การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
7992
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/03/08
 
รหัสในเว็บไซต์ fa2230 รหัสสำเนา 12551
หมวดหมู่ เทววิทยาใหม่
คำถามอย่างย่อ
คำจำกัดความของท่านเกี่ยวกับวิทยาการ สติปัญญา และศาสนาเป็นอย่างไร ระหว่างทั้งสามมีความแตกต่างกันอย่างไร และประเด็นนี้มีความถูกต้องและเป็นไปได้อย่างไร ถูกต้องหรือไม่ที่ว่าแหล่งที่มาของความรู้ทั้งอยู่ในอัลกุรอาน ประเด็นนี้มีความถูกต้องมากน้อยเพียงใด
คำถาม
คำจำกัดความของท่านเกี่ยวกับวิทยาการ สติปัญญา และศาสนาเป็นอย่างไร ระหว่างทั้งสามมีความแตกต่างกันอย่างไร และประเด็นนี้มีความถูกต้องและเป็นไปได้อย่างไร ถูกต้องหรือไม่ที่ว่าแหล่งที่มาของความรู้ทั้งอยู่ในอัลกุรอาน ประเด็นนี้มีความถูกต้องมากน้อยเพียงใด
คำตอบโดยสังเขป

คำว่าความรู้นั้นมี 3 ความหมายกับ 2 นิยามกล่าวคือ :

บางครั้งคำว่า อิลม์ หมายถึงความรู้ บางครั้งหมายถึงวิทยาการ และบางครั้งก็หมายถึงสิ่งที่ได้ถูกรู้แล้ว ซึ่งทั้งสามความหมายนั้นความหมายแรกเป็นความหมายตามรากของคำ ความหมายที่สองเป็นอาการนาม ส่วนความหมายที่สามหมายถึงการอธิบายถึงวัตถุ

คำว่าความรู้ (Knowledge) นั้นมี 2 นิยามด้วยกัน กล่าวคือ บางครั้งหมายถึง ความรู้และความเข้าใจอันสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะตรงตามความเป็นจริงหรือไม่ก็ตาม และบางครั้งจุดประสงค์หมายถึง ความเข้าใจที่ตรงกับความเป็นจริง

ในบทวิพากษ์เกี่ยวกับ ตะอารุฎ (ความขัดแย้ง) จุดประสงค์ของความรู้คือ การได้รับวิทยาการตามธรรมชาติ ซึ่งวางอยู่บนพื้นฐานของประสบการณ์ในการวิเคราะห์เหตุการณ์และวัตถุทางกายภาพ (Science)

ด้วยเหตุนี้ ตามความหมายล่าสุดนี้จะเห็นว่าในมุมมองของ คริสต์ ระหว่างคำสอนของพระคัมภีร์ของศาสนาคริสต์ กับการได้รับความรู้ตามธรรมชาตินั้น มีความขัดแย้งกันอันสืบเนื่องมาจาก การสังคายนาและการบิดเบือนพระคัมภีร์นั่นเอง แต่ในมุมมองของมุสลิมนั้น จะพบว่าการค้นหาความรู้สมัยใหม่ไม่ขัดแย้งกับอัลกุรอานเลยแม้แต่นิดเดียว ทว่าอัลกุรอานได้แจ้งข่าวถึงประเด็นใหม่ๆ เอาไว้ว่า ความรู้สมัยใหม่นั้นสามารถพิสูจน์ได้โดยประสบการณ์ ซึ่งประเด็นใหม่ๆ เหล่านั้นถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของความมหัศจรรย์เชิงความรู้ของอัลกุรอาน แต่น่าเสียดายว่าปัญหานี้เองกลายเป็นสาเหตุทำให้นักอรรถาธิบายอัลกุรอานบางกลุ่ม ไม่ใส่ใจต่อกฎเกณฑ์การตีความอัลกุรอาน (ตัฟซีร) และขาดการแยกเด็ดขาดระหว่างทฤษฎีทางความรู้แน่นอน กับและสมมติฐานทางความรู้ พวกเขาพยายามประยุกต์เอาโองการอัลกุราอนให้เข้ากับสมมติฐานทางความรู้ ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นข้อผิดพลาดอันใหญ่หลวง ตามความเป็นจริงพวกเราต่างเชื่อว่า อัลกุรอาน คือคัมภีร์แห่งการชี้นำ และอธิบายทุกสิ่งที่เป็นความการของมนุษย์ ถ้าบางครั้งอัลกุรอานกล่าวถึงปัญหาเชิงวิชาการ ก็เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ลุ่มชน และเป็นส่วนหนึ่งในความมหัศจรรย์ของอัลกุรอาน

แต่ก็ไม่มีความจำเป็นอันใดที่เราจะต้องมาพิสูจน์ หรือกล่าวอ้างความเหนือกว่าและความเป็นสัจพจน์ของอัลกุรอาน ว่าวิทยาการทั้งหมดนั้นปรากฏอยู่ในอัลกุรอาน ถึงแม้ว่าอัลกุรอานจะโอบอุ้มเอาความรู้ที่ยังไม่ถูกรู้จักอีกจำนวนมากมายเอาไว้ก็ตาม ซึ่งในยุคสมัยนี้ได้ถูกพิสูจน์แล้วสำหรับปวงปราชญ์ที่ถวิลหาความจริงก็ตาม

