การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
9371
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/11/09
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1535 รหัสสำเนา 18289
คำถามอย่างย่อ
มุศฮัฟฟาฏิมะฮ์คืออะไร? ท่านนบี(ซ.ล.)และบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์ทราบเรื่องนี้หรือไม่?
คำถาม
เชคกุลัยนีกล่าวไว้ในหนังสืออัลกาฟีย์,เล่ม1,หน้า239 ว่า "สหายของเราบางท่านรายงานจากอะห์มัด บิน มุฮัมมัด จากอับดุลลอฮ์ บิน ฮัจญ้าล จากอะห์มัด บิน อุมัร ฮะละบี จากอบูบะศี้ร รายงานว่า ตนได้เข้าพบท่านอิมามศอดิก(อ.)และกล่าวกับท่านว่า "ท่านขอรับ กระผมต้องการถามปัญหาสักข้อหนึ่ง ไม่ทราบว่าในที่นี้มีผู้ใดได้ยินเสียงกระผมหรือไม่?" ท่านอิมาม(อ.)เปิดม่านดูว่าไม่มีผู้ใดอยู่ จึงกล่าวว่า "เชิญถามมาเถิด" ฉันเอ่ยว่า "ท่านขอรับ ...ฯลฯ" ท่านหยุดนิ่งชั่วครู่ แล้วเอ่ยขึ้นว่า "มุศฮัฟฟาฏิมะฮ์อยู่ ณ เรา คนทั่วไปจะรู้อะไรเกี่ยวกับมุศฮัฟฟาฏิมะฮ์!" ฉันจึงถามว่า "แล้วมุศฮัฟฟาฏิมะฮ์คืออะไรหรือครับ?" ท่านตอบว่า "เป็นรูปเล่มที่หนาสามเท่าของกุรอานที่มีอยู่ทั่วไป ขอสาบานต่อพระองค์ ในเล่มนี้ไม่มีแม้คำเดียวที่เป็นกุรอาน" ฉันกล่าวว่า "ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ นี่แหล่ะคือวิชาการที่สมบูรณ์" ท่านตอบว่า "นี่ก็เป็นคลังวิชาการ แต่มิไช่ความรู้อันสมบูรณ์"
คำถามก็คือ ท่านนบี(ซ.ล.)และเศาะฮาบะฮ์ทราบหรือไม่ว่ามุศฮัฟฟาฏิมะฮ์มีอยู่จริง? หากท่านนบี(ซ.ล.)ไม่ทราบเรื่องนี้ เหตุใดอะฮ์ลุลบัยต์ของท่านจึงทราบ แต่ท่านกลับไม่ทราบทั้งที่เป็นศาสดา? แต่ถ้าท่านทราบเรื่องนี้ เหตุใดจึงปกปิดอุมมัตของท่าน ทั้งที่อัลลอฮ์ตรัสว่า "โอ้ศาสนทูต จงเผยแพร่สิ่งที่ประทานแก่เจ้าจากพระผู้อภิบาลของเจ้า(อย่างสมบูรณ์) มาตรว่าเจ้าไม่ปฏิบัติ เท่ากับว่ามิได้ปฏิบัติภารกิจใดๆที่ได้รับจากพระองค์เลย"
คำตอบโดยสังเขป

มุศฮัฟฟาฏิมะฮ์ เป็นชื่อหนังสือที่บันทึกโดยท่านอิมามอลี(.)ภายหลังนบีวะฝาตไปแล้ว เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้เป็นข้อมูลที่ญิบรออีลหรือมะลาอิกะฮ์องค์หนึ่งถ่ายทอดแก่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ซึ่งกล่าวถึงเหตุการณ์ในอนาคต ตลอดจนความเร้นลับของอาลิมุฮัมมัด(..) หนังสือเล่มนี้ถือเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของตำแหน่งอิมาม และเป็นมรดกตกทอดระหว่างอิมาม ปัจจุบันอยู่ในครอบครองของท่านอิมามมะฮ์ดี(.)
เนื่องจากหนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นหลังท่านนบี(..) จึงไม่มีฮะดีษใดๆจากนบีเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่มิได้หมายความว่าท่านจะไม่ทราบเรื่องนี้ เพราะเราเชื่อว่าท่านสามารถหยั่งรู้อนาคตได้ด้วยอิทธิฤทธิ์แห่งอัลลอฮ์ อย่างไรก็ดี เนื่องจากหนังสือเล่มนี้เป็นสัญลักษณ์ของผู้ดำรงตำแหน่งอิมามเท่านั้น บุคคลทั่วไปจึงไม่อาจจะล่วงรู้เนื้อหาภายในได้

