึ่งบางส่วนจากสิ่งเหล่านั้น เช่น หิน เป็นต้น แต่บางครั้งการมีอยู่ของบางสิ่งก็มีความแตกต่างกัน ในขั้นของจิตวิญญาณของสรรพสิ่งที่มีจิตวิญญาณเหล่านั้น ชีวิตของพืชเป็นสิ่งที่มีอยู่ชนิดต่ำสุด ส่วนชีวิตของมนุษย์นั้นสูงส่งที่สุด ส่วนชีวิตของสรรพสัตว์อยู่ในระดับกลาง

3. ตัวอย่างต่างๆ ภายนอกของชีวิตในบรรดาสรรพสัตว์ 

การปรากฏร่องรอยของสรรพสัตว์บางชนิด เหมือนกับการสร้างรวงรังหกเหลี่ยมของผึ้ง หรือการทักทอใยแมงมุมโดยแมงมุมทั้งหลาย การลอกเรียนแบบจากมนุษย์ทั้งนกแก้ว และลิง หรือคุณลักษณะพิเศษบางประการ เช่น ความสง่างามของม้า หรือการเป็นเจ้าป่าของสิงโต ความซื่อสัตย์ของสุนัข เล่ห์เหลี่ยมของสุนัขจิ้งจอก และ ฯลฯ ในมุมมองของมุลลาซ็อดรอ สิ่งที่บ่งบอกให้เห็นถึงความรู้สึกในสัตว์ หรือแม้แต่ระดับของสรรพสัตว์เหล่านั้น บางครั้งก็มีความใกล้เคียงกับความเป็นมนุษย์[3] 

4. หลักฐานด้านวิชาการที่บ่งบอกถึงการมีชีวิตในสรรพสัตว์

บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายมีชีวิตที่เป็นจินตนาการ ซึ่งคล้ายกับชีวิตของมนุษย์อยู่ในสภาพของนามธรรม[4] ชีวิตของสรรพสัตว์อยู่ในสภาพนามธรรมบัรซัคคีและมิซอลลีเท่านั้น กล่าวคืออยู่ในระดับของโลกแห่งความรู้สึกและสติปัญญาเท่านั้น ระดับสุดท้ายของสัตว์คือ การจินตนาการเท่านั้น ดังนั้น ในความเป็นจริงชีวิตของสรรพสัตว์จึงเป็นได้แค่การจินตนาการ และเนื่องจากเป็นนามธรรมรวมกับพลังที่อยู่ด้านในของตน ทำให้เกิดศักยภาพพอที่จะมีความรู้ประจักษ์เมื่อสัมพันธ์ไปยังตนเอง[5] ขณะที่ไม่สิ่งใดที่เป็นวัตถุมีความสามารถพอที่จะมีศักยภาพเช่นนี้ได้

ในทัศนะของมัรฮูม มุลลาซ็อดรอ เชื่อว่าภารกิจทั้งหมดบนโลกนี้ได้ทุกกระทำขึ้นตามความประสงค์ แม้กระทั่งพืช และสรรพสัตว์ทั้งหลาย เพียงแต่ว่าความประสงค์นี้อยู่ในระดับที่สูงกว่าสติปัญญาและชีวิต ส่วนพืชและหินเป็นไปโดยการกำหนด ภายใต้ความประสงค์ แต่ในสรรพสัตว์และมนุษย์วางอยู่บนพื้นฐานของงาน จนกระทั่งไปถึงระดับของความประสงค์ หลังจากนั้น จึงได้กระทำโดยผ่านจิตวิญญาณของสิ่งเหล่านั้น และเนื่องจากการกระทำของสรรพสัตว์และมนุษย์มีความหลากหลาย ขณะที่ในพืชและหินนั้นมีบริบทอันเดียวกัน[6] ปฏิกิริยาของสรรพสัตว์คือ การจินตนาการส่วนในมนุษย์คือสติปัญญาและการกระทำ[7] ดังนั้นทั้งการจินตนาการ การคิด สติปัญญา และความประสงค์ ทั้งหมดเล่านี้ถือว่าเป็นตัวอย่างชีวิต และเป็นหนึ่งในการมีอยู่ที่แตกต่างกันของสรรพสิ่งมีชีวิต กับสรรพสิ่งที่ไร้ชีวิต

นอกจากนั้นแล้ว บนพื้นฐานของโลกแห่งชีวิตสามารถย้อนกลับไปสู่มะอาด การรวมตัวของร่างกายและจิตวิญญาณของสรรพสิ่งที่มีชีวิต ด้วยเหตุนี้เอง บุคคลที่กล่าวถึงเรื่องมะอาดจึงได้มีบทเฉพาะการ ที่กล่าวถึงเรื่องมะอาดของชีวิตสรรพสัตว์ เงื่อนไข และรายละเอียดของการย้อนกลับ

