การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
18299
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2555/04/07
คำถามอย่างย่อ
จงอธิบายทฤษฎีของพหุนิยมทางศาสนาและการตีความที่แตกต่างกันของศาสนา และระบุความแตกต่างของพวกเขา?
คำถาม
จงอธิบายทฤษฎีของพหุนิยมทางศาสนาและการตีความที่แตกต่างกันของศาสนา และระบุความแตกต่างของพวกเขา?
คำตอบโดยสังเขป

1.พหุนิยมหมายถึง ความมากมายในหลายชนิด ทั้งในทางปรัชญาของศาสนา, ปรัชญาจริยธรรม, กฎหมาย และการเมืองและว่า ... ซึ่งทั้งหมดมีการใช้งานที่แตกต่างกัน ซึ่งการรับรู้ทั้งหมดเหล่านี้อย่างเป็นทางการในนามของการรู้จักในความหลากหลาย ในทางตรงกันข้ามกับความเป็นหนึ่งเดียว หรือความจำกัดในความเป็นหนึ่งเดียว

พหุนิยมทางศาสนา หมายถึงการไม่ผูกขาดความถูกต้องไว้ในศาสนาใดศาสนาหนึ่งเฉพาะพิเศษ การได้รับผลประโยชน์ของทุกศาสนาจากความจริงและการช่วยเหลือให้รอด

2. พหุนิยม อาจได้รับการพิจารณาในหมู่ศาสนาต่างๆ หรือระหว่างนิกายต่างๆ ในศาสนาที่มีอยู่ก็ได้

3. ในความคิดของเราชาวมุสลิมทั้งหลาย พหุนิยมถูกปฏิเสธก็เนื่องจากเหตุผลที่ว่า ในศาสนาอิสลามมีเหตุผลที่ชัดเจนเกี่ยวกับสาเหตุความถูกต้องของศาสนาอิสลาม ในลักษณะที่ว่าในศาสนาอื่น ๆ ไม่มีเหตุผลที่ถูกต้องพอเหมือนกับศาสนาอิสลาม นอกจากนี้ คัมภีร์แห่งฟากฟ้า (อัลกุรอาน) ยังไม่มีการบิดเบือนหรือสังคายนาใดๆ ทั้งสิ้น และความสมบูรณ์ของศาสนาอิสลามก็เท่ากับว่าได้ยกเลิกคำสอนของศาสนาอื่นไปโดยปริยาย

4. การตีความที่แตกต่างกันของศาสนา ซึ่งหนึ่งในหลักการพื้นฐานของสิ่งนั้นคือ อรรถปริวรรตศาสตร์ และอีกประการหนึ่งคือการรู้จักต่างๆ ในศาสนาและการวิจัย ซึ่งผู้ที่เชื่อถือเขาต่างเชื่อว่าผลทั้งหมดของการเริ่มต้น และก่อนการรู้ของนักอรรถาธิบายขณะที่มีความเข้าใจเนื้อหา การตีความหลากหลายของศาสนามีมุมมองที่แตกต่างกัน ซึ่งทัศนะที่สำคัญที่สุดคือทัศนะ Shlayr Makhr, Dyltay, Heidegger และ Gadamer

5. ถึงแม้ว่าหัวข้อการสนทนาอรรถปริวรรตศาสตร์ (Hermeneutics) จะเป็นหัวข้อใหม่ทันสมัยในทางปรัชญาของศาสนา ซึ่งเป็นผลจากการอภิปรายของตะวันตก แต่มีการตีความและแปลความหมายและความเข้าใจเนื้อความ คล้ายศาสตร์บางประเภทในอิสลาม เช่น วิชาอุซูล

6. แนวทางที่กล่าวถึงในแง่ของเงื่อนไขที่จำเป็น เนื่องจากเงื่อนไขและมาตรฐานการตีความ ไม่อาจตัดสินระหว่างความหลากหลายในศาสนา ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเป็นเพียงความสัมพันธ์ในการทำความเข้าใจเท่านั้นเอง

7.หัวข้อเรื่องอรรถปริวรรตศาสตร์ (Hermeneutics) และพหุนิยม เป็นสองหัวข้อที่แยกจากกันโดยละเอียด แต่หนึ่งในแนวคิดของพหุนิยมและอรรถปริวรรตศาสตร์ก็คือ สามารถเป็นตัวกลางระหว่างสองหัวข้อกล่าวคือ ความหลากหลายของการตีความที่มาจากความเข้าใจเดียวกัน, และการเกิดขึ้นของศาสนาที่แตกต่างกัน

8.ปัญหาของแนวคิดดังกล่าวนี้คือ ไม่สามารถตัดสินความถูกต้องของทุกการตีความได้ และโดยความเป็นจริงแล้วความเข้าใจของมนุษย์ทุกคน ขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์และความเข้าใจ ซึ่งการความเข้าใจนั้นมีหลักอยู่ที่ การเอาใจใส่ถานะของผู้พูดและผู้เขียนระบบคำศัพท์และภาษาที่เขาได้เลือก (อารมณ์ขัน,) และการที่ผู้พูดมีความประสงค์จริงในความเข้าใจอันเฉพาะ

คำตอบเชิงรายละเอียด

ส่วนพหุนิยม (Pluralism) หมายถึงความหลากหลาย (พหูพจน์) ซึ่งใช้ในพื้นที่ต่างๆ ในปรัชญาของศาสนา, ปรัชญาจริยธรรม, กฎหมาย และการเมืองและ ...มีการนำไปใช้งานที่แตกต่างกันซึ่งจุดร่วมของทั้งหมดอยู่ที่การรู้จักในความหลากหลาย, ในทางตรงกันข้ามกับความเป็นเอกภาพ หรือการจำกัดความ การผูกขาด (Exclusivism) เป็นต้น[1]

แต่พหุนิยมทางศาสนา (Religious Pluralism) หมายถึง ความจริงและความถูกต้องที่ไม่ได้จำกัดพิเศษเฉพาะในศาสนาใดศาสนาหนึ่ง, เนื่องจากทุกศาสนาได้รับประโยชน์จากความจริง ดังนั้น การปฏิบัติตามโปรแกรมของของศาสนาใดศาสนาหนึ่งพวกเขาก็สามารถได้รับการช่วยเหลือให้รอดพ้นได้ ด้วยเหตุนี้ บนพื้นฐานดังกล่าวนี้ การพิพาทกันระหว่างความถูกต้องกับความไม่ถูกต้อง ที่เกิดขึ้นระหว่างศาสนาต่างๆ, ถูกเปลี่ยนจากการเป็นปฏิปักษ์ การโต้เถียง และการวิวาทกันทางศาสนาให้มีความสอดคล้อง และการเป็นห่วงเป็นใยเอาใจใส่ต่อกันและกัน[2]

ประวัติโดยย่อของพหุนิยมทางศาสนา

พหุนิยมทางศาสนาได้เกิดครั้งแรกในคริสต์ศาสนาในทศวรรษที่ผ่านมา โดย จอห์น เฮก (เกิด ค.ศ. 1922) เขาเป็นผู้วางแผนและได้ส่งเสริมให้เกิดขึ้น เขากล่าวว่า:

ในทัศนะของ ปรากฏการณ์วิทยา นิยามที่ว่าความหลากหลายทางศาสนา (ศาสนาจำนวนมาก) ในรูปคำง่ายๆ หมายถึงความจริงที่ว่า ประวัติศาสตร์ของศาสนาคือ การแสดงแบบฉบับอันหลายหลากเป็นจำนวนมากของแต่ละประเภทเหล่านั้น ในทัศนะของปรัชญา นิยามดังกล่าวคือการสังเกตทางทฤษฎี โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ระหว่างประเพณีต่างๆ การอ้างอิง และการแข่งขันกับพวกเขา

