การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
7112
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/09/04
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1196 รหัสสำเนา 16377
หมวดหมู่ เทววิทยาใหม่
คำถามอย่างย่อ
เหตุใดศาสนาจึงขัดต่อหลักสติปัญญา?
คำถาม
เหตุใดเรายังต้องเคารพในศาสนา ทั้งๆที่ถูกสติปัญญาหักล้างอย่างหมดเปลือกแล้ว?
คำตอบโดยสังเขป

สติปัญญาถือเป็นเครื่องพิสูจน์สัจธรรมจากภายใน ส่วนชะรีอัต(ศาสนา)ก็ถือเป็นเครื่องพิสูจน์สัจธรรมจากภายนอก ทั้งสองมีหน้าที่นำพามนุษย์สู่ความผาสุกและความสมบูรณ์แบบ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่เครื่องพิสูจน์สัจธรรมจากภายในและภายนอกจะขัดแย้งกันเอง

จากการที่สติปัญญานับเป็นปรากฏการณ์หนึ่ง และการที่ทุกปรากฏการณ์มีข้อจำกัด ศักยภาพของสติปัญญาก็มิอาจอยู่เหนือกฏเกณฑ์นี้ได้ จึงมีศักยภาพประมวลผลในระดับของสรรพสิ่งถูกสร้างเท่านั้น โดยไม่อาจที่จะหยั่งรู้ถึงสถานภาพที่แท้จริงของพระเจ้าได้อย่างถี่ถ้วนเนื่องจากทรงปราศจากข้อจำกัด

สติปัญญาสามารถเข้าใจเกี่ยวกับภาพรวมของระบบระเบียบหรือบทบัญญัติต่างๆได้ แต่กระนั้นก็ยังต้องพึ่งพาศาสนาอยู่บ้าง แต่ในส่วนของรายละเอียดปลีกย่อยของวันปรโลก หรือหลักเกณฑ์ของศาสนบัญญัติต่างๆนั้น สติปัญญาไม่สามารถจะเข้าถึงได้เลยหากปราศจากคำบอกเล่าของศาสนา สภาวะเช่นนี้จึงไม่ก่อให้เกิดความผิดฝาผิดตัวระหว่างแนวคิดอิสลามและวิถีแห่งปัญญา
อย่างไรก็ดี บางครั้งเราอาจจะรู้สึกว่าเกิดความขัดแย้งระหว่างสติปัญญาและศาสนาในกรณีที่เราสอดแทรกสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในปริมณฑลของสติปัญญา หรือกระบวนการทางความคิดของเราไม่เข้ารูปเข้ารอย หรือกรณีที่เราจำกัดความหมายของสติปัญญาให้แคบลง
อนึ่ง คงเป็นการดีหากคุณจะกรุณายกตัวอย่างสักประเด็นตามที่คุณกล่าวไว้

คำตอบเชิงรายละเอียด

นักวิชาการนิยามสติปัญญาว่าเป็นเป็นอมฤตภาพเชิงเดียวที่ทำให้มนุษย์สามารถรับรู้ข้อเท็จจริง สติปัญญาคือการรับรู้สัจธรรมและเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมศักยภาพของจิตตรึกตรอง[1]
ส่วนในแง่ปรัชญา เราสามารถแบ่งสติปัญญาออกเป็น ปัญญาภาคทฤษฎี และปัญญาภาคปฏิบัติ ปัญญาภาคทฤษฎีมีหน้าที่รับรู้และจำแนกปรากฏการณ์ต่างๆ[2] ส่วนปัญญาภาคปฏิบัติก็คือปัจจัยที่ควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์[3] จำแนกสิ่งที่ควรกระทำออกจากสิ่งที่มิชอบ กล่าวได้ว่าปัญญาประเภทนี้เป็นฐานรากสำหรับการดำเนินชีวิตของผู้คนเนื่องจากเป็นตัวตัดสินใจกระทำหรืองดเว้นพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง[4] ปัญญาภาคปฏิบัติตรงกับสิ่งที่ท่านอิมามศอดิก(.)อธิบายไว้ว่า العقل ما عبد به الرحمن و اکتسب به الجنان (ปัญญาคือสิ่งที่นำพาสู่การภักดีพระเจ้าและใช้ในการไขว่คว้าสรวงสวรรค์)[5]
สรุปเบื้องต้นว่า สติปัญญาที่กล่าวถึงในประเด็นนี้หมายถึงศักยภาพในการเข้าใจ ซึ่งมีคุณสมบัติที่เข้าใจเชิงองค์รวม

