การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
15678
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/09/21
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1343 รหัสสำเนา 16882
คำถามอย่างย่อ
เงื่อนไขของอิสลามและอีหม่านคืออะไร?
คำถาม
กรณีที่หากมีผู้รับอิสลาม ทราบมาว่าเขาจะต้องศรัทธาในพระเจ้าและนบี(ซ.ล.) อีกทั้งศรัทธาในห้าหลักการ และจะต้องปฏิบัติศาสนกิจในฐานะที่เป็นมุสลิมคนหนึ่ง ปัญหาอยู่ที่ว่า หากเขามีศรัทธาต่อสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด แต่สมมติว่าเขาไม่นมาซ ถามว่าเขายังคงสภาพความเป็นมุสลิมอยู่หรือไม่? และเคยอ่านมาว่าประชากรมุสลิมทั่วโลกมีถึงหนึ่งพันสองร้อยล้านคน แต่บางคนเชื่อว่าเป็นตัวเลขที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงนัก เนื่องจากในจำนวนนี้มีผู้ที่มิได้เป็นมุสลิมในเชิงปฏิบัติมากมาย เนื่องจากเฉยเมยไม่สนใจที่จะปฏิบัติตามศาสนกิจอิสลาม ถามว่าคนเหล่านี้ยังนับว่าเป็นมุสลิมอยู่หรือไม่?
คำตอบโดยสังเขป

อิสลามและอีหม่านมีระดับขั้นที่แตกต่างกัน ระดับแรกซึ่งก็คือการรับอิสลามนั้น หมายถึงการที่บุคคลสามารถเข้ารับอิสลามได้โดยเปล่งปฏิญาณว่า  اشهد أن لا اله الا الله" و اشهد أنّ محمداً رسول الله โดยสถานะความเป็นมุสลิมจะบังเกิดแก่เขาทันที อาทิเช่น ร่างกายของเขาและลูกๆจะสิ้นสภาพนะญิส เขาสามารถแต่งงานกับสตรีมุสลิมได้ สามารถทำธุรกรรมกับมุสลิมได้ทุกประเภท ทรัพย์สินและศักดิ์ศรีของเขาจะได้รับการพิทักษ์เป็นพิเศษ ฯลฯ
แต่อย่างไรก็ดี เมื่อปฏิญาณตนเข้ารับอิสลามก็ย่อมมีผลพวงในแง่ความรับผิดชอบทางศาสนา เช่นการนมาซ ถือศีลอด ชำระคุมุส จ่ายซะกาต ประกอบพิธีฮัจย์ ศรัทธาต่อสิ่งที่เหนือญาณวิสัย ยอมรับวันปรโลกสวรรค์และนรก ตลอดจนศรัทธาต่อเหล่าศาสนทูต เหล่านี้ถือเป็นระดับชั้นที่สูงและสมบูรณ์ขึ้นของอีหม่าน

นอกเหนือจากการปฏิบัติศาสนกิจแล้ว การหลีกห่างสิ่งต้องห้ามทางศาสนาย่อมจะช่วยยกระดับอีหม่านได้เป็นอย่างดี
ยิ่งไปกว่านั้น คำสอนของกุรอาน นบี(..)และบรรดาอิมามมะอ์ศูมยังบ่งชี้ว่าอิสลามที่ปราศจากการยอมรับ "วิลายะฮ์"ของอิมามสิบสองท่าน ย่อมถือว่าไม่ครบถ้วนสมบูรณ์และไม่เป็นที่ยอมรับ  อัลลอฮ์
นอกจากนี้ จิตใจของมุสลิมผู้ศรัทธาจะต้องปราศจากชิริกและการเสแสร้ง เพราะจะทำให้อะมั้ลอิบาดะฮ์ที่กระทำมาสูญเสียคุณค่าไปโดยปริยาย และจะทำให้หมดโอกาสที่จะได้รับความผาสุก และต้องถูกเผาไหม้ในเพลิงพิโรธของพระองค์ ฉะนั้น ประชากรมุสลิมทั้งหมดที่กล่าวกะลิมะฮ์ล้วนเป็นมุสลิมทุกคน แม้ว่าบางคนจะอยู่ในระดับพื้นฐานของอิสลาม โดยที่การละเลยศาสนกิจบางประการมิได้ส่งผลให้ต้องพ้นสภาพความเป็นมุสลิมแต่อย่างใด

