การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
8672
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2555/01/03
 
รหัสในเว็บไซต์ fa4098 รหัสสำเนา 20407
คำถามอย่างย่อ
ฮะดีษทุกบทที่กล่าวถึงการมุตอะฮ์เชื่อถือได้หรือไม่?
คำถาม
บางครั้งบรรดาอิมามอาจจะกล่าวฮะดีษสอดคล้องกับสถานการณ์หรือกรณีฟิกเกาะฮ์ในลักษณะบทเฉพาะกาล เป็นที่น่าเศร้าใจที่มีฮะดีษปลอมปรากฏในตำราศาสนาของเราบางเล่ม น่าเสียใจที่มีผู้เคร่งศาสนาบางคนที่หวังดีและอยากจะนำเสนอประเด็นการสมรสชั่วคราว แต่กลับอ้างอิงถึงฮะดีษบางบทที่ไม่น่าเชื่อถือแง่ไวยากรณ์และสำนวนทางเทววิทยา กรุณาวิจารณ์ฮะดีษเหล่านี้ด้วยค่ะ
1. อะบาน บิน ตัฆลิบ ถามอิมามศอดิก(อ.)ว่า หากพบสตรีโฉมงามที่พร้อมจะสมรสชั่วคราว แต่ไม่มั่นใจว่าเธอมีสามีหรือไม่ จะต้องทำอย่างไรขอรับ? ท่านตอบว่า “ไม่จำเป็นต้องสืบประวัติเธอ คำพูดที่ว่าเธอไม่มีสามีถือว่าเพียงพอแล้ว” (หมวดมุตอะฮ์ เชคมุฟี้ด,ฮะดีษที่ 37)
2. ท่านนบี(ซ.ล.)กล่าวว่า “ผู้ที่กระทำมุตอะฮ์หนึ่งครั้ง เท่ากับว่าเศษหนึ่งส่วนสามของเขาเป็นอิสระแล้วจากไฟนรก ผู้ที่กระทำสองครั้ง สองในสามของเขาปลอดภัย ผู้ที่กระทำสามครั้ง เขาจะปลอดภัยจากไฟนรกทั้งเรือนร่าง
3. ซุรอเราะฮ์ บิน อะอ์ยัน รายงานจากอิมามบากิร(อ.)ว่า ความสุขของผู้ศรัทธามีสามประการ หนึ่ง มุตอะฮ์กับอิสตรี สอง หยอกล้อกับมิตรสหาย สาม นมาซตะฮัจญุด (หนังสือ สมรสชั่วคราว: ความจำเป็นแห่งยุคสมัย,อับบาสซอเดะฮ์)
4. ฮิมยะรีส่งสาส์นถามท่านอิมามมะฮ์ดีว่า มีชายชีอะฮ์คนหนึ่งที่ยอมรับว่ามุตอะฮ์เป็นที่อนุมัติ และมีภรรยาที่ดีและปรนนิบัติอย่างเต็มที่ เขาจึงสัญญากับนางว่าจะไม่สมรสอีก ไม่ว่าจะถาวรหรือชั่วคราว เขารักษาสัญญาไว้ถึงสิบเก้าปี แม้บางครั้งต้องเดินทางไปต่างบ้านต่างเมืองแต่เขาก็อดทน เขายอมรับว่ามุตอะฮ์เป็นสิ่งอนุมัติก็จริง แต่เนื่องจากรักภรรยาเป็นอย่างยิ่ง จึงไม่ยอมมุตอะฮ์กับสตรีคนใดเลย ถามว่าการที่เขางดกระทำมุตอะฮ์ ถือเป็นบาปหรือไม่ขอรับ? คำตอบจากท่านอิมามส่งถึงเขาดังนี้ “เนื่องจากเขาสัญญาในสิ่งที่เป็นการฝ่าฝืนอัลลอฮ์ จึงจำเป็นต้องเชื่อฟังพระองค์ และกระทำมุตอะฮ์หนึ่งครั้งเป็นอย่างน้อย” (บิฮารุลอันว้าร,เล่ม 100,หน้า 298 และ หมวดมุตอะฮ์,เชคมุฟี้ด,หน้า 48)
5. ท่านนบี(ซ.ล.)กล่าวว่า “ผู้ใดที่ตายไปโดยที่ยังไม่เคยมุตอะฮ์ จะมีหน้าตาอัปลักษณ์เสมือนคนที่จมูกแหว่ง”
คำตอบโดยสังเขป

