การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
8204
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/04/21
 
รหัสในเว็บไซต์ fa998 รหัสสำเนา 13577
คำถามอย่างย่อ
เพราะเหตุใดอัลกุรอานบางโองการ มีความหมายขัดแย้งกับความบริสุทธิ์ของศาสดา
คำถาม
เพราะเหตุใดอัลกุรอานบางโองการ มีความหมายขัดแย้งกับความบริสุทธิ์ของศาสดา
คำตอบโดยสังเขป

คำตอบสำหรับคำถามข้างต้นสามารถกล่าวได้ว่า

1) คำว่า อิซมัต เป็นสภาพหนึ่งทางจิตวิญญาณที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่มีความบริสุทธิ์ อันเป็นสาเหตุทำให้บุคคลนั้นหันหลังให้กับบาปกรรม พฤติกรรมชั่วร้าย และความผิดต่างๆ โดยสิ้นเชิง อีกทั้งสภาพดังกล่าวยังปกป้องบุคคลนั้น ให้รอดพ้นจากความผิดพลาด และการหลงลืม โดยปราศจากการปฏิเสธเจตนารมณ์เสรี หรือมีการบีบบังคับให้บุคคลนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์

2. ความเร้นลับแห่งความบริสุทธิ์ของบรรดาศาสดาก็คือสติสัมปชัญญะ ความเชื่อมั่น ความศรัทธาสมบูรณ์ และความรักที่มีต่ออาตมันบริสุทธิ์ของอัลลอฮฺ พร้อมกับการยึดมั่นอยู่กับความยิ่งใหญ่ของพระองค์ และคุณลักษณะอันสูงส่งและสง่างามของพระองค์ นอกจากนั้นแล้วยังได้รับการสนับสนุนส่งเสริมจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ในการปกป้องบรรดาศาสดาให้รอดพ้นจากความชั่วร้ายของชัยฏอนมารร้าย และอำนาจฝ่ายต่ำแห่งตัวตน

3. เหตุผลด้านสติปัญญาจำนวนมากที่บ่งบอกถึงความจำเป็นที่ว่า บรรดาศาสดาต้องเป็นผู้บริสุทธิ์ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการเผยแผ่

4. กรณีที่ถ้าเพื่อว่าโองการอัลกุรอานกับเหตุผลของสติปัญญาเกิดความขัดแย้งกันขึ้น จำเป็นต้องพิจารณาโองการอย่างละเอียด เพื่อให้ได้ความหมายที่ถูกต้อง ขณะเดียวกันก็จะไม่มองข้ามความหมายภายนอกของโองการในตอนแรก

5. มีโองการจำนวนมากมายที่บ่งบอกถึงความจำเป็นที่บรรดาศาสดาต้องเป็นผู้บริสุทธิ์ แม้ว่าคำว่า อิซมัต จะไม่ได้กล่าวไว้ในโองการเหล่านั้นก็ตาม เช่น

5.1- อัลกุรอาน มีหลายโองการที่ระบุว่าบรรดาศาสดาทั้งหลาย (.) ล้วนได้รับการทำให้สะอาดบริสุทธิ์แล้วทั้งสิ้น เช่น โองการที่ 45 – 48 บทซ็อด กล่าวว่า ผู้ที่ถูกทำให้บริสุทธิ์ หมายถึงบุคคลที่จะไม่ถูชัยฏอนล่อลวงให้หลงทางได้อีก

5.2- โองการที่อธิบายถึงการมีอยู่ของ การชี้นำของพระเจ้า ในบรรดาศาสดาทั้งหลาย ซึ่งโองการเหล่านี้มีจำนวนมากมาย เช่น โองการที่ 84 – 90 บทอันอาม กล่าวว่า บุคคลที่ได้รับการชี้นำจากพระเจ้าแล้วการหลงทางและความหวาดกลัวไม่มีความหมายอันใดสำหรับพวกเขา

5.3 – อัลลอฮฺ (ซบ.) มีคำสั่งอยู่ในหลายโองการให้เชื่อฟังปฏิบัติตามบรรดาศาสดา โดยกำชับให้ประชาชนเชื่อฟังปฏิบัติตามท่านเหล่านั้นโดยปราศจากเงือนไข เช่น โองการที่ 31 , 32 บทอาลิอิมรอน, โองการที่ 80 บทนิซาอ์, โองการที่ 52 บทนูร เป็นที่ชัดเจนว่าการเชื่อฟังปฏิบัติตามโดยปราศจากเงื่อนไขใดทั้งสิ้นจากบุคคลหนึ่ง ย่อมเป็นเหตุผลที่บ่งชี้ให้เห็นได้อย่างชัดเจนถึงความเป็นผู้บริสุทธิ์ของบุคคลดังกล่าว

