การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
6979
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/09/20
 
รหัสในเว็บไซต์ fa2573 รหัสสำเนา 16841
คำถามอย่างย่อ
อิสลามและอิมามโคมัยนีมีทัศนคติอย่างไรเกี่ยวกับการหยอกล้อและการพักผ่อนหย่อนใจ?
คำถาม
คุณมีทัศนะอย่างไรต่อคำพูดที่อ้างถึงอิมามโคมัยนีที่ว่า "อัลลอฮ์มิได้สร้างมนุษย์มาเพื่อการละเล่น เป้าประสงค์ของการสร้างมนุษย์ก็เพื่อทดสอบมนุษย์ด้วยความยากลำบาก อุปสรรค และศาสนกิจ, ระบอบอิสลามจะต้องจริงจังในทุกด้าน, การหยอกล้อไม่มีความหมายในทัศนะอิสลาม, ผู้ที่จริงจังจะต้องไม่หยอกล้อกัน, อิสลามไม่อนุญาตให้ว่ายน้ำในทะเล, อิสลามคัดค้านการเสพสื่อไม่ว่าจะเป็นวิทยุ โทรทัศน์ หรือการรับชมละครทีวี, อิสลามอนุญาตให้เล่นกีฬายิงธนู ขี่ม้า หรือแข่งขันม้าเท่านั้น ฯลฯ
อยากทราบว่าคำพูดเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่? อิสลามสอนเช่นนี้หรือ?
คำตอบโดยสังเขป

เป้าประสงค์ของการสร้างมนุษย์ตามทัศนะของอิสลามคือการอำนวยให้มนุษย์มีพัฒนาการ เพราะทุกสรรพสิ่งบนโลกล้วนถูกสร้างมาเพื่อเป้าหมายดังกล่าว ทั้งนี้เนื่องจากมนุษย์คือสิ่งถูกสร้างที่ประเสริฐสุด ดังที่กุรอานกล่าวว่า "ข้ามิได้สร้างมนุษย์และญินมาเพื่ออื่นใดเว้นแต่ให้สักการะภักดีต่อข้า"[i] นักอรรถาธิบาย(ตัฟซี้ร)ลงความเห็นว่า การสักการะภักดีในที่นี้หมายถึงภาวะแห่งการเป็นบ่าว ซึ่งเป็นปัจจัยสำหรับพัฒนาการที่แท้จริงของมนุษย์

เพื่อการนี้ อิสลามให้ความสำคัญต่อทั้งด้านร่างกายและจิตใจมนุษย์ ดังที่อิมามอลี(.)กล่าวไว้ว่าผู้ที่มีอีหม่านจะต้องมีสามช่วงเวลาในแต่ละวันของเขา : ส่วนหนึ่งสำหรับการอิบาดะฮ์ ส่วนหนึ่งสำหรับการทำมาหากินและกิจการทางโลก ส่วนหนึ่งสำหรับความบันเทิงที่ฮะล้าลและใช้ประโยชน์จากความโปรดปรานของพระองค์ โดยที่ส่วนสุดท้ายจะช่วยให้สองส่วนแรกเป็นไปอย่างราบรื่น[ii]
อิสลามไม่เคยคัดค้านการพักผ่อนหย่อนใจหรือการหยอกล้อที่ถูกต้อง ไม่เคยห้ามว่ายน้ำในทะเล ซ้ำบรรดาอิมาม(.)ได้สอนสาวกให้ทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้ในเชิงปฏิบัติ ท่านนบี(..)เองก็เคยหยอกล้อกับมิตรสหายเพื่อให้มีความสุข