การสมรสชั่วคราวถือเป็นหนึ่งในขนบธรรมเนียมแห่งอิสลามที่กุรอานได้อนุญาตไว้
ขนบธรรมเนียมอันดีงามนี้มีการถือปฏิบัติกันในสังคมมุสลิมยุคท่านนบี(..)และเคาะลีฟะฮ์คนแรก ตลอดจนระยะแรกของยุคเคาะลีฟะฮ์คนที่สอง กระทั่งเขาได้สั่งห้ามในที่สุด
แต่บรรดาอิมามมะอ์ศูมีนมักจะรณรงค์ให้มีการสมรสประเภทนี้ต่อไป เนื่องจากขนบธรรมเนียมทางศาสนาดังกล่าวถูกสั่งห้ามอย่างไม่ชอบธรรม อย่างไรก็ดี ฮะดีษที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ควรได้รับการกลั่นกรองสายรายงานและเนื้อหาเสมือนฮะดีษอื่นๆทั่วไป ซึ่งจะแจกแจงในคำตอบแบบสมบูรณ์ต่อไป นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาสภาพสังคมในยุคของอิมามด้วย

คำตอบเชิงรายละเอียด

การสมรสชั่วคราวถือเป็นหนึ่งในขนบแห่งอิสลามที่กุรอานได้อนุญาตไว้
ขนบธรรมเนียมอันดีงามนี้มีการถือปฏิบัติกันในสังคมมุสลิมยุคท่านนบี(..)และเคาะลีฟะฮ์คนแรก ตลอดจนระยะแรกของยุคเคาะลีฟะฮ์คนที่สอง กระทั่งเขาได้สั่งห้ามในที่สุด
แต่บรรดาอิมามมะอ์ศูมีนมักจะรณรงค์ให้มีการสมรสประเภทนี้ต่อไป เนื่องจากขนบธรรมเนียมทางศาสนานี้ถูกสั่งห้ามอย่างไม่ชอบธรรม การกระทำดังกล่าวจึงนับว่าเป็นการดื้อแพ่งต่อคำสั่งห้ามอันเป็นบิดอะฮ์ และนี่คือเหตุผลที่การสมรสประเภทนี้ถือเป็นมุสตะฮับในทัศนะของชีอะฮ์ ซึ่งมีการอธิบายไว้ในสำนวนฮะดีษหลายบท

ส่วนการวิจารณ์ฮะดีษนั้น ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะการวิจารณ์ฮะดีษต้องอาศัยความชำนาญอย่างสูง ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์สายรายงานว่าน่าเชื่อถือหรือไม่ และไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์เนื้อหาฮะดีษว่า แม้ฮะดีษน่าเชื่อถือจริง แต่จะนำมาใช้ประโยชน์อย่างไรได้บ้าง ตัวอย่างเช่น ข้อพึงสังเกตุที่ว่าฮะดีษกล่าวขึ้นในบริบทใด เรื่องใด และตอบคำถามใดหรือไม่?

เราเห็นพ้องกับคุณในประเด็นที่ว่า ผู้ที่ไม่มีความชำนาญไม่ควรนำเสนอฮะดีษตามใจชอบ ด้วยเหตุนี้เองที่แม้ในยุคของบรรดาอิมามเองก็มีบุคคลจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้รายงานฮะดีษ
ก่อนจะวิเคราะห์ฮะดีษที่คุณอ้างอิงไว้ จำเป็นต้องวิจารณ์สายรายงานและเนื้อหาโดยละเอียดดังต่อไปนี้:

ฮะดีษแรก
ฮะดีษนี้ปรากฏในหนังสืออัลกาฟีด้วยสายรายงานต่อไปนี้:

عدة من أصحابنا ، عن أحمد بن محمد بن خالد ، عن محمد بن علی ، عن محمد بن أسلم ، عن إبراهیم بن الفضل ، عن أبان بن تغلب قال : قلت لأبی عبد الله ( علیه السلام ) : إنی أکون فی بعض الطرقات أرى المرأة الحسناء و لا آمن أن تکون ذات بعل أو من العواهر؟ قال: لیس هذا علیک إنما علیک أن تصدقها فی نفسها[1]