5.4- โองการที่ 26 – 28 บทญิน ได้บ่งชี้ให้เห็นว่า อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปกป้องท่านศาสดาในทุกๆ ด้าน

5.5- โองการตัฏฮีร (บทอะฮฺซาบ 33) บ่งไว้อย่างชัดเจนถึงความบริสุทธิ์ของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล )

6. โองการที่ไม่เข้ากันกับความบริสุทธิ์ บางทีมาในรูปของประโยคเงื่อนไข ซึ่งไม่ได้ระบุถึงการกระทำความผิดหรือบาปกรรม หรือบางทีระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ผู้ที่กำลังกล่าวถึงคือประชาชนผู้ศรัทธาโดยทั่วไป มิใช่บรรดาศาสดา

7. กรณีเกี่ยวกับศาสดาอาดัม (.) ซึ่งมีความคลางแคลงใจอย่างมากมายเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของท่าน ดังที่กล่าวว่า

ประการแรก การห้ามของโองการเกี่ยวข้องกับประเด็นที่กล่าวถึง เป็นการห้ามกระทำสิ่งที่ดีกว่า หรือห้ามในเชิงแนะนำ มิใช่เป็นการห้ามแบบ เมาลาวีย์ หมายถึงปฏิเสธไม่ให้ทำโดยเด็ดขาด

ประการที่สอง แม้ว่าจะเป็นการห้ามแบบเมาลาวียฺ ก็มิได้เป็นการห้ามชนิดที่เป็นฮะรอม เพียงแค่เป็นการละเว้นสิ่งที่ดีกว่าเท่านั้น มิใช่ความผิดแต่อย่างใด

ประการที่สาม แหล่งกำเนิดหรือโลกที่อาดัม (.) พำนักอยู่ในนั้น มิใช่โลกแห่งการปฏิบัติหน้าที่แต่อย่างใด ดังนั้น การปฏิบัติสิ่งขัดแย้งในโลกที่ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบด้านการปฏิบัติ จึงไม่ถือว่ามีความผิดแต่อย่างใดทั้งสิ้น

8. ถ้าหากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงตรัสรุนแรงกับบรรดาศาสดาทั้งหลาย ก็เป็นเพราะว่าท่านเหล่านั้นก็เป็นมนุษย์เหมือนกับมนุษย์ทั่วไป ที่ยังมีอารมณ์ธรรมชาติ มีความต้องการ มีความโกรธ และมีพลังอำนาจฝ่ายต่ำอยู่ในตัว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องการคำแนะนำจากพระเจ้าทั้งสิ้น ฉะนั้น ถ้าอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปล่อยให้มนุษย์อยู่กับตัวเองเพียงชั่วเวลาอันเล็กน้อย เขาก็จะพบกัยความหายนะทันที

คำตอบเชิงรายละเอียด

คำตอบสำหรับคำถามดังกล่าวนี้ อันดับแรกสิ่งที่ต้องทำความเข้าใจคือความหมายของคำว่า อิซมัต ท่านอัลลามะฮฺ เฏาะบาเฏาะบาอียฺ กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของเราจากคำว่า อิซมัต ก็คือสภาพหนึ่งที่มีอยู่ในตัวของบรรดาผู้ที่เป็นมะอฺซูม ซึ่งสภาพดังกล่าวนั้นจะเป็นอุปสรรกีดขวางไม่ให้เขาประพฤติในภารกิจที่ไม่อนุญาต เช่น การทำความผิด หรือบาปกรรม เป็นต้น[1]