5. เหตุผลที่บ่งบอกถึงมีการมีอยู่ของชีวิตในบรรดาสรรพสัตว์

บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายนั้นมีชีวิต ซึ่งเป็นหนึ่งนามธรรม เนื่องจากสัตว์นั้นมีพลังแห่งการจินตนาการในตัว มันจึงสามารถรับรู้ถึงความคล้ายเหมือนและรูปร่างบางอย่างได้ ซึ่งรูปลักษณ์เหล่านั้นไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยความรู้สึก ดังนั้น สิ่งดังกล่าวจึงไม่ได้อยู่ในโลก (หมายถึงไม่ได้จัดอยู่ในสิ่งที่เป็นวัตถุ) ฉะนั้น ประเด็นของรูปลักษณ์เหล่านี้ความเข้าใจและการมีอยู่ของมันก็ไม่สามารถบ่งชี้ได้ 

ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ภารกิจของท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) หลังจากปรากฏกายแล้วคืออะไร? แล้วเป็นไปได้ไหมที่ท่านจะถูกทำชะฮาดัตโดยน้ำมือของสตรีชราที่มีนวดเครา?
    6315 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/04/21
    ในเวลานั้นท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) จะได้รับอนุญาตจากอัลลอฮฺให้จัดตั้งทั้งด้านวัตถุปัจจัยและด้านคุณธรรมมโนธรรมเพื่อจะได้จัดตั้งรัฐบาลแห่งความยุติธรรมขึ้นมาปกครองโลกซึ่งถือว่าเป็นรัฐบาลที่ใหญ่ที่สุดบนโลกนี้ ท่านจะเป็นผู้สนับสนุนส่งเสริมเกียรติและคุณค่าของความเป็นมนุษย์พร้อมกับเรียกร้องไปสู่ความปลอดภัยชีวิตมนุษย์จะกลายเป็นชีวิตแห่งพระเจ้าในเวลานั้นท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.)
  • ฮะดีซต่างๆ ในหนังสือกาฟียฺ สามารถอธิบายความอัลกุรอานได้หรือไม่?
    8196 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/07/16
    นักรายงานฮะดีซผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งคือ มุฮัมมัด บิน ยะอฺกูบ กุลัยนียฺ (รฮ.) เป็นหนึ่งในปราชญ์ผู้อาวุโสฝ่ายชีอะฮฺ และเป็นหนึ่งในนักรายงานฮะดีซที่เชื่อถือได้มากที่สุดของฝ่ายอิมามียะฮฺ ท่านอยู่ในยุคสมัยการเร้นกายระยะสั้นของท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) และยังเป็นผู้ประพันธ์หนังสือ อุซูลกาฟียฺ อันเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้เอง จะเห็นว่ารายงานส่วนใหญ่ในหนังสือกาฟียฺล้วนเป็นที่เชื่อถือ แต่หนังสือกาฟียฺก็เหมือนกับหนังสือฮะดีซทั่วไปที่มีรายงานอ่อนแอ และไม่น่าเชื่อถืออยู่บ้าง ตามทัศนะของชีอะฮฺและอะฮฺลุซซุนนะฮฺ มีฮะดีซที่ถูกต้องจำนวนมากมายจากท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และอิมามผู้บริสุทธิ์ บันทึกอยู่ในหนังสือญะวามิอฺริวายะฮฺ ซึ่งฮะดีซจำนวนมากเหล่านั้นได้ตัฟซีรโองการอัลกุรอาน ซึ่งหนึ่งในฮะดีซทรงคุณค่าเหล่านั้นคือ หนังสือกาฟียฺ ...