ท่านอิมามโคมัยนีไม่เคยคัดค้านการพักผ่อนหย่อนใจและการหยอกล้อที่อยู่ในขอบเขต ท่านกล่าวเสมอว่าการพักผ่อนหย่อนใจควรเป็นไปอย่างถูกต้อง ท่านไม่เคยคัดค้านรายการบันเทิงตามวิทยุโทรทัศน์ บางครั้งท่านชื่นชมยกย่องทีมงานของรายการต่างๆเหล่านี้ด้วย แต่ท่านก็ให้คำแนะนำอันทรงคุณค่าเกี่ยวกับประเด็นนี้ โดยถือว่าทุกรายการจะต้องมีจุดประสงค์เพื่อรับใช้อิสลามและแฝงไว้ซึ่งคำสอนทางจริยธรรม
อย่างไรก็ดี การที่จะศึกษาทัศนะของอิมามโคมัยนีนั้น จำเป็นต้องอ้างอิงจากเว็บไซต์ของศูนย์เรียบเรียงและเผยแพร่ผลงานของอิมามโคมัยนี หรือหาอ่านจากหนังสือชุดเศาะฮีฟะฮ์ นู้ร ตามลิ้งค์ด้านล่างนี้ (เปอร์เซีย)
http://www.imam-khomeini.org/farsi/main/main.htm



[i] ซูเราะฮ์ อัซซาริยาต,56 " و ما خَلَقْتُ الْجِنَّ وَ الْإِنْسَ إِلاَّ لِیَعْبُدُونِ"

[ii] یَا بُنَیَّ لِلْمُؤْمِنِ ثَلَاثُ سَاعَاتٍ سَاعَةٌ یُنَاجِی فِیهَا رَبَّهُ وَ سَاعَةٌ یُحَاسِبُ فِیهَا نَفْسَهُ وَ سَاعَةٌ یَخْلُو فِیهَا بَیْنَ نَفْسِهِ وَ لَذَّتِهَا فِیمَا یَحِلُّ وَ یُحْمَدُ وَ لَیْسَ لِلْمُؤْمِنِ بُدٌّ مِنْ أَنْ یَکُونَ شَاخِصاً فِی ثَلَاثٍ مَرَمَّةٍ لِمَعَاشٍ أَوْ خُطْوَةٍ لِمَعَادٍ أَوْ لَذَّةٍ فِی غَیْرِ مُحَرَّمٍ

คำตอบเชิงรายละเอียด

ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจทัศนะของอิสลามเกี่ยวกับเป้าหมายของการสร้างมนุษย์ ประเด็นการใช้ประโยชน์จากทัศนียภาพธรรมชาติเช่นป่าเขาลำเนาไพร และประเด็นการพักผ่อนหย่อนใจและการหยอกล้อเสียก่อน แล้วจึงนำเสนอโอวาทของท่านอิมามโคมัยนีเกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้ แล้วจะทราบว่าสิ่งที่อิสลามสอนมิได้แตกต่างจากโอวาทของอิมามโคมัยนีเลยแม้แต่น้อย 

กุรอานในฐานะที่เป็นแหล่งอ้างอิงของอิสลาม ได้กล่าวถึงการสรรสร้างมนุษย์ว่า ข้ามิได้สร้างมนุษย์และญินมาเพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อสักการะภักดีต่อข้า" (เพื่อพัฒนาตนเองให้ใกล้ชิดพระองค์)[1] ฉะนั้น เมื่อพิจารณาเพียงเล็กน้อยก็สามารถได้สรุปว่า เป้าหมายหลักของการสร้างมนุษย์คือการสักการะภักดีพระองค์ (เพื่อให้บรรลุจุดสูงสุดของมนุษย์) เป้าหมายอื่นๆอาทิเช่น ความรู้ การทดสอบ ฯลฯ ล้วนเป็นช่องทางสู่การสักการะภักดีพรองค์ โดยที่การภักดีนี้จะนำสู่กรุณาธิคุณอันล้นพ้นของพระองค์[2] ท่านอิมามโคมัยนีเองก็กล่าวไว้ว่าเป้าหมายของอิสลามก็คือการนำทางมนุษย์ เราท่านทั้งหลายถูกสร้างขึ้นเพื่อพุ่งผงาดจากแดนดินสู่ฟากฟ้า และนี่คือเป้าหมายของการสถาปนาและการคงอยู่ของรัฐอิสลามที่รณรงค์ให้ประชาชนภักดีต่อพระองค์[3]