ฟาฎิล มิกดาร เป็นนักเทววิทยาที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งของฝ่ายชีอะฮฺ ได้อธิบายคำนี้ได้สมบูรณ์มากกว่า โดยกล่าวว่า อิซมัต คือความการุณย์ประเภทหนึ่ง ซึ่งอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงกระทำแก่ปวงบ่าวคนหนึ่งในลักษณะที่ว่า การมีอิซมัตอยู่ในตัว ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีอำนาจในการกระทำความผิดอีกต่อไป ทว่าเขามีอำนาจในการควบคุมความผิด ซึ่งสิ่งนี้นับว่าเป็นความการุณย์ประกอบกับเป็นความเคยชินของบุคคลนั้น ที่จะคอยห้ามหรือยับยั้งไม่ให้เขากระทำความผิด นอกจากนี้ ผลบุญจากการเชื่อฟังปฏิบัติตามและการลงโทษที่เกิดจากการฝ่าฝืนยังเป็นที่รับรู้อย่างชัดเจน และเขายังหวั่นเกรงในเรื่องการลงโทษกรณีที่ละเว้นสิ่งที่ดีกว่า หรือการกระทำที่เกิดจากการหลงลืม[2]

ประเด็นที่สำคัญที่ต้องพิจารณาเป็นพิเศษในที่นี้คือ อิซมัต จะไม่บังคับให้บุคคลที่เป็นมะอฺซูม (ผู้บริสุทธิ์) กระทำการเชื่อฟังปฏิบัติตาม หรือบังคับให้ละเว้นสิ่งที่เป็นบาปกรรมแต่อย่างใด มิใช่ว่าผู้ที่เป็นมะอฺซูม ไม่มีอำนาจที่จะกระทำความผิด หรือเจตนารมณ์เสรีได้ถูกปฏิเสธไปจากเขาโดยสิ้นเชิง ทว่าพลังศรัทธาสมบูรณ์ ความรู้ และความสำรวมตนของเขาอยู่ในระดับสูง ซึ่งกล่าวได้ว่าเขาผู้นี้ได้สัมผัสกับความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และเข้าใจอย่างลึกซึ่งในความสมบูรณ์ และความสูงส่งของพระองค์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นอุปสรรคกีดขวางมิให้เขาได้ล่วงละเมิดกระทำความผิด หรือละเว้นการเชื่อฟังปฏิบัติตามพระองค์ นอกจากนั้นแล้ว ในกรณีที่เกี่ยวกับบรรดาศาสดา (.) หรือบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (.) มีรายงานจำนวนมากมายที่บ่งบอกว่าบรรดาท่านเหล่านั้นสนับสนุนส่งเสริมพระดำรัสของพระเจ้าเสมอ และอัลลอฮฺ (ซบ.) ได้กล่าวเรียกพวกเขาว่า รูฮุลกุดส์ หมายถึง วิญญาณบริสุทธิ์[3]

เหตุผลที่บ่งบอกว่าบรรดาศาสดาเป็นผู้บริสุทธิ์ : ก่อนที่เราจะเข้าไปในรายละเอียดของโองการ จำเป็นต้องพิจารณาสิ่งเหล่านี้ก่อนกล่าวคือ ระหว่างสิตปัญญาและวะฮฺยูไม่มีความขัดแย้งกันแน่นอน ดังนั้น จำเป็นต้องตีความอัลกุรอานในลักษณะที่ว่า ความหมายของอัลกุรอานไม่ขัดแย้งกับสติปัญญา

เกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของบรรดาศาสดา จะขอกล่าวเหตุผลในเชิงของสติปัญญาสักประการหนึ่ง กล่าวคือ เชคฏูซีย์ ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า ความบริสุทธิ์ถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับบรรดาศาสดา เพื่อจะได้มั่นใจในตัวพวกเขาได้ อีกอย่างหนึ่งเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการเผยแผ่[4] ด้วยเหตุนี้ ความจำเป็นในการเป็นผู้บริสุทธิ์ของบรรดาศาดาคือ เหตุผลที่บ่งบอกถึงความสัตย์จริงของท่าน

บางคนกล่าวถึงเหตุผลแห่งการเป็นผู้บริสุทธิ์ของบรรดาศาสดาว่าเมื่อการมีอยู่ของพระเจ้า ประกอบไปด้วยคุณลักษณะอันสูงส่งมากมาย ได้พิสูจน์ไห้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการมีอยู่ของวะฮฺยู และสภาะการเป็นศาสดาโดยทั่วไป อีกประเด็นหนึ่งที่สติปัญญาได้ตัดสินเรื่องนี้ก็คือ ความบริสุทธิ์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับบรรดาศาสดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งความจำเป็นในการรับวะฮฺยู และการเผยแผ่ออกไปแก่ประชาชน กล่าวคือ อัลลอฮฺ (ซบ.) ได้ประทานศาสดาลงมาเพื่อทำหน้าที่ชี้นำประชาชาติ ดังนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่บรรดาศาสดาของพระองค์ต้องปราศจาการหลงลืม หรือพลั้งเผลอใดๆ ทั้งสิ้น แล้วจะนับประสาอะไรกับการทำความผิดบาป ซึ่งสิ่งนี้ไม่เหมาะสมกับโครงสร้างทางธรรมชาติของมนุษย์ วิทยปัญญาในการเลือกสรรศาสดาคือ การชี้นำประชาชาติ สั่งสอนประชาชนและสิ่งนี้จะเป็นไปได้ก็ต่อเมือผู้นำสาส์นของพระเจ้า ต้องปราศจากความผิดพลาด ไม่หลงลืม และมีความบริสุทธิ์ในการรับวะฮฺยูมาสั่งสอน