คำนิยามนี้ หมายถึงทฤษฎีที่ว่า ศาสนาที่ยิ่งใหญ่ของโลก,ได้ประกอบขึ้นโดยการรับรู้ที่แตกต่างกันจากความจริงสุดท้าย  ในความลึกลับแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์"[3] และในที่อื่น ๆ กล่าวว่า :

“ศาสนาที่แตกต่างกัน, เป็นกระแสที่แตกต่างกันของประสบการณ์ทางศาสนา ซึ่งแต่ละจุดนั้นอยู่ในระดับอันเฉพาะเจาะจง ที่เริ่มต้นขึ้นในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ และตัวการที่รู้แจ้งด้วยปัญญาของตน ก็จะถูกกู้คืนในบรรยากาศของวัฒนธรรม.[4]"

พหุนิยมในศาสนา อาจเป็นไปได้ที่จะได้รับการพิจารณาระหว่างศาสนาด้วยกัน ในลักษณะที่ว่าทุกศาสนานั้นถูกต้อง หรือทุกศาสนาต่างได้ประโยชน์จากความจริงทั้งสิ้น หรืออาจเป็นไปได้ที่ว่าในศาสนานั้น อาจแบ่งออกเป็นนิกายต่างๆ และแต่ละนิกายนั้นต่างเป็นเจ้าของความจริงทั้งสิ้น เช่น นิกายซุนนียฺ และชีอะฮฺเป็นต้น ซึ่งมีอยู่ภายในศาสนาอิสลาม และแต่ละนิกายจะแนะนำตัวเองว่าเป็นอิสลามบริสุทธิ์ แต่ทัศนะของพหุนิยมแล้วทั้งสองนิกายสามารถวางอยู่บนความถูกต้อง หรือกล่าวได้ว่าการได้รับประโยชน์จากความจริง มีอยู่ทั้งสองนิกายก็ได้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ พหุนิยมทางศาสนา สามารถแบ่งออกเป็นความหลากหลายภายนอกและภายในศาสนา

หลักการและวิธีการของพหุนิยมทางศาสนา

สำหรับพหุนิยมทางศาสนา ได้สร้างหลักการต่างๆ ซึ่งจะขอกล่าวถึงบางประการดังต่อไปนี้ กล่าวคือ

วิธีการที่ 1: ความแตกต่างระหว่าง "แก่นแท้ของศาสนา" และ "ความจริงศาสนา" โดยให้สาระสำคัญไปที่แก่นและสมองของศาสนา โดยไม่ต้องใส่ใจต่อความจริงต่างๆ ของศาสนา ซึ่งโดยปกติแล้วในวิธีการนี้ หลักการสอน พิธีกรรม และประเพณีภายนอกของพวกเขา จะถือว่าอยู่ในฐานะของความจริงและเป็นเปลือกนอกของศาสนาเท่านั้น

วิธีที่ 2 : คำอธิบายนี้จะเน้นเรื่อง ประสบการณ์แห่งวะฮฺยู และประสบการณ์ทางศาสนา และโดยทั่วไปแล้วจะลดพื้นฐานของศาสนาเข้าไปในระดับประสบการณ์ทางศาสนาเท่านั้น ซึ่งประสบการณ์ทางศาสนาจะอยู่พร้อมกับการรายงาน และการอธิบาย ด้วยเหตุผลที่ว่ามีภารกิจอื่นมากมาย ได้สอดแทรกเข้ามา เช่น ค่าเริ่มต้นต่าง ภูมิหลังทางวัฒนธรรม และการรู้จักสิ่งเหล่านี้เองที่ก่อให้เกิดความหลากหลาย ดังนั้น ในความเป็นจริงก็เท่ากับเป็นการฉายภาพประสบการณ์ทางศาสนาเดียวกัน ในรูปแบบของวัฒนธรรมหลากหลาย .

วิธีที่ 3 : การอ่าน, คือวิธีการที่มนุษย์เหมือนจริง และเชื่อว่าศาสนาควรให้ความสำคัญและเน้นย้ำ เหนือภารกิจธรรมดาอันเป็นจุดร่วมในโลกนี้ และพิจารณาสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตอันเป็นส่วนรวมเดียวกัน ที่สำคัญบทวิภาษธรรมดานั้นควรเก็บรักษาไว้เพื่อตัวเอง

วิธีที่ 4 : ทุกศาสนามีสาส์นอันเดียวกัน และด้วยการวิเคราะห์เล็ก ๆ น้อยๆ  ก็จะสามารถปลดเปลื้องความแตกต่างออกไปได้ ในความเป็นจริงแล้วความแตกต่างทางศาสนา เกิดจากความแตกต่างในการตีความ และความแตกต่างกันของภาษา ซึ่งสิ่งนี้ไม่จริง

วิธีที่ 5 : วิธีนี้ขึ้นอยู่กับความแตกต่างระหว่างความจริง "ในตัวของมัน”และความจริง "ที่อยู่กับเรา" เป็นจริง "ด้วยตนเอง” ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการรับรู้โดยสมบูรณ์ในสิ่งนั้น จะไม่มีอยู่ ณ ผู้ใด ที่สำคัญความคิดของเราไม่สามารถไปถึงสิ่งนั้นได้ด้วย  แต่สถานะของความจริงที่ว่านั้นมีอยู่ ณ เรา ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เป็นความเป็นจริง แต่เนื่องจากว่าศาสนาได้เผชิญกับมนุษย์ และด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ประกอบกับได้เทมันในกรอบของวัฒนธรรมที่มีความแตกต่าง ศาสนาจึงเกิดความหลากหลายขึ้นมา นอกจากนี้ พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะสร้างการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ พระจึงประทานสาส์นของพระองค์อันมีความเหมาะสม ไว้ในภายในวัฒนธรรมของทุกเชื้อชาติ และทุกยุคสมัย

แต่ละวิธีการที่กล่าวมานั้น สิ่งที่อยู่ในขอบเขตที่สามารถกล่าวได้ในช่วงนี้ก็คือ : การวิจารณ์และการพิจารณาอย่างจริงจังที่มีต่อของพวกเขา แม้ว่าบางวิธีการ (วิธีแรก ... ) อาจจะเป็นไปได้ว่ามีการตีความถูกต้อง แต่ต้องมีการตรวจสอบเพิ่มเติมในตำราที่เกี่ยวกับอีก

วิธีที่ 6 : วิธีการนี้เป็นหนึ่งในวิธีของ อรรถปริวรรตศาสตร์ ซึ่งขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ของผู้ตีความเป็นสิ่งสำคัญ และเชื่อในผลของการเริ่มต้นอย่างเต็มรูปแบบ และความรู้ก่อนของที่ผู้ที่จะตีความในช่วงเวลาที่จะทำความเข้าใจในข้อความ จากทัศนะของวิธีการนี้ ผู้เขียนและผู้พูดในฐานะของผู้ออกความเห็น ซึ่งเขาจะสูญเสียสถานะของการเป็นผู้เขียนของตน หลังจากได้อธิบายข้อความแล้ว บนพื้นฐานดังกล่าวนี้ ประโยคด้วยตัวของมันแล้วมิใช่ความเข้าใจของสิ่งใด ทว่าผู้ตีความต่างหากที่ได้ถ่ายทอดความรู้เบื้องต้น การเริ่มต้นของตน และจิตวิญญาณของความหมายเข้าไปในกายวิภาคศาสตร์ หรือประโยคนั้น อีกนัยหนึ่ง ความหมายที่มีอยู่ภายในของประโยคหนึ่ง เหมือนกับขี้ผึ้ง ซึ่งความคิดของผู้ตีความต่างหาก ได้ถ่ายทอดโครงสร้างการรู้จักและความรู้ของตน ให้มีรูปร่างและรูปแบบอันเฉพาะ ดังนั้น ประโยคจึงมิได้หมายถึงการคุมกำเนิดทางความหมาย แต่ทว่ามันต้องการความหมายอย่างละเอียด และความหมายนี้ผู้ตีความและผู้ฟังต้องถ่ายทอดออกมาในรูปประโยค[5]