สติปัญญามีสถานภาพสูงส่งในทัศนะอิสลาม ท่านอัลลามะฮ์ ฏอบาฏอบาอี กล่าวไว้ในตัฟซี้รอัลมีซานว่าสติปัญญาคือพลังที่ประเสริฐสุด[6] อัลลอฮ์จึงทรงตรัสไว้ในอัลกุรอานถึงสามร้อยโองการเพื่อรณรงค์ให้มนุษย์หมั่นใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากสติปัญญา[7] ท่านอัลลามะฮ์ฯเชื่อว่าอิสลามให้ความสำคัญต่อสติปัญญาเป็นพิเศษ ดังที่ไม่สามารถพบเห็นโองการใดในกุรอานเลยที่จะชักชวนให้มนุษย์คล้อยตามอย่างไม่ลืมหูลืมตา
[8]
ด้วยเหตุนี้เองที่ไม่อาจจะเชื่อได้ว่าอิสลามและวิถีแห่งปัญญาจะขัดแย้งกันเอง อย่างไรก็ดี บางครั้งเราอาจจะรู้สึกว่าเกิดความขัดแย้งระหว่างสติปัญญาและศาสนาในกรณีที่เราเพิ่มปัจจัยภายนอกเข้าไปในปริมณฑลของสติปัญญา หรือกระบวนการทางความคิดของเราไม่เข้ารูปเข้ารอย หรือกรณีที่เราจำกัดความหมายของสติปัญญาให้แคบลงกว่าที่ควร

เมื่อพิจารณาถ้อยธรรมของท่านอิมามอลี(.)ในหนังสือนะฮ์ญุ้ลบะลาเฆาะฮ์ว่าด้วยเรื่องของภารกิจของบรรดานบี ท่านกล่าวว่า:
 
و یثیروا لهم دفائن العقول [9](บรรดานบีได้กระตุ้นศักยภาพที่ซ่อนเร้นของสติปัญญา) ทำให้ทราบได้ว่าสติปัญญาและศาสนกิจไม่เพียงแต่จะไม่ขัดกัน แต่ยังทำงานสอดประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพ
กล่าวคือ ท่านอิมามอลี(.)ถือว่าการปลุกจิตสำนึกและปัญญาของมนุษยชาติเป็นภารกิจสำคัญของบรรดานบี
สติปัญญาและจิตสำนึกมีลักษณะคล้ายหีบสมบัติที่บรรจุสัจธรรมและข้อเท็จจริงไว้ทั้งหมด ด้วยเหตุนี้บรรดานบีจึงพร่ำสอนในสิ่งที่สอดรับกับตรรกะและปัญญาธรรม ในวิชาอุศูลุ้ลฟิกฮ์มีหลักการหนึ่งทีว่า
 
کل ما حکم به العقل حکم به الشرع ทุกมติที่สติปัญญาบังคับใช้ ศาสนาก็บังคับใช้เช่นกัน[10] ในทางตรงกันข้ามก็ถูกต้อง นั่นก็คือ ทุกมติที่ศาสนาบังคับใช้ สติปัญญาก็บังคับใช้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ปัญญาจึงกลายเป็นหนึ่งในรากฐานของศาสนบัญญัติ

สรุปคือศาสนบัญญัติทั้งหมดไม่ขัดต่อสติปัญญา อันที่จริงคำสอนของบรรดานบีก็คือปัญญาธรรมที่มนุษย์หลงลืมเนื่องจากการลวงล่อของชัยฏอน บรรดานบีมีหน้าที่เผยปัญญาธรรมของมนุษยชาติให้เป็นที่ประจักษ์
จะว่าไปแล้ว วิธีที่บรรดานบีเชิญชวนผู้คนสู่สัจธรรมก็มิได้แตกต่างไปจากวิธีที่มนุษย์เข้าถึงสัจธรรมด้วยกระบวนการที่ถูกต้องทางปัญญาเท่าใดนัก จะต่างกันก็ตรงที่บรรดานบีได้รับสัจธรรมจากต้นกำเนิดอันบริสุทธิ์แห่งวะฮีย์ แต่ถึงแม้บุคคลเหล่านี้จะมีความเชื่อมโยงกับโลกุตรธรรม แต่ก็ถ่อมตนแสดงเทศนาตามระดับความคิดของผู้คนทั่วไป บรรดานบีรณรงค์ให้มนุษยชาติกระตุ้นศักยภาพของสามัญสำนึกที่มีอยู่ เพื่อการไตร่ตรองด้วยเหตุผลอันแข็งแกร่ง ฉะนั้น จึงสรุปได้ว่าบรรดานบีย่อมไม่ไช่บุคคลที่จะบีบบังคับให้ประชาชนคล้อยตามอย่างหูหนวกตาบอดและปราศจากวิจารณญาณ กุรอานกล่าวว่าจงกล่าวเถิด(โอ้มุฮัมมัด) นี่คือแนวทางของฉัน ฉันและผู้เจริญรอยตามฉันเชิญชวนสู่อัลลอฮ์ด้วยวิจารณญาณ(บะศีเราะฮ์)”[11]

ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีความขัดแย้งกันระหว่างศาสนาและสติปัญญา เนื่องจากทั้งสองมีความคล้ายคลึงกันในแง่ต้นกำเนิด จุดประสงค์ และวิธีการ ศาสนาที่แท้จริงจะเชิญชวนมนุษย์ให้ใช้สติปัญญาเป็นเครื่องมือในการสร้างเสริมศรัทธาต่อโลกุตรธรรม สติปัญญาและฮะดีษเชื่อมโยงกันในลักษณะลูกโซ่ สติปัญญาคือเครื่องพิสูจน์สัจธรรมจากภายในมนุษย์ ส่วนชะรีอัตศาสนาก็เป็นเครื่องพิสูจน์สัจธรรมจากภายนอก ซึ่งทั้งสองทำงานสอดประสานกัน นำพาให้มนุษย์พ้นจากวังวนแห่งกิเลศตัณหาเพื่อทะยานสู่ความผาสุกอันนิรันดร์ ดังที่ท่านอิมามกาซิม(.)กล่าวไว้ว่าอัลลอฮ์ได้ประทานเครื่องพิสูจน์สัจธรรมแก่มนุษย์ทั้งจากภายในและภายนอก เครื่องพิสูจน์จากภายนอกก็คือบรรดานบีและอิมาม ส่วนเครื่องพิสูจน์จากภายในก็คือสติปัญญา[12]
ฉะนั้นจึงไม่เกิดความขัดแย้งระหว่างเครื่องพิสูจน์สัจธรรมภายในและภายนอกเด็ดขาด ฮุจญะฮ์(เครื่องพิสูจน์)ในที่นี้หมายถึงการนำทาง และโดยทั่วไป ผู้นำทางคือผู้ที่เชี่ยวชาญเส้นทางที่ทอดสู่จุดหมายปลายทาง ท่านอิมามกาซิม(.)ต้องการสื่อว่าการจาริกสู่อัลลอฮ์ต้องมีผู้นำทางสองแบบ ผู้นำทางภายในและผู้นำทางภายนอก อย่างไรก็ดี สองผู้นำทางนี้ยังต้องพึ่งพาซึ่งกันและกันอยู่ และมนุษย์จะถึงจุดหมายได้ด้วยการนำทางที่สอดประสานกันเท่านั้น
ซึ่งก็เป็นไปตามวจนะของท่านอิมามฮุเซน(.)ที่ว่าจุดสูงสุดของสติปัญญาอยู่ที่การปฏิบัติตามสัจธรรม[13] และดังที่กุรอานกล่าวว่าอัลลอฮ์คือสัจธรรม[14] และสัจธรรมมาจากพระองค์[15] ในเมื่อการปฏิบัติตามสัจธรรมคือจุดอิ่มตัวของปัญญา อัลลอฮ์ผู้เป็นสัจธรรมได้บัญชาให้เราปฏิบัติตามเครื่องพิสูจน์สัจธรรมจากภายนอก ดังที่ทรงตรัสว่า จงภักดีต่ออัลลอฮ์และจงภักดีต่อศาสนทูตและผู้ครองสิทธิ(ผู้เป็นตัวแทนศาสนทูต)ในหมู่สูเจ้า [16]