ส่วนสติปัญญานั้นมีการนำไปใช้ประโยชน์ในลักษณะที่แตกต่างกัน และจุดประสงค์ของสติปัญญาในความหมายของเรา หมายถึงพลังหรือศักยภาพที่สามารถเข้าใจแนวคิดและรับรู้สิ่งเหล่านั้นได้ ด้วยเหตุนี้ นับตั้งแต่เริ่มต้นในมุมมองของศาสนาคริสต์: มีกลุ่มชนบางกลุ่มที่เชื่อว่า การสอนสั่งของศาสนาคริสต์นั้นไม่เข้ากันกับสติปัญญา และไม่สามารถอธิบายด้วยเหตุผลแห่งปัญญาได้ ดังนั้น พวกเขาจึงได้แยกและประเมินความเชื่อและเหตุผลทางสติปัญญาไว้ต่างกัน ในสองลักษณะ

แต่ในมุมมองของอิสลาม, สติปัญญานั้นได้รับการยกไว้ในตำแหน่งที่มีความพิเศษ หลายต่อหลายครั้ง และอัลกุรอานหลายโองการได้กล่าวเชิญชวนและสนับสนุนประชาชนให้ใช้สติปัญญา และการใคร่ครวญ ส่วนในประเด็นเกี่ยวกับความเชื่อศรัทธา ถ้าไม่วางอยู่บนพื้นฐานของสติปัญญาไม่สามารถยอมรับได้ ส่วนในแง่ของบทบัญญัติและรายละเอียดปลีกย่อยของศาสนา ถือว่าสติปัญญาคือแหล่งอ้างอิงสำคัญในการพิสูจน์บทบัญญัติ ซึ่งบางครั้งได้มีคำกล่าวว่า ในบางกรณีถ้าสติปัญญาคือพื้นฐานสำคัญในกาพิสูจน์ความจริงแน่นอน แต่เผอิญว่าขัดแย้งกับภายนอกของรายงาน อนุญาตให้ตีความรายงานเข้าข้างสติปัญญา ซึ่งจุดประสงค์ก็คือ ให้ตีความรายงานนั้นโดยใช้เหตุผลของสติปัญญานั่นเอง

ดีนหรือศาสนา หมายถึง : ประมวลความเชื่อ จริยธรรม และบทบัญญัติ ซึ่งได้ถูกวางไว้เพื่ออบรมและพัฒนามนุษย์ และเป็นกฎที่ใช้ควบคุมภารกิจทางสังคม ซึ่งมีการกำหนดไว้ในระดับที่แตกต่างกัน

ศาสนา ในฐานะที่เป็นประมวลความรู้และเป็นบทบัญญัติ ซึ่งถูกบันทึกไว้ในความรู้แห่งพระเจ้าและแผ่นบันทึก หรือที่เรียกว่าเลาฮุลมะฮฺฟูซ และสิ่งที่ปรากฏอยู่ในคลังแห่งความรู้ของพระเจ้านั้น พระองค์ได้ประทานลงมาบางส่วนแก่บรรดาศาสดาของพระองค์ เพื่อสอนสั่งและชี้นำมวลมนุษย์ชาติไปตามความเหมาะสมตามเวลา สถานที่ และกาลเทศะ และเมื่อมนุษย์ได้ย้อนกลับไปยังสติปัญญาและเหตุผลอ้างอิงแล้ว ทุกอย่างก็จะชัดเจนขึ้นมา ซึ่งในที่สุดแล้วบางส่วนจากสิ่งเหล่านั้นก็จะกลายเป็นหลักการประมวลกฎหมาย สำหรับบุคคลทั่วไปและเป็นเป็นบัญญัติทางศาสนาสำหรับประชาชน

ดังนั้น สามารถสรุปได้ว่า ดีน หรือศาสนานั้นแบ่งออกเป็นขั้นตอนได้ดังต่อไปนี้ :

1 ดีนหรือศาสนาคือ ตัวตนของพระบัญญัติ

2 ดีนหรือศาสนาคือ ศาสดาผู้ถูกประทาน

3 ดีนหรือศาสนาคือ สิ่งที่ถูกเปิดเผย

4 ดีนหรือศาสนาคือ องค์กรหรือสถาบัน

คำตอบเชิงรายละเอียด

สำหรับคำว่า ความรู้ นั้นถูกกล่าวไว้ใน 3 ความหมาย : กล่าวคือบางครั้งคำว่า อิลม์ ให้ความหมายเป็น มัซดัรรีย์ (รากของคำ) หมายถึงการรู้ หรือการรู้จัก และบางครั้งก็ให้ความหมายเป็น อิสม์มัซดาร (อาการนาม) หมายถึง หมายถึง ความรู้ บางครั้งหมายให้ความหมาย เป็นกรรมกิริยา หรือคำคุณศัพท์ที่อธิบายกรรมกริยาอีกที่หนึ่ง หมายถึง การรู้ในสิ่งทีเป็นความประสงค์ หรือเรื่องทีต้องการอยากรู้ ซึ่งเรื่องนั้นเกิดในความเข้าใจของเราพอดี

