การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
7123
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/12/20
 
รหัสในเว็บไซต์ fa4459 รหัสสำเนา 19922
คำถามอย่างย่อ
เพราะสาเหตุอันใดงานชุมนุมบางแห่งจึงได้วาดภาพการถูกกดขี่ของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ?
คำถาม
เพราะสาเหตุอันใดงานชุมนุมบางแห่งจึงได้วาดภาพการถูกกดขี่ของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ?
คำตอบโดยสังเขป

มีคำกล่าวว่ามีความทุกข์และความเศร้าโศกอย่างหนัก ได้ถาถมเข้ามาก่อนที่ท่านอิมามจะถูกทำชะฮาดัต, และโศกนาฏกรรมที่ประดังเข้ามาหลังจากชะฮาดัต, โดยตัวของมันแล้วได้ก่อให้เกิดภาพการถูกกดขี่อย่างรุนแรงของท่านอิมามฮุซัยนฺ (.)

ฉะนั้น เมื่อวิเคราะห์และนำคำว่ามัซลูมไปใช้กับท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) ก็จะได้รับบทสรุปว่า การถูกกดขี่ที่ได้ถูกวาดขึ้นสำหรับท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) มิใช่เป็นการถูกกดขี่อันเกิดจากความอ่อนแอ หรือท่านอิมามเป็นผู้ยอมรับการกดขี่นั้น, ทว่าเป็นการกดขี่ที่เปี่ยมไปด้วยเกียรติยศ ซึ่งมิได้มีความขัดแย้งกับบุคลิกภาพอันยิ่งใหญ่ของท่านแต่อย่างใด ตามความเป็นจริงแล้วสำหรับการเล่าเรื่องหรือสาธยายถึงโศกนาฏกรรมของท่านอิมาม (.) ก็จำเป็นต้องกล่าวถึงการถูกกดขี่และความอธรรมต่างๆ ที่ศัตรูได้กระทำกับท่านอิมาม และลูกหลานของท่าน. เป็นที่ชัดเจนว่าถ้าหากการจินตนาภาพการถูกกดขี่ของท่านอิมามเพื่อบรรยายถึงการอธรรมของศัตรูที่ได้กดขี่ท่าน ถือว่าเป็นที่ยอมรับ  อัลลอฮฺ ทว่าสิ่งนี้เป็นความจำเป็นเสียด้วยซ้ำไปที่ต้องกระทำ แต่ถ้าจุดประสงค์ของการจินตนาภาพการถูกกดขี่ แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอและการยอมรับการถูกกดขี่ของท่านอิมามแล้วละก็ ถือว่าการจินตนาภาพนั้นไม่ถูกต้องและเป็นฮะรอมแน่นอน

ด้วยเหตุนี้เอง, การได้รับการกดขี่ของท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) แสดงให้เห็นถึงการสาธยายภาพการกดขี่ต่างๆ ที่ได้เกิดกับท่านอิมาม (.) ครอบครัว และสหายของท่านแล้ว ถือว่าสิ่งนี้ไม่มีความขัดแย้งกับเกียรติยศ และบุคลิกภาพอันยิ่งใหญ่ของท่านอิมามแต่อย่างใด, ทว่ายิ่งจะทำให้เกียรติยศและศักดิ์ศรีของซัยยิดุชชุฮะดา และผู้ร่วมทางไปกับท่านนั้นชัดเจนมากยิ่งขึ้น จากจุดนี้เองเราจึงมีความเชื่อว่าจำเป็นต้องวิเคราะห์สิ่งเหล่านี้ด้วยซ้ำไป

อย่างไรก็ตามการจินตนาการภาพใบหน้าของท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) ในฐานะมนุษย์ผู้ได้รับการกดขี่, ยังมีเหตุผลอื่นอีก, ซึ่งเป้าหมายก็เพื่อการฟื้นฟูและการตื่นตัวทางความคิดทั่วไปของประชาคมโลก และเป็นการเป่าประกาศความชั่วร้ายของศัตรู เพื่อให้สิ่งนี้เป็นประทีปชี้นำทางแก่เยาวชนรุ่นต่อไปในอนาคต

คำตอบเชิงรายละเอียด

ก่อนหน้าที่จะตอบคำถาม, จำเป็นต้องกล่าวเกริ่นก่อนว่า, หนึ่ง : มีรายงานจำนวนมากที่นำคำว่ามัซลูมไปใช้กับอิมามท่านอื่น, เช่น รายงานฮะดีซบทหนึ่งจากท่านศาสดา (ซ็อล ) กล่าวว่า: “... แน่นอน ขอสาบานด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺว่าในเวลานั้น,ฉัน และอะลี, ฟาฏิมะฮฺ, ฮะซัน, ฮุซัยนฺ และบรรดาอิมามอีก 9 ท่านจากบุตรหลานของฮุซัยนฺ ซึ่งทั้งหมดคือ มัซลูม แห่งอะฮฺลุลบัยตฺของฉัน, และทั้งหมดจะได้รวมอยู่ในที่เดียวกัน[1]