พึงสังเกตุว่าประเด็นทางศาสนาขั้นสูงบางข้ออาจไม่สอดคล้องกับแนวคิดสหชาตปัญญาตามนิยามของเดการ์ต หรืออาจไม่ตรงกับปัญญาตามนิยามของสำนักคิดปฏิบัตินิยม(Pragmatism) หรืออาจขัดกับปัญญาเชิงทฤษฎีในนิยามของค้านท์ (เดการ์ตไม่เชื่อเกี่ยวกับปัญญาเชิงองค์รวม และพูดถึงสหชาตปัญญาหรือความคิดเชิงย่อยที่มีมาตั้งแต่เกิดเท่านั้น ส่วนพวกปฏิบัตินิยมเชื่อว่าปัญญาที่มีประโยชน์คือปัญญาที่ไขปัญหาเชิงประสบการณ์เชิงผัสสะนิยมได้เท่านั้น และค้านท์เชื่อว่าปัญญาภาคทฤษฎีไม่สามารถแก้ปัญหาได้ และมติของสติปัญญาไม่มีคุณค่าใดๆในเชิงวิชาการ)

แน่นอนว่าคุณธรรมอิสลามอย่างเช่นการเสียสละ การพลีชีพ การบริจาค การศรัทธาต่อสิ่งที่เหนือญาณวิสัย และอื่นๆอีกมากมาย ย่อมไม่สามารถนำมาวิเคราะห์ภายใต้แนวคิดสหชาตปัญญาเชิงย่อยของเดการ์ต นอกจากนี้ เรายังจะต้องจำแนกปัญญาออกจากการคาดเดาที่อาจเข้าแทนที่ปัญญา ซึ่งจะทำให้หลงคิดไปว่าสิ่งนั้นเป็นสัจธรรม ดังที่กุรอานกล่าวว่า و هم یحسبون اَنهم یحسنون صنعاً؛ (และพวกเขาคิดว่าตนเองกำลังประกอบคุณความดีอยู่)[17] ซึ่งแท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงความคิดเพ้อฝันที่เป็นโมฆะ

ดังที่ได้พิสูจน์แล้วว่าศาสนาและสติปัญญาทำงานสอดประสานกัน และได้ปฏิเสธว่าอิสลามมิได้ขัดแย้งกับกระบวนการทางปัญญาเนื่องจากมีจุดเริ่มต้น จุดประสงค์ และเป้าหมายเดียวกัน ฉะนั้น หากพบกรณีความขัดแย้งระหว่างศาสนาและสติปัญญา จะต้องตรวจสอบว่ามติของปัญญานั้นๆตรงกับมาตรฐานที่ถูกต้องในกระบวนความคิดแล้วหรือไม่ หรือเป็นไปได้ว่าเราอาจนึกว่าทัศนะของตนคือคำสอนของศาสนาที่ขัดกับสติปัญญา
อย่างไรก็ดี ต้องคำนึงเสมอว่าความเชื่อทางศาสนาและศาสนกิจบางประการอาจจะพ้นญาณวิสัย ซึ่งแม้สติปัญญาจะไม่ปฏิเสธ แต่ก็ไม่สามารถบรรลุถึงแก่นความเข้าใจต่อสิ่งเหล่านี้ได้ อาทิเช่น ความเชื่อปลีกย่อยเกี่ยวกับปรโลก และหลักเกณฑ์ของศาสนกิจบางประการ 

ขอย้ำอีกครั้งว่า มีสองปัจจัยที่ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างสติปัญญากับศาสนกิจบางประการ
1. การที่ศีลธรรมพื้นฐานของอิสลามมากมายอยู่พ้นญาณวิสัยของสหชาตปัญญาที่เข้าใจเพียงประเด็นปลีกย่อย
2. การที่ทฤษฎีหรือข้อสันนิษฐานบางประการถูกแอบอ้างว่าเป็นการชี้ขาดของสติปัญญา จึงต้องแยกให้ชัดเจน
และด้วยการที่สติปัญญาถือเป็นเครื่องพิสูจน์สัจธรรมที่พระเจ้าทรงประทานแก่มนุษย์ ฉะนั้น ผู้ใดที่ศึกษาคัมภีร์ศาสนาด้วยต้นทุนทางสติปัญญา เขาจะได้รับชุดความรู้อันบริสุทธิ์ไม่ว่าจากตัวบทศาสนาหรือหลักคิดทางปัญญา แต่หากผู้ใดศึกษาคัมภีร์บนพื้นฐานของกระบวนการทางความคิดที่อ่อนเปลี้ย ก็เปรียบเสมือนฝุ่นผงที่กลบความเข้าใจในคัมภีร์เสียหมด

