การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
13556
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/06/02
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1974 รหัสสำเนา 13394
หมวดหมู่ เทววิทยาใหม่
คำถามอย่างย่อ
ศาสนาและวัฒนธรรมมีความสัมพันธ์กันอย่างไร?
คำถาม
ศาสนาและวัฒนธรรมมีความสัมพันธ์กันอย่างไร?
คำตอบโดยสังเขป

การที่จะสามารถนิยามความสัมพันธระหว่างศาสนาและวัฒนธรรมจารีตได้นั้น ขั้นแรกต้องเข้าใจถึงลักษณะจำเพาะ เป้าประสงค์ และผลผลิตของทั้งศาสนาและวัฒนธรรมเสียก่อน.

บางคนปฎิเสธความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและวัฒนธรรมโดยสิ้นเชิง ทัศนคตินี้ค่อนข้างจะไร้เหตุผล ทั้งนี้ก็เพราะแม้ว่าวัฒนธรรมจารีตบางประเภทอาจจะผิดแผกและไม่เป็นที่ยอมรับโดยศาสนาเนื่องจากขัดต่อเป้าประสงค์ที่ศาสนามุ่งนำพามนุษย์สู่ความผาสุก แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่ายังมีวัฒนธรรมจารีตอีกมากมายที่สอดคล้องและได้รับการยอมรับโดยศาสนา ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีวัฒนธรรมจารีตบางส่วนที่เกิดขึ้นจากคุณค่าที่ได้รับการฟูมฟักโดยศาสนาเช่นกัน.

คำตอบเชิงรายละเอียด

คำว่า "ดีน"  (ศาสนา) ในเชิงภาษาอรับมีความหมายที่หลากหลาย อาทิเช่น การตอบแทน ,การภักดี, ความเคยชิน ,การตัดสินพิพากษา แต่จากจำนวนความหมายดังกล่าว ขุมตำราตัฟซีรกุรอาน(อรรถาธิบาย)รวมทั้งตำราไวยากรณ์อรับบ่งชี้ว่าอัลกุรอานใช้คำว่า ดีน เพื่อสื่อความหมายถึงความภักดี และการตอบแทนเสียส่วนใหญ่ ส่วนความหมายอื่นๆที่มีอยู่ประปรายนั้นก็ได้แก่ การหยิบยืมทรัพย์สิน การคำนวน และการตราคำสั่ง[1]

โองการที่สื่อความหมายถึงการภักดีนั้นได้แก่ "لااکراه فی الدین"؛  (ไม่มีการข่มบังคับในเรื่องของการภักดี) [2] ส่วนโองการที่สื่อความหมายถึงการตอบแทนก็ได้แก่ "مالک یوم الدین" (จ้าวแห่งวันตอบแทน)[3]

ส่วนความหมายของคำว่าดีนหรือศาสนาในแวดวง(วิชาการอิสลาม)นั้น ท่านรอฆิบ อิศฟะฮานี (นักไวยากรณ์อรับนามอุโฆษ)เชื่อว่าเป็นการอุปมาอุปมัยถึง ชะรีอัต[4] (บทบัญญัติศาสนา) ส่วนท่านฟาฎิล มิกด้าด เชื่อว่าหมายถึง ฎอรีกัตและชะรีอัต[5] (วิถีทางและบทบัญญัติศาสนา) นอกจากนี้ศาสนายังหมายถึงพันธะสัญญาต่างๆที่มีต่อพระเจ้า ซึ่งจะขับเคลื่อนมนุษย์ให้ประคองตนสอดคล้องกับบทบัญญัติที่ประทานแก่ท่านศาสดา ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความหมายเชิงกว้างของคำว่า "ดีน" (ศาสนา) ที่สามารถปรับประยุกต์และนำมานิยามบทบัญญัติจากพระเจ้าที่ได้ประทานแก่เหล่าศาสดาทุกท่าน.[6]

หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ศาสนาอุดมไปด้วยแนวความเชื่อ ,ศีลธรรมจรรยา และประมวลบทบัญญัติจากพระเจ้านั่นเอง[7]

อย่างไรก็ดี ความหมายจำเพาะของคำว่าดีน (ศาสนา) หรือศาสนาที่เที่ยงธรรมดังที่ปรากฏในโองการอัลกุรอานนั้นก็คือ "อิสลาม"