ซึ่งรากที่มาของคำพูดนี้อยู่ในคุณลักษณะของพระเจ้า เช่น ความรู้ อำนาจ และวิทยปัญญาในการสร้างสรรค์ของพระองค์ วิทยปัญญาในการวางกฎระเบียบ ซึ่งในที่สุดแล้วพระองค์ทรงบริสุทธิ์จากความไม่ดี ความไร้สาระ และการกดขี่ทั้งปวง ดังนั้น ถ้าหากเราะซูลที่รับวะฮฺยูและนำไปเผยแผ่แก่ประชาชนเป็นผู้มีความผิดพลาดแล้ว ย่อมแสดงให้เห็นว่าผู้บริบาลก็เป็นผู้โง่เขลา เสียสติ ไม่มีความเหมาะสม ด้วยเช่นกัน หรือถ้าหากศาสดามิได้เป็นมะอฺซูม หรือมีความผิดพลาดในการชี้นำทางโดยตั้งใจ หรือพลั้งเผลอ อย่างน้อยที่สุดประชาชาติก็จะไม่มีความเชื่อมั่นต่อเขา ต่อคำสอนที่อ้างว่าเป็นของพระเจ้า ในส่วนแรกแสดงให้เห็นความโง่เขลาและการทำให้ประชาชนหลงทาง ส่วนในกรณีที่สอง ถือว่าการงานของศาสดาไร้ประโยชน์ แน่นอน พระผู้อภิบาลทรงบริสุทธิ์จากทั้งสองกรณี[5]

บัดนี้ เราได้รับทราบแล้วว่าอิซมัตหมายถึงอะไร และความเร้นลับของอิซมัตนั้นอยู่ตรงไหน บางคนได้พิสูจน์ความจำเป็นของอิซมัตด้วยเหตุผลของสติปัญญา แต่ในส่วนทีจะกล่าวต่อไปนี้จะกล่าวในมุมมองของอัลกรอาน ในส่วนแรกโองการต่างๆ ที่กล่าวเกี่ยวกับ อิซมัต ของบรรดาศาสดา ส่วนที่สอง จะกล่าวถึงโองการต่างๆ ที่ไม่สอดคล้องกับความบริสุทธิ์ของบรรดาศาสดา และท้ายสุดจะกล่าวถึงคำตอบในเชิงสรุปที่ชัดแจ้งต่อไป

ส่วนที่หนึ่ง โองการต่างๆ ที่บ่งชี้ให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ (อิซมัต) ของบรรดาศาสดา ซึ่งมีโองการจำนวนมากมายที่กล่าวถึงความเคยชินของจิตใจในนามว่า อิซมัต ที่มีอยู่ในบรรดาศาสดาทั้งหลาย แม้ว่าคำว่า อิซมัต มิได้ปรากฏอยู่ในตัวของพวกท่าน ทว่าความหมายและความเข้าใจ หรือความจำเป็นของความเคยชินนั้น สามารถเข้าใจได้จากโองการต่างๆ เหล่านั้น และเราสามารถแบ่งออกการออกเป็นกลุ่มได้ดังนี้

กลุ่มที่ 1 โองการที่ยกย่องว่าเหล่าบรรดาศาสดาล้วนเป็นผู้ถูกทำให้บริสุทธิ์ คำว่ามุคละซีน หมายถึงกลุ่มชนที่ซาตานมารร้ายไม่อาจลวงล่อพวกเขาได้ ฉะนั้น ในบทสรุปบุคคลที่มิได้อยู่ในบ่วงกรรมของชัยฎอน เขาจึงมีความบริสุทธิ์หรือเรียกว่า มะอฺซูม นั่นเอง