ในสายรายงานนี้มีมุฮัมมัด บิน อลี และ มุฮัมมัด บิน อัสลัม ซึ่งเป็นพวกสุดโต่งและไม่น่าเชื่อถือ ส่วน อิบรอฮีม บิน ฟัฎล์ อัลฮาชิมีก็เป็นบุคคลที่ไม่มีใครรู้จัก
อย่างไรก็ดี ในหมวดดังกล่าว(หมวดเชื่อสตรีได้ในเรื่องที่เกี่ยวกับตัวนางเอง) มีฮะดีษถัดไปที่มีสายรายงานที่เศาะฮี้ห์ อันหมายถึงผู้รายงานทุกคนเชื่อถือได้ เป็นอิมามียะฮ์ และเชื่อมถึงอิมาม โดยมีเนื้อหาตรงตามนั้น

แต่เนื่องจากโดยทั่วไปแล้ว ฮะดีษมีทั้งประเภทที่มีเนื้อหากว้างและเนื้อหาเจาะจง หรือประเภทมีเงื่อนไขและปราศจากเงื่อนไข บางกรณีมีเนื้อหาหักล้างกันเอง ซึ่งทำให้เข้าใจลำบากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงต้องสอบถามผู้รู้เฉพาะทางในสายฮะดีษ (บรรดามุจตะฮิด) เพื่อมิให้เข้าใจผิดเพี้ยนหรือตีความตามอำเภอใจ อย่างไรก็ตาม เป็นที่ยอมรับกันว่า หากหญิงคนใดกล่าวว่าตนไม่มีสามีก็สามารถเชื่อตามนั้นได้ (หากไม่เป็นที่รู้กันว่านางชอบโกหกพกลม)[2]

ส่วนฮะดีษบทที่สองที่คุณอ้างไว้ เราไม่พบในตำราเล่มใด จึงไม่อาจจะแสดงทัศนะได้

ส่วนฮะดีษบทที่สาม ตัวบทฮะดีษมีอยู่ว่า 

أبی عن سعد ، عن حماد بن یعلی ، عن أبیه، عن حماد بن عیسى عن زرارة ، عن أبی جعفر (ع) قال : لهو المؤمن فی ثلاثة أشیاء: التمتع بالنساء و مفاکهة الاخوان و الصلاة باللیل[3]

ในสายรายงานนี้มี ฮัมม้าด บิน ยะอ์ลา และพ่อของเขา ยะอ์ลา บิน ฮัมม้าด ซึ่งทั้งสองคนไม่เป็นที่รู้จัก จึงทำให้กลายเป็นฮะดีษเฎาะอี้ฟ ทว่าไม่มีข้อด้อยในแง่เนื้อหา เนื่องจากการสมรสชั่วคราวนั้น แม้ว่าจะกระทำเพียงเพื่อให้มีความสุขก็ถือว่าถูกต้อง อย่างไรก็ดี การแสวงหาความสุข (ตะมัตตุอ์)ในที่นี้อาจหมายถึงการสมรสถาวรก็ได้ ซึ่งในกรณีดังกล่าวย่อมอยู่นอกเหนือประเด็นของเรา

ส่วนฮะดีษบทที่สี่
อันดับแรก: ฮะดีษนี้มีสองสายรายงานซึ่งอ่อนทั้งคู่ ทว่ามีฮะดีษอีกบทหนึ่งซึ่งเป็นเศาะฮี้ห์ อันหมายถึงผู้รายงานทุกคนเชื่อถือได้ เป็นอิมามียะฮ์ และเชื่อมถึงอิมาม จึงสามารถอ้างอิงและใช้ประโยชน์ในแง่เนื้อหาได้
สอง: ความหมายที่ถูกต้องของฮะดีษดังกล่าวคือ เป็นสิ่งบังควร (มิไช่บังคับ) ที่เขาจะเชื่อฟังอัลลอฮ์ด้วยการกระทำมุตอะฮ์ และควรกระทำแม้สักครั้งเพื่อเป็นการเพิกถอนสัญญาอันเป็นมะอ์ศิยัตดังกล่าว[4]