  • อลี บิน ฮุเซน ในประโยค“اَلسَّلامُ عَلَى الْحُسَیْنِ وَ عَلى عَلِىِّ بْنِ الْحُسَیْنِ و” หมายถึงใคร?
    7505 تاريخ بزرگان 2554/07/16
    หากพิจารณาจากดุอาตะวัซซุ้ล บทศอละวาตแด่อิมาม บทซิยารัต กลอนปลุกใจ และฮะดีษต่างๆที่กล่าวถึงอิมามซัยนุลอาบิดีนและท่านอลีอักบัรจะพบว่า ชื่อ“อลี บิน ฮุเซน”เป็นชื่อที่ใช้กับทั้งสองท่าน แต่หากพิจารณาถึงบริบทกาลเวลาและสถานที่ที่ระบุในซิยารัตอาชูรอ อันกล่าวถึงวันอาชูรอ กัรบะลา และบรรดาชะฮีดในวันนั้น กอปรกับการที่มีสมญานาม“ชะฮีด”ต่อท้ายคำว่าอลี บิน ฮุเซนในซิยารัตวาริษ ซิยารัตอาชูรอฉบับที่ไม่แพร่หลาย และซิยารัตมุฏละเกาะฮ์ ทำให้พอจะอนุมานได้ว่า อลี บิน ฮุเซนในที่นี้หมายถึงท่านอลีอักบัรที่เป็นชะฮีดที่กัรบะลาในวันอาชูรอ ...
  • อิมามมะฮ์ดีสมรสแล้วหรือยัง?
    8143 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/09
    แม้จะเป็นไปได้ว่าท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)อาจมีคู่ครองและบุตรหลาน เนื่องจากภาวะการเร้นกายมิได้จำกัดว่าจะท่านต้องงดกระทำการสมรสอันเป็นซุนนะฮ์แต่อย่างใด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราไม่พบเหตุผลใดๆที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ สันนิษฐานว่าสาเหตุที่ประเด็นดังกล่าวไม่เป็นที่เปิดเผยนั้น อาจเป็นผลพวงมาจากความจำเป็นที่พระองค์ทรงเร้นกายท่านจากสายตาผู้คนนั่นเอง ...
  • ความเสียหายของศาสนาคือสิ่งไหน?
    9438 دین و فرهنگ 2555/09/29
    ศาสนา,เป็นพระบัญชาศักดิ์สิทธิ์,มาจากพระเจ้า ซึ่งในนั้นจะไม่มีทางผิดพลาด และไม่มีผลกระทบอันเสียหายอย่างแน่นอน, การยอมรับความผิดพลาดและการกระทำผิด เกี่ยวข้องกับภารกิจของมนุษย์ แน่นอนการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการรู้จักผลกระทบของศาสนา และการตื่นตัวของผู้มีศาสนา สิ่งเหล่านี้จะไม่ย้อนกลับไปสู่แก่นแท้ความจริงของศาสนา, ทว่าจะย้อนกลับไปสู่ประชาชาติที่นับถือศาสนา ความใจและการพัฒนาของมนุษย์ที่มีต่อศาสนา ประเภทของการรู้จักในศาสนา และรูปแบบของการตื่นตัวในศาสนา ความเสียหายและผลกระทบต่อศาสนา มีรายละเอียดแตกต่างกันมากมาย เนื่องจากกลุ่มหนึ่งของความเสียหายทางศาสนา เป็นความเสียหายที่มีผลกระทบ ต่อความศรัทธาของบุคคลที่นับถือศาสนา หรือผู้มีความสำรวมตน ซึ่งความเสียหายดังกล่าวนี้เองจะอยู่ในระดับของการรู้จักทางศาสนา (ความเสียหายทางศาสนาและการศึกษา) บางครั้งก็อยู่ในระดับของการปฏิบัติบทบัญญัติและคำสั่งของศาสนา การรักษาบทบัญญัติ บทลงโทษ และสิทธิ ซึ่งศาสนาได้กำหนดเป็นข้อบังคับให้รักพึงระมัดระวังต่อสิ่งเหล่านั้น เช่น ความอิจฉาริษยา ความอคติ และเกียรติยศ อีกกลุ่มหนึ่งของความเสียหายทางศาสนา จะอยู่ในปัญหาด้านสังคมทางศาสนา เช่น ความบิดเบือน การอุปโลกน์ และการกระทำตามความนิยมต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอันตราย และเป็นความกดดันต่อการระวังรักษาความศักดิ์สิทธิ์ และการขยายศาสนาให้กว้างขวางออกไป ...