อัลกุรอาน บทซ็อด กล่าวว่าและจงรำลึกถึงปวงบ่าวของเรา อิบรอฮีม อิสหาก และยะอฺกูบ ผู้ที่เข้มแข็งและสายตาไกล (ในเรื่องศาสนา) เราได้เลือกพวกเขาโดยเฉพาะเพื่อเตือนให้รำลึกถึงปรโลก แท้จริงในทัศนะของเรา พวกเขาอยู่ในหมู่ผู้ได้รับเลือกเพราะพวกเขาเป็นคนดี และจงรำลึกถึงอิสมาอีล และอัลยะซะอฺ และซุลกิฟลิ และทุกคนอยู่ในหมู่ผู้ดีเลิศ[6]

โองการข้างต้นได้เอ่ยนามของบรรดาศาสดาบางท่านว่าเป็น มุลละซีน และเป็นผู้มีสายตายาวไกล ซึ่งถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นตัวอย่าง ซึ่งมุคลิซีน คือบุคคลที่มิได้ถูกชัยฎอนหลอกลวง ดังที่อัลกุรอาน ได้กล่าวอ้างถึงคำพูดของชัยฏอนว่าดังนั้น (ขอสาบาน) ด้วยพระอำนาจของพระองค์ แน่นอนข้าฯจะทำให้พวกเขาทั้งหมดหลงผิด เว้นแต่ปวงบ่าวของพระองค์ในหมู่พวกเขาที่มีใจบริสุทธิ์เท่านั้น[7] หรืออีกโองการหนึ่งกล่าวว่าเว้นแต่ปวงบ่าวของพระองค์ในหมู่พวกเขา ที่ได้รับการคัดสรรเท่านั้น[8]