แต่บางครั้งก็ถูกนำไปใช้ในความหมายผิดๆ เช่น   อิลม์ นั้นหมายถึงความรู้เพียงอย่างเดียวเป็นต้น การตีความเช่นนี้บางครั้งก่อให้เกิดความสับสนและทำให้เข้าใจผิด เช่น ความรู้สมบูรณ์ ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วเป็นความสมบูรณ์ในตัวตนของมนุษย์ เกี่ยวกับการรู้จัก แต่ได้เข้าใจผิดไปว่าเป็นเป็นการพัฒนาด้านจิตภาพ หรือเป็นการเติบโตด้านความรู้และการรู้จัก ทั้งที่สิ่งนี้เป็นการผสมกันระหว่างความรู้กับสิ่งที่รู้ แน่นอน สิ่งที่มีความสมบูรณ์คือความรู้ของมนุษย์ มิใช่สิ่งที่ถูกรู้จักหรือความรู้อย่างอื่น

คำว่าความรู้ (Knowledge) นั้นมี 2 นิยามด้วยกัน

. ความรู้และความเข้าใจอันสมบูรณ์แบบในสิ่งที่เป็นจริงตามกล่าวคือไม่ว่าจะตรงกับความเป็นจริงหรือไม่ก็ตาม หมายถึงทุกสิ่งในนามของรูปที่ปรากฏในความคิดในแง่ของการรู้จักบุคคล (Popper โลกที่สอง) หรือเป็นข้อเสนอเนื้อหาและความรู้ที่นำเสนอในโลกของความรู้ (Popper Third World)

. การทำความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงก็คือว่า ในการอภิปรายความขัดแย้งทางศาสนากับความรู้ วัตถุประสงค์ความรู้คือศาสตร์ธรรมชาติ (Natural Sciences) ซึ่งวางอยู่บนพื้นฐานประสบการณ์และการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ของเหตุการณ์อุปนัยและข้อเสนอวัตถุทางกายภาพ ดังนั้น สองนิยามนี้นอกเหนือไปจากสองนิยามที่ได้กล่าวถึงความรู้ (Knowledge)

คำว่า อักล์ (ภูมิปัญญา) ถูกนำใช้งานในรูปแบบต่างๆ ซึ่งวัตถุประสงค์ของเราเกี่ยวกับอักล์หมายถึง, พลังที่มีความสามารถรับรู้และเข้าใจโดยทั่วไปได้[1] และถ้าการรับรู้นี้ในบทนำของมันได้ใช้รูปแบบที่ถูกต้องในการพิสูจน์แล้วละก็ ข้อสรุปที่ได้รับก็จะถูกต้องไปด้วย.

แต่ต้องสังเกตด้วยว่าขอบข่ายของความความเข้าใจของสติปัญญานั้นจำกัดอยู่ในความรู้ทั่วไป ถ้านอกเหนือไปจากนี้ต้องอาศัยเครื่องมือเพิ่มเติมเป็นตัวช่วยเหลือ เช่น ความรู้สึกที่จะได้รับประโยชน์ อย่างไรก็ตามการวิเคราะห์การรับรู้ทางประสาทสัมผัสและข้อสรุปของของพวกเขา เป็นหน้าที่ของสติปัญญา ด้วยเหตุนี้ บางครั้งเป็นข้อผิดพลาดของประสาทสัมผัส การอนุมานของสติปัญญาก็ผิดพลาดตามไปด้วย[2]

แต่คำดีน (ศาสนา) : ศาสนาหมายถึงการเชื่อฟัง, ความอ่อนน้อมถ่อมตน, การปฏิบัติตาม, การภักดี, การสวามิภักดิ์, และการจำนนต่อการตัดสิน บางครั้งในอัลกุรอานวางอยู่บนกฎหมายและระเบียบเกี่ยวกับการตัดสินใจของมนุษย์[3] และบางครั้งถูกใช้กับศาสนาผิดๆ เช่น ระเบียบเกี่ยวกับการรวบรวมของอำนาจอธิปไตยของ Coptic ที่มีเหนือวงศ์วานของอิสราเอล[4] หรือบางครั้งศาสนาถูกใช้กับการปล้นสะดมศาสนาและพวกเคารพรูปปั้นบูชาแห่งฮิญาซ[5]

ดังนั้น ในทัศนะของอัลกุรอาน ศาสนา จึงหมายถึง : ประมวลความเชื่อ จริยธรรม และกฎหมายที่อุปถัมภ์กิจการของมนุษย์และควบคุมชุมชนและสังคม ในความเป็นจริงศาสนาคือการสร้างซึ่งบ่งบอกว่าพื้นฐานของมันครอบคลุมความรู้เกี่ยวกับมนุษย์ และจักรวาล และรอบรู้ถึงวิธีการดำเนินการขัดเกลาความเป็นมนุษย์ และแนวทางที่จะนำมนุษย์ไปสู่ความสุขนิรันดร ขณะที่ศาสนานั้นจะถูกต้องเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อได้รับการประทานและจัดระบบโดยพระเจ้าเท่านั้น[6] เพราะเพียงพระองค์เท่านั้นที่รู้จักโลกและมนุษย์อย่างเพียงพอ พระองค์จึงวางกฎเกณฑ์ของพระองค์บนพื้นฐานของความเข้าใจและการรู้จักที่ถูกต้องตามความสามารถ และศักยภาพที่ยอมรับได้ของมนุษย์[7]

จากนั้นวัตถุประสงค์ของเราจากความหมายของศาสนาคือ ศาสนาแห่งพระเจ้าเท่านั้น ซึ่งสามารถพิจารณาในระดับและขั้นตอนที่แตกต่างกัน