คำตอบเชิงรายละเอียด

ในเชิงคำศัพท์แล้ว อิสลามแปลว่าการยอมจำนนโดยดุษณี แต่สิ่งที่เป็นที่รับรู้ทั่วไปก็หมายถึง ศาสนาที่ท่านนบีมุฮัมมัด(..)นำเสนอจากพระผู้เป็นเจ้าในฐานะศาสนาอันถาวร(ไม่ถูกยกเลิกจวบจนวันโลกาวินาศ)และครอบคลุมทุกปัญหา
ปัจจัยสำคัญที่จำแนกอิสลามออกจากศาสนาอื่นก็คือ การศรัทธาต่อเตาฮี้ด(เอกานุภาพ)ของอัลลอฮ์ ภาวะศาสนทูตของนบี(..) และการยอมรับสารธรรมเตาฮี้ดอันบริสุทธิ
ความศรัทธาต่ออิสลามมีระดับขั้นที่แตกต่างกัน โดยขอนำเสนอดังต่อไปนี้
ก้าวแรกอันถือเป็นเงื่อนไขในการเข้าสู่อิสลามก็คือ การปฏิญาณตนยอมรับสองหลักการ(เตาฮี้ดและภาวะนบี) ประโยค لا اله الا الله เปรียบเสมือนแก่นของอิสลามที่เป็นศูนย์รวมทุกมิติเตาฮี้ด ส่วนการยอมรับภาวะศาสนทูตของท่านนบี(..)ก็คือการยอมรับในภาวะปัจฉิมศาสดาและปัจฉิมศาสนา รวมถึงเชื่อว่าแนวทางอื่นๆล้วนถูกยกเลิกไปแล้วทั้งสิ้น
ระดับที่สูงขึ้นอีกขั้นหนึ่งของอีหม่าน(ความศรัทธา)เริ่มตั้งแต่การจำนนต่อคำสอนสั่งของท่านนบี(..) โดยมีระดับขั้นที่สูงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ
ฉะนั้น ผู้ที่ปฏิญาณตนยอมรับในสองหลักการข้างต้นแล้วจะถือว่าหลุดพ้นสภาวะศาสนิกของศาสนาเก่า และเข้าร่วมในครอบครัวอิสลาม ซึ่งจะทำให้สิทธิหน้าที่บังเกิดแก่เขาในฐานะมุสลิมคนหนึ่ง อาทิเช่น การที่สามารถแต่งงานได้ ทำธุรกรรมได้ การที่เนื้อตัวของเขาและลูกๆไม่เป็นนะญิส[1] นอกจากนี้ การดูแลรักษาทรัพย์สินและศักดิ์ศรีของเขาก็เป็นหน้าเหนือรัฐบาลหรือสังคมอิสลาม นี่คืออีหม่านขั้นพื้นฐานที่ทำให้ไม่สามารถกล่าวหาเขาว่าเป็นกาเฟรมุชริกีนได้

ฉะนั้น แม้บางสำนักคิดอย่างพวกค่อวาริจจะมองว่าผู้กระทำบาปใหญ่คือกาเฟรและสามารถหลั่งเลือดได้ หรือกลุ่มมุอ์ตะซิละฮ์ที่มองว่าคนจำพวกนี้ไม่ไช่ทั้งมุอ์มินและกาเฟร หรือกรณีของกลุ่มวะฮาบีที่ถือว่าการสุญูดบนดินและจุมพิตเอาบะรอกัตจากดินสุสานอิมาม(.)ถือเป็นชิริก แนวคิดเหล่านี้ทั้งหมดถือเป็นการเข้าใจที่คลาดเคลื่อน

ทัศนะของชีอะฮ์สิบสองอิมาม(ญะอ์ฟะรียะฮ์)ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของกุรอานและฮะดีษจากบรรดาอิมาม(.) ถือว่าอีหม่านและอะมั้ลอิบาดะฮ์(การบำเพ็ญศาสนบัญญัติ)จะได้รับการยอมรับ  พระองค์ก็ต่อเมื่อเคียงข้างด้วยการยอมรับอิมามสิบสองท่านในฐานะผู้นำและตัวแทนนบี(..)เท่านั้น ทั้งนี้ก็เนื่องจากภาระผูกพันของการยอมรับนบี(..)และกุรอานในฐานะที่เป็นวิวรณ์บริสุทธิจากพระองค์ก็คือ การปฏิบัติตามคำสอนของนบี(..)และกุรอานทุกกระเบียดนิ้ว และหนึ่งในคำสอนของท่านนบีก็คือการรณรงค์ให้ยึดเหนี่ยวและปฏิบัติตามอะฮ์ลุลบัยต์(.) ซึ่งหากมองในมุมกลับ การเพิกเฉยต่ออะฮ์ลุลบัยต์ก็นับเป็นการเพิกเฉยต่อคำสั่งของอัลลอฮ์และนบี(..)ได้เช่นกัน ดังที่กุรอานระบุว่าระดับขั้นอีหม่านอยู่เหนือระดับขั้นการรับอิสลาม 