หากถามว่าสามารถปกป้องคำสอนหลักและปลีกย่อยของศาสนาด้วยกระบวนการทางสติปัญญาได้ทั้งหมดหรือไม่? ตอบว่าสติปัญญาเป็นปัจจัยสำคัญในการเข้าใจศาสนา แต่ไม่ไช่ปัจจัยที่เพียงพอ เนื่องจากไม่สามารถจะใช้กระบวนการทางสติปัญญาพิสูจน์ศาสนกิจปลีกย่อยได้ เพราะสิ่งปลีกย่อยอยู่นอกญาณวิสัยของสติปัญญา ไม่ว่าจะเป็นข้อปลีกย่อยทางธรรมชาติหรือศาสนบัญญัติก็ตาม กล่าวคือ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลทางวิชาการก็ดี ประสบการณ์ก็ดี สิ่งจริงแท้หรือสมมติขึ้นก็ดี หากเป็นข้อปลีกย่อย ก็อยู่นอกเขตการพิสูจน์โดยสติปัญญาทั้งสิ้น  และสิ่งที่อยู่นอกเขตของสติปัญญาย่อมไม่อาจพิสูจน์ด้วยสติปัญญาได้  แต่สามารถพิสูจน์หรือตีความเชิงองค์รวมได้ ไม่ว่าจะทางธรรมชาติหรือศาสนบัญญัติ

สรุปคือ จากการที่สติปัญญาไม่สามารถเข้าถึงประเด็นบางประเด็นได้ ทำให้ต้องพึ่งพาการชี้นำจากศาสนา ฉะนั้น ตรรกะของสติปัญญาก็คือ ฉันเข้าใจว่ายังมีอีกหลายสิ่งที่ฉันไม่เข้าใจและยังต้องพึ่งพาศาสนา[18]

อ่านเพิ่มเติมได้ที่
1. การครุ่นคิดในกุรอาน,อัลลามะฮ์ ฏอบาฏอบาอี
2. ฮิกมะฮ์ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติในนะฮ์ญุ้ลบะลาเฆาะฮ์,.ญะวาดี ออโมลี
3. ชะรีอัตจากมุมแห่งสารธรรม,. ญะวาดี ออโมลี,หน้า 199-224
4.
ศาสนศึกษา, .ญะวาดี ออโมลี,หน้า 170-174
5.
ความเชื่อและคำถามต่างๆ,มะฮ์ดี ฮาดะวี เตหรานี,หน้า 51-58
6.
พื้นฐานทางเทววิทยาของอิจติฮ้าด,มะฮ์ดี ฮาดะวี เตหรานี,หน้า 280-284
7.
นิตยสารโพ้รเซมอน,ฉบับพิเศษที่ ,เดือนโมรด้อด, ปี (..สุริยุคติ) บทความ: อิสลามและปัญญา สอดคล้องหรือขัดแย้ง,ฮะมี้ดริฎอ ริฎอนิยอ



[1] ศัพท์แวดวงปรัชญา,อลี คะระญี,หน้า 171,172

[2] สิบมุขปาฐะ,ชะฮีดมุเฏาะฮะรี,หน้า 30,31

[3] ร่อฮี้กิมมัคตูม,.ญะวาดี ออโมลี,เล่ม,หน้า 153

[4] สิบมุขปาฐะ,ชะฮีดมุเฏาะฮะรี,หน้า 30,31

[5] อุศูลุลกาฟี,กุลัยนี,เล่ม 1,หน้า 11,ฮะดีษที่ 3

[6] อัลมีซาน,มุฮัมมัดฮุเซน ฏอบาฏอบาอี,เล่ม 3,หน้า 57

[7] อ้างแล้ว,เล่ม 5,หน้า 255

[8] ปัญญานิยมในตัฟซี้รศตวรรษที่สิบสี่,ชอดี นะฟีซี,หน้า 194,195

[9] นะฮ์ญุ้ลบะลาเฆาะฮ์,คุฏบะฮ์ที่ 1

[10] ตะฮ์ซีบุ้ลอุศู้ล,ซัยยิดอับดุลอะอ์ลา ซับซะวอรี,เล่ม 1,หน้า 145และ อุศูลุลฟิกฮ์,มุฮัมมัดริฎอ มุซ็อฟฟัร,เล่ม 1,หน้า 217