คำตอบเชิงรายละเอียด

มุศฮัฟฟาฏิมะฮ์คืออะไร?
มุศฮัฟแปลว่าเอกสารชุดที่มีการรวมเล่มขนาบด้วยปกสองด้าน ฉะนั้นจึงสามารถเรียกหนังสือทั่วไปว่ามุศฮัฟได้ บรรพชนมุสลิมยุคแรกก็เรียกกุรอานว่ามุศฮัฟ[1]
ตำราอิสลามมีการกล่าวถึงหนังสือที่บรรดามะอ์ศูมีนครอบครองเป็นการเฉพาะ บุคคลเหล่านี้เป็นกลุ่มเดียวที่รู้ถึงเนื้อหาภายใน หนังสือเหล่านี้อาทิเช่น กิตาบอลี(.), มุศฮัฟอลี(.) และมุศฮัฟฟาฏิมะฮ์(.)
แหล่งอ้างอิงบางเล่มเรียกหนังสือเล่มท้ายสุดว่ามุศฮัฟฟาฏิมะฮ์, เศาะฮีฟะฮ์ ฟาฏิมะฮ์, กิตาบฟาฏิมะฮ์[2] อย่างไรก็ดี มีรายงานไม่น้อยที่กล่าวถึงหนังสือเล่มนี้ บางรายงานไม่น่าเชื่อถือนัก แต่บางรายงานมีสายรายงานที่เศาะฮี้ห์ ทำให้พอจะมั่นใจได้ว่าหนังสือเล่มนี้มีจริง แม้แต่ละรายงานจะแตกต่างกันเกี่ยวกับรายละเอียดปลีกย่อยของหนังสือก็ตาม

มุศฮัฟฟาฏิมะฮ์บันทึกอย่างไร?
ภายหลังการวะฝาตของท่านนบี(..) ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ บุตรีของท่านระทมทุกข์ด้วยความอาลัยอย่างยิ่ง การจากไปของบิดายังความทุกข์โศกอย่างหนักแก่เธอ
มีฮะดีษที่น่าเชื่อถือรายงานว่า มีมะลาอิกะฮ์องค์หนึ่งได้รับภารกิจให้ลงมาปลอบโยนเธอตั้งแต่หลังนบีวะฝาตจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตเธอ บางฮะดีษระบุว่ามะลาอิกะฮ์องค์นี้ก็คือญิบรออีล[3] ซึ่งได้แจ้งความเป็นอยู่ของท่านนบี(..)ในอาลัมบัรซัค ตลอดจนเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งนี้มีฮะดีษจากท่านอิมามศอดิก(.)กล่าวว่า
"
หลังจากท่านนบี(..)วะฝาตไป ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์โศกสลดต่อการสูญเสียบิดาเป็นอย่างยิ่ง อัลลอฮ์เท่านั้นที่ทรงทราบขีดความทุกข์ระทมของเธอ พระองค์จึงส่งมะลาอิกะฮ์องค์หนึ่งมาเพื่อปลอบโยนเธอให้คลายความเศร้าตรม ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(.)ได้เล่าให้ท่านอิมามอลี(.)ทราบ และท่านอิมามอลี(.)ได้จดบันทึกไว้ นี่คือที่มาของการเรียบเรียงมุศฮัฟฟาฏิมะฮ์"[4]
จากฮะดีษข้างต้นทำให้ทราบว่า มุศฮัฟนี้เรียบเรียงขึ้นโดยท่านอิมามอลี(.)ภายหลังนบี(..)วะฝาต มีเนื้อหาเป็นถ้อยคำของมะลาอิกะฮ์ที่กล่าวแก่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(.) อย่างไรก็ดี ฮะดีษอีกชุดหนึ่งซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าฮะดีษชุดข้างต้นระบุว่ามุศฮัฟนี้บันทึกในสมัยที่ท่านนบี(..)ยังมีชีวิตอยู่ โดยซัยยิด ญะฟัร มุรตะฎอ อามิลี ได้พยายามรวมสองทัศนะเข้าด้วยกันว่า อาจจะเริ่มบันทึกตั้งแต่สมัยท่านนบี(..)และดำเนินเรื่อยมาแม้หลังนบีวะฝาตก็เป็นได้[5]