ระดับขั้นอีหม่านเองก็แบ่งออกเป็นหลายระดับด้วยกัน กุรอานได้แจกแจงมาตรวัดอีหม่านไว้ดังนี้ "ความดีงามคือการศรัทธาต่อพระเจ้า และวันพิพากษา และมลาอิกะฮ์ และคัมภีร์ และบรรดานบี"[2] โดยถือว่าการปฏิเสธ การเสแสร้ง และการตั้งภาคี ล้วนเป็นเหตุให้สิ้นสภาพมุสลิมและต้องทนทรมานในนรกชั่วกัปชั่วกัลป์[3] ฉะนั้น มุสลิมที่มีอีหม่านแนระดับที่ต่ำสุดต้องมีคุณสมบัติเหล่านี้เป็นอย่างน้อย
1.ศรัทธาต่อเอกานุภาพทุกประเภทของพระองค์
2. ศรัทธาต่อสถานะศาสนทูตท่านสุดท้ายของนบีมุฮัมมัด(..)
3. เชื่อฟังคำสั่งนบี(..)อาทิเช่นคำสอนเกี่ยวกับวิลายะฮ์ของอะฮ์ลุลบัยต์
4. ศรัทธาต่อชีวิตหลังความตาย ตลอดจนรายละเอียดปลีกย่อยที่กุรอานและฮะดีษจากนบี(.(..)และอิมาม(.)ระบุไว้

แต่เนื่องจากอีหม่านที่แท้จริงย่อมมีผลพวงในแง่ศาสนบัญญัติ ฉะนั้น การกล่าวอ้างว่ารับอิสลามแต่ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของอัลลอฮ์และนบี(..) ย่อมไม่ทำให้เขาพบกับทางนำและความผาสุก แม้จะทำให้เขาได้รับสิทธิทางสังคมในแง่กฏหมายอิสลามก็ตาม ดัวยเหตุนี้เองที่กุรอานถือว่าการบรรลุสู่ชีวิตอันผาสุกจำเป็นต้องมีอีหม่านและอะมั้ลอิบาดะฮ์เคียงคู่กันเสมอ[4]
ผู้ที่มีอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น อ้างอีหม่านโดยไม่ปฏิบัติศาสนกิจ หรือประพฤติดีแต่ไม่ศรัทธา เปรียบเสมือนนกที่มีปีกข้างเดียว ซึ่งแน่นอนว่าไม่สามารถที่จะโผบินสู่ความผาสุกได้เด็ดขาด เว้นแต่จะปรับปรุงตนเองโดยการเติมเต็มอีหม่านและอะมั้ลซอและฮ์ให้ครบถ้วน เพื่อจะได้ใกล้ชิด  พระองค์และได้รับสรวงสววรค์ ทั้งนี้เมื่อมีความรู้เกี่ยวกับอิสลาม อีหม่าน ตลอดจนคำบัญชาของอัลลอฮ์และนบี(..)สูงขึ้น กอปรกับมีความบริสุทธิใจในการปฏิบัติศาสนกิจมากขึ้น ย่อมส่งผลให้อีหม่านของเขาได้รับการยกระดับให้สูงยิ่งขึ้นตามลำดับ

ในจุดนี้ขอเน้นบางประเด็นเป็นพิเศษ
1. อีหม่านและอะมั้ลซอและฮ์มีความเชื่อมโยงกันโดยตรง หากอีหม่านแข็งแกร่ง ปริมาณและประสิทธิผลของอะมั้ล ตลอดจนความสามารถในการหลีกเลี่ยงสิ่งต้องห้ามก็จะเพิ่มขึ้นโดยปริยาย ในทำนองเดียวกัน หากปฏิบัติอะมั้ลซอและฮ์และหลีกเลี่ยงสิ่งต้องห้ามเป็นนิจสิน อีหม่านก็จะหยั่งรากลึกในหัวใจมากยิ่งขึ้น กระทั่งทำให้มนุษย์บรรลุความผาสุกสูงสุดของความเป็นมนุษย์อย่างเต็มภาคภูมิ ในทางตรงกันข้าม การทำบาปบ่อยๆก็จะค่อยๆลบเลือนอีหม่านให้อันตรธานไปจากหัวใจ ซึ่งการกระทำบาปเป็นผลพวงมาจากอีหม่านที่อ่อนแอ

2. การศรัทธาต่อนบีท่านอื่นๆตลอดจนคัมภีร์ของพวกท่าน มิได้หมายความว่าเราจะต้องปฏิบัติตามศาสนกิจของท่านเหล่านั้น เนื่องจากศาสนกิจเหล่านี้บางข้อบังคับใช้ในกลุ่มชนบางกลุ่มเป็นการเฉพาะ ซึ่งจะถูกยกเลิกเมื่อมีศาสนกิจใหม่มาแทนที่เสมือนกฏหมายที่หมดอายุความ ฉะนั้น การศรัทธาต่อบรรดานบีจึงหมายถึงการเชิดชูเกียรติภูมิในฐานะศาสนทูตที่ทุ่มเทและเสียสละเพื่ออัลลอฮ์ มิได้หมายรวมถึงการที่ต้องปฏิบัติตามศาสนบัญญัติในยุคของศาสดาเหล่านั้น