[11] ซูเราะฮ์ยูซุฟ, 108

[12] ดู: มีซานุ้ลฮิกมะฮ์ฉบับย่อ,มุอัมมัด เรย์ชะฮ์รี,หน้า 358,ฮะดีษที่ 4387

[13] อ้างแล้ว,หน้า 395,ฮะดีษที่ 4407

[14] ซูเราะฮ์ลุกมาน, 30

[15] ซูเราะฮ์อาลิอิมรอน, 60

[16] ซูเราะฮ์นิซาอ์, 59

[17] อัลกะฮ์ฟิ, 104

[18] ศาสนศึกษา(บทเรียนปรัชญาศาสนา),.ญะวาดี ออโมลี,หน้า 127-174

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • จะปฏิบัติตามบทบัญญัติอิสลามได้อย่างไรในสภาพสังคมบริโภคนิยม มีความแตกแยก และโกหกหลอกลวงกันอย่างแพร่หลาย?
    7986 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/05/31
    บทบัญญัติอิสลามสามารถนำมาใช้ได้สองมิติด้วยกัน บางประการเกี่ยวข้องกับปัจเจกบุคคล และบางประการเกี่ยวข้องกับสังคม ส่วนที่เกี่ยวข้องกับปัจเจกนั้น สามารถปฏิบัติได้ในทุกสภาพสังคม กล่าวคือ หากมุสลิมประสงค์จะปฏิบัติตามบทบัญญัติอิสลามเชิงปัจเจก อาทิเช่น นมาซ ถือศีลอด ฯลฯ แม้สังคมนั้นๆจะเสื่อมทราม แต่ก็ไม่อาจจะเป็นอุปสรรคต่อกิจวัตรส่วนตัวมากนัก แต่บทบัญญัติบางข้อเกี่ยวข้องกับกิจกรรมในสังคมที่สามารถประยุกต์ใช้ในสังคมได้ และเนื่องจากมนุษย์ไฝ่ที่จะอยู่ในสังคม จึงจำเป็นจะต้องอาศัยอยู่และสนองความต้องการของตนภายในสังคม ในมุมมองนี้บุคคลควรปกป้องคุณธรรมศาสนาเท่าที่จะมีความสามารถ และมีหน้าที่จะต้องกำชับกันในความดีและห้ามปรามความชั่วตามสำนึกที่มีต่อสังคม ซึ่งแม้ไม่สัมฤทธิ์ผลก็ถือว่าได้ทำตามหน้าที่แล้ว อนึ่ง ในกรณีที่ต้องใช้ชีวิตในสภาพสังคมเช่นนี้ ควรพึ่งพาตนเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ...
  • อิสลามและอิมามโคมัยนีมีทัศนคติอย่างไรเกี่ยวกับการหยอกล้อและการพักผ่อนหย่อนใจ?
    7513 สิทธิและกฎหมาย 2554/09/20
    เป้าประสงค์ของการสร้างมนุษย์ตามทัศนะของอิสลามคือการอำนวยให้มนุษย์มีพัฒนาการเพราะทุกสรรพสิ่งบนโลกล้วนถูกสร้างมาเพื่อเป้าหมายดังกล่าวทั้งนี้เนื่องจากมนุษย์คือสิ่งถูกสร้างที่ประเสริฐสุดดังที่กุรอานกล่าวว่า "ข้ามิได้สร้างมนุษย์และญินมาเพื่ออื่นใดเว้นแต่ให้สักการะภักดีต่อข้า"[i] นักอรรถาธิบาย(ตัฟซี้ร)ลงความเห็นว่าการสักการะภักดีในที่นี้หมายถึงภาวะแห่งการเป็นบ่าวซึ่งเป็นปัจจัยสำหรับพัฒนาการที่แท้จริงของมนุษย์เพื่อการนี้อิสลามให้ความสำคัญต่อทั้งด้านร่างกายและจิตใจมนุษย์ดังที่อิมามอลี(อ.)กล่าวไว้ว่าผู้ที่มีอีหม่านจะต้องมีสามช่วงเวลาในแต่ละวันของเขา: ส่วนหนึ่งสำหรับการอิบาดะฮ์ส่วนหนึ่งสำหรับการทำมาหากินและกิจการทางโลกส่วนหนึ่งสำหรับความบันเทิงที่ฮะล้าลและใช้ประโยชน์จากความโปรดปรานของพระองค์โดยที่ส่วนสุดท้ายจะช่วยให้สองส่วนแรกเป็นไปอย่างราบรื่น[ii]อิสลามไม่เคยคัดค้านการพักผ่อนหย่อนใจหรือการหยอกล้อที่ถูกต้องไม่เคยห้ามว่ายน้ำในทะเลซ้ำบรรดาอิมาม(อ.)ได้สอนสาวกให้ทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้ในเชิงปฏิบัติท่านนบี(ซ.ล.)