 "ان الدین عندالله الاسلام..." (แน่แท้ อิสลามคือศาสนา(อันเที่ยงธรรม)  อัลลอฮ์)[8]

ส่วน "วัฒนธรรม"นั้น นับเป็นคำที่มีความหมายกว้างและครอบคลุมมากที่สุดคำหนึ่งในเชิงสังคมศาสตร์ โดยมีผู้นิยามความหมายคำนี้ไว้อย่างหลากหลาย

ในเชิงภาษา วัฒนธรรมหมายถึงจรรยามารยาท, องค์ความรู้, ศาสตร์ และความเข้าใจ[9]

ส่วนความหมายในแวดวงสังคมศาสตร์นั้นหมายถึง ความรู้และจรรยามารยาท, จารีตประเพณี, วัตรปฎิบัติของแต่ละกลุ่มชน ซึ่งกลุ่มชนนั้นๆสืบสานและถือปฎิบัติอย่างเคร่งครัด[10] 

บ้างก็นิยามวัฒนธรรมว่า หมายถึงประมวลองค์ความรู้ต่างๆ ศิลปแขนงต่างๆ แนวคิดและความเชื่อ, ศีลธรรมจรรยา, กฎเกณฑ์และข้อตกลง รวมทั้งจารีตประเพณีทั้งหลาย.[11]

เพราะฉะนั้น ต่อข้อซักถามที่ว่า ระหว่างศาสนาและวัฒนธรรมมีความเชื่อมโยงกันหรือไม่? และหากมีความเชื่อมโยงกัน จะถือว่าสองข้อเท็จจริงนี้คือสิ่งเดียวกันได้หรือไม่? เราจะถือว่าศาสนาเป็นองค์ประกอบหนึ่งของวัฒนธรรม หรือในทางกลับกัน เราจะเชื่อว่าศาสนาคือบ่อเกิดของวัฒนธรรมได้หรือไม่?  ปริศนาเหล่านี้ เนื่องจากวัฒนธรรมมีคำนิยามที่หลากหลาย จึงยังเป็นที่ถกเถียงกันในแวดวงวิชาการต่อไป

บางคนเชื่อว่าไม่มีความเกี่ยวโยงใดๆระหว่างคำว่าศาสนาและวัฒนธรรม ทั้งนี้เนื่องจากวัฒนธรรมถือเป็นมรดกทางสังคมและเกี่ยวข้องกับเอกลักษณ์ของชาติ  วัฒนธรรมค่อยๆผลิดอกออกผลภายในสังคม โดยที่ปัจจัยทางธรรมชาติและภูมิประเทศของแต่ละท้องถิ่นสามารถก่อให้เกิดวัฒนธรรมที่แตกต่างกันได้ 

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ วัฒนธรรรมมิไช่สิ่งอื่นใดเลยนอกจากผลผลิตที่สังคมได้สังเคราะห์ขึ้นท่ามกลางบริบททางธรรมชาติและภูมิประเทศ (และปัจจัยทางประวัติศาสตร์) และได้มอบเป็นมรดกแก่คนในสังคมสืบไป ทว่าในทางตรงกันข้าม ศาสนามิไช่มรดกทางสังคม ศาสนามิไช่ผลงานที่มนุษย์รังสรรค์ขึ้น หากจะกล่าวตามประสานักเทวนิยมก็ก็กล่าวได้ว่า "ศาสนาเป็นสถาบันที่พระเจ้าสถาปนาขึ้น"  หากมองในมุมนี้แล้ว เราจะพบว่าศาสนามิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมในแง่จุดกำเนิด แต่สามารถดำรงอยู่ได้อย่างสอดคล้องกัน[12]

อย่างไรก็ดี นักวิชาการบางคนเชื่อว่าเป็นการยากที่จะปฎิเสธสัมพันธภาพที่มีระหว่างนัยยะของศาสนาและวัฒนธรรม ทั้งนี้เนื่องจากคำสอนศาสนาหลายประการนับเป็นคำสอนทางวัฒนธรรมด้วยนั่นเอง กล่าวคือ หากศาสนาสอนเกี่ยวกับหลักความเชื่อและศีลธรรมจรรยา ก็มิอาจปฏิเสธได้ว่าสิ่งดังกล่าวถือเป็นแก่นของวัฒนธรรมด้วยเช่นกัน และหากจรรยามารยาทและจารีตต่างๆคือองค์ประกอบหลักของวัฒนธรรม อย่าลืมว่าชะรีอัต (บทบัญญัติ) ของศาสนาก็พูดถึงเรื่องดังกล่าวเช่นกัน [13]