ส่วนฮะดีษที่ห้านั้น เราไม่พบในตำราเล่มใด

สรุปคือ อุละมาชีอะฮ์มีทัศนะเป็นเอกฉันท์ในเรื่องการอนุมัติให้มุตอะฮ์ได้ แม้จะกระทำเพื่อความสุขทางเพศเพียงอย่างเดียวก็ตาม ซึ่งข้อสรุปข้างต้นสังเคราะห์มาจากเนื้อหาของฮะดีษอื่นๆจำนวนไม่น้อยที่นอกเหนือจากฮะดีษที่กล่าวมาทั้งหมด ซึ่งล้วนมีความน่าเชื่อถือเพียงพอ

หากต้องการศึกษาเพิ่มเติม กรุณาอ่าน:
ระเบียน การสมรสชั่วคราวและความสงบทางจิตใจ เลขที่ 2925 (เว็บไซต์ 3130)
ระเบียน การสมรสชั่วคราวในกุรอานและจารีตของมะอ์ศูมีน เลขที่ 2965  (เว็บไซต์ 3467)
ระเบียน การอนุมัติให้สมรสชั่วคราวได้ เลขที่ 844 (เว็บไซต์ 915)
ระเบียน ผลเสียที่จะเกิดจากการปล่อยให้มีการสมรสชั่วคราวในสังคม เลขที่ 347 (เว็บไซต์ 353)



[1] ษิเกาะตุลอิสลาม กุลัยนี, อัลกาฟี,เล่ม 5,หน้า 462, ดารุลกุตุบิลอิสลามียะฮ์,เตหราน,..1365

[2] ประมวลปัญหาศาสนาของอิมามโคมัยนี(พร้อมภาคผนวก),เล่ม 2,หน้า 499, ปัญหาที่ 2456 และเชิงอรรถของอายะตุลลอฮ์ ฟาฎิลลังกะรอนี, ซีซตานี, และมะการิม ชีรอซี

[3] เชคเศาะดู้ก,อัลคิศ้อล,เล่ม 1,หน้า 161,สำนักพิมพ์ญามิอะฮ์มุดัรริซีน,กุม,.. 1403

[4] อามิลี, เชคฮุร,วะซาอิลุชชีอะฮ์,เล่ม 21,หน้า 17 (หมวดมุสตะฮับให้มุตอะฮ์แม้จะสัญญาหรือบนบานว่าจะไม่กระทำ),สถาบันอาลุลบัยต์,กุม,..1409   .".... یستحب له أن یطیع الله تعالى بالمتعة لیزول عنه الحلف فی المعصیة و لو مرة واحدة