อิสลามมีคำแนะนำเกี่ยวกับการหยอกล้อ อาทิเช่น ท่านอิมามศอดิก(.)กล่าวไว้ว่า ไม่มีผู้ศรัทธาผู้ใดที่ปราศจาก "ดิอาบะฮ์"ในชีวิตประจำวัน นักรายงานถามท่านว่า" ดิอาบะฮ์"คืออะไรหรือ? ท่านตอบว่า "การหยอกล้อ" [4]
ตำราประมวลฮะดีษของเราล้วนรายงานฮะดีษมากมายที่มีเนื้อหารณรงค์ให้หยอกล้อกัน[5]
ยูนุส ชัยบานี รายงานว่า วันหนึ่งท่านอิมามศอดิก(.)ได้เอ่ยถามฉันว่า เธอหยอกล้อกับผู้อื่นบ้างหรือไม่? " ฉันตอบว่า "ค่อนข้างน้อยขอรับ" ท่านกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า "เหตุใดจึงไม่หยอกล้อกับผู้อื่นเล่า การหยอกล้อเป็นส่วนหนึ่งของอัธยาศัยที่ดี" และท่านยังเสริมว่า "ท่านนบี(..)ก็เคยหยอกล้อกับบุคคลต่างๆเพื่อสร้างรอยยิ้มและความสุข"[6]

เมื่อพิจารณาถึงการหยอกล้อของท่านนบี(..)จะทราบว่า แม้ท่านจะมีอัธยาศัยที่ดีและหยอกล้อกับผู้อื่นอย่างเป็นกันเอง แต่ท่านไม่เคยใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสมและไม่ถูกต้อง การหยอกล้อของท่านปราศจากเรื่องไร้สาระ ดังที่ท่านกล่าวว่า "แม้ฉันจะหยอกล้อ แต่จะไม่กล่าวคำพูดใดนอกจากข้อเท็จจริง"[7] ประโยคนี้ชี้ให้เห็นว่าท่านนบี(..)ก็หยอกล้อเช่นกัน แต่มีขอบเขตที่ชัดเจน

ส่วนคำพูดของอิมามโคมัยนีที่ว่า "อิสลามไม่ล้อเล่น"[8]นั้น ไม่ได้หมายความว่าอิสลามคัดค้านการหยอกล้อ แต่ต้องการสื่อว่าอิสลามจะต้องได้รับการตีแผ่อย่างชัดเจนและจริงจัง สังเกตุได้จากประโยคต่อมาที่ว่า "...อิสลามจริงจังในทุกเรื่อง ไม่มีเรื่องไร้สาระไม่ว่าจะในเชิงวัตถุหรือจิตใจ อิสลามต้องการจะสร้างนักต่อสู้ มิไช่คนที่ใช้ชีวิตเสเพลไปวันๆ" [9] ซึ่งแน่นอนว่าโอวาทนี้ไม่ได้สื่อว่าจะต้องห้ามมิให้บุคคลหยอกล้อกันโดยสิ้นเชิงแม้ในเวลาว่าง (หลังเลิกงานหรือหลังเวลาเรียน ฯลฯ) สังเกตุได้จากการที่ท่านไม่เคยระบุว่าอิสลามห้ามไม่ให้หยอกล้ออย่างมีขอบเขต เนื่องจากอิสลามมีคำสอนเกี่ยวกับการพักผ่อนหย่อนใจและการหยอกล้อตามอัธยาศัย
ท่านอิมามอลี(.)กล่าวแก่บุตรของท่านว่า "ผู้ที่มีอีหม่านจะต้องมีสามช่วงเวลาในแต่ละวันของเขา: ส่วนหนึ่งสำหรับการอิบาดะฮ์และการวิงวอนพระองค์ ส่วนหนึ่งสำหรับการทำมาหากินและกิจการทางโลก ส่วนหนึ่งสำหรับความบันเทิงที่ฮะล้าลและไม่ขัดต่อหลักศาสนา"[10] น่าสนใจที่มีฮะดีษอื่นๆกล่าวเพิ่มเติมว่าส่วนสุดท้ายจะช่วยให้สองส่วนแรกเป็นไปอย่างราบรื่น
อย่างไรก็ดี เงื่อนไขหลักของการหยอกล้อก็คือ จะต้องไม่ขัดต่อหลักศีลธรรมจรรยา เพราะหากไม่เป็นเช่นนี้ก็ย่อมจะก่อให้เกิดปัญหามากมายตามมา ซึ่งอาจจะทำลายสุขภาพจิตของผู้ฟังจนไม่มีสมาธิที่จะทำงานทำการได้อีกต่อไป