อย่างไรก็ดี วัฒนธรรมย่อมแตกต่างกันไปตามปัจจัยทางภูมิประเทศและสภาวะดินฟ้าอากาศ วัฒนธรรมจารีตบางอย่าง อาทิเช่นการฝังบุตรสาวทั้งเป็นในยุคอรับญาฮิลียะฮ์ รวมถึงอุตริกรรมและสิ่งงมงายอันแพร่หลายซึ่งเมื่อกาลเวลาผ่านไปก็ค่อยๆแปรสภาพเป็นวัฒนธรรมนั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับคำสอนของศาสนาอย่างแน่นอน วัฒนธรรมจารีตบางประเภทสามารถเป็นที่ยอมรับของศาสนาได้หากได้รับการสังคายนาแก้ไขบ้างเสียก่อน และวัฒนธรรมจารีตบางประเภทก็เกิดขึ้นภายใต้ร่มเงาคำสอนของศาสนาโดยตรง

หากจะพิจารณาถึงจุดกำเนิดของศาสนา ประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาต่างๆชี้ให้เห็นว่าศาสนาแต่ละศาสนาจะกำเนิดขึ้นเมื่อโครงสร้างของระบอบศาสนาที่มีอยู่เดิมได้เสื่อมลงหรืออาจเกิดความเสื่อมโทรมทางศีลธรรมขึ้นในสังคม อย่างไรก็ตาม เมื่อศาสนาหนึ่งเริ่มแผ่ขยายขึ้นก็มักจะปฎิวัติโค่นล้มหรือไม่ก็ปฎิรูปโครงสร้างค่านิยมเดิมในสังคม ส่งผลให้วัฒนธรรมของสังคมดังกล่าวสั่นสะเทือนรุนแรงและหาทางกำจัดเนื้อหาของตนบางประการ และยอมรับเนื้อหาอันสอดคล้องกับคุณค่าชุดใหม่ของศาสนาหรือสำนักคิดใหม่ จากจุดนี้เองที่เราจะเห็นว่าศาสนาหรือสำนักคิดสามารถสร้างวัฒนธรรมได้

อย่างไรก็ตาม มิไช่ว่าทุกศาสนาจะสร้างวัฒนธรรมขึ้นมาได้ ข้อเท็จจริงก็คือ ศาสนาทุกศาสนาจะสร้างสรรค์/นำเสนอคุณค่าชุดหนึ่งขึ้นมา โดยที่คุณค่าเหล่านี้ :

1.     สวมบทบาทวัฒนธรรมเข้าแก้ไขวัฒนธรรมเดิมที่ขัดแย้งกับคุณค่าดังกล่าว ดังกรณีที่วัฒนธรรมจารีตการฝังบุตรสาวทั้งเป็นได้ถูกเพิกถอนหลังอิสลามแผ่ขยาย 

2.     เข้าเติมเต็มวัฒนธรรมที่ว่างเปล่าไร้ซึ่งเนื้อหาคุณค่า หรือในกรณีที่วัฒนธรรมบางอย่างห่อหุ้มเนื้อหาที่เป็นภัยคุกคามต่อคุณค่าชุดใหม่ แต่ยังสามารถชำระให้บริสุทธิจากเนื้อหาเก่าได้ ศาสนาก็จะแปรสภาพวัฒนธรรมดังกล่าวให้พร้อมต่อการเจริญงอกงามของคุณค่าชุดใหม่ ดังจะเห็นได้จากกรณีการประกอบพิธีฮัจย์ที่เคยคราคร่ำไปด้วยเนื้อหาของการตั้งภาคีและการบูชาเจว็ดในยุคญาฮิลียะฮ์ (อวิชชา) อิสลามมิได้ขจัดวัฒนธรรมดังกล่าวอย่างถอนรากถอนโคน แต่ได้อนุรักษ์ไว้โดยเติมเต็มเนื้อหาเข้าไปให้สมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้เองที่วัฒนธรรมเหล่านี้ยังคงดำรงอยู่ได้ในโครงสร้างของคุณค่าชุดใหม่ต่อไปได้ ดังเช่น วัฒนธรรมการฉลองปีใหม่ของชาวอิหร่านก่อนและหลังอิสลาม[14]