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • กรุณาอธิบายวิธีตะยัมมุมแทนที่วุฎูอฺและฆุซลฺ ว่าต้องทำอย่างไร?
    11006 สิทธิและกฎหมาย 2555/05/17
    จะทำตะยัมมุมอย่างไร การตะยัมมุมนั้นมี 4 ประการเป็นวาญิบ: 1.ตั้งเจตนา, 2. ตบฝ่ามือทั้งสองข้างลงบนสิ่งที่ทำตะยัมมุมกับสิ่งนั้นแล้วถูกต้อง, 3. เอาฝ่ามือทั้งสองข้างลูบลงบนหน้าผากตั้งแต่ไรผม เรื่อยลงมาจนถึงคิ้ว และปลายมูก อิฮฺติยาฏวาญิบ, ให้เอาฝ่ามือลูบลงบนคิ้วด้วย, 4. เอาฝ่ามือข้างซ้ายลูบหลังมือข้างขวา, หลังจากนั้นให้เอาฝ่ามือข้างขวาลูบลงหลังมือข้างซ้าย คำวินิจฉัยของมัรญิอฺบางท่าน กล่าวถึงการตะยัมมุมแทนวุฎูอฺ และฆุซลฺ ไว้ดังนี้: หนึ่ง. การตะยัมมุมแทนทีฆุซลฺ, อิฮฺยาฏมุสตะฮับ หลังจากทำเสร็จแล้วให้เอาฝ่ามือทั้งสองข้างตบลงบนฝุ่นอีกครั้ง (ตบครั้งที่สอง) หลังจากนั้นให้เอาฝ่ามือลูบลงที่หลังมือข้างขวาและข้างซ้าย[1] มัรญิอฺ บางท่านแสดงความเห็นว่า สิ่งที่เป็นมุสตะฮับเหล่านี้ สมควรทำในตะยัมมุม ที่แทนที่ วุฎูดฺด้วย
  • ริวายะฮ์ที่กล่าวว่า “ในสมัยที่อิมามอลี (อ.) ปกครองอยู่ ท่านมักจะถือแซ่เดินไปตามถนนหนทางและท้องตลาดพร้อมจะลงโทษอาชญากรและผู้กระทำผิด” จริงหรือไม่?
    6932 สิทธิและกฎหมาย 2555/03/18
    สำนักงานท่านอายะตุลลอฮ์อัลอุซมา มะการิม ชีรอซี ริวายะฮ์ข้างต้นกล่าวถึงช่วงรุ่งอรุณขณะที่ท่านสำรวจท้องตลาดในเมืองกูฟะฮ์ และการที่ท่านมักจะพกแซ่ไปด้วยก็เนื่องจากต้องการให้ประชาชนสนใจและให้ความสำคัญกับกฏหมายนั่นเอง สำนักงานท่านอายะตุลลอฮ์อัลอุซมาศอฟีย์ กุลพัยกานี ริวายะฮ์ได้กล่าวไว้เช่นนั้นจริง และสิ่งที่อิมามอลี(อ.) ได้กระทำไปคือสิ่งที่จำเป็นต่อสถานการณ์ในยุคนั้น การห้ามปรามความชั่วย่อมมีหลายวิธีที่จะทำให้บังเกิดผล ดังนั้นจะต้องเลือกวิธีที่จะทำให้สังคมคล้อยตามความถูกต้อง คำตอบของท่านอายะตุลลอฮ์มะฮ์ดี ฮาดาวี เตหะรานี มีดังนี้ หากผู้ปกครองในอิสลามเห็นสมควรว่าจะต้องลงโทษผู้ต้องหาและผู้ร้ายในสถานที่เกิดเหตุ หลังจากที่พิสูจน์ความผิดด้วยวิธีที่ถูกต้อง และพิพากษาตามหลักศาสนาหรือข้อกำหนดที่ผู้ปกครองอิสลามได้กำหนดไว้ การลงทัณฑ์ในสถานที่เกิดเหตุถือว่าไม่ไช่เรื่องผิด และในการนี้ไม่จำเป็นต้องอ้างอิงริวายะฮ์ดังกล่าวแต่อย่างใด แต่รายงานที่ถูกต้องที่ปรากฏในตำราฮะดีษอย่าง กุตุบอัรบาอะฮ์[1] ก็คือ ท่านอิมามอลี (อ.) พกแซ่เดินไปตามท้องตลาดและมักจะตักเตือนประชาชนให้ระมัดระวังในเรื่องต่าง ๆ โดยไม่มีตำราเล่มใดบันทึกว่าอิมามอลี (อ.) เคยลงโทษผู้ใดในตลาด
  • สัมพันธภาพระหว่างศรัทธาและความสงบมั่นที่ปรากฏในกุรอานเกิดขึ้นได้อย่างไร?
    7429 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/03/07
    อีหม่านให้ความหมายว่าการให้การยอมรับ ซึ่งตรงข้ามกับการกล่าวหาว่าโกหก แต่ในสำนวนทั่วไป อีหม่านหมายถึงการยอมรับด้วยวาจา ตั้งเจตนาในใจ และปฏิบัติด้วยสรรพางค์กาย ส่วน “อิฏมินาน” หมายถึงความสงบภายหลังจากความกระวนกระวายใจ ความแตกต่างระหว่างอีหม่านและความสงบมั่นทางจิตใจก็คือ ในบางครั้งสติปัญญาของคนเราอาจจะยอมรับเรื่องใดเรื่องหนึ่งด้วยกระบวนการพิสูจน์เชิงเหตุและผล ทว่ายังไม่บังเกิดความสงบมั่นใจจิตใจ แต่ถ้าลองได้มั่นใจในสิ่งใดแล้ว ความมั่นใจนี้จะนำมาซึ่งความสงบมั่นทางจิตใจในที่สุด มีผู้ถามอิมามริฎอ(อ.)ว่า ท่านนบีอิบรอฮีม(อ.)มีความเคลือบแคลงสงสัยหรืออย่างไร? ท่านตอบว่า “หามิได้ ท่านมีความมั่นใจจริง แต่ทว่าท่านขอให้พระองค์ทรงเพิ่มพูนความมั่นใจแก่ตนเองอีก” ...