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42344 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ชาวสวรรค์ทุกคนจะได้ครองรักกับฮูรุลอัยน์หรือไม่? ฮูรุลอัยน์แต่ละนางมีสามีได้เพียงคนเดียวไช่หรือไม่? และจะมีฮูรุลอัยน์เพศชายสำหรับสตรีชาวสวรรค์หรือไม่?
    10913 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    สรวงสวรรค์นับเป็นความโปรดปรานที่พระองค์ทรงมอบเป็นรางวัลสำหรับผู้ศรัทธาและประพฤติดีโดยไม่มีข้อจำกัดทางเพศจากการยืนยันโดยกุรอานและฮะดีษพบว่า “ฮูรุลอัยน์”คือหนึ่งในผลรางวัลที่อัลลอฮ์ทรงมอบให้ชาวสวรรค์น่าสังเกตุว่านักอรรถาธิบายกุรอานส่วนใหญ่ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าในสวรรค์ไม่มีพิธีแต่งงานส่วนคำว่าแต่งงานกับฮูรุลอัยน์ที่ปรากฏในกุรอานนั้นตีความกันว่าหมายถึงการมอบฮูรุลอัยน์ให้เคียงคู่ชาวสวรรค์โดยไม่ต้องแต่งงาน.ส่วนคำถามที่ว่าสตรีในสวรรค์สามารถมีสามีหลายคนหรือไม่นั้นจากการศึกษาโองการกุรอานและฮะดีษทำให้ได้คำตอบคร่าวๆว่าหากนางปรารถนาจะมีคู่ครองหลายคนในสวรรค์ก็จะได้ตามที่ประสงค์ทว่านางกลับไม่ปรารถนาเช่นนั้น ...
  • ความต่างกิจกรรมของวิญญาณขณะนอนหลับ และสลบคืออะไร?
    16478 ปรัชญาอิสลาม 2555/09/29
    รูปแบบการปฏิสัมพันธ์ระหว่างร่างกายกับจิตวิญญาณขณะตื่นนอน กับการปฏิสัมพันธ์ขณะนอนหลับนั้นมีความแตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้ ตามคำสอนของอิสลามจึงได้เรียกการนอนหลับว่า เป็นพี่น้องของความตาย วิทยาศาสตร์แม้ว่าจะไม่มีข้อมูลการปฏิสัมพันธ์ระหว่างจิตวิญญาณกับร่างกายขณะนอนหลับ แต่สามารถค้นพบการเปลี่ยนแปลงและปฏิกิริยาบางอย่างทางร่างกายขณะนอนหลับได้ บนพื้นฐานของการค้นคว้านั้นและการทำสอบพบว่ามนุษย์มีการนอนหลับในสองระดับ ด้วยนามว่า REM และ Non REM ซึ่งทั้งสองมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยปกติแล้วการความฝันที่มักเกิดในระดับของ Non REM เกิดจากการหลับลึกซึ่งจะไม่อยู่ในความทรงจำ แต่เฉพาะการนอนหลับในระ REM เท่านั้นที่จะคงอยู่ในความทรงจำ ส่วนการสลบหมดสติเกิดจากการเบี่ยงเบนของวิญญาณ และเป็นการหลับที่ลุ่มลึกมาก ทำให้เขาไม่มีความทรงจำอันใดหลงเหลืออยู่ ...