ต้องเรียนว่าในทัศนะอิสลาม การพักผ่อนหย่อนใจมีความสำคัญถึงขั้นที่มีการแข่งขันให้ท่านนบี(..)ชม บางครั้งท่านเป็นผู้ตัดสินการแข่งขัน[11] อิมามโคมัยนีก็เคยให้โอวาทและระบุไว้ในหนังสือประมวลปัญหาศาสนาของท่านว่า การเดินทางท่องไปในดินแดนต่างๆถือเป็นการพักผ่อนหย่อนใจที่เหมาะสม ท่านระบุว่า "หากผู้ใดออกเดินทางเพียงต้องการพักผ่อนหย่อนใจ ก็ไม่ถือเป็นสิ่งต้องห้ามแต่อย่างใด การพักผ่อนหย่อนใจจะต้องถูกทำนองคลองธรรม"[12] ท่านกล่าวเสริมอีกว่า"ฉันไม่เคยห้ามมิให้พักผ่อนหย่อนใจ ไม่เคยสั่งให้หมกมุ่นอยู่กับงานตลอดเวลา เพียงแต่ฉันต้องการให้คนหนุ่มสาวจัดระเบียบเวลาของตนเองเท่านั้น"[13]

ส่วนประเด็นรายการโทรทัศน์และวิทยุ ท่านกล่าวว่า "โทรทัศน์มีความอ่อนไหวมากที่สุดในกลุ่มเครื่องมือสำหรับเผยแพร่เนื้อหา ฉะนั้นจึงต้องให้แง่คิดและเปี่ยมด้วยศีลธรรม และจะต้องรับใช้อิสลาม ซึ่งมิได้หมายความว่าฉันห้ามมิให้รับชมโทรทัศน์"[14]

ส่วนประเด็นการว่ายน้ำทะเล นอกจากอิสลามจะไม่ห้ามปรามแล้ว ยังรณรงค์ให้มุสลิมสอนบุตรหลานให้ว่ายน้ำ ยิงธนู และขี่ม้า[15] แต่ก็ต้องคำนึงว่าการเล่นกีฬาเหล่านี้จะต้องไม่ปะปนกับสิ่งที่ขัดต่อหลักศีลธรรมจรรยา ด้วยเหตุนี้ท่านอิมามโคมัยนีจึงไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมของบุคคลบางกลุ่มที่ทำกิจกรรมสรวลเสเฮฮา ดื่มเหล้าเคล้านารีริมชายทะเล[16]

สรุปสั้นๆก็คือ อิสลามไม่สนับสนุนให้ปิดกั้นตนเองอย่างสุดโต่ง ดังที่มีฮะดีษระบุว่า ไม่มีลัทธิปลีกสันโดษในอิสลาม และจากการศึกษาคำสอนในกุรอานและฮะดีษ ทำให้เราทราบว่าอิสลามเพียบพร้อมไปด้วยคำสอนที่ลงตัวสำหรับทุกช่วงโอกาสในชีวิตไม่เว้นกระทั่งกิจกรรมทางโลก อาทิเช่นการใช้ประโยชน์จากลาภอันประเสริฐ การหยอกล้อ และการพักผ่อนหย่อนใจตามอัธยาศัย

และเช่นกัน เมื่อพิจารณาโอวาทของอิมามโคมัยนีอย่างถ่องแท้จะพบว่า ท่านไม่เคยคัดค้านการพักผ่อนหย่อนใจ การหยอกล้อ และความบันเทิงที่ถูกหลักศาสนา ตลอดจนการใช้สอยลาภอันประเสริฐที่อัลลอฮ์ประทานให้
ท้ายนี้ ขอแนะนำว่าหากผู้ใดประสงค์จะศึกษาทัศนะของอิมามโคมัยนี ควรต้องศึกษาจากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของศูนย์เรียบเรียงและเผยแพร่ผลงานของอิมามโคมัยนีเท่านั้น หรืออาจศึกษาจากหนังสือชุด "เศาะฮีฟะฮ์ นู้ร" ซึ่งลงไว้ในลิ้งก์ด้านล่างนี้ (ภาษาเปอร์เซีย)
http://www.imam-khomeini.org/farsi/main/main.htm