กลุ่มที่ 2 โองการที่อธิบายว่า การชี้นำของพระเจ้า อยู่ในบรรดาศาสดา เช่น โองการที่กล่าวว่าและแก่เขา เราได้ให้อิสฮากและยะอฺกูบ ทั้งหมดนั้นเราได้นำทางแล้ว และนูฮฺเราก็ได้นำทางแล้วก่อนหน้านั้น และจากลูกหลานของเขานั้น คือ ดาวูด และสุลัยมาน 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • กะฟาะเราะฮฺเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามพันธสัญญาหมายถึงอะไร?
    6872 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/21
    ถ้าหากบุคคลหนึ่ง (ด้วยเงื่อนไขสำหรับการทพำพันธสัญญาซึ่งมีกล่าวไว้ในริซาละฮฺต่างๆของเตาฎีฮุลมะซาอิลของมะรอญิอฺตักลีดกล่าวไว้[1]) เขาได้สัญญาต่ออัลลอฮฺ (ซบ.) แต่ไม่ได้ทำตามข้อสัญญานั้น (ซึ่งไม่แตกต่างกันว่าเขาได้สัญญาว่าจะกระทำหรือจะละเว้นสิ่งนั้น) ต้องจ่ายกะฟาะเราะฮฺหมายถึงเลื้องอาหารคนจนให้อิ่ม 60 คนหรือถือศีลอดติดต่อกัน 60 วัน[2]
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25791 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...
  • การมองอย่างไรจึงจะถือว่าฮะรอมและเป็นบาป?
    8873 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/21
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น ปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...
  • อิสลามมิได้ห้ามรับประทานเนื้อดอกหรือ?
    8931 สิทธิและกฎหมาย 2555/03/14
    พืชผักผลไม้และเนื้อสัตว์ถือเป็นอาหารของมนุษย์มาตั้งแต่โบราณ แต่ก็มีมนุษย์บางกลุ่มที่มีรสนิยมสองขั้วที่ต่างกัน บางกลุ่มไม่แตะต้องเนื้อสัตว์เลย ส่วนบางกลุ่มในแอฟริกา ตะวันออกไกลและยุโรปบางประเทศกินเนื้อสัตว์แทบทุกประเภทแม้กระทั่งเนื้อมนุษย์ในบางกรณี การเปรียบเทียบระหว่างมนุษย์กับสัตว์เดรัจฉานถือว่าไม่ถูกต้องนัก การจะใช้เหตุผลที่ว่าเนื่องจากสัตว์เดรัจฉานกินเนื้อ ฉะนั้นมนุษย์จึงไม่ควรจะทานเนื้อ คงต้องถามกลับว่า สัตว์ป่าอย่างเช่น กวาง ยีราฟ ฯลฯ กินเนื้อเป็นอาหารหรือไม่? สัตว์ที่มีนิสัยดุร้ายอย่างหมีไม่ได้กินน้ำผึ้งและผักผลไม้ดอกหรือ? สิ่งนี้จะถือเป็นเหตุผลที่มนุษย์ไม่ควรทานน้ำผึ้งและพืชผักได้หรือไม่? ...
  • เหตุใดบรรดาอิมาม(อ.)จึงไม่สามารถปกป้องฮะร็อมของตนเองให้พ้นจากการโจมตีของผู้ก่อการร้ายได้?
    5937 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/10/13
    นอกจากอัลลอฮ์จะทรงมอบอำนาจแห่งตัชรี้อ์(อำนาจบังคับใช้กฎชะรีอัต)แก่นบี(ซ.ล.)และบรรดาอิมาม(อ.)แล้วพระองค์ยังได้มอบอำนาจแห่งตั้กวีนีอีกด้วยเป็นเหตุให้บุคคลเหล่านี้สามารถจะแสดงอิทธิฤทธิ์ต่อสรรพสิ่งในโลกได้อำนาจดังกล่าวยังมีอยู่แม้บุคคลเหล่านี้สิ้นลมไปแล้วทั้งนี้ก็เพราะพวกเขาถือเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่ยังคงไว้ซึ่งอำนาจดังกล่าวแม้อยู่ในอาลัมบัรซัค(มิติหลังมรณะ) อย่างไรก็ดีบุคคลเหล่านี้ไม่เคยใช้อำนาจดังกล่าวอย่างพร่ำเพรื่อแต่จะใช้อำนาจนี้ในสถานการณ์ที่จำเป็นต่อการดำรงอยู่ของศาสนาของอัลลอฮ์หรือกรณีที่จำเป็นต่อการนำทางมนุษย์เท่านั้นซึ่งต้องไม่ขัดต่อจารีตวิถี(ซุนนะฮ์)ของพระองค์ด้วยอีกด้านหนึ่งการให้เกียรติสุสานของบรรดาอิมาม(อ.)นับเป็นหนทางที่เที่ยงตรงส่วนการประทุษร้ายต่อสถานที่ดังกล่าวก็นับเป็นหนทางที่หลงผิดแน่นอนว่าจารีตวิถีหนึ่งของพระองค์ก็คือการที่ทรงประทานเสรีภาพแก่มนุษย์ในอันที่จะเลือกระหว่างหนทางที่เที่ยงตรงและหลงผิดด้วยเหตุนี้เองที่บรรดาอิมาม(อ.)ไม่ประสงค์จะใช้อำนาจพิเศษโดยไม่คำนึงความเหมาะสมยิ่งไปกว่านั้นพระองค์อัลลอฮ์เองซึ่งแม้จะทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่งแต่ก็มิได้ทรงใช้อำนาจทุกกรณีเห็นได้จากการที่มีผู้สร้างความเสียหายแก่อาคารกะอ์บะฮ์หลายครั้งในหน้าประวัติศาสตร์แต่พระองค์ทรงใช้พลังพิเศษกับกองทัพของอับเราะฮะฮ์เท่านั้นเนื่องจากเขายาตราทัพเพื่อหวังจะบดขยี้กะอ์บะฮ์โดยเฉพาะ ...