1 ศาสนานัฟซุลอัมรี หมายถึง; สิ่งที่อยู่ในความรอบรู้ของพระเจ้า และความประสงค์ของพระผู้อภิบาลเพื่อการชี้นำมนุษย์ไปสู่ความถูกต้องและการมีอยู่ และเนื่องจากธรรมชาติของมนุษย์เป็นหนึ่งเดียวกัน ดังนั้น ศาสนาก็ต้องเป็นหน่วยเดียวกัน ซึ่งผลก็คือ โลกมีความครอบคลุมเป็นสากล จึงไม่ขึ้นอยู่กับเวลา ตำแหน่ง และสถานที่

2 ศาสนาเป็นมุรซัล กล่าวคือสิ่งที่มาจากพระเจ้าเพื่อเป็นทางนำแก่มนุษย์ชาติ พระองค์ได้ประทานให้กับบรรดาเราะซูลหมดแล้ว ซึ่งแหล่งที่มาของมันมาจาก ศาสนานัฟซุลอัมรี ด้วยเหตุนี้เองศาสนาจึงต้องมีองค์ประกอบสากล และอีกด้านหนึ่งศาสนาต้องมีความเหมาะสมกับอนุชนรุ่นต่างๆ ที่ศาสนาได้ถูกส่งมาเพื่อพวกเขาด้วย และเนื่องจากสถานภาพ เวลา และสถานที่ของมวลมนุษย์ ศาสนาจึงต้องครอบคลุมทั้งองค์ประกอบสถานภาพ

3 ดีนมักชูฟ หมายถึงศาสนาที่เป็นนัฟซุลอัมร์ และดีนมุรซัล เมื่อย้อนกลับไปสู่สติปัญญาหรือเหตุผลทางการรายงานแล้ว เป็นที่ชัดเจนสำหรับบุคคลทั่วไป

4 ดีนเนะฮอดีย์ (สถาบันศาสนา) นั่นคือส่วนหนึ่งของศาสนาอันชัดแจ้งสำหรับประชาชนทั่วไป ที่ได้ตั้งเป็นสถาบันศาสนา ในรูปของระเบียบเพื่อกลุ่มชนในสังคม

เมื่ออัลกุรอานกล่าวว่าศาสนา  อัลลอฮฺคืออัลอิสลาม"[8] ได้พิจารณาที่ ดีนนัฟซุลอัมร์ และเมื่อกล่าวว่า ศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาสุดท้าย และ ... ฯลฯ วัตถุประสงค์หมายถึง ศาสนามุรซัลนั่นเอง และเมื่อกล่าวว่าศาสนาเป็นเรื่องเกี่ยวกับคน วัตถุประสงค์คือ ศาสนาอันชัดแจ้ง (มักชูฟ)[9]

บางคนกล่าวว่า ศาสนาหมายถึงคัมภีร์และแบบฉบับ (ซุนนะฮฺ) ซึ่งเป็นที่แน่ชัดว่า ความเข้าใจทางศาสนาเป็นความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับคัมภีร์และแบบฉบับ โดยเน้นย้ำว่าสิ่งนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสติปัญญาของบุคคล เป็นสิ่งที่พบบ่อยและเป็นสากล ( Popper โลกที่สาม) ดังนั้น จึงเป็นที่เชื่อถือ[10]

แต่ควรจะสังเกตว่าการใช้ประโยชน์เช่นนี้ ประกอบกับเนื้อหาที่ได้กล่าวไปข้างต้นนั้น เท่ากับเป็นจำกัดความของคำว่า ศาสนา ไว้ในพื้นที่ส่วนหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้ถ้าหากศาสนาเป็นเพียงคัมภีร์หรือแบบฉบับ (ซุนนะฮฺ) เท่านั้น และไม่เป็นจริงตามที่ปรากฏในวัตถุประสงค์แห่งความรู้ของพระเจ้า หรือในเลาฮุลมะฮฺฟูซ (แผ่นบันทึก  ฟากฟ้า) จำเป็นต้องกล่าวว่า : การตีความดังกล่าวมีความคลุมเครือสำหรับศาสนา ซึ่งเราจะต้องไม่ปล่อยให้บ่วงของเขาได้ดำเนินต่อไปอีก เนื่องจากคัมภีร์และซุนนะฮฺ ได้กล่าวถึงศาสนาที่เป็น นัฟซูลอัมร์ ซึ่งศาสนาดังกล่าวได้ถูกแนะนำด้วยคัมภีร์และซุนนะฮฺ และได้ถูกแนะนำด้วยสิ่งอื่นเช่นกัน ด้วยมุมมองที่แตกต่างกันตามหลักการของวิชา เทววิทยา อุซูล ริญาล และปรัชญาของศาสนา, สึงได้ตีความว่าศาสนา คือคัมภีร์และซุนนะฮฺ; ตัวอย่างเช่น ถ้าหากในหลักวิชาอุซูลถือว่า คำพูดที่เป็น ซิกเกาะฮฺ เชื่อถือได้และเป็นเหตุผล ขอบข่ายสำหรับความหมายของศาสนาตามที่กล่าวมา จะเกิดการการเปลี่ยนแปลงทันที[11]

ศาสนาในทัศนะของชาวตะวันตก :