3. หลักปฏิบัติที่สำคัญๆ ซึ่งจำแนกมุสลิมออกจากต่างศาสนิกในภาคปฏิบัติ เราเรียกว่า"ฟุรูอุดดีน"  โดยผู้ที่มีเงื่อนไขทางศาสนาครบถ้วนจำเป็นต้องเรียนรู้และนำสู่การปฏิบัติ
และหากผู้ใดไม่ถึงขั้นปฏิเสธในหลักการแต่กลับดื้อแพ่งไม่ปฏิบัติ ก็จะทำให้สูญเสียโอกาสที่จะได้เข้าสรวงสวรรค์ และหากไม่แก้ไขให้ดีขึ้นจนถึงบั้นปลายชีวิต ก็จะต้องถูกทรมานชั่วกัปชั่วกัลป์

4. อีหม่านจะต้องมีลักษณะครอบคลุม เพราะความศรัทธาไม่อาจเลือกได้ตามใจชอบ ฉะนั้น มุสลิมที่มีศรัทธาอย่างแท้จริงไม่ได้รับอนุมัติให้เลือกปฏิบัติตามคำสอนศาสนาเฉพาะบางส่วน กุรอานให้เหตุผลว่าพฤติกรรมเช่นนี้ถือเป็นการถือตามกิเลสของตนเอง และนับเป็นการปฏิเสธประเภทหนึ่ง หาไช่ความศรัทธาต่ออัลลอฮ์ นบี และวันพิพากษาไม่[5]

5. อีหม่านและอะมั้ลที่ซอและฮ์มีหลายระดับขั้น ผู้ศรัทธาที่บำเพ็ญความดีมิได้มีสถานภาพที่เท่ากันเสมอไป ระดับขั้นบนสรวงสวรรค์ของแต่ละคนก็แตกต่างกัน  พระองค์ ฉะนั้นจึงจะต้องยกระดับอะมั้ลอิบาดะฮ์ไม่ว่าในแง่ปริมาณและคุณภาพด้วยการเรียนรู้ ระมัดระวัง และมุ่งมั่นปฏิบัติตามคำสอนอิสลาม เพื่อจะได้รับการยกระดับให้สูงขึ้นไปอีก[6]

6. การปฏิเสธหลักศรัทธาอิสลาม ตลอดจนการปฏิเสธข้อบังคับทางศาสนาที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งให้กระทำหรือคำสั่งห้ามมิให้กระทำ เท่ากับการปฏิเสธหลักเบื้องต้นของศาสนา และหากตรงตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ก็จะทำให้พ้นจากสภาพความเป็นมุสลิม หรือที่เรียกว่าตกมุรตัด

สรุปคือ ระหว่างการรับอิสลามกับการศรัทธาในอิสลามมีความแตกต่างกัน และดังที่ได้นำเสนอไปแล้วว่าอิสลามและอีหม่านมีหลายระดับขั้นด้วยกัน และประชากรมุสลิมกว่าพันสองร้อยล้านคนที่ปฏิญาณตนด้วยกะลิมะฮ์ชะฮาดะฮ์ ทั้งหมดล้วนถือเป็นมุสลิมและได้รับสิทธิหน้าที่ในฐานะมุสลิม แม้ว่าจะมีระดับขั้นในแง่อิสลามค่อนข้างต่ำก็ตาม ทั้งนี้ก็เพราะการละเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาสนาบางข้อ มิได้ทำให้บุคคลพ้นจากสภาพความเป็นมุสลิม

เพื่อศึกษาเพิ่งเติม กุรณาอ่านคำตอบต่อไปนี้
1. รู้จักผู้ศรัทธาที่แท้จริง,คำถามที่ 863
2.
ความไม่ตรงกันระหว่างคำสอนอิสลามและพฤติกรรมมุสลิม,คำถามที่ 798
3.
กุรอานและการนิยามอิสลามและมุสลิมีน,คำถามที่ 829

หนังสืออ้างอิง
อัลมิลัลวันนิฮัล,.ญะอ์ฟัร ซุบฮานี,เล่ม2 หน้า 53
มิลัลวันนิฮัล,อับดุลกะรีน ชะฮ์ริสตานี,สนพ.อัลอันญะโล อิยิปต์,เล่ม 1,2 หน้า 46
บทเรียนเทววิทยาอิสลาม,เล่ม 1 หน้า161-163 เล่ม 2 ,หน้า 135
กัชฟุ้ลมุร้อด,คอญะฮ์นะศีรุดดีน ฏูซี, หน้า 454
บทเรียนหลักศรัทธา,มุฮัมมัดตะกี มิศบาห์ ยัซดี,เล่ม3 หน้า 126-163,บทที่ 54-58
อัคล้ากในกุรอาน,มุฮัมมัดตะกี มิศบาห์ ยัซดี,เล่ม1 หน้า 122-145