สอง : ท่านศาสดา (ซ็อล ) และบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (.) ได้ใส่ใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับการได้รับการกดขี่ของท่านอิมามฮุซัยน (.) , กล่าวคือทั้งหมดจะกล่าวถึงการได้รับการกดถูกกดขี่ของท่านอิมาม ได้มีการจัดพิธีกรรมรำลึกถึงโศกนาฏกรรมนั้น จนกระทั่งว่าพี่ชายของท่านคือ ท่านอิมามฮะซัน (.) ได้กล่าวถึงความสัตย์จริงที่จะเกิดกับท่านอิมามฮุซัยนฺว่า :

«لا یوم کیومک یا ابا عبد اللّه».

ไม่มีวันใดจะเหมือนวันของเจ้าอีกแล้ว โอ้ อะบาอับดิลลาฮฺเอ๋ย[2]

พวกเขาได้เติมคำว่ามัซลูมต่อท้ายนามของท่านอิมามฮุซัยนฺ (.)[3] ดังนั้น จำเป็นต้องรับรู้ว่ามีรายงานฮะดีซบทหนึ่งจากท่านอิมามซอดิก (.) อัลกุรอานโองการ 33 บทอัลอิสรออฺ, ได้กล่าวถึงการได้รับการถูกกดขี่ของท่านอิมามฮุซัยนฺ (.)[4] สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุผลที่แสดงให้เห็นว่า การจินตนาภาพการถูกกดขี่ของท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) ย่อมเป็นที่ยอมรับของท่านศาสดา (ซ็อล ) และบรรดาอิมามทั้งหลาย

เมื่อเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าคำว่ามัซลูมได้ถูกกล่าวโดยบรรดาอิมาม โดยใช้คำนี้กับท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) ซึ่งท่านเหล่านั้นประสงค์ให้ใบหน้าแห่งการถูกกดขี่ของท่านอิมาม (.) ถูกจินตนาการเป็นภาพจริงขึ้นมา, แต่สิ่งที่ต้องพิจารณาตรงนี้ก็คือความหมายตามประสงค์ จากการถูกกดขี่ของท่านอมามฮุซัยนฺ (.) ในคำพูดของบรรดาอิมามผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นคืออะไร? จากจุดนี้เอง เราจึงขอกล่าวว่า การถูกมัซลูมนั้นมี 2 ลักษณะด้วยกัน กล่าวคือ :

1.การกดขี่ ที่เกิดกับท่านอิมามนั้น เราได้จินตนาให้เห็นถึงความอ่อนแอหรือการยอมจำนนต่อการกดขี่ ซึ่งทำให้ท่านต้องถูกตัดขาดจากอำนาจอันไม่มีที่สิ้นสุดของพระเจ้า

2. การกดขี่ ที่เกิดกับอิมามนั้น เรามิได้แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอ, ทว่าเป็นการบรรยายถึงโศกนาฏกรรมต่างๆ ที่ได้เกิดกับท่านอิมาม ซึ่งเป็นความจำเป็นที่เราต้องกล่าวถึงการอธรรมของศัตรูที่มีต่ออิมาม ครอบครัว และสหายของท่าน

ดังเช่นที่ท่านชะฮีดมุรตะฎอ มุเฎาะฮะรียฺ ได้กล่าวถึงความหมายของการได้รับการกดขี่ว่า, คำๆ นี้มี 2 ความหมายด้วยกันกล่าวคือ : หนึ่งอธรรมแล้วสังหาร, สอง : การได้รับความอธรรม, มีมนุษย์ตั้งมากมายซึ่งมีความอ่อนแอด้านจิตใจภายใน, พวกเขาได้ยอมรับการกดขี่และเป็นผู้โน้มน้าวการอธรรมมาสู่ตน และยังมีชนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งชีวิตทรัพย์สินและสิทธิของเขาได้รับการกดขี่ข่มเหง, แต่มิได้เกิดจากความอ่อนแอภายใน, ทว่าเป็นเพราะพวกเขาได้รักษาสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าบุคลิกภาพและชีวิตของตน หรือสิทธิของพวกเขาได้รับการละเมิด,พวกเขามองเห็นความอธรรมที่เกิดขึ้น แต่อดทนอดกลั้น ดังเช่นที่อิมามอะลี (.) กล่าวว่า : ฉันจึงยอมอดทนทั้งที่ในดวงตาเต็มไปด้วยเศษขยะ และในลำคอมีกระดูกทิ่มติดอยู่[5] ซึ่งการถูกดขี่ของบรรดาอิมาม (.) นั้นอยู่ในประเภทที่สอง และโศกนาฏกรรมทั้งหลายที่ได้ประดังถาถมเข้ามานั้น ฉันได้อดทนอดกลั้น เนื่องจากเป็นเกียรติยศของมวลประชาชาติมุสลิม และศาสนาอิสลาม