ความหมายของศาสนาในทัศนะของตะวันตก, ประเทศหนึ่งของมุมมองอันเฉพาะ เช่น : จากจุดของมุมมองนักจิตวิทยากล่าวว่า ศาสนาคือความรู้สึก การปฏิบัติหน้าที่และเป็นประสบการณ์ของบุคคลเมื่อเขาต้องอยู่ตามลำพัง แล้วนำตัวเองไปเผชิญกับสิ่งที่ได้เรียกด้วยนามของพระเจ้า (William James)

จากมุมมองของสังคมวิทยา พวกเขาได้ตีความศาสนาว่า : เป็นความเชื่อหนึ่ง เป็นการปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนา ซึ่งมนุษย์ได้เป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมา (Talkvt Parsvn)

จามมุมมองของธรรมชาตินิยมศาสนาคือ คำสั่งใช้และคำสั่งปฏิเสธ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำหรับการกระทำที่อิสระและศักยภาพตลอดจนความสามารถของมนุษย์ (Ray nakh)

จากมุมมองของศาสนานิยม ศาสนาคือคำสารภาพต่อความจริงของสรรพสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่ประจักษ์ ซึ่งอยู่เหนือความรู้และภูมิปัญญาของเรา (Herbert Spencer)[12]

ดูเหมือนว่าคำนิยามที่ครอบคลุมมากที่สุดของการตีความนี้คือ ศาสนาประกอบด้วยองค์ความเชื่อ ความรู้สึก และการกระทำ (ทั้งบุคคลและส่วนรวม)

ความเชื่อได้แสดงให้เห็นว่าได้ทำลายความจริงและเท็จให้หมดไป ความเชื่อของแต่ละศาสนา, จะอธิบายการกระทำเฉพาะที่เห็นว่าศาสนานั้นยอมรับ หรือกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ความรักขึ้นมา[13]

ดังนั้น หนึ่งในนิยามของความรู้คือ ความเข้าใจที่เป็นไปตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าการประยุกต์ใช้ในตะวันตก ซึ่งในขณะที่มีการวิพากษ์ถึงการเชื่อมต่อหรือความขัดแย้งระหว่างความรู้และศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาการธรรมชาติ (วิทยาศาสตร์) ขณะที่สติปัญญา (เหตุผล) คือการรับรู้ทั่วไป ศาสนาในเวลานั้นคือ การชี้นำต่างๆ จากพระเจ้าโดยผ่านบรรดาศาสดาผ่านวะฮฺยู (วิวรณ์) ของพระเจ้าและได้ตกมาถึงมือประชาชนในที่สุด

โดยมีจุดประสงค์เพื่อศึกษาถึงความแตกต่างทั้งหลายระหว่างทั้งสาม ซึ่งการวิพากษ์ของพวกเขาได้วิพากษ์ภายใต้ 2 ประเด็น กล่าวคือ :

1 เหตุผลและศาสนา (เหตุผลและความเชื่อ) :

ในวัฒนธรรมของคริสเตียน เนื่องจากมีการบิดเบือนในศาสนาของพระเยซู () จึงทำให้มีความรู้สึกว่า ระหว่างข้อมูลของสติปัญญากับคำสอนของพระคริสต์เข้ากันไม่ได้และมีความขัดแย้งกัน แล้วสิ่งที่ปรากฏตามมาคือ 2 คำถามอันเป็นพื้นฐานถูกกล่าวขานในหมู่นักวิชาการ กล่าวคือ สติปัญญาในขอบข่ายของศาสนามีที่อยู่หรือไม่? และถ้าเพื่อว่าภายนอกบุคคลหนึ่งโดยหลักการแล้วได้ใช้เหตุผลของสติปัญญาเพื่อทำความข้าใจตรงนี้ความเชื่อจะมีคำพูดใดได้อีก ? แต่คำถามที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดคือ สติปัญญาในขอบข่ายของความศรัทธาอยู่ในตำแหน่งใดหรือ;? กล่าวคือว่าบุคคลหนึ่งจำเป็นต้องมีเหตุผลแน่นอนที่น่าเชื่อถือสำหรับยืนยันถึงความเชื่อที่เป็นจริงหรือไม่ ?

สำหรับการแสวงหาตอบเพื่อคำถามนี้ เรามาทำการรู้จัก 3 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกตะวันตก :

1) เหตุผลนิยมส่วนใหญ่ กล่าวคือทุกความเชื่อที่มีหลักฐานไม่เพียงพอต่อการยอมรับ จะได้รับคำสบประมาทและการวิจารณ์ ขณะที่ระบบของความเชื่อทางศาสนาจะสามารถยอมรับได้ ก็ต่อเมื่อได้มีการพิสูจน์แล้วว่าเป็นจริงอันเป็นที่น่าเชื่อถือในหมู่นักวิชาการ

Clifford, นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ และจอห์นล็อคมีความเชื่อเช่นนั้น ขณะที่ Aquinas ก็ได้กล่าวว่า ความจริงของคริสเตียน สามารถวิจัยในลักษณะที่ถูกต้องน่าเชื่อโดยสติปัญญาและด้วยเหตุผลที่ละเอียดอ่าน ในลักษณะที่น่าเชื่อถือในเชิงของเหตุผล ทว่าแนวทางของเหตุผลและและความเชื่อนั้นแยกจากกัน ซึ่งเราต้องตามความเชื่อไม่ใช่เหตุผล สถานะภาพของ Sweeney เบิร์น ยังอยู่ใกล้กับหลักการใช้เหตุผลมากที่สุด