ขอย้ำอีกครั้งว่าศาสนาใหม่มิได้นำมาซึ่งวัฒนธรรมใหม่ แต่ศาสนาจะนำเสนอคุณค่าชุดใหม่ โดยที่สังคมจะก่อกำเนิดวัฒนธรรมขึ้นตามบริบทของคุณค่าชุดดังกล่าว และเมื่อวัฒนธรรมใหม่ถือกำเนิดขึ้นตามคำสอนของศาสนาใหม่ ครั้นเวลาผ่านไป ศาสนาก็จะกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกับวัฒนธรรมของสังคมนั้นๆในที่สุด

เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับประเด็นนี้ก็คือ หากศาสนาใดศาสนาหนึ่งมีอิทธิพลเหนือความคิดของกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลาย ย่อมจะให้กำเนิดพหุวัฒนธรรมอันหลากหลายทว่าตั้งอยู่บนพื้นฐานของคุณค่าชุดเดียวกัน คงไม่ถูกต้องนักที่จะคิดว่าเมื่อศาสนาเข้าสู่เขตคามใดย่อมจะบังเกิดวัฒนธรรมเดียวเท่านั้น ที่ถูกต้องก็คือ ศาสนาจะผลักดันให้คุณค่าชุดเดียวโดดเด่นและมีอิทธิพลเหนือกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลาย ส่วนวัฒนธรรมนั้นจะแตกต่างกันไปตามภูมิหลังทางวัฒนธรรมดั้งเดิมของแต่ละท้องถิ่น ทั้งนี้ก็เพราะกรอบแห่งวัฒนธรรมเกิดขึ้นบนพื้นฐานทางภูมิประเทศและสภาพความเป็นอยู่ของแต่ละท้องถิ่นนั่นเอง [15]



[1]. สารานุกรมตะชัยยุอ์ เล่ม 7  คำว่า دین

2. ซูเราะฮ์ อัลบะเกาะเราะฮ์ : 256

[3]. ซูเราะฮ์อัลฟาติหะฮ์ : 4

[4]. รอฆิบ อิศฟะฮานี,มุฟเราะดาต อัลฟาซุลกุรอาน หน้า 177 คำว่า دین (ศาสนา)

[5]. ฟาฎิล มิกด้าด, ชัรฮ บาบ ฮาดีอะชัร หน้า 2

[6]. สารานุกรมตะชัยยุอ์ หน้า 7 คำว่า دین

[7]. อายะตุลลอฮ์ ญะวาดี ออโมลี, ฟิตรัต ดาร กุรอาน เล่ม 12 หน้า 145

[8]. ซูเราะฮ์อาลิอิมรอน : 19

[9]. มุฮัมมัด มุอีน, พจนานุกรมมุอีน เล่ม 2 คำว่า فرهنگ (วัฒนธรรม)