  • อัลลอฮฺ ทรงพึงพอพระทัยผู้ใด? บุคคลใดที่พระองค์ทรงพึงพอพระทัย, ผู้นั้นจะได้เป็นเจ้าของสรวงสวรรค์แห่งความโปรดปรานหรือ? ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว โองการที่ 28 บทอันบิยาอฺที่กล่าวว่า : และพวกเขาจะมิให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ใด, นอกจากผู้ที่พระองค์ทรงพอพระทัย จะไม่ขัดแย้งกันดอกหรือ? อีกนัยหนึ่ง : เจ้าของสรวงสวรรค์แห่งความพึงพอพระทัย จะเข้ากันได้อย่างไรกับชะฟาอะฮฺ?
    9492 การตีความ (ตัฟซีร) 2554/10/22
    อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงพึงพอพระทัยบุคคลที่มีศรัทธาและพึงปฏิบัติคุณงามความดี, เพียงแต่ว่าความศรัทธาและคุณงามความดีนั้นมีทั้งเข้มแข็งมั่นคงและอ่อนแอ อีกทั้งมีระดับชั้นที่แตกต่างกันออกไป, ความพึงพอพระทัยของอัลลอฮฺที่มีต่อพวกเขาจึงแตกต่างกันออกไปด้วยสรวงสวรรค์ ก็เช่นเดียวกันถูกแบ่งไปตามระดับชั้นของความศรัทธา คุณภาพ และปริมาณของคุณงามความดีที่ชาวสวรรค์ได้สั่งสม ซึ่งระดับชั้นของสวรรค์ก็มีความแตกต่างกันออกไป ส่วน “สวรรค์ชั้นริฎวาน” คือสวรรค์ชั้นสูงที่สุด เจ้าของสวรรค์ชั้นนี้ได้แก่ บรรดาศาสดาทั้งหลาย, บรรดาตัวแทนและบรรดาหมู่มิตรของอัลลอฮฺ (ซบ.), ตลอดจนบรรดาผู้ใกล้ชิดอัลลอฮฺ ชนกลุ่มนี้ไม่ต้องการชะฟาอะฮฺแต่อย่างใด เนื่องจากพวกเขาคือผู้ให้ชะฟาอะฮฺ และยังเป็นสักขีพยานในวันแห่งการฟื้นคืนชีพอีกต่างหาก. ด้วยเหตุนี้เอง วัตถุประสงค์ของประโยคที่ว่า “มะนิรตะฎอ” (ผู้ที่ได้รับความพึงพอพระทัยจากอัลลอฮฺ) ในโองการอัลกุรอานจึงไม่ใช่บุคคลที่เป็นเจ้าของสวรรค์ชั้นริฏวาน เพื่อว่าระหว่างตำแหน่งชั้นของพวกเขากับโองการจะได้ไม่ขัดแย้งกันอัลกุรอาน โองการดังกล่าวอยู่ในฐานะของการขจัดความสงสัยและความเข้าใจผิด ของบรรดาผู้ปฏิเสธที่วางอยู่บนความเข้าใจที่ว่า มลาอิกะฮฺจะให้ชะฟาอะฮฺแก่พวกเขา, เนื่องจากมลาอิกะฮฺคือเจ้าหน้าที่ของอัลลอฮฺ ซึ่งพวกเขาจะไม่ปฏิบัติสิ่งใดที่ขัดแย้งต่อบัญชาของพระองค์, พวกเขาจะให้ชะฟาอะฮฺแก่บุคคลผู้ซึ่ง ...
  • จำเป็นต้องสวมแหวนทางมือขวาด้วยหรือ ?
    14045 สิทธิและกฎหมาย 2554/09/25
    หนึ่งในแบบฉบับของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และอิมามผู้บริสุทธิ์คือการสวมแหวนทางนิ้วมือข้างขวาซึ่งมีรายงานกล่าวไว้ถึงประเภทของแหวนรูปทรงและแบบ. นอกจากคำอธิบายดังกล่าวที่ว่าดีกว่าให้สวมแหวนทางนิ้วมือข้างขวาแล้วบทบัญญัติทั้งหมดที่กล่าวเกี่ยวกับแหวนก็จะเน้นเรื่องการเป็นมุสตะฮับและเฉพาะผู้ชายเท่านั้นที่ห้ามสวมแหวนทอง (และเครื่องประดับทุกชนิดที่ทำจากทองคำ) ซึ่งได้ห้ามในลักษณะที่เป็นความจำเป็นด้วยเหตุนี้
  • เป็นไปได้ไหมที่จะอธิบาย อัรบะอีน, อิมามฮุซัยนฺ ให้ชัดเจน?
    8688 تاريخ بزرگان 2555/05/20
    เกี่ยวกับพิธีกรรมอัรบะอีน, สิ่งที่ปรากฏอยู่ในวัฒนธรรฒศาสนาของเรา, คือการรำลึกถึงช่วง 40 วัน แห่งการเป็นชะฮาดัตของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ซัยยิดุชชุฮะดา ซึ่งตรงกับวันที่ 20 เดือนเซาะฟัร, ท่านอิมามฮะซันอัสการียฺ (อ.) ได้กล่าวถึงสัญลักษณ์ของผู้ศรัทธา »มุอฺมิน« ไว้ 5 ประการด้วยกัน กล่าวคือ : การดำรงนมาซวันละ 51 เราะกะอัต, ซิยารัตอัรบะอีน, สวมแหวนทางนิ้วมือข้างขวา, เอาหน้าซัจญฺดะฮฺแนบกับพื้น และอ่านบิสมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม ในนมาซด้วยเสียงดัง[1] ทำนองเดียวกันนักประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า ท่านญาบิร บิน อับดุลลอฮฺ อันซอรียฺ,พร้อมกับอุฏ็อยยะฮฺ เอาฟีย์ ประสบความสำเร็จต่อการเดินทางไปซิยาเราะฮฺอิมามฮุซัยนฺ (อ.) หลังจากถูกทำชะฮาดัตในช่วง 40 วันแรก