2) ความเชื่อนิยม : มุมมองของกลุ่มนี้ถือว่าระบบต่างๆ ของความเชื่อในศาสนา ไม่สามารถประเมินผลได้ด้วยระบบเหตุผลหรือสติปัญญา พวกเขากล่าวอ้างว่า ระบบความเชื่อทางศาสนามีรากที่มาอันเป็นพื้นฐานมั่นคง ซึ่งไม่มีสิ่งใดเป็นพื้นฐานที่มั่นคงไปกว่านี้ได้อีก เพื่อจะได้สามารถพิสูจน์ความจริงนี้ได้ "Kyrk Guard (Kierkegaard) "เขามีความเชื่อเช่นนี้ และยังเชื่ออีกว่าทฤษฎีของปัญญาเป็นความเชื่อขัดแย้ง

แต่มุมมองนี้ ลืมไปว่าความเชื่อของผู้ศรัทธาที่บริสุทธิ์ใจคนหนึ่ง วางอยู่บนพื้นฐานที่ว่ามีผู้ชี้นำโดยหลักการ มีความครอบคลุมครบวงจรสำหรับวิธีการดำเนินชีวิตของตน อีกทั้งต้องนำเอาเป้าหมายและเหตุผลออกมาเพื่อเขาด้วย แต่หลักการนี้ไม่สามารถสรุปไดว่า ความเชื่อเหล่านี้เป็นพื้นฐานหมายถึง ความรู้อื่นและความเชื่อของบุคคลมีความรู้มากกว่าและชัดเจนมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด 

3) หลักการของเหตุผลนิยม : ทัศนะได้อธิบายให้เห็นถึงระบบของความเชื่อทางศาสนา มีความเป็นไปได้ที่จะให้มีการตรวจสอบและประเมินผลโดยสติปัญญา แม้ว่าหลักฐานดังกล่าวจะไม่สามารถพิสูจน์ความน่าเชื่อถือของระบบดังกล่าวได้ก็ตาม

วิธีการนี้เป็นประการแรก : แทนการพิสูจน์ให้ทุกคนได้รับรู้ ได้พิสูจน์เพื่อบุคคลถือว่าเพียงพอแล้ว (George Mavrvds กล่าวว่า ความเข้าใจในการพิสูจน์เราถือว่าจำเป็นต้องขึ้นอยู่กับบุคคล)

ประการที่สอง : ไม่อาจตัดสินได้อย่างจริงจังได้ว่า การวิพากษ์เกี่ยวกับความจริงและความถูกต้องของความเชื่อทางศาสนา ได้ถึงผลสรุปสุดท้ายแล้ว แน่นอน นิยามดังกล่าวยังมีระยะห่างอีกมากตามความหมายอันเป็นวัตถุประสงค์ของ Popper ที่จะนำมาประยุกต์เข้าด้วยกัน[14]