[1] ซูเราะฮ์ อัซซาริยาต, 56

[2] ตัฟซี้รเนมูเนะฮ์ฉบับย่อ,อะห์มัดอลี บอบออี,เล่ม4 ,หน้า 533, และ อัลมีซานฉบับแปล(ฟารซี),เล่ม18 ,หน้า 583

[3] ญิฮาด อักบัร, อิมามโคมัยนี, อารัมภบท

[4] อุศูลุลกาฟี,เชคกุลัยนี,เล่ม3 ,หน้า 664.

[5] วะซาอิลุชชีอะฮ์, เชคฮุร อามิลี, เล่ม 12, หน้า 112, หมวดอิสติห์บ้าบให้หยอกล้อและขำขัน

[6] อ้างแล้ว,เล่ม 12,หน้า 114, ฮะดีษที่ 15794 , และ สุนะนุ้นนบี,อัลลามะฮ์ ฎอบาฎอบาอี,หน้า 60

[7] บิฮารุลอันว้าร,เล่ม 16,หน้า 117

[8] เศาะฮีฟะฮ์ นู้ร,อิมามโคมัยนี,เล่ม 9,หน้า 455

[9] อ้างแล้ว

[10] ตัฟซี้รออซอน,นะญะฟี โคมัยนี,เล่ม 8,หน้า 70 และ มีซานุ้ลฮิกมะฮ์,เล่ม 10,หน้า 376-380