ประเด็นการสนทนาระหว่างมะลาอิกะฮ์กับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ไม่ไช่เรื่องเหลือเชื่อ กุรอานก็กล่าวไว้ว่า "และเมื่อมวลมะลาอิกะฮ์กล่าวว่า โอ้มัรยัม อัลลอฮ์ทรงเลือกสรรเธอ และชำระเธอ และคัดเลือกเธอให้เหนือกว่าเหล่าอิสตรี"[6] ท่านหญิงมัรยัมได้รับเกียรติถึงเพียงนี้เพราะเป็นนายหญิงของอิสตรีในยุคของนาง ฉะนั้นจึงไม่ไช่เรื่องแปลกที่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ผู้เป็นประมุขหญิงของเหล่าอิสตรีนับแต่คนแรกจนถึงคนสุดท้ายจะได้รับเกียรติเช่นนี้เช่นกัน

เนื้อหาของมุศฮัฟฟาฏิมะฮ์(.)
เมื่อพิจารณาถึงฮะดีษที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทำให้สามารถจำแนกเนื้อหาของมุศฮัฟได้ดังนี้
1. เรื่องราวในอนาคต[7]
2. คำสั่งเสียของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์[8]
3. รายนามของผู้ที่จะขึ้นครองอำนาจจวบจนถึงวันกิยามะฮ์[9]
4.
ข่าวคราวเกี่ยวกับบุตรหลานของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์[10]
5. ข่าวคราวเกี่ยวกับท่านนบี(..)ภายหลังจากวะฝาต[11]
ตัวอย่างฮะดีษเกี่ยวกับเรื่องนี้:
ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(.)มีชีวิตอยู่ภายหลังท่านนบี(..)เพียง 75 วัน ระหว่างนี้เธอโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างยิ่งต่อการจากไปของผู้เป็นบิดา ช่วงเวลานี้เองที่ญิบรออีล(.)หมั่นมาเยี่ยมเยียนเธอ และแสดงความเสียใจตลอดจนปลอบประโลมเธอให้คลายความเศร้าหมอง โดยได้เล่าความเป็นอยู่ของท่านนบี(..)และสถานะของท่านในอาลัมบัรซัค อีกทั้งเล่าความเป็นไปของบุตรหลานของนางในอนาคต โดยที่อิมามอลี(.)ได้จดบันทึกคำบอกเล่าดังกล่าวไว้ กระทั่งเรียบเรียงเป็นมุศฮัฟฟาฏิมะฮ์"[12]

บรรดาอิมาม(.)เน้นย้ำถึงความแตกต่างระหว่างกุรอานและมุศฮัฟฟาฏิมะฮ์
เมื่อพิจารณาฮะดีษบางบท ทำให้เข้าใจว่าพี่น้องอะฮ์ลิสซุนนะฮ์รู้จักมุศฮัฟนี้ตั้งแต่ยุคแรกๆ โดยคิดไปว่าชีอะฮ์เชื่อว่า โองการกุรอานที่ถูกบิดเบือนและตัดทอนออกไปได้รับการรวบรวมไว้ในมุศฮัฟฟาฏิมะฮ์ ด้วยเหตุนี้ บรรดาอิมาม(.)จึงปฏิเสธอย่างแข็งขันว่าไม่มีโองการกุรอานใดๆอยู่ในมุศฮัฟนี้[13] อัลลามะฮ์ อัสกะรี กล่าวว่า "นักเขียนชาวอะฮ์ลิสซุนนะฮ์บางท่านได้ใส่ใคล้ผู้เลื่อมใสในสายธารอะฮ์ลุลบัยต์ว่ามีกุรอานอีกเล่มหนึ่งนามว่า มุศฮัฟฟาฏิมะฮ์ ทั้งนี้ก็เนื่องจากตำราเล่มนี้ชื่อมุศฮัฟ ซึ่งไปพ้องกับที่มุสลิมในยุคแรกเรียกกุรอานว่ามุศฮัฟ"[14] มีฮะดีษจากอิมามศอดิก(.)ระบุว่า "ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ มุศฮัฟฟาฏิมะฮ์อยู่  เรา ซึ่งไม่มีโองการกุรอานในนี้เลยแม้แต่โองการเดียว"[15]

สัญลักษณ์แห่งอิมามัต
มีฮะดีษที่ค่อนข้างยาวจากอิมามริฎอ(.)กล่าวถึงสัญลักษณ์ของอิมามว่า "สัญลักษณ์หนึ่งของอิมามก็คือการมีมุศฮัฟฟาฏิมะฮ์ไว้ในครอบครอง"[16] ท่านอิมามศอดิก(.)กล่าวว่า "ก่อนที่ท่านอิมามบากิร(.)จะเป็นชะฮีดนั้น ท่านได้มอบมุศฮัฟฟาฏิมะฮ์แก่ฉัน"[17]
มุศฮัฟนี้ส่งทอดกันมาระหว่างอิมามจากรุ่นสู่รุ่น และปัจจุบันอยู่ในครอบครองของท่านอิมามมะฮ์ดี(.)