ข้อทักท้วงวิธีนี้  : วิธีที่ 6 เป็นแนวร่วมกันระหว่างพหุนิยมและอรรถปริวรรตศาสตร์ ซึ่งมีข้อบกพร่องอยู่โดยจะชี้ให้เห็นข้อบกพร่องบางอย่าง เช่น  :

ระบบความเข้าใจของมนุษย์จะตามกฎของการสนทนา ซึ่งบรรดาปวงผู้มีสติทั้งหลายบนโลกนี้ จะตามหลักการของการเจรจาและความเข้าใจ ขบวนการของความเข้าใจและการทำความเข้าใจจะมีหลักการเช่น : ใส่ใจต่อสถานการณ์ผู้พูดและผู้เขียน, ระบบคำศัพท์ของเขา,ภาษาที่เขาได้เลือกในการอธิบาย (อารมณ์ขัน, เป็นสัญลักษณ์อย่างจริงจัง หรือ... ) และหลักการนี้เองที่ผู้พูดมีวัตถุประสงค์ในความเข้าใจอันเฉพาะเจาะจง โดยให้ความมั่นใจในประโยคของตน ซึ่งทั้งหมดจะแจ้งให้ทราบจากคำสั่งนั้น แน่นอนว่าบางสิ่งบางอย่างของข้อความขึ้นอยู่กับหลักฐานและสถานการณ์ ควรจะพยายามที่จะเข้าใจมัน ขณะที่ตัวบทของศาสนามีทั้งสิ่งที่มายกเลิก และสิ่งที่ถูกยกเลิก, มีทั้งสิ่งทั่วไปและเฉพาะเจาะจง,มีความกว้างและมีเงื่อนไข และ .. ฉะนั้น จะต้องมีความระมัดระวัง และต้องตรวจสอบที่มาที่ไปของมัน ดังนั้น เพื่อทำความเข้าใจข้อความหนึ่ง, จะต้องมีค่าเริ่มต้น เช่น เข้าใจภาษาของผู้เขียน เครื่องหมายที่บ่งบอกสภาพ คำพูด และ ... แต่ก็ยังมีค่าเริ่มต้นอื่นอีกซึ่งจะทำให้ผู้ฟังห่างไกลจากความเข้าใจในตัวบท ดังนั้นจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงมิให้สิ่งเหล่านั้น เข้ามายุ่งเกี่ยวกับในการทำความเข้าใจกับตัวบท

การวิจารณ์ทฤษฎีของพหุนิยม

ผ่านไปแล้วสำหรับมุมมองในแง่ของการวิจารณ์ ที่มีต่อวิธีการต่างๆ ของพหุนิยมทางศาสนา จำเป็นต้องใส่ใจเป็นพิเศษตามความเชื่อของเราชาวมุสลิมทั้งหลายว่า มีหลักฐานที่ชัดเจนและเข้ากันได้ดีกับสติปัญญาเกี่ยวกับความถูกต้องของศาสนาอิสลาม ซึ่งการมีหลักฐานและเหตุผลเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่าการเรียกร้องว่าศาสนาทั้งหมดเท่าเทียมกัน และเหมือนกันนั้นถือว่า ไม่ถูกต้องแน่นอน  ซึ่งหนึ่งในเหตุผลเหล่านั้นคือ ภูมิปัญญาที่ยอมรับเครื่องหมายต่างๆ คำสอนของศาสนาอิสลาม ความเข้ากันได้เป็นอย่างดีของพวกเขา ความหน้าเชื่อถือของเอกสารแหล่งอ้างอิง ตัวบทของอิสลาม, การมีชีวิตอยู่ การไม่ถูกสังคายนา (ไม่ผิดเพี้ยนหรือเปลี่ยนแปลง) คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิม, ปาฏิหาริย์และคำท้าทายของกุรอาน, บทบัญญัติที่ครอบคลุม,การมีประสิทธิภาพ, และหน้าที่ในเชิงบวกของพวกเขา

นอกจากนี้ จุดสำคัญในการสนทนาตรงประเด็นนี้ก็คือ, อิสลามเป็นศาสนาสุดท้ายที่ถูกประทานลงมาล่าสุด เมื่อเทียบกับศาสนาอื่นก่อนหน้านี้ นั่นหมายความว่าอิสลามอยู่ในฐานะของศาสนาที่มายกเลิก คำสอนของศาสนาก่อนหน้านั้น[6]

การตีความที่แตกต่างกันของศาสนา

การตีความที่แตกต่างกันหรืออรรถปริวรรตศาสตร์, เป็นอีกหนึ่งในสาขาของนักวิชาการศาสนา ซึ่งบรรดาผู้สนับสนุนต่างเชื่อว่าผลทั้งหมดของการเริ่มต้น ความรู้พื้นฐานต่างๆ ของผู้ตีความทั้งหมดอยู่ในระหว่างการแปลข้อความ หรือการทำความเข้าใจ

ในทัศนะของอรรถปริวรรตศาสตร์ (Hermeneutics) มีทฤษฎีและทัศนะที่หลากหลาย ซึ่งจะชี้ให้เห็นเป็นดังต่อไปนี้ :

1. ทัศนะของ Shlayr Makhr : อรรถปริวรรตศาสตร์ (Hermeneutics)  เป็นวิธีการแปลความหมายของตัวบท และหลีกเลี่ยงความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ดี ซึ่งเกิดจากช่องว่างของเวลาระหว่างผู้อธิบายความกับตัวบท.

2. ทัศนะของ Dyltay : อรรถปริวรรตศาสตร์ (Hermeneutics), คือพื้นฐานสำหรับวิชามนุษยศาสตร์ ซึ่งตรงข้ามกับวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ เขาเชื่อว่า ประวัติศาสตร์มีส่วนร่วมในการตีความของนักอธิบายความทั้งหลาย

3. ทัศนะของ Martin Heidegger : อรรถปริวรรตศาสตร์ (Hermeneutics), คือการอธิบายลักษณะของความเข้าใจ เงื่อนไขของความสำเร็จของมัน เขาได้เปลี่ยนแนวทางของอรรถปริวรรตศาสตร์ กับปรัชญาของ หรือการรู้จักการมีอยู่ และบนพื้นฐานทางสังคมวิทยา สิ่งนั้นจึงอยู่ในฐานะของการอธิบายถึงสิ่งที่มีคืออะไร และองค์ประกอบของความเข้าใจ และเงื่อนไขของการสำเร็จของมัน

4.ทัศนะของ Gadamer : อรรถปริวรรตศาสตร์ (Hermeneutics),  คือการรวมขอบเขตต่างๆ เข้าด้วยกัน เขาได้นำเอาข้อวิภาษด้านอภิปรัชญาของ Hydgr มาเสนอในรูปของเรื่องญาณวิทยา และในความเป็นจริงแล้วเขาได้สร้างความเข้าใจภววิทยา อรรถปริวรรตศาสตร์ของ Gadamer ส่วนใหญ่เป็นการอธิบายขั้นตอนเพื่อให้เกิดความเข้าใจ โดยไม่ใส่ใจต่อความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือการขาดความน่าเชื่อถือใดๆ ทั้งสิ้น