[11] อ้างแล้ว, หน้า 71

[12] เศาะฮีฟะฮ์ นู้ร, เล่ม 1, หน้า 395, และ ประมวลปัญหาศาสนา,ปัญหาที่1300

[13] อ้างแล้ว, เล่ม 3,หน้า218

[14] อ้างแล้ว, เล่ม 8,หน้า 496

[15] กันซุ้ลอุมม้าล,ฮะดีษที่ 45342

[16] เศาะฮีฟะฮ์ นู้ร,เล่ม 15,หน้า 178

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • หนทางหลุดพ้นจากความลุ่มหลงโลกคืออะไร?
    8840 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/21
    โลกที่มนุษย์อยู่อาศัยนี้มาจากคำว่า«ادنی» มาจากคำว่า«دنیء» และคำว่า«دنائت»
  • ในเมื่อนบีมูซาสังหารชายกิบฏี แล้วจะเชื่อว่าท่านไร้บาปได้อย่างไร?
    9468 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/08/17
    นบีทุกท่านล้วนเป็นผู้ปราศจากบาปและมีสถานะอันสูงส่งณอัลลอฮ์ (ตามระดับขั้นของแต่ละท่าน) และมีภาระหน้าที่ๆหนักกว่าคนทั่วไปโดยมาตรฐานของบรรดานบีแล้วการให้ความสำคัญต่อสิ่งอื่นนอกเหนืออัลลอฮ์ถือเป็นบาปอันใหญ่หลวงอย่างไรก็ดีนักวิชาการมีคำอธิบายเกี่ยวกับเหตุการณ์สังหารชายชาวกิบฏีหลายทัศนะคำอธิบายที่น่าสนใจที่สุดคือท่านมิได้ทำบาปใดๆเนื่องจากการสังหารชาวกิบฏีในครั้งนั้นไม่เป็นฮะรอมเพราะควรแก่เหตุเพียงแต่ท่านไม่ควรรีบลงมือเช่นนั้นสำนวนในโองการกุรอานก็มิได้ระบุว่าเหตุดังกล่าวคือบาปของท่านดังที่มะอ์มูนถามอิมามริฎอ(อ.)เกี่ยวกับคำพูดของนบีมูซาที่ว่า “นี่คือการกระทำของชัยฏอนมันคือศัตรูผู้ล่อลวงอย่างชัดแจ้ง” หรือที่กล่าวว่า “
  • ทำไมจึงให้สร้อยนามมะอ์ศูมะฮ์แก่ท่านหญิงฟาติมะฮ์ มะอ์ศูมะฮ์ ท่านดำรงสถานะมะอ์ศูมด้วยหรืออย่างไร?
    7317 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/06/23
    ชื่อของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ คือ“ฟาติมะฮ์” ตำราประวัติศาสตร์ก็ได้เอ่ยถึงท่านโดยใช้นามว่า ฟาติมะฮ์ บินติ มูซา บินญะอ์ฟัร (อ.) ท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ไม่ได้เป็นมะอ์ศูมในความหมายทางหลักของศาสตร์แห่งเทววิทยาอิสลามอย่างที่ใช้กับบรรดาศาสดาและบรรดาอะอิมมะฮ์ แต่ทว่าเธอมีความบริสุทธิ์ทางจิตใจและความเพียบพร้อมทางด้านจิตใจที่สูงส่ง อนึ่ง ประเด็นของอิศมะฮ์และความบริสุทธิ์ถือเป็นประเด็นที่ต้องอาศัยการเปรียบเทียบกับสิ่งอื่น เมื่อคำนึงถึงฮะดีษหลายบทที่ได้กล่าวถึงฐานันดรและความสูงส่งของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์แล้ว สามารถกล่าวได้ว่าท่านนั้นมีความสูงส่งในด้านของอิศมะฮ์ ในระดับสูง – แม้ไม่ถึงขั้นของอะอิมมะฮ์ ...
  • เงินฝากบัญชีสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยใช้ประโยชน์จากสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย จำเป็นต้องจ่ายคุมซ์หรือไม่?
    6044 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/22
    ท่านผู้นำสูงสุดตอบคำถามที่ถามว่าบุคคลที่ไม่มีที่อยู่อาศัยได้เก็บสะสมเงินฝากเพื่อเตรียมไว้ซื้อบ้านและที่อยู่อาศัยเงินฝากต้องจ่ายคุมซ์ด้วยหรือไม่? ตอบว่า: การสะสมทรัพย์ถือเป็นรายได้ประเภทหนึ่งถ้าเตรียมไว้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตเมื่อครบรอบปีต้องจ่ายคุมซ์ด้วยเว้นเสียแต่ว่าได้สะสมเงินไว้เพื่อจัดซื้อของใช้ที่จำเป็นในชีวิตหรือเพื่อสำรองค่าใช้จ่ายจำเป็นในกรณีนี้ถ้าหากเลยรอบปีต้องจ่ายคุมซ์ไปแล้ว (เช่นสองสามเดือนหลังรอบปีคุมซ์) เขาได้ใช้ไปในเรื่องดังกล่าวนั้นไม่ต้องจ่ายคุมซ์