ท่านนบี(..)ทราบเกี่ยวกับมุศฮัฟหรือไม่?
เนื่องจากฮะดีษมากมายระบุว่ามุศฮัฟฟาฏิมะฮ์(.)เรียบเรียงขึ้นในยุคอิมามอลี(.)ภายหลังนบี(..)วะฝาตไปแล้ว จึงไม่มีการเอ่ยถึงมุศฮัฟดังกล่าวในวจนะของท่านนบี(..) อย่างไรก็ดี มิได้หมายความว่าท่านไม่อาจจะล่วงรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ ทั้งนี้ก็เพราะเราเชื่อว่าท่านนบี(..)มีความสามารถที่จะทราบเรื่องราวในอนาคตด้วยพลานุภาพจากอัลลอฮ์ กุรอานระบุว่าท่านเป็นประจักษ์พยานที่สามารถล่วงรู้การทุกกระทำและเหตุการณ์ได้ สรุปคือ มุศฮัฟฟาฏิมะฮ์คือหนึ่งในสัญลักษณ์ของอิมาม และอิมามเท่านั้นที่มีสิทธิ์ครอบครอง
อย่างไรก็ดี หากเป็นไปตามเนื้อหาของฮะดีษบางบทที่ระบุว่ามุศฮัฟมีมาตั้งแต่สมัยท่านนบี(..)และเรียบเรียงขึ้นโดยคำบอกเล่าของท่าน แน่นอนว่าท่านย่อมทราบเรื่องนี้ดี

ประเด็นที่ควรพิจารณาก็คือ มุศฮัฟฟาฏิมะฮ์มิไช่โองการกุรอาน ที่ท่านนบี(..)จะมีหน้าที่ต้องเผยแพร่เนื้อหาให้สาธารณชนทราบ อีกทั้งท่านนบี(..)เองก็ไม่มีโอกาสจะสอนสั่งทุกสิ่งทุกอย่างในช่วงชีวิตของท่าน ทำให้ต้องส่งมอบภารกิจเหล่านี้แก่วงศ์วานของท่านแทน[18] ฉะนั้น การที่ท่านนบี(..)มิได้แจ้งเกี่ยวกับมุศฮัฟให้ประชาชาติของท่านทราบ ไม่ได้หมายความว่าท่านไม่ทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้



[1] ลิซานุ้ลอรับ,เล่ม 9,หน้า186

[2] อิบนิ บาบะวัยฮ์,อัลอิมามะฮ์วัลตั้บศิเราะฮ์,หน้า12

[3] อัลกาฟีย์,เล่ม 1,หน้า 241

[4] เพิ่งอ้าง,เล่ม 1,หน้า 238

[5] ซัยยิดญะฟัร มุรตะฎอ,ค็อลฟีย้าต กิตาบ มะอ์ซาตุซซะฮ์รออ์,เล่ม 6,หน้า 57-58

[6] ซูเราะฮ์อาลิอิมรอน, 42

[7] อัลอิห์ติญ้าจ,เล่ม 2,หน้า 134

[8] เพิ่งอ้าง,เล่ม 1,หน้า 241

[9] เพิ่งอ้าง,เล่ม 2,หน้า 134

[10] อัลกาฟีย์,เล่ม 1,หน้า 241

[11] เพิ่งอ้าง

[12] เพิ่งอ้าง

[13] มัฆนียะฮ์,มุฮัมมัด ญะว้าด,อัชชีอะฮ์ ฟิ้ลมีซาน,หน้า 61

[14] มะอาลิมุ้ลมัดเราะสะตัยน์,เล่ม 2,หน้า 32

[15] อัลกาฟีย์,เล่ม 1,หน้า 238

[16] มันลายะฮ์ฎุรุฮุ้ลฟะกี้ฮ์,เล่ม 4,หน้า 419

[17] บิฮารุลอันว้าร,เล่ม 26,หน้า 47

[18] ดังที่ปรากฏในฮะดีษษะเกาะลัยน์อันน่าเชื่อถือ إِنِّی تَارِکٌ فِیکُمُ الثَّقَلَیْنِ مَا إِنْ تَمَسَّکْتُمْ بِهِمَا لَنْ تَضِلُّوا کِتَابَ اللَّهِ وَ عِتْرَتِی أَهْلَ بَیْتِی وَ إِنَّهُمَا لَنْ یَفْتَرِقَا حَتَّى یَرِدَا عَلَیَّ الْحَوْضَ วะซาอิลุชชีอะฮ์,เล่ม 27,หน้า 33