ในทัศนะของเขา ความคิดของผู้อธิบายความประกอบขึ้นด้วย ความเชื่อและข้อมูล ความคาดหวัง สมมติฐาน พื้นฐานเริ่มต้นของโครงสร้าง ซึ่งจะกำหนด "ความคิด" หรือ"ภูมิทัศน์" ของผู้ตีความ แน่นอนภูมิทัศน์จะขับเคลื่อนไปอย่างต่อเนื่องตลอดเวลากับผู้อธิบายความ และการที่ได้ย้อนไปสู่โลก หรือวัตถุ และตัวบท สิ่งนี้ก็จะถูกปรับและเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งการกระทำของการแปลความหมายก็คือ การประกอบภูมิทัศน์เข้าด้วยกัน กล่าวคือ การประกอบและการเชื่อมต่อ ภูมิทัศน์ของความเข้าใจของผู้ตีความ ให้เข้ากับตัวบท ซึ่งงานของอรรถปริวรรตศาสตร์ ก็คือการทำให้ภูมิทัศน์เหล่านี้เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน  หรือทำการตกลงระหว่างชนิดของการสนทนาและการเจรจา ระหว่างผู้อธิบายความกับตัวบท ซึ่งแหล่งที่มาของความแตกต่างในการตีความ, ก็คือการอาศัยค่าเริ่มต้นและภูมิทัศน์เหล่านี้นั่นเอง

ความเห็นของ Gadamer ไม่มีทัศนะใดมีความสัมบูรณ์ ที่เป็นไปได้ที่จะแบกรับมุมมองด้านในทั้งหมด หรือทุกสายพันธุ์ และภูมิทัศน์ ทว่าทุกชนิดของการแปลความหมาย จะดำรงอยู่ในชนิดหรือขอบข่ายที่มีความเฉพาะ โดยให้คำตรงกับข้อความ ดังนั้น การตีความบนพื้นฐานดังกล่าวจะให้เกิดความเป็นกลางเป็นไปไม่ได้ ประกอบกับไม่มีการตัดสินเด็ดขาดขั้นสุดท้าย ในความเป็นจริงแล้ว อรรถปริวรรตศาสตร์ในทัศนะของ Gadamer, การค้นพบความตั้งใจบริสุทธิ์หรือเจตนาของผู้เขียน มิใช่สิ่งที่ต้องพิจารณา เนื่องจากจะต้องไม่เอาตัวบทมาเป็นภาพทางความความคิดผู้เขียน[7]

การวิจารณ์ทฤษฎีของ Gadamer

เนื่องจากการถกเถียงในแง่ของเทววิทยา และแนวทางปรัชญาของปีที่ผ่านมา จะเห็นว่าสิ่งนั้นย้อนกลับไปสู่ทัศนะของ Gadamer เสียเป็นส่วนใหญ่ และมีจำนวนมากกว่าวิธีการอื่น ๆ และถูกให้ความสำคัญมากกว่า ซึ่งตรงนี้จะชี้ให้เห็นการวิจารณ์บางอย่างในมุมมองของ Gadamer :

ประการแรก : ด้วยความหมายอะไร ที่เราต้องไม่พิจารณาตัวบทและจุดประสงค์ของผู้เขียน โดยให้คิดในมุมกว้างทั่วๆ ไป? ผู้อธิบายความไม่สามารถแยกหรือคิดต่างไปตามเกณฑ์ของอัตนัย ในการจำแนกขอบข่ายความคิดของตน ไปจากความคิดของผู้เขียนกระนั้นหรือ?

ประการที่สอง : พื้นฐานแนวคิดของ Gadamer, จะเห็นถึงประเภทของความสัมพันธ์ได้อย่างชัดเจน ระหว่างความเข้าใจถูกต้องและผิด โดยไม่หลงเหลือเขตแดนอีกต่อไป และในความเป็นจริงแล้วทฤษฎีนี้มีความคล้ายเหมือนกับทฤษฎีของ"ความสัมพันธ์" ของคานต์ (Kant)

ประการที่สาม : ทั้งทฤษฎีและรูปแบบทั่วไปของ Gadamer สามารถท้วงติงได้ การยอมรับประสิทธิผลของการเริ่มต้น การตัดสิน และประเพณีต่างๆ ซึ่งทั้งหมดเป็นภารกิจหนึ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ประการที่สี่ : หากทุกความเข้าใจต้องการการเริ่มต้น แน่นอนว่า การเริ่มต้นนั้นก็ต้องการค่าเริ่มต้นด้วยเช่นกัน และสิ่งนี้ในความเป็นจริงก็คือเหตุผลวน และนำไปสู่การสิ้นสุดที่ลำดับซึ่งไม่ถูกต้อง[8]

ประเด็นเกี่ยวกับการตีความต่างๆ ของศาสนา

จนถึงปัจจุบันได้อธิบาย อรรถปริวรรตศาสตร์  และการตีความต่างๆ ของศาสนาไปแล้ว และได้นับทฤษฎีต่างๆ เหล่านั้นไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งทัศนะของ Gadamer ซึ่งสะท้อนต่อนักคิดร่วมสมัยจำอย่างมากมาย ซึ่งได้อธิบายประเด็นต่างๆ ไปแล้ว แต่สำหรับความสมบูรณ์ของการวิภาษ จำเป็นต้องพิจารณาถึงประเด็นดังต่อไปนี้  :

ประเด็นแรก : ถึงแม้ว่าปัญหาของ"การตีความต่างๆ ของศาสนา" ส่วนใหญ่จำนำมาจากอรรถปริวรรตศาสตร์ของปรัชญาสมัยใหม่ แต่การอภิปราย การตีความ และความเข้าใจตัวบทก็มีอยู่ในประวัติศาสตร์ของศาสตร์อิสลามตั้งแต่โบราณแล้ว อาจกล่าวได้ : ศาสตร์ในแง่ของอรรถปริวรรตศาสตร์ในอิสลาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตัฟซีรอัลกุรอาน อิลม์อุซูล และเอรฟานทางทฤษฎีก็ได้รับการแนะนำเอาไว้ ตัวอย่างเช่น สามารถกล่าวถึงการวิภาษในเรื่อง : การตีความอัลกุรอานประเภทต่างๆ ด้วยเหตุผลของสติปัญญา, การอ้างอิง,รหัสยะ, การประจักษ์, การตีความออัลกุรอาน ด้วยอัลกุรอาน, การตีความตามแนวคิดของตัวเอง, การวิภาษเรื่องของคำ, และวิธีอื่นอีกมากมาย

 

ประเด็นที่สอง : เนื่องจากตัวบทอันศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาเป็นการสร้าง และเผยแผ่วัฒนธรรมของชาวมุสลิม ซึ่งมีบทบาทสำคัญที่สุดจะต้องรับผิดชอบการประพันธ์ศาสตร์ต่างๆ ในศาสนาอิสลาม เราสามารถกล่าวได้ว่า การแสดงทฤษฎี หรือการศึกษาเกี่ยวกับวิธีการล้วนอยู่ในขอบข่ายของความเข้าใจทั้งสิ้น การตีความ หรือการทำความเข้าใจกับตัวบท ถือเป็นบทนำที่เหมาะสมที่สุดในการวิภาษเรื่องเทววิทยา ดังนั้น สาเหตุ และวิธีการที่ถูกนำเสนอ และความเชื่อในความเป็นไปได้ของ"การตีความที่หลากหลาย" จากคำสอนและความเชื่อทางศาสนา, มีความท้าทายอย่างใหญ่หลวงในพื้นที่เหล่านี้ วิธีการเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นโดยปัญญาชนอาหรับและมิใช่อาหรับ ในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่ได้นำมาจากอรรถปริวรรตศาสตร์  ของ" H. G. Gadamer" นักคิดเหล่านี้ได้พยายามนำเอาหลักอุซูลและวิธีวิภาษของ อรรถปริวรรตศาสตร์ปรัชญา  มาใช้ในการตีความ อัลกุรอาน และรายงานของศาสนา และนำไปใช้ในตรรกะความเข้าใจของศาสนาอีกด้วย แน่นอนว่า การเลือกของเขาในกรณีเหล่านี้สามารถสรุปได้ดังนี้ :

1.บทบัญญัติและตัวบทศาสนาเงียบและไม่ออกเสียง

2.สมมติฐานอัตนัยทั้งในและภายนอกความเห็นของผู้อธิบายความและผู้ฟัง, มีผลต่อการตีความตัวบท

3.สาระสำคัญของความจริงของศาสนา จะไม่ตกอยู่มือของผู้ตีความ

4.จะไม่มีการตีความที่บริสุทธิ์หรือมีความบริสุทธิ์อันใดทั้งสิ้น และเราจะอยู่ท่ามกลางการผสมผสานระหว่างความถูกต้องและไม่ถูกต้อง

ประเด็นที่สาม : มุมมองของนักคิดจำนวนมากที่กล่าวถึงข้างต้น มิได้ให้ข้ออ้างจำเป็นต่อเกณฑ์และมาตรฐานต่างๆ ที่สามารถประเมินผลและการตัดสินการตีความที่แตกต่างได้, และไม่ได้ความพยายามที่จะแยกระหว่างการตีความที่ถูกต้อง ออกจากความไม่ถูกต้อง, หรือความสอดคล้องออกจากความไม่สอดคล้องกัน  อีกนัยหนึ่ง : ความเข้าทั้งหมดจะมีค่าเท่ากัน ในกรณีที่วางอยู่บนพื้นฐานทางศาสนาและทฤษฎีที่ดีกว่า, ผู้ตีความจะต้องพยายามแยก และทำความรู้จักขอบข่ายสติปัญญาของตนออกจากขอบข่ายของ "ผู้ประพันธ์", และตามเกณฑ์และมาตรฐานในการแก้ไขทัศนะของตน เพ่อปรับให้เข้ากันกับความตั้งใจของผู้พูด มิฉะนั้น มุมมองและแนวทางใหม่นี้,นอกเหนือจากความเข้าใจศาสนาแล้ว ยังได้ครอบคลุมวิธีการรู้จักความเข้าใจทางศาสนาด้วย

ตามทัศนะของนักวิชาการอิสลาม, ยอมรับแตกต่างในการทำความเข้าใจกับศาสนาว่าเป็นความจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้มานานแล้ว แต่ความแตกต่างกันนี้ "เป็นเกณฑ์" ซึ่งความหลายของเกณฑ์ในลักษณะหนึ่งได้ตีความตัวบทของศาสนา ดังนั้น"ความพยายามในการทำความเข้าใจ" หรือ "ความต่างในศาสนา" หมายถึง "การตีความตามทัศนะตัวเอง" และการกำหนดความคิดของตนที่มีต่อตัวบทของศาสนา ซึ่งมิได้ให้ความน่าเชื่อถือในทุกความแตกต่างเหล่านั้น

ประเด็นที่สี่ : ดังนั้น สิ่งที่ถูกกล่าวว่าทั้งผู้เสนอและผู้สนับสนุน อรรถปริวรรตศาสตร์ปรัชญา และการตีความที่แตกต่างกันของศาสนา จะต้องยอมรับ"ผู้อธิบายความเป็นศูนย์กลาง" ในขณะที่ทฤษฎีของนักคิดอิสลาม จะแสวงหาความหมายและความตั้งใจจริงของผู้พูด ( นั่นคือพระเจ้าหรือทูตของพระองค์) เป็นวิธีการหนึ่ง ซึ่ง"ผู้ประพันธ์" คือศูนย์กลาง จากสาตุนี้เองในมุมมองนี้ผู้อธิบายความจึงอยู่ในฐานะของผู้ดำเนินตามตัวบท (อัลกุรอานหรือหะดีษ) ไปตามความตั้งใจของเจ้าของคำพูด ซึ่งสามารถยอมรับทัศนะที่ว่า “ตัวบทคือศูนย์กลาง” ทุกความพยายามและการขวนขวายของผู้อธิบายความ ซึ่งให้ผู้ประพันธ์เป็นแกน หรือตัวบทเป็นแกน ถ้าหากการค้นพบมีความละเอียดอ่อนถูกต้อง และเป็นไปตามความหมายของผู้พูดมากเท่าใด และจากทุกเงื่อนไขที่เขาได้ช่วยให้เขาเข้าถึง ผู้อธิบายความก็จะได้รับประโยชน์มากเท่านั้น เงื่อนไขและข้อบ่งชี้เช่น : เอกสารหลักฐานและพยานหลักฐาน ก็ต้องการฐานความรู้พื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญ เช่น : กฎการใช้ภาษาของผู้พูด, การรู้จักกฎเกณฑ์ของภาษา เช่น กฎทั่วไปและเฉพาะเจาะจง, ความกว้างอย่างไร้เงื่อนไขหรือมีเงื่อนไข, คลุมเครือหรือชัดเจน, ขอบข่ายหรือเป็นสาเหตุของการประทานตัวบท และ....

ฉะนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่า, การให้ผู้ประพันธ์เป็นแกน มิได้หมายความว่าเป็นการปฏิเสธความหมายของ ค่าเริ่มต้นทั้งหมด, แม้ว่าค่าเริ่มต้นบางส่วนจะเป็นสาเหตุสนับสนุนความคิดของผู้อธิยายความที่มีต่อตัวบท อันเป็นสาเหตุของการตีความไปตามทัศนะของตนเอง กระนั้นค่าเริ่มต้นและความรู้พื้นฐานก็เป็นสิ่งจำเป็น และเป็นตัวเลือกที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

1.  ความรู้พื้นฐานและสมมุติฐานต่างๆ ซึ่งเป็นบทนำสำหรับการวินิจฉัยและดึงความหมายจากแก่นแท้ของตัวบท เช่น กฎทางวรรณกรรมและทางภาษา

2.ค่าเริ่มต้นของคำพูดและความเชื่อ เช่น วิทยปัญญาของพระเจ้า การชี้นำด้วยคำพูดของพระองค์, การเป็นผู้พูดของอัลกุรอาน, ความชัดแจ้งของอัลกุรอาน, ข้อพิสูจน์ของคัมภีร์และซุนนะฮฺ และ

3.ค่าเริ่มต้น ที่ก่อให้เกิดคำถามขึ้นทางสติปัญญาและข้อสงสัย เพื่อสอบถามและสำรวจตัวบทใหม่

ประเด็นที่ห้า : ประเด็นสุดท้ายซึ่งการพิจารณาจุดนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่ง, การตอบคำถามนี้เป็นเหตุผลที่แม้กระทั่งในบริบทของกฎระเบียบที่ชัดเจน การทำความเข้าใจ และการวินิจฉัยต่างๆ จึงได้เกิดขึ้น?