  • กรุณาอธิบายเกี่ยวกับมัสญิดญัมกะรอนและสาเหตุของการก่อตั้งมัสญิดแห่งนี้
    7357 ประวัติสถานที่ 2554/08/08
    มัสญิดญัมกะรอนหนึ่งคือในสถานที่ศักดิสิทธิและเป็นสถานที่ของท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.) ตั้งอยู่ห่างจากเมืองกุมประมาณ๖กิโลเมตรมัสญิดแห่งนี้ได้ก่อสร้างเมื่อประมาณ๑๐๐๐ปีที่แล้วโดยคำสั่งของท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.) ซึ่งผู้ริเริ่มก่อสร้างได้รับคำสั่งดังกล่าวในขณะตื่น (ไม่ใช่ในฝัน) ซึ่งความเมตตาและสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆของอิมามมะฮ์ดี (อ.) ได้ปรากฎณสถานที่แห่งนี้อีกทั้งเป็นสถานที่นัดหมายสำหรับผู้ที่รอคอยการมาของท่านและมีความรักต่อท่านมัรฮูมมิรซาฮูเซนนูรีได้กล่าวเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของการก่อตั้งมัสญิดญัมกะรอนโดยอ้างอิงจากเชคฟาฏิลฮะซันบินฮะซันกุมี (อยู่ยุคสมัยเดียวกับเชคศอดูก) ในหนังสือ “ประวัติศาสตร์เมืองกุม”[1] จากหนังสือ “มูนิซุลฮะซีนฟีมะอ์ริฟะติลฮักวัลยะกีน”[2] ว่า:[3]เชคอะฟีฟศอและฮ์ฮะซันบินมุซลิฮ์ยัมกะรอนีได้กล่าวว่า: ในคือวันพุธที่๑๗เดือนรอมฏอนปี๓๙๓ฮ. ฉันได้นอนอยู่ในบ้านทันใดนั้นได้มีกลุ่มชนกลุ่มหนึ่งมาที่ประตูบ้านของฉันและได้ปลุกฉันและได้กล่าวกับฉันว่าจงลุกขึ้นและทำตามความต้องการของอิมามมะฮ์ดี (อ.) ซึ่งท่านได้เรียกหาท่านอยู่พวกเขาได้พาฉันมาสถานที่หนึ่งซึ่งในปัจจุบันสถานที่แห่งนั้นได้กลายมาเป็นมัสญิดญัมกะรอนแล้วท่านอิมามมะฮ์ดีได้เรียกชื่อของฉันและได้กล่าวว่า: “ไปบอกกับฮะซันบินมุสลิมว่า “สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่อันบริสุทธ์ที่อัลลอฮ์ทรงเลือกและให้สถานที่แห่งนี้มีความบริสุทธ์เจ้าได้ยึดครองสถานที่แห่งนี้...ดังนั้นท่านได้กล่าวว่า: จงบอกประชาชนว่าให้รักและหวงแหนสถานที่แห่งนี้”[4]อายาตุลลอฮ์อัลอุซมามัรอะชีนะญะฟีได้กล่าวยอมรับความศักดิ์สิทธิของมัสญิดญัมกะรอนว่า: ชีอะฮ์ทั่วไปให้ความสำคัญต่อมัสญิดอันศักดิ์สิทธ์แห่งนี้ตั้งแต่สมัยของการเร้นกายระยะแรกของท่านอิมามมะฮ์ดีจนถึงปัจจุบันซึ่งกินระยะเวลาถึงพันสองร้อยสองปีท่านเชคผู้สูงส่งมัรฮูมศอดูกได้กล่าวในหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า “มูนิซุลฮะซีน” ซึ่งฉันยังไม่ได้อ่านเองทว่ามัรฮูมฮัจยีมิรซาฮุเซนนูรีซึ่งเป็นอาจารย์ของฉันได้เล่าจากหนังสือเล่มนั้นว่าอุลามาอ์และนักวิชาการชั้นนำของชีอะอ์ให้ความเคารพมัสญิดแห่งนี้กันถ้วนหน้าและสิ่งมหัศจรรย์มากมายได้ปรากฏในมัสญิดญัมกะรอนแห่งนี้
  • เพราะสาเหตุใดการใส่ทองคำจึงฮะรอมสำหรับผู้ชาย?