  • สามารถนมาซเต็มในนครกัรบะลาเหมือนกับการนมาซที่นครมักกะฮ์หรือไม่?
    6265 สิทธิและกฎหมาย 2555/06/23
    เกี่ยวกับประเด็นที่ว่าจะต้องนมาซเต็มหรือนมาซย่อในฮะรอมท่านอิมามฮุเซน (อ.) นั้น จะต้องกล่าวว่า ผู้เดินทางสามารถที่จะนมาซเต็มในมัสยิดุลฮะรอม มัสยิดุนนบี และมัสยิดกูฟะฮ์ แต่ถ้าหากต้องการนมาซในสถานที่ที่ตอนแรกไม่ได้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของมัสยิด แต่ภายหลังได้เติมให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของมัสยิดนั้น เป็นอิฮ์ติญาฏมุสตะฮับให้นมาซย่อ ถึงแม้ว่า... และผู้เดินทางก็สามารถที่จะนมาซเต็มในฮะรอม และในส่วนต่าง ๆ ของฮะรอมท่านซัยยิดุชชุฮาดาอ์ รวมไปถึงมัสยิดที่เชื่อมต่อกับตัวฮะรอมอีกด้วย[1] แต่ทว่าจะต้องกล่าวเพิ่มเติมใน 2 ประเด็น คือ สามารถเลือกได้ระหว่างการนมาซเต็มหรือนมาซย่อใน 4 สถานที่เหล่านี้ และผู้เดินทางสามารถเลือกระหว่างสองสิ่งนี้ได้ ฮุกุมนี้มีไว้สำหรับเฉพาะฮะรอมอิมามฮุเซน (อ.) ไม่ใช่สำหรับทั้งเมืองกัรบะลา[2]
  • คำพูดทั้งหมดของพระศาสดา (ซ็อล ฯ) ถือว่าเป็นวะฮฺยูหรือไม่?
    7606 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/21
    มุมมองของผู้เชี่ยวชาญ,ในประเด็นที่กำลังกล่าวถึงแตกต่างกันบางคนได้พิจารณาการตีความของโองการที่ 3,4 ของอัลกุรอานบทนัจมฺ[i]ซึ่งเชื่อว่าคำพูดทั้งหมดของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ตลอดจนการกระทำต่างๆของท่านมาจากวะฮฺยูทั้งสิ้นบางคนเชื่อว่าโองการที่ 4 ของบทอันนัจมฺนั้นกล่าวถึงอัลกุรอานกะรีมและบรรดาโองการต่างๆที่ประทานให้แก่ท่านศาสดา,แม้ว่าซุนนะฮฺ (แบบฉบับ) ของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จะเป็นข้อพิสูจน์และเป็นเหตุผลก็ตามซึ่งคำพูดการกระทำและการนิ่งเฉยของท่านมิได้เกิดจากอารมณ์อย่างแน่นอนสิ่งที่เข้าใจได้จากสิ่งที่กล่าวถึงในตรงนี้คือสามารถกล่าวได้อย่างมั่นใจว่าทั้งความประพฤติและแบบอย่างของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) มิได้กระทำลงไปโดยปราศจากวะฮียฺอย่างแน่นอนดังเช่นคำพูดของท่านก็เป็นเช่นนี้ด้วยแม้ว่าจะเป็นคำพูดประจำวันคำพูดสามัญทั่วไปตลอดการดำรงชีวิตของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ก็ตามสิ่งนั้นก็จะไม่เกิดจากอารมณ์อย่างเด็ดขาดซึ่งตามความเป็นจริงแล้วเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แน่นอนว่าท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จะล่วงละเมิดกระทำความผิด[i]

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60124 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57563 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42214 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39362 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38945 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34002 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28016 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27962 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27793 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25791 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...