  • ศาสนาและวัฒนธรรมมีความสัมพันธ์กันอย่างไร?
    13566 เทววิทยาใหม่ 2554/06/02
    การที่จะสามารถนิยามความสัมพันธระหว่างศาสนาและวัฒนธรรมจารีตได้นั้นขั้นแรกต้องเข้าใจถึงลักษณะจำเพาะเป้าประสงค์และผลผลิตของทั้งศาสนาและวัฒนธรรมเสียก่อน.บางคนปฎิเสธความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและวัฒนธรรมโดยสิ้นเชิงทัศนคตินี้ค่อนข้างจะไร้เหตุผลทั้งนี้ก็เพราะแม้ว่าวัฒนธรรมจารีตบางประเภทอาจจะผิดแผกและไม่เป็นที่ยอมรับโดยศาสนาเนื่องจากขัดต่อเป้าประสงค์ที่ศาสนามุ่งนำพามนุษย์สู่ความผาสุกแต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่ายังมีวัฒนธรรมจารีตอีกมากมายที่สอดคล้องและได้รับการยอมรับโดยศาสนายิ่งไปกว่านั้นยังมีวัฒนธรรมจารีตบางส่วนที่เกิดขึ้นจากคุณค่าที่ได้รับการฟูมฟักโดยศาสนาเช่นกัน. ...
  • การใช้ชีวิตเพื่ออัลลอฮฺ เป็นชีวิตอย่างไร? มีความขัดแย้งกับชีวิตการเป็นอยู่ทั่วไปทางโลกหรือไม่?
    9969 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/01/23
    ถ้าหากพิจารณาอัลกุรอานแล้วได้ถามอัลกุรอานว่าเราได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร? คำตอบของอัลกุรอานคือเรามิได้สร้างมนุษย์และญินขึ้นมาเพื่อการใดเว้นเสียแต่เพื่อการอิบาดะฮฺ"وَ ما خَلَقْتُ الْجِنَّ وَ الْإِنْسَ إِلَّا لِیَعْبُدُونِ" อิบาดะฮฺ
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39412 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • คำพูดทั้งหมดของพระศาสดา (ซ็อล ฯ) ถือว่าเป็นวะฮฺยูหรือไม่?
    8081 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/21
    มุมมองของผู้เชี่ยวชาญ,ในประเด็นที่กำลังกล่าวถึงแตกต่างกันบางคนได้พิจารณาการตีความของโองการที่ 3,4 ของอัลกุรอานบทนัจมฺ[i]ซึ่งเชื่อว่าคำพูดทั้งหมดของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ตลอดจนการกระทำต่างๆของท่านมาจากวะฮฺยูทั้งสิ้นบางคนเชื่อว่าโองการที่ 4 ของบทอันนัจมฺนั้นกล่าวถึงอัลกุรอานกะรีมและบรรดาโองการต่างๆที่ประทานให้แก่ท่านศาสดา,แม้ว่าซุนนะฮฺ (แบบฉบับ) ของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จะเป็นข้อพิสูจน์และเป็นเหตุผลก็ตามซึ่งคำพูดการกระทำและการนิ่งเฉยของท่านมิได้เกิดจากอารมณ์อย่างแน่นอนสิ่งที่เข้าใจได้จากสิ่งที่กล่าวถึงในตรงนี้คือสามารถกล่าวได้อย่างมั่นใจว่าทั้งความประพฤติและแบบอย่างของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) มิได้กระทำลงไปโดยปราศจากวะฮียฺอย่างแน่นอนดังเช่นคำพูดของท่านก็เป็นเช่นนี้ด้วยแม้ว่าจะเป็นคำพูดประจำวันคำพูดสามัญทั่วไปตลอดการดำรงชีวิตของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ก็ตามสิ่งนั้นก็จะไม่เกิดจากอารมณ์อย่างเด็ดขาดซึ่งตามความเป็นจริงแล้วเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แน่นอนว่าท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จะล่วงละเมิดกระทำความผิด[i]