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • จุดประสงค์ของโองการที่ 85-87 บทอัลฮิจญฺร์ คืออะไร?
    6958 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/05/17
    อัลลอฮฺ (ซบ.) กล่าวในโองการโดยบ่งชี้ให้เห็นถึง, ความจริงและการมีเป้าหมายในการชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินของพระองค์ ทรงแนะนำแก่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ว่า จงแสดงความรักและความห่วงใยต่อบรรดาผู้ดื้อรั้น, พวกโง่เขลาทั้งหลาย, บรรดาพวกมีอคติ, พวกบิดพลิ้วที่ชอบวางแผนร้าย, พวกตั้งตนเป็นปรปักษ์ด้วยความรุนแรง, และพวกไม่รู้, จงอภัยแก่พวกเขา และจงแสดงความหวังดีต่อพวกเขา ในตอนท้ายของโองการ อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปลอบใจท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และให้กำลังใจท่าน ว่าไม่ต้องเป็นกังวลหรือเป็นห่วงในเรื่องความรุนแรงจากฝ่ายศัตรู ผู้คนจำนวนมากกว่า สิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีกว่า และทรัพย์สินจำนวนมากมายที่อยู่ในครอบครองของพวกเขา, เนื่องจากอัลลอฮฺ ทรงมอบความรัก ความเมตตา และเหตุผลในการเป็นศาสดาแก่ท่าน ซึ่งไม่มีสิ่งใดบนโลกนี้จะดีและเสมอภาคกับสิ่งนั้นโดยเด็ดขาด ...
  • ทัศนะของอัลกุรอาน เกี่ยวกับความประพฤติสงบสันติของชาวมุสลิม กับศาสนิกอื่นเป็นอย่างไร?
    14981 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/09/29
    »การอยู่ร่วมกันด้วยความสงบสันติของศาสนาต่างๆ« คือแก่นแห่งแนวคิดของอิสลาม อัลกุรอานมากมายหลายโองการ ได้เน้นย้ำเกี่ยวกับประเด็นนี้เอาไว้ในรูปแบบต่างๆ ทั้งกล่าวโดยตรงสมบูรณ์ หรือกล่าวเชิงเปรียบเปรย ทัศนะของอัลกุรอาน ถือว่าการทะเลาะวิวาท การสงคราม และความขัดแย้งกัน เนื่องจากแตกต่างทางความเชื่อ ซึ่งบางศาสนาได้กระปฏิบัติเช่นนั้น เช่น สงครามไม้กางเกงของชาวคริสต์ เป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ อิสลามห้ามการเป็นศัตรู และมีอคติกับผู้ปฏิบัติตามศาสนาอื่น และถือว่าวิธีการดูถูกเหยียดหยามต่างๆ ที่มีต่อศาสนาอื่น มิใช่วิธีการของศาสนา อัลกุรอาน ได้แนะนำและสนับสนุนการอยู่ร่วมกันอย่างสันติวิธี ด้วยแนวทางต่างๆ มากมาย แต่ ณ ที่นี้จะขอกล่าวถึงประเด็นสำคัญที่สุด อาทิเช่น : 1.ความเสรีทางความเชื่อและความคิด 2.ใส่ใจต่อหลักศรัทธาร่วม 3.ปฏิเสธเรื่องความนิยมในเชื้อชาติ 4.แลกเปลี่ยนความคิดด้วยสันติวิธี
  • ผมทำงานอยู่ในร้านค้าแห่งหนึ่ง วันหนึ่งเจ้าของร้านตัดสินใจไล่ผมออกจากงาน แต่ไม่ได้จ่ายค่าจ้างที่เหลือให้ผม อนุญาตหรือไม่ที่จะหยิบฉวยของในร้านหรือทรัพย์สินของเขาทดแทนค่าจ้างที่เขายังไม่ได้จ่ายให้ผม ?
    6154 สิทธิและกฎหมาย 2555/02/09
    คำถามของคุณได้ถูกส่งไปยังสำนักงานมัรญะอ์ตักลีดหลายท่านแล้วและได้คำตอบมาดังนี้ท่านอายาตุลลอฮ์อัลอุซมาคอเมเนอี“การกระทำในลักษณะตอบโต้ลูกหนี้จะเป็นที่อนุมัติก็ต่อเมื่อลูกหนี้อ้างโดยมิชอบว่าตนไม่ได้เป็นหนี้หรือขัดขืนไม่ยอมจ่ายหนี้โดยไม่มีทางอื่นที่จะทวงหนี้ได้นอกจากวิธีนี้แต่หากนอกเหนือจากนี้แล้วการที่จะยึดและใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินของเขาโดยไม่ได้รับอนุญาตถือว่าไม่เป็นที่อนุมัติ”ท่านอายาตุลลอฮ์อัลอุซมาซีซตานี“หากเขาเป็นหนี้เราและไม่ยอมจ่ายหนี้ในกรณีที่เขายอมรับว่าเขาเป็นหนี้เราสามารถชดเชยสิ่งนี้ด้วยการริบทรัพย์สินของเขาที่พบเห็น”ท่านอายาตุลลอฮ์อัลอุซมามะการิมชีรอซี“เราไม่ทราบถึงเรื่องส่วนตัวดังกล่าวแต่โดยทั่วไปแล้วหากผู้ใดลิดรอนสิทธิผู้อื่น