สำหรับคำตอบสามารถกล่าวโดยสรุปเช่นนี้ : เป็นที่แน่นอนว่า ความขัดแย้ง ความหลากหลาย, ความขัดแย้งที่ไม่จริงและความแตกต่างในการตีความ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วควรที่จะเก็บเกี่ยวในแนวตั้งของสิ่งเหล่านั้น  ตัวอย่างเช่น เรื่องหลักกฎหมาย ที่บางครั้งกฎขัดแย้งกับคำตัดสิน, ซึ่งเกี่ยวข้องกับสองเวลา สองโหมดเงื่อนไข และสองสถานะ หรือสองประเด็นที่แตกต่างกัน ซึ่งในกรณีที่วิเคราะห์โดยละเอียดถึงกรณีที่ขัดแย้ง, สามารถขจัดความขัดแย้งออกไปได้ทั้งหมด อีกนัยหนึ่งคือ สามารถนำเอาความขัดแย้งเหล่านั้นมารวมกัน เพื่อหาทางออกที่สมควร

อีกประเภทอหนึ่งของความหลากหลายและแตกต่าง, เกี่ยวกับการมาตรฐานการคิดที่ครอบคลุมของผู้วิจัย หรือผู้ออกความเห็นและผู้อธิบายความ, อีกนัยหนึ่ง เนื่องจากต้นกำเนิดมาจากความแตกต่าง ค่าเริ่มต้นจึงเป็นคำถาม ซึ่งผู้ตีความจำนวนมาก บางครั้งได้ใช้ความเสมอภาพ และบางครั้งก็ใช้ ความแตกต่าง ตั้งเป็นคำถามที่แตกต่างกันต่อคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ครอบคลุมหลายด้านของตัวบท รวมทั้งความลึกในแง่ต่างๆ ด้านในของคัมภีร์, อันเป็นทำให้ได้รับคำตอบที่หลากหลาย, ซึ่งในความเป็นจริงคำตอบทั้งหมดอยู่ในแนวตั้งและมีความเห็นเข้าด้วยกัน มิได้อยู่ในแนวนอนและมีความขัดแย้งกัน

แต่ในกรณีของความหลากหลายและความขัดแย้ง ซึ่งอยู่ในรูปแบบที่แท้จริงแต่มิได้อยู่ในแนวตั้ง ที่พาดพิงไปยังความแตกต่างในการตีความ,เหตุผลของสิ่งเหล่านี้สามารถกล่าวได้เช่นนี้ :

ไม่สนใจ หรือผิดพลาดในกฎระเบียบของไวยากรณ์อาหรับและวรรณคดี เช่น ไม่ใส่ใจและละเลยต่อข้อยกเว้น หรือเงื่อนไขต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในตัวบท ขาดการประยุกต์ใช้หลักการของเหตุผลและตรรกะ, เพียงแค่คิดในวิธีการตีความโดยขาดความสนใจในเทคนิค บริบท เครื่องหมายต่างๆ และสมมาตรทั่วไปของผู้พูด, ไม่ใส่ใจต่อเหตุผลและเครื่องหมายของสติปัญญา, มีการค้นคว้าสายรายงาน และเอกสารประกอบที่ไม่เพียงพอ ขาดการประยุกต์ใช้ความรู้บางอยาง เช่น อิลมุริญาล และดิรอยะฮฺ

สรุป ความหลากหลายในตีความตัวบทของศาสนาหนึ่ง หรือคัมภีร์เล่มหนึ่งในลักษณะของ "หลักเกณฑ์มาตรฐาน" เหมาะสมและในเวลาเดียวกัน "มีความจำกัด" เป็นสิ่งที่ปฏิเสธและหลีกเลี่ยงไม่ได้ในกรณีที่มีจำนวนมาก แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า, คนที่ไม่ ความสามารถเพียงพอที่จะใช้ตัวบทหนึ่ง อาจจะเรียกร้อง "การตีความใหม่” (Reading) จากศาสนาหรือจากตัวบทของศาสนา แน่นอนว่า ความถูกต้องของสิ่งนั้น เป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญ และนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนาและภาษา ที่ต่องเป็นผู้กำหนด[9]

สรุป :

ด้วยการแสดง 2 ทฤษฎีของพหุนิยม และการตีความที่แตกต่างกันของศาสนา เป็นที่ชัดเจนว่าทั้งสองหัวข้อ เป็นสองประเภทที่แยกกันอย่างละเอียด เป็นข้อพิพาทในการศาสนา ซึ่งในปีที่ผ่านมามีการเขียนบทความ และสิ่งพิมพ์ซึ่งได้รับการกล่าวถึงอย่างกว้างขวาง ซึ่งเนื้อหามีความแตกต่างกันและกันอย่างชัดเจน และในความเป็นจริงแล้วเป็นบทวิภาษใหม่ใน 2 สาขาของวิชาศาสนศาสตร์

แต่จุดร่วมของทั้งสอง,คือ วิธีอรรถปริวรรตศาสตร์ พหุนิยมในฐานะที่เป็น วิธีที่หกที่ถูกล่าวในบทวิภาษเกี่ยวกับพหุนิยม ซึ่งเนื้อหาและการพิจารณาได้อธิบายไปแล้วโดยสังเขป

สุดท้าย, ประเด็นที่จำเป็นต้องพูดถึงในเรื่อง พหุนิยม ก็คือการอภิปรายเรื่อง อรรถปริวรรตศาสตร์ ซึ่งต้องการรายละเอียดอีกมาก ดังนั้น สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถศึกษาได้จากหนังสือที่เกี่ยวข้องกับการอภิปรายหัวข้อดังกล่าว

แหล่งอ้างอิงสำหรับการศึกษาเพิ่มเติม  :

1ศาสตราจารย์ ฮาดะวี เตหะรานนี, มะฮฺดียฺ, ,มะบานียฺ กะลาม อิจญฺติฮาด.

2ซุรูช,อับดุลกะรีม, ซิรอฏฮอเยะ มุสตะกีม

3 อับดุรเราะซูล, บัยยาต และคนอื่น ๆ , อภิธานศัพท์

4 เราะฮีม พูร อัซเฆาะดียฺ, ฮะซัน, วิจารณ์หนังสือ, ฉบับที่ 4

5 มุจญฺตะฮิด ชุบัสตะรียฺ, มุฮัมมัด, อรรถปริวรรตศาสตร์ อัลกุรอาน และซุนนะฮฺ

 


[1] Golpayegani Rabbani, Ali, การวิเคราะห์และการวิจารณ์พหุนิยมทางศาสนา, หน้า 19, สถาบันความรู้วัฒนธรรมร่วมสมัย, พิมพ์ครั้งที่หนึ่ง, เตหะราน

   เดียวกันหน้า 20

[2] อ้างแล้ว, หน้า 20

[3] มีร จอลยาดะฮฺ, ดีรพะฌูฮี, แปลโดยบะฮาอุดดีน โครัมชาฮี, หน้า 301, บทความ “ความหลากหลายของศาสนา” ผลงานของจอห์น ฮีก

[4] จอห์นฮีก ปรัชญาศาสนา, แปลโดย บะฮฺรอม ราด, หน้า  238

[5] ศึกษาได้จาก : แนวทางอันเที่ยงตรง, อับดุลกะรีม ซุรูช, สำนักพิมพ์ ซิรอฏ, เตหะราน, นิตยสารกียาน, ฉบับที่ 36, บทความต่างๆ อันเทียงตรง ลำดับที่ 37 และ 38; อับดุรเราะซูลบียาต และคนอื่น ๆ, สารานุกรมศัพท์, สถาบันความคิดทางศาสนาและวัฒนธรรม, บทความพหุนิยมทางศาสนา, พิมพ์ครั้งแรก, ปี 1381

[6] อภิธานศัพท์, หน้า, 161 และ 162

[7] ศึกษาได้จาก :ศาสตราจารย์ ฮาดาวี เตหะรานนี, มะฮฺดียฺ, มะบานี กะลาม อิจญฺติฮาด, สถาบันวัฒนธรรมคิรัด, กุม, พิมพ์ครั้งแรก 1377, หัวข้อ,อรรถปริวรรตศาสตร์, หน้า, 200-224; อับดุรเราะซูล บัยยาต และอื่น ๆ , อภิธานศัพท์, บทความ "อรรถปริวรรตศาสตร์ "

[8] มะบานี กะลาม อิจญฺติฮาด, หน้า 225, 235, อภิธานศัพท์, หน้า 590-592.