เองก็เคยหยอกล้อกับมิตรสหายเพื่อให้มีความสุขท่านอิมามโคมัยนีไม่เคยคัดค้านการพักผ่อนหย่อนใจและการหยอกล้อที่อยู่ในขอบเขตท่านกล่าวเสมอว่าการพักผ่อนหย่อนใจควรเป็นไปอย่างถูกต้องท่านไม่เคยคัดค้านรายการบันเทิงตามวิทยุโทรทัศน์บางครั้งท่านชื่นชมยกย่องทีมงานของรายการต่างๆเหล่านี้ด้วยแต่ท่านก็ให้คำแนะนำอันทรงคุณค่าเกี่ยวกับประเด็นนี้โดยถือว่าทุกรายการจะต้องมีจุดประสงค์เพื่อรับใช้อิสลามและแฝงไว้ซึ่งคำสอนทางจริยธรรมอย่างไรก็ดีการที่จะศึกษาทัศนะของอิมามโคมัยนีนั้นจำเป็นต้องอ้างอิงจากเว็บไซต์ของศูนย์เรียบเรียงและเผยแพร่ผลงานของอิมามโคมัยนีหรือหาอ่านจากหนังสือชุดเศาะฮีฟะฮ์นู้รตามลิ้งค์ด้านล่างนี้ (เปอร์เซีย)http://www.imam-khomeini.org/farsi/main/main.htm[i]ซูเราะฮ์
  • อาริสโตเติลเป็นศาสดาแห่งพระเจ้าหรือไม่?
    9781 تاريخ بزرگان 2554/09/25
    อาริสโตเติล, เป็นนักฟิสิกส์ปราชญ์และนักปรัชญากรีกโบราณเป็นลูกศิษย์ของเพลโตและเป็นอาจารย์ของอเล็กซานเดอร์มหาราชท่านและเพลโตได้รับยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักปรัชญาที่มีอิทธิพลสูงที่สุดท่านหนึ่งในโลกตะวันตก
  • นามของสตรีสี่ท่านที่ได้รับการเลือกสรรและนามของบิดาของพวกเธอคืออะไร ?
    6473 تاريخ بزرگان 2554/09/25
    ท่ามกลางหมู่มิตรของอัลลอฮฺและหมู่กัลญาณชนตลอดหน้าประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาพวกเขาได้เสียสละในแนวทางของความเป็นเอกะและเป้าหมายของพระเจ้าอย่างมากมายนามชื่อของพวกเขาได้จารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์มนุษย์แต่ท่ามกลางหมู่ชนแหล่งอ้างอิงและรายงานในอิสลามได้จารึกนามของสตรีสี่ท่านที่ได้รับการเลือกสรรเอาไว้ว่าเป็นสตรีที่ดีที่สุดมีเกียรติและฐานันดรสูงส่งที่สุดในฐานะที่เป็นสตรีที่ดีที่สุดและเป็นสตรีชาวสวรรค์ที่ดีที่สุดด้วยท่านศาสดา (ซ็อลฯ) กล่าวแก่ท่านอมีรุลมุอฺมินีน ...
  • มีความแตกต่างกันบ้างไหมระหว่างทัศนะของชีอะฮฺ กับทัศนะของซุนนียฺในปัญหาเกี่ยวกับท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.)
    10092 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/21
    แน่นอนความเชื่อเรื่องอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) เป็นส่วนสำคัญของหลักศรัทธาอิสลามบนพื้นฐานคำบอกกล่าวของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ
  • อิมามซะมาน (อ.) มีความคล้ายเหมือนและมีความต่างอย่างไร กับผู้ถูกสัญญาในศาสนาอื่นทั้งศาสนาที่มาจากฟากฟ้าและมิได้มาจากฟากฟ้า?
    7473 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/21
    ศาสนาที่มีชื่อเสียงบนโลกนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาสนาแห่งฟากฟ้าหรือศาสนาที่นับถือพระเจ้าจะมีจุดร่วมเดียวกันกล่าวคือจะมีชายคนหนึ่งปรากฏกายออกมาซึ่งบุคคลนั้นจะมีคุณค่ามากมายและรัฐบาลสากลของเขาจะสร้างความยุติธรรมความสงบสุข
  • จำเป็นต้องสวมแหวนทางมือขวาด้วยหรือ ?
    14457 สิทธิและกฎหมาย 2554/09/25
    หนึ่งในแบบฉบับของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และอิมามผู้บริสุทธิ์คือการสวมแหวนทางนิ้วมือข้างขวาซึ่งมีรายงานกล่าวไว้ถึงประเภทของแหวนรูปทรงและแบบ. นอกจากคำอธิบายดังกล่าวที่ว่าดีกว่าให้สวมแหวนทางนิ้วมือข้างขวาแล้วบทบัญญัติทั้งหมดที่กล่าวเกี่ยวกับแหวนก็จะเน้นเรื่องการเป็นมุสตะฮับและเฉพาะผู้ชายเท่านั้นที่ห้ามสวมแหวนทอง (และเครื่องประดับทุกชนิดที่ทำจากทองคำ) ซึ่งได้ห้ามในลักษณะที่เป็นความจำเป็นด้วยเหตุนี้