[1] ทว่าอุละมาอ์อาจมีความเห็นแตกต่างกันเล็กน้อยในกรณีความเป็นนะญิสของร่างกายต่างศาสนิก(ไม่ว่าเป็นชาวคัมภีร์หรือไม่ก็ตาม) โปรดอ่านหนังสือประมวลศาสนบัญญัติของแต่ละท่าน

[2] อัลบะเกาะเราะฮ์,177,285 และ อันนิซาอ์,136

[3] อันนิซาอ์, 140,145

[4] อันนะฮ์ลิ, 97 และอัลบะเกาะเราะฮ์, 103 อันนิซาอ์, 57,122

[5] อัลบะเกาะเราะฮ์, 85 อันนิซาอ์, 150,151

[6] ย่อความจากคำถามที่ 888(ความเชื่อเบื้องต้นของมุสลิม)

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ภารกิจของท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) หลังจากปรากฏกายแล้วคืออะไร? แล้วเป็นไปได้ไหมที่ท่านจะถูกทำชะฮาดัตโดยน้ำมือของสตรีชราที่มีนวดเครา?
    6315 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/04/21
    ในเวลานั้นท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) จะได้รับอนุญาตจากอัลลอฮฺให้จัดตั้งทั้งด้านวัตถุปัจจัยและด้านคุณธรรมมโนธรรมเพื่อจะได้จัดตั้งรัฐบาลแห่งความยุติธรรมขึ้นมาปกครองโลกซึ่งถือว่าเป็นรัฐบาลที่ใหญ่ที่สุดบนโลกนี้ ท่านจะเป็นผู้สนับสนุนส่งเสริมเกียรติและคุณค่าของความเป็นมนุษย์พร้อมกับเรียกร้องไปสู่ความปลอดภัยชีวิตมนุษย์จะกลายเป็นชีวิตแห่งพระเจ้าในเวลานั้นท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.)
  • ฮะดีซต่างๆ ในหนังสือกาฟียฺ สามารถอธิบายความอัลกุรอานได้หรือไม่?
    8196 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/07/16
    นักรายงานฮะดีซผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งคือ มุฮัมมัด บิน ยะอฺกูบ กุลัยนียฺ (รฮ.) เป็นหนึ่งในปราชญ์ผู้อาวุโสฝ่ายชีอะฮฺ และเป็นหนึ่งในนักรายงานฮะดีซที่เชื่อถือได้มากที่สุดของฝ่ายอิมามียะฮฺ ท่านอยู่ในยุคสมัยการเร้นกายระยะสั้นของท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) และยังเป็นผู้ประพันธ์หนังสือ อุซูลกาฟียฺ อันเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้เอง จะเห็นว่ารายงานส่วนใหญ่ในหนังสือกาฟียฺล้วนเป็นที่เชื่อถือ แต่หนังสือกาฟียฺก็เหมือนกับหนังสือฮะดีซทั่วไปที่มีรายงานอ่อนแอ และไม่น่าเชื่อถืออยู่บ้าง ตามทัศนะของชีอะฮฺและอะฮฺลุซซุนนะฮฺ มีฮะดีซที่ถูกต้องจำนวนมากมายจากท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และอิมามผู้บริสุทธิ์ บันทึกอยู่ในหนังสือญะวามิอฺริวายะฮฺ ซึ่งฮะดีซจำนวนมากเหล่านั้นได้ตัฟซีรโองการอัลกุรอาน ซึ่งหนึ่งในฮะดีซทรงคุณค่าเหล่านั้นคือ หนังสือกาฟียฺ ...
  • อลี บิน ฮุเซน ในประโยค“اَلسَّلامُ عَلَى الْحُسَیْنِ وَ عَلى عَلِىِّ بْنِ الْحُسَیْنِ و” หมายถึงใคร?
    7505 تاريخ بزرگان 2554/07/16
    หากพิจารณาจากดุอาตะวัซซุ้ล บทศอละวาตแด่อิมาม บทซิยารัต กลอนปลุกใจ และฮะดีษต่างๆที่กล่าวถึงอิมามซัยนุลอาบิดีนและท่านอลีอักบัรจะพบว่า ชื่อ“อลี บิน ฮุเซน”เป็นชื่อที่ใช้กับทั้งสองท่าน แต่หากพิจารณาถึงบริบทกาลเวลาและสถานที่ที่ระบุในซิยารัตอาชูรอ อันกล่าวถึงวันอาชูรอ กัรบะลา และบรรดาชะฮีดในวันนั้น กอปรกับการที่มีสมญานาม“ชะฮีด”ต่อท้ายคำว่าอลี บิน ฮุเซนในซิยารัตวาริษ ซิยารัตอาชูรอฉบับที่ไม่แพร่หลาย และซิยารัตมุฏละเกาะฮ์ ทำให้พอจะอนุมานได้ว่า อลี บิน ฮุเซนในที่นี้หมายถึงท่านอลีอักบัรที่เป็นชะฮีดที่กัรบะลาในวันอาชูรอ ...