  • มีฮะดีษอยู่บทหนึ่งระบุว่าอัลลอฮ์ทรงยกย่องความบริสุทธิ์ของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ด้วยการไม่ปล่อยให้ลูกหลานของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ตกนรก
    6665 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/19
    ฮะดีษนี้ปรากฏอยู่ในตำราฝ่ายซุนหนี่และชีอะฮ์โดยมีความน่าเชื่อถือสูงเนื่องจากมีหลากสายรายงานแต่คำถามที่มีมาตั้งแต่อดีตก็คือความหมายของลูกหลานในฮะดีษนี้ครอบคลุมเพียงใด? เมื่อพิจารณาเทียบกับฮะดีษอื่นๆก็จะเข้าใจได้ว่าฮะดีษนี้เจาะจงเฉพาะบุตรชั้นแรกของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(อ.)เท่านั้นที่ได้รับความเมตตาให้มีภาวะปลอดบาปอันเป็นการสมนาคุณแด่การสงวนตนของท่านหญิงทว่าลูกหลานชั้นต่อๆไปแม้จะได้รับสิทธิบางอย่างแต่จะไม่ได้รับความปลอดภัยจากการลงทัณฑ์อย่างสมบูรณ์ ...
  • มีฮะดีษระบุว่า การปัสสาวะอย่างไม่ระวังจะทำให้ถูกบีบอัดในมิติแห่งบัรซัค กรุณาอธิบายให้กระจ่างด้วยค่ะ
    6840 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/15
    ในตำราฮะดีษมีบางรายงานระบุว่าท่านนบีเคยกล่าวไว้ว่า “จงระมัดระวังในการชำระปัสสาวะเถิดเพราะการลงโทษส่วนใหญ่ในสุสานเกิดจากการปัสสาวะ”[1] ท่านอิมามศอดิกก็เคยกล่าวว่า “การลงทัณฑ์ในสุสานส่วนใหญ่มีสาเหตุเนื่องมาจากปัสสาวะ”[2]อย่างไรก็ดีต้องชี้แจงเกี่ยวกับปรัชญาของอะห์กามว่าถึงแม้ฮุกุ่มทุกประเภทจะอิงคุณและโทษในฐานะที่เป็นเหตุผลก็ตามแต่เป็นเรื่องยากที่จะสามารถแจกแจงเหตุและผลของฮุก่มแต่ละข้ออย่างละเอียดละออได้ที่สุดแล้วก็ทำได้เพียงแจกแจ้งทีละข้อซึ่งหลักเกณฑ์ที่ว่าสามารถครอบคลุมส่วนใหญ่เท่านั้นมิไช่ทั้งหมดจึงทำให้อาจจะมีข้อยกเว้นบางกรณี[3]ประเด็นการไม่ระมัดระวังนะญิสของปัสสาวะนั้นสติปัญญาของคนเราเข้าใจได้เพียงระดับที่ว่าพฤติกรรมดังกล่าวจะทำลายน้ำนมาซอันเป็นเงื่อนไขของอิบาดะฮ์อย่างเช่นการนมาซ แต่ไม่อาจจะเข้าถึงสัมพันธภาพเชิงเหตุและผลระหว่างการปัสสาวะอย่างไม่ระวังกับการถูกลงโทษในสุสานได้อย่างไรก็ตามสติปัญญายอมรับในภาพรวมว่าการกระทำของมนุษย์จะส่งผลถึงโลกนี้และโลกหน้า[1]บิฮารุลอันว้าร,เล่ม
  • มุคตารคือ ษะกะฟีย์ ซึ่งในหัวใจมีความรักให้ท่านอบูบักร์และอุมมัรเท่านั้น? แล้วทำไมเขาจึงไม่ปกป้องท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ในกัรบะลาอฺ?
    8650 تاريخ بزرگان 2554/12/21
    รายงานเกี่ยวกับมุคตารที่ปรากฏอยู่ในตำราฮะดีซนั้นแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มกล่าวคือรายงานบางกลุ่มกล่าวสรรเสริญเขา
  • การปฏิเสธฮะดีษโดยยึดถือเพียงกุรอานจะทำให้เกิดเอกภาพในหมู่มุสลิมจริงหรือ?
    7809 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/19
    ความเชื่อในการยึดถือเพียงกุรอานและปฏิเสธฮะดีษมีมาตั้งแต่ยุคแรกของอิสลามแหล่งอ้างอิงทั้งฝ่ายซุนหนี่และชีอะฮ์ต่างบันทึกตรงกันว่าช่วงบั้นปลายชีวิตของท่านนบี(ซ.ล.) เมื่อท่านสั่งให้นำปากกาและหมึกมาบันทึกคำสั่งเสียของท่านเพื่อประชาชาติอิสลามจะไม่หลงทางภายหลังจากท่านนั้นเคาะลีฟะฮ์ที่สองอุมัรบินค็อฏฏ้อบกลับคัดค้านคำสั่งดังกล่าวพร้อมกับกล่าวว่า “คัมภีร์ของอัลลอฮ์(กุรอาน)เพียงพอแล้วสำหรับเรา (ไม่จำเป็นต้องใช้ซุนนะฮ์นบี)ไม่มีใครสามารถจะอ้างได้ว่าไม่จำเป็นต้องมีฮะดีษถามว่ารายละเอียดหน้าที่ทางศาสนามีอยู่ในกุรอานอย่างครบถ้วนหรือไม่? ข้อปลีกย่อยของฟัรฎูต่างๆอาทิเช่นนมาซ, ศีลอด, ซะกาต, ฮัจย์ฯลฯมีในกุรอานกระนั้นหรือ?