[9] การเขียนส่วนนี้ได้หยิบยกประเด็นมาจากบทความ อรรถปริวรรตศาสตร์, เขียนโดยอับดุรเราะซูล บัยยาตียฺ

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ทำไม อิบลิส (ซาตาน) จึงถูกสร้างขึ้นจากไฟ ?
    10683 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/10/21
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น โปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...
  • อิมามฮะซัน มุจญฺตะบา (อ.) ได้สมรสกับหญิงหลายคน และหย่าพวกนางหรือ?
    7455 ชีวประวัติมะอฺซูม (อ.) 2555/08/22
    หนึ่งในประเด็น อันเป็นความเสียหายใหญ่หลวง และน่าเสียใจว่าเป็นที่สนใจของแหล่งฮะดีซทั่วไปในอิสลาม, คือการอุปโลกน์และปลอมแปลงฮะดีซ โดยนำเอาฮะดีซเหล่านั้นมาปะปนรวมกับฮะดีซที่มีสายรายงานถูกต้อง โดยกลุ่มชนที่มีความลำเอียงและรับจ้าง ท่านอิมามฮะซัน มุจญฺตะบา (อ.) เป็นอิมามผู้บริสุทธิ์ท่านที่สอง, เป็นหนึ่งในบุคคลที่บรรดานักปลอมแปลงฮะดีซ ได้กุการมุสาพาดพิงไปถึงท่านอย่างหน้าอนาถใจที่สุด ในรูปแบบของรายงานฮะดีซ ซึ่งหนึ่งในการมุสาเหล่านั้นคือ การแต่งงานและการหย่าร้างจำนวนมากหลายครั้ง แต่หน้าเสียใจตรงที่ว่า รายงานเท็จเหล่านี้บันทึกอยู่ในแหล่งอ้างอิงฮะดีซและหนังสือประวัติศาสตร์ ทั้งซุนนียฺและชีอะฮฺ แต่ก็หน้ายินดีว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หลักความเชื่อที่ถูกต้องมีอยู่อยู่มือจำนวนไม่น้อยเช่นกัน ซึ่งทำให้การอุปโลกน์และปลอมแปลงฮะดีซของพวกเขาเป็นที่ประจักษ์ชัดเจน ...
  • ในมุมมองของรายงาน,ควรจะประพฤติตนอย่างไรกับผู้มิใช่มุสลิม?
    7646 สิทธิและกฎหมาย 2555/08/22
    อิสลาม เป็นศาสนาที่วางอยู่บนธรรมชาติอันสะอาดยิ่งของมนุษย์ ศาสนาแห่งความเมตตา ได้ถูกประทานลงมาเพื่อชี้นำมนุษย์ไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง และความผาสุกของมนุษย์ชาติทั้งหมด อีกด้านหนึ่งการเลือกนับถือศาสนาเป็นความอิสระของมนุษย์ ดังนั้น ในสังคมอิสลามนั้นท่านจะพบว่ามีผู้มิใช่มุสลิมปะปนอยู่ไม่มากก็น้อย อิสลามมีคำสั่งให้รักษาสิทธิ ประพฤติดี และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสันติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบุคคลที่นับถือศาสนา ไม่ว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมอิสลาม ภายใต้การปกครองของรัฐอิสลาม หรือบุคคลที่อยู่ในสังคมอื่นที่มิใช่อิสลาม, ผู้ปฏิเสธศรัทธาที่ดำรงชีวิตอยู่ภายใต้รัฐอิสลาม จำเป็นรักษาเงื่อนไขของผู้ร่วมอาศัยด้วย ถ้าหากไม่รักษาเงื่อนไขของผู้ร่วมอาศัย หรือทรยศหักหลังก็จำเป็นต้องถูกลงโทษตามกฎหมายอิสลาม ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38950 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ริวายะฮ์ที่กล่าวว่า “ในสมัยที่อิมามอลี (อ.) ปกครองอยู่ ท่านมักจะถือแซ่เดินไปตามถนนหนทางและท้องตลาดพร้อมจะลงโทษอาชญากรและผู้กระทำผิด” จริงหรือไม่?
    6412 สิทธิและกฎหมาย 2555/03/18
    สำนักงานท่านอายะตุลลอฮ์อัลอุซมา มะการิม ชีรอซี ริวายะฮ์ข้างต้นกล่าวถึงช่วงรุ่งอรุณขณะที่ท่านสำรวจท้องตลาดในเมืองกูฟะฮ์ และการที่ท่านมักจะพกแซ่ไปด้วยก็เนื่องจากต้องการให้ประชาชนสนใจและให้ความสำคัญกับกฏหมายนั่นเอง สำนักงานท่านอายะตุลลอฮ์อัลอุซมาศอฟีย์ กุลพัยกานี ริวายะฮ์ได้กล่าวไว้เช่นนั้นจริง และสิ่งที่อิมามอลี(อ.) ได้กระทำไปคือสิ่งที่จำเป็นต่อสถานการณ์ในยุคนั้น การห้ามปรามความชั่วย่อมมีหลายวิธีที่จะทำให้บังเกิดผล ดังนั้นจะต้องเลือกวิธีที่จะทำให้สังคมคล้อยตามความถูกต้อง คำตอบของท่านอายะตุลลอฮ์มะฮ์ดี ฮาดาวี เตหะรานี มีดังนี้ หากผู้ปกครองในอิสลามเห็นสมควรว่าจะต้องลงโทษผู้ต้องหาและผู้ร้ายในสถานที่เกิดเหตุ หลังจากที่พิสูจน์ความผิดด้วยวิธีที่ถูกต้อง และพิพากษาตามหลักศาสนาหรือข้อกำหนดที่ผู้ปกครองอิสลามได้กำหนดไว้ การลงทัณฑ์ในสถานที่เกิดเหตุถือว่าไม่ไช่เรื่องผิด และในการนี้ไม่จำเป็นต้องอ้างอิงริวายะฮ์ดังกล่าวแต่อย่างใด แต่รายงานที่ถูกต้องที่ปรากฏในตำราฮะดีษอย่าง กุตุบอัรบาอะฮ์[1] ก็คือ ท่านอิมามอลี (อ.) พกแซ่เดินไปตามท้องตลาดและมักจะตักเตือนประชาชนให้ระมัดระวังในเรื่องต่าง ๆ โดยไม่มีตำราเล่มใดบันทึกว่าอิมามอลี (อ.) เคยลงโทษผู้ใดในตลาด
  • ตัฟซีรอิมามฮะซัน อัสการีย์ (อ.) »อัลฮัมดุลลิลฮิร็อบบิลอาละมีน« หมายถึงอะไร?
    11262 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/05/17
    ตัฟซีรอิมามฮะซัน อัสการียฺ (อ.) เป็นหนึ่งในตัฟซีรที่กล่าวว่าเป็นของท่านอิมาม ซึ่งมีเหตุผลบางประการพาดพิงว่าตัฟซีรดังกล่าวเป็นของท่านอิมาม แต่เป็นเหตุผลที่เชื่อถือไม่ได้แน่นอน ตัฟซีรชุดนี้ได้มีการตีความอัลกุรอาน บทฟาติฮะฮฺ (ฮัม) และบทบะเกาะเราะฮฺ โองการ 282 โดยรายงานฮะดีซ ซึ่งในวิชาอุลูมกุรอานเรียกว่าตัฟซีร »มะอฺซูเราะฮฺ« อย่างไรก็ตาม, ท่านอิมามฮะซันอัสการียฺ (อ.) ได้อธิบายถึงประโยคที่ว่า «اَلْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعالَمِين» ไว้ในหลายประเด็น, เนื่องจาการขอบคุณอัลลอฮฺ เพราะความโปรดปรานต่างๆ อันไม่อาจคำนวณนับได้, การสนับสนุนสรรพสิ่งถูกสร้าง, ความประเสริฐ และความดีกว่าของชีอะฮฺ เนื่องจากการยอมรับวิลายะฮฺ และอิมามะฮฺของท่านอิมามอะลี (อ.) และกล่าวว่า เนื่องจากจำเป็นต้องขอบคุณอัลลอฮฺ เพราะความโปรดปรานของพระองค์ จึงได้กล่าวว่า «اَلْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعالَمِين» ...