  • ถ้าหากนะมาซคือเสาหลักของศาสนา แล้วทำไมจึงจัดอยู่ในกลุ่มที่เป็นหลักการของศาสนา?
    9345 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/08/22
    อุซูลลุดดีน หรือหลักศรัทธาเป็นภารกิจทางความเชื่อ ซึ่งมนุษย์ได้ยอมรับสิ่งนั้นด้วยสติปัญญาของตน และได้กลายเป็นมุสลิม หลังจากยอมรับการศรัทธาแล้ว อิสลามได้กำหนดหน้าที่อันเป็นวาญิบแก่เขา ทั้งที่เป็นหน้าที่ส่วนรวมและปัจเจกบุคคล ซึ่งหนึ่งในหน้าที่สำคัญที่สุดของมุสลิมคือ นะมาซ ด้วยเหตุที่ว่า นะมาซ นั้นมีความกว้างและเป็นบทบัญญัติที่สำคัญอย่างยิ่ง จึงได้เรียกนะมาซว่าเป็น เสาหลักของศาสนา แต่ไม่นับว่าเป็นว่ารากฐานทางความเชื่อ ซึ่งไม่สามารถนับว่าเป็นหลักศรัทธาหรืออุซูลลุดดีนได้ ...
  • การให้การเพื่อต้อนรับเดือนมุฮัรรอม ตามทัศนะของชีอะฮฺถือว่ามีความหมายหรือไม่?
    7826 สิทธิและกฎหมาย 2554/12/20
    การจัดพิธีกรรมรำลึกถึงโศกนาฏกรรมของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ถือเป็นซุนนะฮฺ (แบบฉบับ) ซึ่งได้รับการสถาปนาและสนับสนุนโดยบรรดาอิมามมะอฺซูม (อ.)
  • เพราะเหตุใดจึงได้เลือก อัดลฺ ซึ่งเป็นหนึ่งในคุณลักษณะของพระเจ้า เป็นหลักศรัทธา?
    7603 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/08/22
    หลักอุซูลของชีอะฮฺประกอบด้วย เตาฮีด, อัดลฺ, มะอาด, นะบูวัต, และอิมามะฮฺ. อัดลฺ แม้ว่าจะเป็นซิฟัตหนึ่งของอัลลอฮฺ แต่ในหลักการศรัทธาแล้วก็เหมือนกับ ซิฟัตอื่นๆ ของพระองค์ จำเป็นต้องวิพากในเตาฮีด แต่เนื่องจากความสำคัญของอัดลฺ จึงได้แยกอธิบายไว้ต่างหาก สาเหตุที่ อัดลฺ มีความสำคัญเนื่องจาก อัดลฺ คือสาเหตุของการแยกระหว่างหลักเทววิทยาของฝ่าย อัดลียะฮฺ (ชีอะฮฺและมุอฺตะซิละฮฺ) ออกจากฝ่ายอะชาอิเราะฮฺ ซิฟัตหนึ่งถ้าพิสูจน์ว่ามีหรือไม่มี จะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันและตรงข้ามกัน แน่นอน จำเป็นต้องกล่าวว่าฝ่ายอะชาอิเราะฮฺ ปฏิเสธไม่ยอมรับเรื่องความยุติธรรมของพระเจ้า ทว่ากล่าวว่า ความยุติธรรม หมายถึงอัลลอฮฺกระทำภารกิจของพระองค์ แม้ว่าในแง่ของสติปัญญา สิ่งนั้นจะเป็นความอธรรมก็ตาม ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60693 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58323 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42793 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40294 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39414 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34543 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28605 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28511 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28465 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26377 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...