แต่ตามคำสอนของอิสลาม,

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • จะปฏิบัติตามบทบัญญัติอิสลามได้อย่างไรในสภาพสังคมบริโภคนิยม มีความแตกแยก และโกหกหลอกลวงกันอย่างแพร่หลาย?
    7986 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/05/31
    บทบัญญัติอิสลามสามารถนำมาใช้ได้สองมิติด้วยกัน บางประการเกี่ยวข้องกับปัจเจกบุคคล และบางประการเกี่ยวข้องกับสังคม ส่วนที่เกี่ยวข้องกับปัจเจกนั้น สามารถปฏิบัติได้ในทุกสภาพสังคม กล่าวคือ หากมุสลิมประสงค์จะปฏิบัติตามบทบัญญัติอิสลามเชิงปัจเจก อาทิเช่น นมาซ ถือศีลอด ฯลฯ แม้สังคมนั้นๆจะเสื่อมทราม แต่ก็ไม่อาจจะเป็นอุปสรรคต่อกิจวัตรส่วนตัวมากนัก แต่บทบัญญัติบางข้อเกี่ยวข้องกับกิจกรรมในสังคมที่สามารถประยุกต์ใช้ในสังคมได้ และเนื่องจากมนุษย์ไฝ่ที่จะอยู่ในสังคม จึงจำเป็นจะต้องอาศัยอยู่และสนองความต้องการของตนภายในสังคม ในมุมมองนี้บุคคลควรปกป้องคุณธรรมศาสนาเท่าที่จะมีความสามารถ และมีหน้าที่จะต้องกำชับกันในความดีและห้ามปรามความชั่วตามสำนึกที่มีต่อสังคม ซึ่งแม้ไม่สัมฤทธิ์ผลก็ถือว่าได้ทำตามหน้าที่แล้ว อนึ่ง ในกรณีที่ต้องใช้ชีวิตในสภาพสังคมเช่นนี้ ควรพึ่งพาตนเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ...
  • อิสลามและอิมามโคมัยนีมีทัศนคติอย่างไรเกี่ยวกับการหยอกล้อและการพักผ่อนหย่อนใจ?
    7513 สิทธิและกฎหมาย 2554/09/20
    เป้าประสงค์ของการสร้างมนุษย์ตามทัศนะของอิสลามคือการอำนวยให้มนุษย์มีพัฒนาการเพราะทุกสรรพสิ่งบนโลกล้วนถูกสร้างมาเพื่อเป้าหมายดังกล่าวทั้งนี้เนื่องจากมนุษย์คือสิ่งถูกสร้างที่ประเสริฐสุดดังที่กุรอานกล่าวว่า "ข้ามิได้สร้างมนุษย์และญินมาเพื่ออื่นใดเว้นแต่ให้สักการะภักดีต่อข้า"[i] นักอรรถาธิบาย(ตัฟซี้ร)ลงความเห็นว่าการสักการะภักดีในที่นี้หมายถึงภาวะแห่งการเป็นบ่าวซึ่งเป็นปัจจัยสำหรับพัฒนาการที่แท้จริงของมนุษย์เพื่อการนี้อิสลามให้ความสำคัญต่อทั้งด้านร่างกายและจิตใจมนุษย์ดังที่อิมามอลี(อ.)กล่าวไว้ว่าผู้ที่มีอีหม่านจะต้องมีสามช่วงเวลาในแต่ละวันของเขา: ส่วนหนึ่งสำหรับการอิบาดะฮ์ส่วนหนึ่งสำหรับการทำมาหากินและกิจการทางโลกส่วนหนึ่งสำหรับความบันเทิงที่ฮะล้าลและใช้ประโยชน์จากความโปรดปรานของพระองค์โดยที่ส่วนสุดท้ายจะช่วยให้สองส่วนแรกเป็นไปอย่างราบรื่น[ii]อิสลามไม่เคยคัดค้านการพักผ่อนหย่อนใจหรือการหยอกล้อที่ถูกต้องไม่เคยห้ามว่ายน้ำในทะเลซ้ำบรรดาอิมาม(อ.)ได้สอนสาวกให้ทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้ในเชิงปฏิบัติท่านนบี(ซ.ล.)เองก็เคยหยอกล้อกับมิตรสหายเพื่อให้มีความสุขท่านอิมามโคมัยนีไม่เคยคัดค้านการพักผ่อนหย่อนใจและการหยอกล้อที่อยู่ในขอบเขตท่านกล่าวเสมอว่าการพักผ่อนหย่อนใจควรเป็นไปอย่างถูกต้องท่านไม่เคยคัดค้านรายการบันเทิงตามวิทยุโทรทัศน์บางครั้งท่านชื่นชมยกย่องทีมงานของรายการต่างๆเหล่านี้ด้วยแต่ท่านก็ให้คำแนะนำอันทรงคุณค่าเกี่ยวกับประเด็นนี้โดยถือว่าทุกรายการจะต้องมีจุดประสงค์เพื่อรับใช้อิสลามและแฝงไว้ซึ่งคำสอนทางจริยธรรมอย่างไรก็ดีการที่จะศึกษาทัศนะของอิมามโคมัยนีนั้นจำเป็นต้องอ้างอิงจากเว็บไซต์ของศูนย์เรียบเรียงและเผยแพร่ผลงานของอิมามโคมัยนีหรือหาอ่านจากหนังสือชุดเศาะฮีฟะฮ์นู้รตามลิ้งค์ด้านล่างนี้ (เปอร์เซีย)http://www.imam-khomeini.org/farsi/main/main.htm[i]ซูเราะฮ์
  • อาริสโตเติลเป็นศาสดาแห่งพระเจ้าหรือไม่?
    9781 تاريخ بزرگان 2554/09/25
    อาริสโตเติล, เป็นนักฟิสิกส์ปราชญ์และนักปรัชญากรีกโบราณเป็นลูกศิษย์ของเพลโตและเป็นอาจารย์ของอเล็กซานเดอร์มหาราชท่านและเพลโตได้รับยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักปรัชญาที่มีอิทธิพลสูงที่สุดท่านหนึ่งในโลกตะวันตก
  • นามของสตรีสี่ท่านที่ได้รับการเลือกสรรและนามของบิดาของพวกเธอคืออะไร ?
    6473 تاريخ بزرگان 2554/09/25
    ท่ามกลางหมู่มิตรของอัลลอฮฺและหมู่กัลญาณชนตลอดหน้าประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาพวกเขาได้เสียสละในแนวทางของความเป็นเอกะและเป้าหมายของพระเจ้าอย่างมากมายนามชื่อของพวกเขาได้จารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์มนุษย์แต่ท่ามกลางหมู่ชนแหล่งอ้างอิงและรายงานในอิสลามได้จารึกนามของสตรีสี่ท่านที่ได้รับการเลือกสรรเอาไว้ว่าเป็นสตรีที่ดีที่สุดมีเกียรติและฐานันดรสูงส่งที่สุดในฐานะที่เป็นสตรีที่ดีที่สุดและเป็นสตรีชาวสวรรค์ที่ดีที่สุดด้วยท่านศาสดา (ซ็อลฯ) กล่าวแก่ท่านอมีรุลมุอฺมินีน ...