    12391 ปรัชญาของศาสนา 2554/06/22
    ตามทัศนะของนักปราชญ์และผู้รู้การสวมใส่ทองคำสำหรับผู้ชายมีผลกระทบที่สามารถทำลายล้างได้กล่าวคือก) เป็นการกระตุ้นประสาท[1], ข) การเพิ่มจำนวนที่มากเกินไปของเซลล์เม็ดเลือดขาว[2]เหล่านี้คือผลเสียที่สามารถกล่าวถึงได้แต่ประเด็นทีต้องพิจารณาความรู้ที่รับผิดชอบต่อ"สุขภาพพลานามัย" ของมนุษย์ในขณะการปรับปรุงและพัฒนามิติด้านอาณาจักรที่เร้นลับและมิติทางจิตวิญญาณของมนุษย์ผู้ที่เป็นกังวลสมควรเป็นมุสลิมมากที่สุดซึ่งต้องพิจารณาที่ "ร่างกาย" และ "ความรู้" ระดับในการแสดงออกและเป็นบทนำสำหรับการพิจาณาในขั้นต่อไปเนื่องจากมนุษย์มิใช่เป็นเพียงดินหรือวัตถุเท่านั้นความเป็นมนุษยชาติขึ้นอยู่กับการเติบโตของความสามารถและศักยภาพต่างๆของมนุษย์พระเจ้าผู้ทรงอำนาจได้ประทานให้แก่พวกเขาโดยมีประสงค์ให้เขาบรรลุตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺของพระองค์แต่จริงๆแล้วแนวทางที่ทำให้พรสวรรค์นี้เติบโตคืออะไร? ศัตรูและอุปสรรคของหนทางนี้อยู่ตรงไหน?อัลลอฮฺ (ซบ.) ได้อธิบายถึงแนวทางและอุปสรรคขวางกั้นพรสวรรค์และศักยภาพของมนุษย์ไว้ในรูปแบบของบัญญัติแห่งศาสนาในฐานะที่เป็นพระมหากรุณาธิคุณด้วยการพิจารณาข้อเท็จจริงต่างๆแล้วไม่อาจมีข้อสงสัยใดๆได้เลยว่าบทบัญญัติพระเจ้าเป็นความจริงที่เกิดขึ้นภายนอกและในตัวเองแต่ถ้าต้องการทราบถึงปรัชญาของสิ่งนั้นจำเป็นต้องพิจารณาประเด็นต่อไปนี้ด้วย:1- มนุษย์สามารถรับรู้ปรัชญาทั้งหมดของบทบัญญัติของพระเจ้าได้หรือไม่? แน่นอนคำตอบคือไม่เนื่องจาก:ก) เนื่องจากในตำราทางศาสนามิได้กล่าวถึงปรัชญาทั้งหมดของบทบัญญัติเอาไว้ข) บทบัญญัติที่กล่าวถึงปรัชญาของตัวเองเอาไว้ไม่อาจรับรู้ได้ว่ากล่าวถึงปรัชญาทั้งหมดแล้วหรือไม่, ทว่าบางครั้งบทบัญญัติเพียงข้อเดียวก็มีปรัชญากล่าวไว้อย่างมากมายแต่พระเจ้าทรงเลือกสรรที่จะกล่าวบางข้อเหล่านั้นเพื่อเป็นการย้ำเตือนความทรงจำค) ความรอบรู้ของมนุษย์ก็สามารถค้นหาปรัชญาและวิทยปัญญาบางประการของบทบัญญัติได้เท่านั้นมิใช่ทั้งหมด

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60250 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57752 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42344 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39564 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39023 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34112 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28116 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28091 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27966 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25949 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...