  • คำพูดทั้งหมดของพระศาสดา (ซ็อล ฯ) ถือว่าเป็นวะฮฺยูหรือไม่?
    7792 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/21
    มุมมองของผู้เชี่ยวชาญ,ในประเด็นที่กำลังกล่าวถึงแตกต่างกันบางคนได้พิจารณาการตีความของโองการที่ 3,4 ของอัลกุรอานบทนัจมฺ[i]ซึ่งเชื่อว่าคำพูดทั้งหมดของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ตลอดจนการกระทำต่างๆของท่านมาจากวะฮฺยูทั้งสิ้นบางคนเชื่อว่าโองการที่ 4 ของบทอันนัจมฺนั้นกล่าวถึงอัลกุรอานกะรีมและบรรดาโองการต่างๆที่ประทานให้แก่ท่านศาสดา,แม้ว่าซุนนะฮฺ (แบบฉบับ) ของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จะเป็นข้อพิสูจน์และเป็นเหตุผลก็ตามซึ่งคำพูดการกระทำและการนิ่งเฉยของท่านมิได้เกิดจากอารมณ์อย่างแน่นอนสิ่งที่เข้าใจได้จากสิ่งที่กล่าวถึงในตรงนี้คือสามารถกล่าวได้อย่างมั่นใจว่าทั้งความประพฤติและแบบอย่างของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) มิได้กระทำลงไปโดยปราศจากวะฮียฺอย่างแน่นอนดังเช่นคำพูดของท่านก็เป็นเช่นนี้ด้วยแม้ว่าจะเป็นคำพูดประจำวันคำพูดสามัญทั่วไปตลอดการดำรงชีวิตของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ก็ตามสิ่งนั้นก็จะไม่เกิดจากอารมณ์อย่างเด็ดขาดซึ่งตามความเป็นจริงแล้วเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แน่นอนว่าท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จะล่วงละเมิดกระทำความผิด[i]
  • ในทัศนะของรายงานและโองการต่างๆ มีการกระทำใดบ้าง ที่ทำลายการงานที่ดี อันเป็นที่ยอมรับ?
    6375 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/01/23
    ทั้งอัลกุรอานและรายงานกล่าวว่า, การมีศรัทธาต่ออัลลอฮฺและการห่างไกลจากการตั้งภาคีและการตกศาสนาคือเงื่อนไขแรกในการตอบรับการกระทำดังนั้นถ้าปราศจากสิ่งนี้จะไม่มีการงานที่ดีอันใดถูกยอมรับณ
  • ได้ยินว่าระหว่างสงครามอิรักกับอิหร่านนั้น ร่างของบางคนที่ได้ชะฮีดแล้ว, แต่ไม่เน่าเปื่อยสลาย, รายงานเหล่านี้เชื่อถือได้หรือยอมรับได้หรือไม่?
    8609 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/05/17
    โดยปกติโครงสร้างของร่างกายมนุษย์, จะเป็นไปในลักษณะที่ว่า เมื่อจิตวิญญาณได้ถูกปลิดไปจากร่างกายแล้ว, ร่างกายของมนุษย์จะเผ่าเปื่อยและค่อยๆ สลายไป, ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้น้อยมาก ที่ร่างกายของบางคนหลังจากเสียชีวิตไปแล้วนานหลายปี จะไม่เน่าเปื่อยผุสลายและอยู่ในสภาพปกติ. แต่อีกด้านหนึ่ง อัลลอฮฺ ทรงพลานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่างและทุกการงาน[1] ซึ่งอย่าเพิ่งคิดว่าสิ่งนี้จะไม่มีความเป็นไปได้ หรือห่างไกลจากภูมิปัญญาแต่อย่างใด. เพราะว่านี่คือกฎเกณฑ์ทั่วไป ซึ่งได้รับการละเว้นไว้ในบางกรณี, เช่น กรณีที่ร่างของผู้ตายอาจจะไม่เน่าเปื่อย โดยอนุญาตของอัลลอฮฺ ดังเช่น มามมีย์ เป็นต้น จะเห็นว่าร่างกายของเขาไม่เน่าเปื่อย ซึ่งเรื่องนี้ได้ผ่านพ้นไปนานหลายพันปีแล้ว และประสบการณ์ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นความจริงดังกล่าวแล้วด้วย ดังนั้น ถ้าหากพระประสงค์ของอัลลอฮฺ ครอบคลุมเหนือประเด็นดังกล่าวนี้ ก็เป็นไปได้ที่ว่าบางคนอาจเสียชีวิตไปแล้วหลายร้อยปี แต่ร่างกายของเขาไม่เน่าเปื่อยผุสลาย ยังคงสมบูรณ์เหมือนเดิม แล้วพระองค์ทรงเป่าดวงวิญญาณให้เขาอีกครั้ง ซึ่งเขาผู้นั้นได้กลับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง, อัลกุรอานบางโองการ ก็ได้เน้นย้ำถึงเรื่องราวของศาสดาบางท่านเอาไว้[2] เช่นนี้เองสิ่งที่กล่าวไว้ในรายงานว่า ถ้าหากบุคคลใดที่มีนิสัยชอบทำฆุซลฺ ญุมุอะฮฺ, ร่างกายของเขาในหลุมฝังศพจะไม่เน่นเปื่อย
  • เด็กผู้ชายที่มีอายุ 12 ปีสามารถเข้าร่วมในการนมาซญะมาอัตแถวเดียวกับผู้ชายคนอื่นๆได้หรือไม่?
    6388 สิทธิและกฎหมาย 2555/03/08
    การที่ลูกหลานและเยาวชนเข้าร่วมกิจกรรมมัสยิดและร่วมนมาซญะมาอัตจะทำให้พวกเขาผูกพันกับการนมาซ ซึ่งไม่เพียงแต่ไม่เป็นที่ต้องห้าม ทว่าถือเป็นมุสตะฮับอย่างยิ่ง[1] แต่ประเด็นที่ว่า การที่เด็กที่ยังไม่สามารถแยกแยะถูกผิดได้และยังไม่บรรลุนิติภาวะจะเข้าร่วมในนมาซญะมาอัต และจะทำให้การนมาซของผู้อื่นมีปัญหาหรือไม่นั้น มีสองประเด็นดังต่อไปนี้ ผู้นมาซคนอื่นๆสามารถที่จะเชื่อมต่อกับอิมามญะมาอัตได้โดยวิธีอื่น ในกรณีนี้การนมาซญะมาอัตของผู้อื่นถือว่าไม่มีปัญหาแต่อย่างใด[2] การที่ผู้อื่นจะต้องเชื่อมต่อกับอิมามญะมาอัตโดยผ่านผู้ที่ยังไม่บรรลุนิตะภาวะเท่านั้น (เช่นมีเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะยื่นอยู่ที่แถวหน้าหลายคน ในกรณีนี้คำวินิจฉัยของอุลามามีดังนี้ “หากในระหว่างแถวที่มีการนมาซญะมาอัตมีเด็กที่สามารถแยกแยะถูกผิดได้ยืนอยู่ หากเรามิได้แน่ใจว่านมาซของเขาไม่ถูกต้อง ก็สามารถยืนแถวต่อจากเขาได้”[3] อนึ่ง กฏดังกล่าวมีไว้สำหรับกรณีที่มีเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะยืนอยู่หลายๆคนในแถวเดียวกัน แต่ถ้าหากเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะยืนอยู่ในแถวนมาซญะมาอัตหลายคน ทว่าไม่ได้ยืนอยู่ติดๆกัน โดยยืนในลักษณะกั้นกลางผู้ที่บรรลุนิติภาวะแล้วสองคน (ถึงแม้ว่าเราจะรู้ว่านมาซของพวกเขาไม่ถูกต้องก็ตาม) ก็ไม่ทำให้นมาซของผู้อื่นมีปัญหาแต่อย่างใด อ่านเพิ่มเติมได้ที่ “การจัดแถวในการนมาซญะมาอัตและฮุกุมของการเคลื่อนไหวในการนมาซ”, ...
  • ท่านอิมามฮุเซนเคยจำแนกระหว่างอรับและชนชาติอื่น หรือเคยกล่าวตำหนิชนชาติอื่นหรือไม่?
    6008 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/10/11
    ฮะดีษที่อ้างอิงมานั้นเป็นฮะดีษจากอิมามศอดิก(อ.)