[10]. ซัยยิดมุศเฏาะฟา ดัชตี ฮุซัยนี, มะอาริฟ วะ มะอารีฟ เล่ม คำว่า فرهنگ

[11]. อับดุลฮุเซน สะอีดียอน, ดาอิเราะตุลมะอาริฟ โนว์ เล่ม 4 คำว่า فرهنگ

[12]. นสพ.สะลอม, ประจำวันที่ 15/7/1373 หน้า 10

[13]. อ้างแล้ว

[14]. นสพ.ญะฮอเน อิสลาม, ประจำวันที่ 1/2/1373 หน้า 10

[15]. อ้างแล้ว

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • การใช้ชีวิตเพื่ออัลลอฮฺ เป็นชีวิตอย่างไร? มีความขัดแย้งกับชีวิตการเป็นอยู่ทั่วไปทางโลกหรือไม่?
    9962 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/01/23
    ถ้าหากพิจารณาอัลกุรอานแล้วได้ถามอัลกุรอานว่าเราได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร? คำตอบของอัลกุรอานคือเรามิได้สร้างมนุษย์และญินขึ้นมาเพื่อการใดเว้นเสียแต่เพื่อการอิบาดะฮฺ"وَ ما خَلَقْتُ الْجِنَّ وَ الْإِنْسَ إِلَّا لِیَعْبُدُونِ" อิบาดะฮฺ
  • บาปใหญ่จะได้รับการอภัยหรือไม่?
    17469 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/21
    บาปใหญ่คือบาปประเภทที่กุรอานหรือบทฮะดีษแจ้งว่าจะต้องถูกสำเร็จโทษ(แต่ก็ยังมีสิ่งชี้วัดอื่นๆที่บ่งบอกถึงบาปใหญ่) ทั้งนี้การฝืนกระทำบาปเล็กซ้ำหลายครั้งก็ทำให้บาปเล็กกลายเป็นบาปใหญ่ได้เช่นกันอย่างไรก็ดีอัลลอฮ์ได้ทรงให้สัญญาในกุรอานว่าจะทรงอภัยโทษบาปทุกประเภทโดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องเตาบะฮ์อย่างถูกต้องเสียก่อนเตาบะฮ์ในกรณีสิทธิของอัลลอฮ์หมายถึงการชดเชยอะมั้ลอิบาดะฮ์ที่เคยงดเว้นประกอบกับการกล่าวอิสติฆฟารอย่างบริสุทธิใจส่วนเตาบะฮ์ในกรณีสิทธิของมนุษย์หมายถึงการกล่าวอิสติฆฟารคืนสิทธิแก่ผู้เสียหายและขอให้คู่กรณียกโทษให้ ...
  • ฮะดีษนบีและอะฮ์ลุลบัยต์ที่เกี่ยวกับความเศร้าหมองและการโอดครวญเทียบกับทัศนะของผู้รู้ชีอะฮ์ อย่างใดสำคัญกว่ากัน?
    7796 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/13
    เกี่ยวกับเรื่องนี้จำเป็นต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงต่อไปนี้:1. ไม่ไช่ว่าฮะดีษทุกบทจะเชื่อถือได้ทั้งหมด2. ต้องคำนึงเสมอว่าปัจจัยกาลเวลาและสถานที่มีอิทธิพลต่อฮุก่ม(กฎศาสนา)3. ในจำนวนฮุก่มทั้งหมดมีฮุก่มวาญิบและฮะรอมเท่านั้นที่มีความอ่อนไหว4. จะต้องพิจารณาแหล่งอ้างอิงให้ถี่ถ้วนตัวอย่างเช่นกรณีของการร้องไห้นั้นยังมีข้อถกเถียงกันได้เพราะแม้ว่าวะฮาบีจะฟัตวาห้ามร้องไห้แก่ผู้ตายแต่ในแง่สติปัญญาแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับได้นอกจากนี้ฮะดีษทั้งสายซุนหนี่และชีอะฮ์ก็ปรากฏเหตุการณ์ที่ท่านนบี(ซ.ล.)และบรรดาอิมาม(อ.)ร้องไห้ให้กับผู้ตายหรือบรรดาชะฮีดเช่นท่านฮัมซะฮ์หรือมารดาท่านนบี(ซ.ล.) ตลอดจนกรณีอื่นๆอีกมาก 5. อุละมาอ์และผู้รู้ระดับสูงสอนว่ามีบางพฤติกรรมที่ผู้ไว้อาลัยไม่ควรกระทำซึ่งบางกรณีอาจทำให้ต้องจ่ายกัฟฟาเราะฮ์ด้วยฉะนั้นจะต้องแยกแยะระหว่างพฤติกรรมที่ผิดหลักศาสนาของผู้คนที่ไม่รู้ศาสนากับคำสอนที่แท้จริงของอิสลามและบรรดาอุละมาอ์ ...
  • การเข้าร่วมงานแต่งงานที่มีจำนวนแขกจำ ซึ่งกำหนดไว้ก่อนแล้วล่วงหนา แต่แขกที่มาไม่มีใครคุมผ้าเรียบร้อยสักคนเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าบ่าว กรณีนี้กฎเกณฑ์ทางศาสนบัญญัติกล่าวไว้อย่างไร (และลักษณะงานเช่นนี้ โดยทั่วไปเจ้าบ่าวและมะฮาริมที่เข้าร่วมงานแต่ง ตลอดงานนิกาฮฺจะแยกระหว่างชายหญิง)