  • อิมามมะฮ์ดีสมรสแล้วหรือยัง?
    8143 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/09
    แม้จะเป็นไปได้ว่าท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)อาจมีคู่ครองและบุตรหลาน เนื่องจากภาวะการเร้นกายมิได้จำกัดว่าจะท่านต้องงดกระทำการสมรสอันเป็นซุนนะฮ์แต่อย่างใด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราไม่พบเหตุผลใดๆที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ สันนิษฐานว่าสาเหตุที่ประเด็นดังกล่าวไม่เป็นที่เปิดเผยนั้น อาจเป็นผลพวงมาจากความจำเป็นที่พระองค์ทรงเร้นกายท่านจากสายตาผู้คนนั่นเอง ...
  • ความเสียหายของศาสนาคือสิ่งไหน?
    9438 دین و فرهنگ 2555/09/29
    ศาสนา,เป็นพระบัญชาศักดิ์สิทธิ์,มาจากพระเจ้า ซึ่งในนั้นจะไม่มีทางผิดพลาด และไม่มีผลกระทบอันเสียหายอย่างแน่นอน, การยอมรับความผิดพลาดและการกระทำผิด เกี่ยวข้องกับภารกิจของมนุษย์ แน่นอนการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการรู้จักผลกระทบของศาสนา และการตื่นตัวของผู้มีศาสนา สิ่งเหล่านี้จะไม่ย้อนกลับไปสู่แก่นแท้ความจริงของศาสนา, ทว่าจะย้อนกลับไปสู่ประชาชาติที่นับถือศาสนา ความใจและการพัฒนาของมนุษย์ที่มีต่อศาสนา ประเภทของการรู้จักในศาสนา และรูปแบบของการตื่นตัวในศาสนา ความเสียหายและผลกระทบต่อศาสนา มีรายละเอียดแตกต่างกันมากมาย เนื่องจากกลุ่มหนึ่งของความเสียหายทางศาสนา เป็นความเสียหายที่มีผลกระทบ ต่อความศรัทธาของบุคคลที่นับถือศาสนา หรือผู้มีความสำรวมตน ซึ่งความเสียหายดังกล่าวนี้เองจะอยู่ในระดับของการรู้จักทางศาสนา (ความเสียหายทางศาสนาและการศึกษา) บางครั้งก็อยู่ในระดับของการปฏิบัติบทบัญญัติและคำสั่งของศาสนา การรักษาบทบัญญัติ บทลงโทษ และสิทธิ ซึ่งศาสนาได้กำหนดเป็นข้อบังคับให้รักพึงระมัดระวังต่อสิ่งเหล่านั้น เช่น ความอิจฉาริษยา ความอคติ และเกียรติยศ อีกกลุ่มหนึ่งของความเสียหายทางศาสนา จะอยู่ในปัญหาด้านสังคมทางศาสนา เช่น ความบิดเบือน การอุปโลกน์ และการกระทำตามความนิยมต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอันตราย และเป็นความกดดันต่อการระวังรักษาความศักดิ์สิทธิ์ และการขยายศาสนาให้กว้างขวางออกไป ...
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42344 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ชาวสวรรค์ทุกคนจะได้ครองรักกับฮูรุลอัยน์หรือไม่? ฮูรุลอัยน์แต่ละนางมีสามีได้เพียงคนเดียวไช่หรือไม่? และจะมีฮูรุลอัยน์เพศชายสำหรับสตรีชาวสวรรค์หรือไม่?
    10913 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    สรวงสวรรค์นับเป็นความโปรดปรานที่พระองค์ทรงมอบเป็นรางวัลสำหรับผู้ศรัทธาและประพฤติดีโดยไม่มีข้อจำกัดทางเพศจากการยืนยันโดยกุรอานและฮะดีษพบว่า “ฮูรุลอัยน์”คือหนึ่งในผลรางวัลที่อัลลอฮ์ทรงมอบให้ชาวสวรรค์น่าสังเกตุว่านักอรรถาธิบายกุรอานส่วนใหญ่ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าในสวรรค์ไม่มีพิธีแต่งงานส่วนคำว่าแต่งงานกับฮูรุลอัยน์ที่ปรากฏในกุรอานนั้นตีความกันว่าหมายถึงการมอบฮูรุลอัยน์ให้เคียงคู่ชาวสวรรค์โดยไม่ต้องแต่งงาน.ส่วนคำถามที่ว่าสตรีในสวรรค์สามารถมีสามีหลายคนหรือไม่นั้นจากการศึกษาโองการกุรอานและฮะดีษทำให้ได้คำตอบคร่าวๆว่าหากนางปรารถนาจะมีคู่ครองหลายคนในสวรรค์ก็จะได้ตามที่ประสงค์ทว่านางกลับไม่ปรารถนาเช่นนั้น ...