  • มีความแตกต่างกันบ้างไหมระหว่างทัศนะของชีอะฮฺ กับทัศนะของซุนนียฺในปัญหาเกี่ยวกับท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.)
    10092 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/21
    แน่นอนความเชื่อเรื่องอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) เป็นส่วนสำคัญของหลักศรัทธาอิสลามบนพื้นฐานคำบอกกล่าวของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ
  • อิมามซะมาน (อ.) มีความคล้ายเหมือนและมีความต่างอย่างไร กับผู้ถูกสัญญาในศาสนาอื่นทั้งศาสนาที่มาจากฟากฟ้าและมิได้มาจากฟากฟ้า?
    7473 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/21
    ศาสนาที่มีชื่อเสียงบนโลกนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาสนาแห่งฟากฟ้าหรือศาสนาที่นับถือพระเจ้าจะมีจุดร่วมเดียวกันกล่าวคือจะมีชายคนหนึ่งปรากฏกายออกมาซึ่งบุคคลนั้นจะมีคุณค่ามากมายและรัฐบาลสากลของเขาจะสร้างความยุติธรรมความสงบสุข
  • จำเป็นต้องสวมแหวนทางมือขวาด้วยหรือ ?
    14457 สิทธิและกฎหมาย 2554/09/25
    หนึ่งในแบบฉบับของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และอิมามผู้บริสุทธิ์คือการสวมแหวนทางนิ้วมือข้างขวาซึ่งมีรายงานกล่าวไว้ถึงประเภทของแหวนรูปทรงและแบบ. นอกจากคำอธิบายดังกล่าวที่ว่าดีกว่าให้สวมแหวนทางนิ้วมือข้างขวาแล้วบทบัญญัติทั้งหมดที่กล่าวเกี่ยวกับแหวนก็จะเน้นเรื่องการเป็นมุสตะฮับและเฉพาะผู้ชายเท่านั้นที่ห้ามสวมแหวนทอง (และเครื่องประดับทุกชนิดที่ทำจากทองคำ) ซึ่งได้ห้ามในลักษณะที่เป็นความจำเป็นด้วยเหตุนี้
  • ถ้าหากนะมาซคือเสาหลักของศาสนา แล้วทำไมจึงจัดอยู่ในกลุ่มที่เป็นหลักการของศาสนา?
    9345 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/08/22
    อุซูลลุดดีน หรือหลักศรัทธาเป็นภารกิจทางความเชื่อ ซึ่งมนุษย์ได้ยอมรับสิ่งนั้นด้วยสติปัญญาของตน และได้กลายเป็นมุสลิม หลังจากยอมรับการศรัทธาแล้ว อิสลามได้กำหนดหน้าที่อันเป็นวาญิบแก่เขา ทั้งที่เป็นหน้าที่ส่วนรวมและปัจเจกบุคคล ซึ่งหนึ่งในหน้าที่สำคัญที่สุดของมุสลิมคือ นะมาซ ด้วยเหตุที่ว่า นะมาซ นั้นมีความกว้างและเป็นบทบัญญัติที่สำคัญอย่างยิ่ง จึงได้เรียกนะมาซว่าเป็น เสาหลักของศาสนา แต่ไม่นับว่าเป็นว่ารากฐานทางความเชื่อ ซึ่งไม่สามารถนับว่าเป็นหลักศรัทธาหรืออุซูลลุดดีนได้ ...
  • การให้การเพื่อต้อนรับเดือนมุฮัรรอม ตามทัศนะของชีอะฮฺถือว่ามีความหมายหรือไม่?
    7826 สิทธิและกฎหมาย 2554/12/20
    การจัดพิธีกรรมรำลึกถึงโศกนาฏกรรมของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ถือเป็นซุนนะฮฺ (แบบฉบับ) ซึ่งได้รับการสถาปนาและสนับสนุนโดยบรรดาอิมามมะอฺซูม (อ.)
  • เพราะเหตุใดจึงได้เลือก อัดลฺ ซึ่งเป็นหนึ่งในคุณลักษณะของพระเจ้า เป็นหลักศรัทธา?
    7603 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/08/22
    หลักอุซูลของชีอะฮฺประกอบด้วย เตาฮีด, อัดลฺ, มะอาด, นะบูวัต, และอิมามะฮฺ. อัดลฺ แม้ว่าจะเป็นซิฟัตหนึ่งของอัลลอฮฺ แต่ในหลักการศรัทธาแล้วก็เหมือนกับ ซิฟัตอื่นๆ ของพระองค์ จำเป็นต้องวิพากในเตาฮีด แต่เนื่องจากความสำคัญของอัดลฺ จึงได้แยกอธิบายไว้ต่างหาก สาเหตุที่ อัดลฺ มีความสำคัญเนื่องจาก อัดลฺ คือสาเหตุของการแยกระหว่างหลักเทววิทยาของฝ่าย อัดลียะฮฺ (ชีอะฮฺและมุอฺตะซิละฮฺ) ออกจากฝ่ายอะชาอิเราะฮฺ ซิฟัตหนึ่งถ้าพิสูจน์ว่ามีหรือไม่มี จะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันและตรงข้ามกัน แน่นอน จำเป็นต้องกล่าวว่าฝ่ายอะชาอิเราะฮฺ ปฏิเสธไม่ยอมรับเรื่องความยุติธรรมของพระเจ้า ทว่ากล่าวว่า ความยุติธรรม หมายถึงอัลลอฮฺกระทำภารกิจของพระองค์ แม้ว่าในแง่ของสติปัญญา สิ่งนั้นจะเป็นความอธรรมก็ตาม ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60693 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58323 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42793 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40294 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39414 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34543 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28605 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28511 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28465 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26377 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...