    5168 สิทธิและกฎหมาย 2562/06/15
    เริ่มแรกเกี่ยวกับคำถามข้างต้น ขอกล่าวถึงทัศนะของมัรญิอฺตักลีด 1.งานสมรสตามประเพณีอิสลาม คือการร่วมแสดงความสุข รื่นเริง โดยปราศจากการกระทำความผิดบาปต่าง ๆ หรือภารกิจต่าง ๆ ที่ฮะรอม และมารยาทอันไม่ดีไม่งาม ที่มิใช่วิสัยของมนุษย์[1] 2.เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าบ่าว หรือนามะฮฺรัมคนอื่น จำเป็นต้องรักษาฮิญาบ อย่างเคร่งครัด ซึ่งตรงนี้ไม่แตกต่างกันระหว่างงานสมรส และงานชุมนุมอย่างอื่น[2] 3.การเข้าร่วมงานสมรส หรืองานสังสรรค์อื่นๆ ซึ่งภายในงานนั้นมิได้เอาใจใส่สิ่งเป็นวาญิบในอิสลาม (เช่น แขกที่มาอยู่รวมกันทั้งชายและหญิง มีการเต้นรำ หรือเปิดเพลงที่ฮะรอม อย่างเปิดเผย) ถือว่าฮะรอม[3] 4. ถ้างานสมรสมิได้เป็นไปในลักษณะที่ว่า เป็นงานสังสรรค์แบบไร้สาระ ฮะรอม เป็นบาป หรือการปรากฏตัวในงานเหล่านั้น มิได้เป็นการสนับสนุนการก่อความเสียหาย ซึ่งการเข้าร่วมในงานสังสรรค์เช่นนั้น โดยทั่วไปไม่ถือว่าเป็นการสนับสนุน ถือว่าไม่เป็นไร
  • เราจะมั่นใจได้อย่างไร สำหรับผู้รู้ที่ตักเตือนแนะนำและกล่าวปราศรัย มีความเหมาะสมสำหรับภารกิจนั้น?
    7557 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/08/22
    ตามคำสอนของอิสลามที่มีต่อสาธารณชนคือ จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับความเข้าในคำสอนศาสนา ตนต้องค้นคว้าและวิจัยด้วยตัวเองเกี่ยวกับบทบัญญัติของศาสนา หรือให้เชื่อฟังปฏิบัติตามอุละมาอฺ และเนื่องจากว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่สามารถกระทำเช่นนั้นได้ทั้งหมด กล่าวตนเข้าศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับคำสอนของศาสนา ด้วยเหตุนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่เขาต้องเข้าหาอุละมาอฺในศาสนา อิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ได้กำหนดมาตรฐานสำหรับการรู้จักผู้รู้ที่คู่ควรและเหมาะสมเอาไว้ว่า การได้ที่เราจะสามารถพบอุละมาอฺที่ดี บริสุทธิ์ และมีความเหมาะสมคู่ควร สำหรับชีอะฮฺแล้วง่ายนิดเดียว เช่น กล่าวว่า “ผู้ที่เป็นอุละมาอฺคือ ผู้ที่ปกป้องตัวเอง พิทักษ์ศาสนา เป็นปรปักษ์กับอำนาจฝ่ายต่ำของตน และเชื่อฟังปฏิบัติตามบัญชาของอัลลอฮฺ ฉะนั้น เป็นวาญิบสำหรับบุคคลทั่วไปที่จะต้องปฏิบัติตามเขา นอกจาคำกล่าวของอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) แล้วยังมีวิทยปัญญาอันล้ำลึกของผู้ศรัทธา ไม่ว่าเขาจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตามเขาจะใช้ประโยชน์จากมัน แม้ว่าจะอยู่ในหมู่ผู้ปฏิเสธศรัทธาก็ตาม ...
  • เอทานอลซึ่งเป็นแอลกอฮอล์ชนิดหนึ่ง ไม่ถือเป็นนะญิสและสามารถกินได้ไช่หรือไม่?
    12671 สิทธิและกฎหมาย 2554/09/20
    แอลกอฮอล์แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักหนึ่งคือแอลกอฮอล์ที่ได้มาจากอุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมีและประเภทที่สองคือแอลกอฮอล์ที่ได้มาจากการกลั่นระเหยของเหล้าและเนื่องจากเอทานอลเป็นหนึ่งในแอลกอฮอล์อุตสาหกรรมประเภทต่างๆดังนั้นเราจึงต้องมาวิเคราะห์ประเด็นแอลกอฮอล์อุตสาหกรรมเสียก่อน