มิไช่อิมามฮุเซน(อ.) ฮะดีษกล่าวว่า "เราสืบเชื้อสายกุเรชและเหล่าชีอะฮ์ของเราล้วนเป็นอรับแท้ส่วนผองศัตรูของเราล้วนเป็น"อะญัม"(ชนชาติอื่น) ไม่ว่าจะพิจารณาในแง่สายรายงานหรือเนื้อหาจะพบว่าฮะดีษนี้ปราศจากความน่าเชื่อถือใดๆทั้งสิ้นทั้งนี้เพราะสายรายงานของฮะดีษนี้มีนักรายงานฮะดีษที่ไม่น่าเชื่อถือ(เฎาะอี้ฟ)ปรากฏอยู่ส่วนเนื้อหาทั่วไปของฮะดีษนี้นอกจากขัดต่อสติปัญญาแล้วยังขัดต่อโองการกุรอานฮะดีษมากมายที่ถือว่าอีหม่านและตักวาเท่านั้นที่เป็นมาตรวัดคุณค่ามนุษย์หาไช่ชาติพันธุ์ไม่ทั้งนี้ท่านนบีได้ให้หลักเกณฑ์ไว้ว่า "หากฮะดีษที่รายงานจากเราขัดต่อประกาศิตของกุรอานก็จงขว้างใส่กำแพงเสีย(ไม่ต้องสนใจ)"อย่างไรก็ดีเราปฏิเสธที่จะรับฮะดีษดังกล่าวในกรณีที่ตีความตามความหมายทั่วไปเท่านั้นแต่น่าสังเกตุว่าคำว่า"อรับ"และ"อะญัม"หาได้หมายถึงชาติพันธุ์เท่านั้นแต่ในทางภาษาศาสตร์แล้วสองคำนี้สามารถสื่อถึงคุณลักษณะบางอย่างได้สองคำนี้สามารถใช้กับสมาชิกเผ่าพันธุ์เดียวกันก็ได้อาทิเช่นคำว่าอรับสามารถตีความได้ว่าหมายถึงการ"มีชาติตระกูล" และอะญัมอาจหมายถึง"คนไร้ชาติตระกูล" ในกรณีนี้สมมติว่าฮะดีษผ่านการตรวจสอบสายรายงานมาได้ก็ถือว่าไม่มีปัญหาในแง่เนื้อหาทั้งนี้ก็เพราะเรามีฮะดีษมากมายที่ยกย่องชาติพันธุ์ที่ไม่ไช่อรับเนื่องจากมีอีหม่านอะมั้ลที่ดีงามและความอดทน ...
  • สถานะและบุคลิกภาพของซุรอเราะฮฺ ณ บรรดาอิมามเป็นอย่างไร?
    6772 تاريخ بزرگان 2555/05/17
    ซุรอเราะฮฺ เป็นหนึ่งในสหายของอิมามมะอฺซูม (อ.) ที่มีฐานะภาพและเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ ณ อิมาม เขาถูกจัดว่าเป็นสหายอิจญฺมาอฺ หมายถึงความหน้าเชื่อถือ ความซื่อตรง และการพูดความจริงของเขา เป็นที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รับรู้กันดีในหมู่สหายของอิมาม (อ.) แม้ว่าจะมีรายงานกล่าววิจารณ์เขาอยู่บ้างก็ตาม, แต่เมื่อนำเอารายงานเหล่านั้นมารวมกันแล้ว สามารถสรุปให้เห็นถึงความถูกต้องของเขามากกว่า และจัดว่าเขาเป็นหนึ่งในสหายที่ยิ่งใหญ่ และมีเกียรติคนหนึ่งของอิมาม (อ.) ...
  • อิสลามมีกฏเกณฑ์อย่างไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาว?
    22304 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/09
    อิสลามถือว่าอัลลอฮ์ทรงสร้างชายและหญิงให้มีบทบาทเกื้อกูลกันและกันหนึ่งในปัจจัยที่ทั้งสองเพศต้องพึ่งพากันและกันก็คือความต้องการทางเพศทว่าการบำบัดความต้องการดังกล่าวจะต้องอยู่ในเขตคำสอนของอิสลามเท่านั้นจึงจะสามารถรักษาศีลธรรมจรรยาของทั้งสองฝ่ายได้อิสลามถือว่าความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาวก่อนแต่งงานไม่ว่าโดยตรงหรือผ่านสื่อหากเป็นไปด้วยความไคร่หรือเกรงว่าจะเกิดความไคร่ถือว่าไม่อนุมัติแต่สำหรับความสัมพันธ์ในการทำงานวิชาการและการศึกษาถือเป็นที่อนุมัติเฉพาะในกรณีที่ไม่โน้มนำไปสู่ความเสื่อมเสีย ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60332 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57880 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42434 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39697 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39097 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34183 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28221 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28161 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28088 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26039 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...