  • ความต่างกิจกรรมของวิญญาณขณะนอนหลับ และสลบคืออะไร?
    16478 ปรัชญาอิสลาม 2555/09/29
    รูปแบบการปฏิสัมพันธ์ระหว่างร่างกายกับจิตวิญญาณขณะตื่นนอน กับการปฏิสัมพันธ์ขณะนอนหลับนั้นมีความแตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้ ตามคำสอนของอิสลามจึงได้เรียกการนอนหลับว่า เป็นพี่น้องของความตาย วิทยาศาสตร์แม้ว่าจะไม่มีข้อมูลการปฏิสัมพันธ์ระหว่างจิตวิญญาณกับร่างกายขณะนอนหลับ แต่สามารถค้นพบการเปลี่ยนแปลงและปฏิกิริยาบางอย่างทางร่างกายขณะนอนหลับได้ บนพื้นฐานของการค้นคว้านั้นและการทำสอบพบว่ามนุษย์มีการนอนหลับในสองระดับ ด้วยนามว่า REM และ Non REM ซึ่งทั้งสองมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยปกติแล้วการความฝันที่มักเกิดในระดับของ Non REM เกิดจากการหลับลึกซึ่งจะไม่อยู่ในความทรงจำ แต่เฉพาะการนอนหลับในระ REM เท่านั้นที่จะคงอยู่ในความทรงจำ ส่วนการสลบหมดสติเกิดจากการเบี่ยงเบนของวิญญาณ และเป็นการหลับที่ลุ่มลึกมาก ทำให้เขาไม่มีความทรงจำอันใดหลงเหลืออยู่ ...
  • กรุณาอธิบายเกี่ยวกับมัสญิดญัมกะรอนและสาเหตุของการก่อตั้งมัสญิดแห่งนี้
    7357 ประวัติสถานที่ 2554/08/08
    มัสญิดญัมกะรอนหนึ่งคือในสถานที่ศักดิสิทธิและเป็นสถานที่ของท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.) ตั้งอยู่ห่างจากเมืองกุมประมาณ๖กิโลเมตรมัสญิดแห่งนี้ได้ก่อสร้างเมื่อประมาณ๑๐๐๐ปีที่แล้วโดยคำสั่งของท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.) ซึ่งผู้ริเริ่มก่อสร้างได้รับคำสั่งดังกล่าวในขณะตื่น (ไม่ใช่ในฝัน) ซึ่งความเมตตาและสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆของอิมามมะฮ์ดี (อ.) ได้ปรากฎณสถานที่แห่งนี้อีกทั้งเป็นสถานที่นัดหมายสำหรับผู้ที่รอคอยการมาของท่านและมีความรักต่อท่านมัรฮูมมิรซาฮูเซนนูรีได้กล่าวเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของการก่อตั้งมัสญิดญัมกะรอนโดยอ้างอิงจากเชคฟาฏิลฮะซันบินฮะซันกุมี (อยู่ยุคสมัยเดียวกับเชคศอดูก) ในหนังสือ “ประวัติศาสตร์เมืองกุม”[1] จากหนังสือ “มูนิซุลฮะซีนฟีมะอ์ริฟะติลฮักวัลยะกีน”[2] ว่า:[3]เชคอะฟีฟศอและฮ์ฮะซันบินมุซลิฮ์ยัมกะรอนีได้กล่าวว่า: ในคือวันพุธที่๑๗เดือนรอมฏอนปี๓๙๓ฮ. ฉันได้นอนอยู่ในบ้านทันใดนั้นได้มีกลุ่มชนกลุ่มหนึ่งมาที่ประตูบ้านของฉันและได้ปลุกฉันและได้กล่าวกับฉันว่าจงลุกขึ้นและทำตามความต้องการของอิมามมะฮ์ดี (อ.) ซึ่งท่านได้เรียกหาท่านอยู่พวกเขาได้พาฉันมาสถานที่หนึ่งซึ่งในปัจจุบันสถานที่แห่งนั้นได้กลายมาเป็นมัสญิดญัมกะรอนแล้วท่านอิมามมะฮ์ดีได้เรียกชื่อของฉันและได้กล่าวว่า: “ไปบอกกับฮะซันบินมุสลิมว่า “สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่อันบริสุทธ์ที่อัลลอฮ์ทรงเลือกและให้สถานที่แห่งนี้มีความบริสุทธ์เจ้าได้ยึดครองสถานที่แห่งนี้...ดังนั้นท่านได้กล่าวว่า: จงบอกประชาชนว่าให้รักและหวงแหนสถานที่แห่งนี้”[4]อายาตุลลอฮ์อัลอุซมามัรอะชีนะญะฟีได้กล่าวยอมรับความศักดิ์สิทธิของมัสญิดญัมกะรอนว่า: ชีอะฮ์ทั่วไปให้ความสำคัญต่อมัสญิดอันศักดิ์สิทธ์แห่งนี้ตั้งแต่สมัยของการเร้นกายระยะแรกของท่านอิมามมะฮ์ดีจนถึงปัจจุบันซึ่งกินระยะเวลาถึงพันสองร้อยสองปีท่านเชคผู้สูงส่งมัรฮูมศอดูกได้กล่าวในหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า “มูนิซุลฮะซีน” ซึ่งฉันยังไม่ได้อ่านเองทว่ามัรฮูมฮัจยีมิรซาฮุเซนนูรีซึ่งเป็นอาจารย์ของฉันได้เล่าจากหนังสือเล่มนั้นว่าอุลามาอ์และนักวิชาการชั้นนำของชีอะอ์ให้ความเคารพมัสญิดแห่งนี้กันถ้วนหน้าและสิ่งมหัศจรรย์มากมายได้ปรากฏในมัสญิดญัมกะรอนแห่งนี้