  • จริงหรือไม่ที่กล่าวกันว่าหนังสืออัลกาฟีมีฮะดีษเศาะฮี้ห์เพียงไม่กี่บท?
    8239 ริญาลุลฮะดีซ 2555/01/01
    หลักเกณฑ์การเลือกฮะดีษที่ท่านกุลัยนีระบุไว้นั้นมีไว้เฉพาะกรณีฮะดีษที่ขัดแย้งกันเพราะหลักเกณฑ์พิสูจน์ความเศาะฮี้ห์ของฮะดีษมีมากกว่าสามวิธีที่ท่านระบุไว้อันได้แก่จะต้องสอดคล้องกับกุรอานตรงข้ามกับอามมะฮ์และแนวตัคยี้รส่วนการประพันธ์ตำราหลังยุคท่านกุลัยนีก็มิได้หมายความว่าหนังสืออัลกาฟีไม่น่าเชื่อถือเพราะผู้ประพันธ์ตำราเหล่านั้นก็ล้วนยอมรับความนิยมในหนังสืออัลกาฟี ...
  • ในมุมมองของรายงาน,ควรจะประพฤติตนอย่างไรกับผู้มิใช่มุสลิม?
    8053 สิทธิและกฎหมาย 2555/08/22
    อิสลาม เป็นศาสนาที่วางอยู่บนธรรมชาติอันสะอาดยิ่งของมนุษย์ ศาสนาแห่งความเมตตา ได้ถูกประทานลงมาเพื่อชี้นำมนุษย์ไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง และความผาสุกของมนุษย์ชาติทั้งหมด อีกด้านหนึ่งการเลือกนับถือศาสนาเป็นความอิสระของมนุษย์ ดังนั้น ในสังคมอิสลามนั้นท่านจะพบว่ามีผู้มิใช่มุสลิมปะปนอยู่ไม่มากก็น้อย อิสลามมีคำสั่งให้รักษาสิทธิ ประพฤติดี และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสันติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบุคคลที่นับถือศาสนา ไม่ว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมอิสลาม ภายใต้การปกครองของรัฐอิสลาม หรือบุคคลที่อยู่ในสังคมอื่นที่มิใช่อิสลาม, ผู้ปฏิเสธศรัทธาที่ดำรงชีวิตอยู่ภายใต้รัฐอิสลาม จำเป็นรักษาเงื่อนไขของผู้ร่วมอาศัยด้วย ถ้าหากไม่รักษาเงื่อนไขของผู้ร่วมอาศัย หรือทรยศหักหลังก็จำเป็นต้องถูกลงโทษตามกฎหมายอิสลาม ...
  • คำว่า อัซเซาะมัด ในอัลลอฮฺ อัซเซาะมัดหมายถึงอะไร?
    11658 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/05/17
    สำหรับคำว่า “เซาะมัด” ในอภิธานศัพท์, ริวายะฮฺ และตัฟซีร ได้กล่าวถึงความหมายไว้มากมาย, ด้วยเหตุนี้ สามารถสรุปอธิบายโดยย่อเพื่อเป็นตัวอย่างไว้ใน 3 กลุ่มความหมายด้วยกัน (อภิธานศัพท์ รายงานฮะดีซ และตัซรีร) ก) รอฆิบเอซฟาฮานียฺ กล่าวไว้ในสารานุกรมว่า : เซาะมัด หมายถึง นาย จอมราชันย์ ความยิ่งใหญ่ สำหรับการปฏิบัติภารกิจหนึ่งต้องไปหาเขา, บางคนกล่าวว่า : “เซาะมัด” หมายถึงสิ่งๆ หนึ่งซึ่งภายในไม่ว่าง, ทว่าเต็มล้น[1] ข) อิมามฮุซัยนฺ (อ.) อธิบายความหมาย “เซาะมัด” ไว้ 5 ความหมายด้วยกัน กล่าวคือ

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60690 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58318 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42791 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40289 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39412 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34543 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28602 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28510 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28464 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26372 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...