  • โองการตัฏฮีร กล่าวอยู่ในอัลกุรอานบทใด?
    7548 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/06/30
    อัลกุรอาน โองการที่รู้จักกันเป็นอย่างดีหรือ โองการตัฏฮีร, โองการที่ 33 บทอัลอะฮฺซาบ.อัลกุรอาน โองการนี้อัลลอฮฺ ทรงอธิบายให้เห็นถึง พระประสงค์ที่เป็นตักวีนีของพระองค์ สำหรับการขจัดมลทินให้สะอาดบริสุทธิ์สมบูรณ์ แก่ชนกลุ่มหนึ่งนามว่า อะฮฺลุลบัยตฺ อัลกุรอาน โองการนี้นับว่าเป็นหนึ่งในโองการทรงเกียรติยศยิ่ง เนื่องจากมีรายงานจำนวนมากเกินกว่า 70 รายงาน ทั้งจากฝ่ายซุนนีและชีอะฮฺ กล่าวถึงสาเหตุแห่งการประทานลงมา จำนวนมากมายของรายงานเหล่านั้นอยู่ในขั้นที่ว่า ไม่มีความสงสัยอีกต่อไปเกี่ยวกับจุดประสงค์ของโองการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุประสงค์ของโองการที่กล่าวเกี่ยวกับ อะฮฺลุลบัยตฺ ของท่านศาสดา (ซ็อล น) ซึ่งประกอบไปด้วย ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ ท่านอะลี ท่านฮะซัน และท่านฮุซัยนฺ (อ.) แม้ว่าโองการข้างต้นจะถูกประทานลงมา ระหว่างโองการที่กล่าวถึงเหล่าภริยาของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ก็ตาม แต่ดังที่รายงานฮะดีซและเครื่องหมายอื่นๆ ที่บ่งบอกถึงประเด็นดังกล่าวนั้น สามารถเข้าใจได้ว่า โองการข้างต้นและบทบัญญัติของโองการ มิได้เกี่ยวข้องกับบรรดาภริยาของท่านศาสดาแต่อย่างใด และการกล่าวถึงโองการที่มิได้เกี่ยวข้องกันไว้ในที่เดียวกัน ...
  • ได้ยินว่าระหว่างสงครามอิรักกับอิหร่านนั้น ร่างของบางคนที่ได้ชะฮีดแล้ว, แต่ไม่เน่าเปื่อยสลาย, รายงานเหล่านี้เชื่อถือได้หรือยอมรับได้หรือไม่?
    8473 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/05/17
    โดยปกติโครงสร้างของร่างกายมนุษย์, จะเป็นไปในลักษณะที่ว่า เมื่อจิตวิญญาณได้ถูกปลิดไปจากร่างกายแล้ว, ร่างกายของมนุษย์จะเผ่าเปื่อยและค่อยๆ สลายไป, ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้น้อยมาก ที่ร่างกายของบางคนหลังจากเสียชีวิตไปแล้วนานหลายปี จะไม่เน่าเปื่อยผุสลายและอยู่ในสภาพปกติ. แต่อีกด้านหนึ่ง อัลลอฮฺ ทรงพลานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่างและทุกการงาน[1] ซึ่งอย่าเพิ่งคิดว่าสิ่งนี้จะไม่มีความเป็นไปได้ หรือห่างไกลจากภูมิปัญญาแต่อย่างใด. เพราะว่านี่คือกฎเกณฑ์ทั่วไป ซึ่งได้รับการละเว้นไว้ในบางกรณี, เช่น กรณีที่ร่างของผู้ตายอาจจะไม่เน่าเปื่อย โดยอนุญาตของอัลลอฮฺ ดังเช่น มามมีย์ เป็นต้น จะเห็นว่าร่างกายของเขาไม่เน่าเปื่อย ซึ่งเรื่องนี้ได้ผ่านพ้นไปนานหลายพันปีแล้ว และประสบการณ์ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นความจริงดังกล่าวแล้วด้วย ดังนั้น ถ้าหากพระประสงค์ของอัลลอฮฺ ครอบคลุมเหนือประเด็นดังกล่าวนี้ ก็เป็นไปได้ที่ว่าบางคนอาจเสียชีวิตไปแล้วหลายร้อยปี แต่ร่างกายของเขาไม่เน่าเปื่อยผุสลาย ยังคงสมบูรณ์เหมือนเดิม แล้วพระองค์ทรงเป่าดวงวิญญาณให้เขาอีกครั้ง ซึ่งเขาผู้นั้นได้กลับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง, อัลกุรอานบางโองการ ก็ได้เน้นย้ำถึงเรื่องราวของศาสดาบางท่านเอาไว้[2] เช่นนี้เองสิ่งที่กล่าวไว้ในรายงานว่า ถ้าหากบุคคลใดที่มีนิสัยชอบทำฆุซลฺ ญุมุอะฮฺ, ร่างกายของเขาในหลุมฝังศพจะไม่เน่นเปื่อย
  • ในทัศนะอิสลาม บาปของฆาตกรที่เข้ารับอิสลามจะได้รับการอภัยหรือไม่?
    8114 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/12
    อิสลามมีบทบัญญัติเฉพาะสำหรับผู้ที่เพิ่งเข้ารับอิสลามอาทิเช่นหากก่อนรับอิสลามเคยละเมิดสิทธิของอัลลอฮ์เช่นไม่ทำละหมาดหรือเคยทำบาปเป็นอาจินเขาจะได้รับอภัยโทษภายหลังเข้ารับอิสลามทว่าในส่วนของการล่วงละเมิดสิทธิเพื่อนมนุษย์เขาจะไม่ได้รับการอภัยใดๆเว้นแต่คู่กรณีจะยอมประนีประนอมและให้อภัยเท่านั้นฉะนั้นหากผู้ใดเคยล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่นเมื่อครั้งที่ยังมิได้รับอิสลามการเข้ารับอิสลามจะส่งผลให้เขาได้รับการอนุโลมโทษทัณฑ์จากอัลลอฮ์ก็จริงแต่ไม่ทำให้พ้นจากกระบวนการพิจารณาโทษในโลกนี้
  • การให้การเพื่อต้อนรับเดือนมุฮัรรอม ตามทัศนะของชีอะฮฺถือว่ามีความหมายหรือไม่?
    7480 สิทธิและกฎหมาย 2554/12/20
    การจัดพิธีกรรมรำลึกถึงโศกนาฏกรรมของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ถือเป็นซุนนะฮฺ (แบบฉบับ) ซึ่งได้รับการสถาปนาและสนับสนุนโดยบรรดาอิมามมะอฺซูม (อ.)

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60132 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57573 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42220 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39370 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38950 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34004 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28021 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27966 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27804 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25802 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...