  • กรุณาอธิบายเกี่ยวกับสายรายงานและเนื้อหาของซิยารัตอาชูรอ
    7223 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/12/10
    แหล่งอ้างอิงหลักของซิยารัตบทนี้ก็คือหนังสือสองเล่มต่อไปนี้กามิลุซซิยารอตประพันธ์โดยญะฟัรบินมุฮัมมัดบินกุละวัยฮ์กุมี (เสียชีวิตฮ.ศ.348) และมิศบาฮุ้ลมุตะฮัจญิดีนของเชคฏูซี (ฮ.ศ.385-460) ตามหลักบางประการแล้วสายรายงานของอิบนิกูละวัยฮ์เชื่อถือได้แต่สำหรับสายรายงานที่ปรากฏในหนังสือมิศบาฮุ้ลมุตะฮัจญิดีนนั้นต้องเรียนว่าหนังสือเล่มนี้นำเสนอซิยารัตนี้ผ่านสองสายรายงานซึ่งสันนิษฐานได้สามประการเกี่ยวกับผู้รายงานฮะดีษหนึ่ง:น่าเชื่อถือ
  • ในสังคมอิสลามมีสตรีศึกษาในสถาบันศาสนาแล้วถึงขั้นมุจญฺตะฮิดมีบ้างหรือไม่?
    6678 تاريخ بزرگان 2554/09/25
    การให้ความร่วมมือกันของนักปราชญ์และนักวิชาการอิสลาม, ประกอบกับเป็นข้อบังคับเหนือตัวมุสลิมทั้งชายและหญิง, สิ่งนี้กลายเป็นสาเหตุทำให้สตรีได้เข้าศึกษาศาสนาจนถึงระดับชั้นของการอิจญฺติฮาดหรือมุจญตะฮิดตัวอย่างสุภาพสตรีที่ศึกษาถึงขั้นอิจญฺติฮาดมุจญฺตะฮิดะฮฺอะมีนเสียชีวิตในปีฮ.ศ. 1403 (1362) หรือมุจญฺตะฮิดะฮฺซะฟอตียฺซึ่งปัจจุบันท่านยังเป็นอาจารย์สอนหนังสือในสถาบันสอนศาสนาเฉพาะสตรีซึ่งสองท่านนี้ถือได้ว่าเป็นตัวอย่างของสตรีที่ประสบความสำเร็จสูง ...
  • ความหมายของอักษรย่อในอัลกุรอานคือ อะไร?
    14442 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    อักษรย่อ หมายถึงอักษาซึ่งได้เริ่มต้นบทอัลกุรอาน บางบท ไม่มีความหมายเป็นเอกเทศ ตัฟซีรกุรอาน มีการตีความอักษรเหล่านี้ด้วยทัศนะที่แตกต่างกัน ซึ่งทัศนะที่ถูกต้องที่สุดคือ อักษรย่อเป็นรหัส ซึ่งเท่าเราะซูลและหมู่มิตรของอัลลอฮฺ เข้าใจในสิ่งนั้น ประโยคที่ว่า «صراط علی حق نمسکه» นักค้นคว้าบางคนกล่าวว่า ไม่มีที่มาจากแหล่งรายงานฮะดีซ ...
  • ปัจจุบันสวรรค์และนรกมีอยู่หรือไม่ ?
    9051 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/12/22
    พิจารณาจากโองการและรายงานต่างๆแล้วจะเห็นว่าสวรรค์และนรกที่ถูกสัญญาไว้มีอยู่แล้วในปัจจุบันซึ่งในปรโลกจะได้รับการเสนอขึ้นมาซึ่งมนุษย์ทุกคนจะถูกจัดส่งไปยังสถานที่อันเหมาะสมของแต่ละคนตามความเชื่อความประพฤติ

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60675 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58300 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42782 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40267 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39397 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34525 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28587 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28497 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28448 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26363 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...