  • เพราะสาเหตุใดการใส่ทองคำจึงฮะรอมสำหรับผู้ชาย?
    12391 ปรัชญาของศาสนา 2554/06/22
    ตามทัศนะของนักปราชญ์และผู้รู้การสวมใส่ทองคำสำหรับผู้ชายมีผลกระทบที่สามารถทำลายล้างได้กล่าวคือก) เป็นการกระตุ้นประสาท[1], ข) การเพิ่มจำนวนที่มากเกินไปของเซลล์เม็ดเลือดขาว[2]เหล่านี้คือผลเสียที่สามารถกล่าวถึงได้แต่ประเด็นทีต้องพิจารณาความรู้ที่รับผิดชอบต่อ"สุขภาพพลานามัย" ของมนุษย์ในขณะการปรับปรุงและพัฒนามิติด้านอาณาจักรที่เร้นลับและมิติทางจิตวิญญาณของมนุษย์ผู้ที่เป็นกังวลสมควรเป็นมุสลิมมากที่สุดซึ่งต้องพิจารณาที่ "ร่างกาย" และ "ความรู้" ระดับในการแสดงออกและเป็นบทนำสำหรับการพิจาณาในขั้นต่อไปเนื่องจากมนุษย์มิใช่เป็นเพียงดินหรือวัตถุเท่านั้นความเป็นมนุษยชาติขึ้นอยู่กับการเติบโตของความสามารถและศักยภาพต่างๆของมนุษย์พระเจ้าผู้ทรงอำนาจได้ประทานให้แก่พวกเขาโดยมีประสงค์ให้เขาบรรลุตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺของพระองค์แต่จริงๆแล้วแนวทางที่ทำให้พรสวรรค์นี้เติบโตคืออะไร? ศัตรูและอุปสรรคของหนทางนี้อยู่ตรงไหน?อัลลอฮฺ (ซบ.) ได้อธิบายถึงแนวทางและอุปสรรคขวางกั้นพรสวรรค์และศักยภาพของมนุษย์ไว้ในรูปแบบของบัญญัติแห่งศาสนาในฐานะที่เป็นพระมหากรุณาธิคุณด้วยการพิจารณาข้อเท็จจริงต่างๆแล้วไม่อาจมีข้อสงสัยใดๆได้เลยว่าบทบัญญัติพระเจ้าเป็นความจริงที่เกิดขึ้นภายนอกและในตัวเองแต่ถ้าต้องการทราบถึงปรัชญาของสิ่งนั้นจำเป็นต้องพิจารณาประเด็นต่อไปนี้ด้วย:1- มนุษย์สามารถรับรู้ปรัชญาทั้งหมดของบทบัญญัติของพระเจ้าได้หรือไม่? แน่นอนคำตอบคือไม่เนื่องจาก:ก) เนื่องจากในตำราทางศาสนามิได้กล่าวถึงปรัชญาทั้งหมดของบทบัญญัติเอาไว้ข) บทบัญญัติที่กล่าวถึงปรัชญาของตัวเองเอาไว้ไม่อาจรับรู้ได้ว่ากล่าวถึงปรัชญาทั้งหมดแล้วหรือไม่, ทว่าบางครั้งบทบัญญัติเพียงข้อเดียวก็มีปรัชญากล่าวไว้อย่างมากมายแต่พระเจ้าทรงเลือกสรรที่จะกล่าวบางข้อเหล่านั้นเพื่อเป็นการย้ำเตือนความทรงจำค) ความรอบรู้ของมนุษย์ก็สามารถค้นหาปรัชญาและวิทยปัญญาบางประการของบทบัญญัติได้เท่านั้นมิใช่ทั้งหมด

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60250 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57752 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42344 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39564 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39023 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34112 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28116 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28091 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27966 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25949 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...