กุรอานกล่าวว่า “สิ่งที่ศาสนทูตนำมาก็จบรับไว้(ปฏิบัติตาม) และสิ่งที่เขาระงับก็จงหลีกเลี่ยงจงยำเกรงต่อพระองค์เพราะพระองค์ทรงมีบทลงโทษอันรุนแรง”[i]แน่นอนว่าคำสั่งและข้อห้ามปรามของท่านนบี(ซ.ล.)ก็คือซุนนะฮ์ของท่านนั่นเองซึ่งเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงบัญชาให้เราปฏิบัติตามอะห์มัดบินฮัมบัลหนึ่งในอิมามทั้งสี่ของพี่น้องซุนหนี่กล่าวไว้ในหนังสือมุสนัดว่าท่านนบี(ซ.ล.)กล่าวว่า “ฉันได้ฝากฝังสองสิ่งเลอค่าซึ่งมีคุณค่าต่างกันไว้ในหมู่พวกท่านนั่นคือคัมภีร์ของอัลลอฮ์อันเปรียบดั่งสายเชือกที่เชื่อมโยงระหว่างฟากฟ้าและปฐพีและวงศ์วานอะฮ์ลุลบัยต์ของฉันสองสิ่งนี้จะไม่พรากจากกันกระทั่งบรรจบกับฉันณบ่อน้ำเกาษัร”จะเห็นได้ว่าในฮะดีษนี้ท่านนบี(ซ.ล.)และอะฮ์ลุลบัยต์(อ.)ได้รับการจัดให้เคียงคู่กุรอานอันหมายความว่าดังที่มุสลิมทุกคนมีหน้าที่ต้องยึดถือกุรอานฉันใดพวกเขาก็จะต้องยึดถืออะฮ์ลุลบัยต์ในภาวะจำเป็นฉันนั้นสองสิ่งนี้จะสมบูรณ์เมื่อเคียงคู่กันการเลือกยึดถืออย่างใดอย่างหนึ่งจะทำให้สิ่งนั้นบกพร่อง[i]อัลฮัชร์,
  • ความสำคัญและความพิเศษ และคำวิจารณ์หนังสือบิฮารุลอันวาร?
    7334 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/12/21
    กลุ่มฮะดีซจากหนังสือบิฮารุลอันวาร,ถือได้ว่าเป็นผลงานที่สำคัญที่สุดของอัลลามะฮฺมัจญิลิซซียฺ, หรืออาจกล่าวได้ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นดาอิเราะตุลมะอาริฟฉบับใหญ่ของชีอะฮฺซึ่งได้รวบรวมเอาปัญหาศาสนาเกือบทั้งหมด,เช่นตัฟซีรกุรอาน, ประวัติศาสตร์, ฟิกฮฺ, เทววิทยา, และปัญหาอื่นๆอีกบางส่วนที่สำคัญที่สุดและเป็นความพิเศษของหนังสือบิฮารุลอันวารคือ:เริ่มต้นบทใหม่ทุกบทจะกล่าวถึงโองการอัลกุรอาน
  • ท่านอิมามอลี(อ.)อธิบายถึงการก้าวสู่ตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ของเคาะลีฟะฮ์สามคนแรกไว้ในคุฏบะฮ์บทใด?
    6474 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/28
    ท่านอิมามอลี(อ.)กล่าวถึงการก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ของเคาะลีฟะฮ์สามคนแรกไว้ในคุฏบะฮ์ที่สามซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักในนาม “คุฏบะฮ์ชิกชิกียะฮ์” จากคำที่ท่านกล่าวตอนท้ายคุฏบะฮ์คุฏบะฮ์นี้มีเนื้อหาครอบคลุมคำตัดพ้อของท่านอิมามอลี(อ.)เกี่ยวกับประเด็นคิลาฟะฮ์และเล่าถึงความอดทนต่อการสูญเสียตำแหน่งดังกล่าวอีกทั้งเหตุการณ์ที่ประชาชนให้สัตยาบันต่อท่านซึ่งจะนำเสนอรายละเอียดในคำตอบแบบสมบูรณ์ ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60047 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57420 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42134 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39207 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38874 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33941 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27957 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27874 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27687 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25708 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...