บนพื้นฐานดังกล่าวนี้ การได้รับการกดขี่ของท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) ในความหมายที่ว่าเป็นการสาธยายถึงการกดขี่ต่างๆ ที่ได้เกิดกับท่านและเหล่าสหาย โดยท่านได้อดทนต่อสิ่งเหล่านั้น ดังนั้น ไม่ถือว่าการกระทำของท่านขัดแย้งกับศักดิ์ศรีและเกียรติยศอันสูงส่งของท่านแต่อย่างใด, ทว่ายิ่งเป็นการทำให้เกียรติยศและศักดิ์ศรีของซัยยิดุชชุฮะดาและเหล่าสหายของท่านปรากฏชัดเจนมากยิ่งขึ้น, เนื่องจากการสาธยายถึงการกดขี่ของศัตรู และการเผชิญหน้ากับศัตรูที่ท่านอิมามได้แสดงออก และการอธิบายถึงมุมมองของการกดขี่ที่ได้เกิดกับท่าน ยิ่งจะทำให้มองเห็นจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งของเหล่าบรรดาลูกหลาน และเหล่าสหายของท่านอิมามว่าเป็นอย่างไร อยู่ในสภาพเฉกเช่นไร และพวกเขาได้ยืนหยัดต่อความอธรรมอย่างไร

อย่างไรก็ตามการจินตนาการภาพของท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) ในฐานะของมนุษย์ผู้ได้รับการกดขี่ข่มเหงนั้น ยังมีเหตุผลอื่นอีก ซึ่งสามารถกล่าวอธิบายได้ดังต่อไปนี้ :

1.โศกนาฏกรรมที่ได้เกิดก่อนชะฮาดัต[6] และโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นหลังชะฮาดัต[7]อันเป็นโศกนาฏกรรมที่รุนแรงอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีความโหดร้ายและหน้ากลัวอย่างยิ่ง และไม่เคยเกิดมาก่อนในสมัยญาฮีลลียะฮฺ (ยุคทมิฬโง่เขลา)[8] อีกด้านหนึ่งความโหดร้ายและความทารุณกรรมเหล่านี้ได้เกิดขึ้นกับท่านอิมาม ที่เพียบพร้อมไปด้วยเกียรติยศและความประเสริฐ ซึ่งทุกสิ่งได้เกิดขึ้นภายในวันเดียว ดังนั้น ความอธรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นยังมิเป็นพยานยืนยันอีกหรือ? และโดยตัวของมันแล้วมิได้แสดงให้เห็นถึงการได้รับการกดขี่ข่มเหงดอกหรือ?

2. เพื่อเป็นการปลุกความคิดของประชาคมโลกให้ตื่นขึ้นมา จำเป็นต้องกล่าวถึงความประเสริฐและสาธยายให้เห็นถึงการถูกกดขี่ และความอธรรมที่ศัตรูได้กระทำบนสิทธิของท่าน เพื่อว่าประชาชนจะได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ เฉกเช่น การแสดงออกของมุคตาร ดังนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องจินตนาการภาพการได้รับการกดขี่ข่มเหงของท่านอิมาม ให้ประจักษ์แก่สายตา

3. การร้องไห้เพื่ออิมามฮุซัยนฺ (.) หรือการไว้อาลัยในช่วงการเป็นชะฮาดัตของท่าน สิ่งเหล่านี้ล้วนได้รับการสนับสนุส่งเสริมจากบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ทั้งหลาย, มุฮัมมัด บิน มุสลิมกล่าวว่า : ท่านอิมามบากิร (.) กล่าวว่า : ท่านอิมาม อะลี บิน ฮุซัยนฺ (.) กล่าวว่า : มุอฺมินทุกคนที่ได้ร่ำไห้หลั่งน้ำตาให้แก่การถูกสังหารของฮุซัยนฺ (.) อัลลอฮฺ จะประทานที่พำนักแก่เขาในสรวงสวรรค์ และเขาจะได้พำนักอยู่ในนั้นอย่างยาวนาน[9] และเนื่องจากว่าเขาได้หลั่งน้ำตาเพื่อโศกนาฏกรรมของท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) จึงไม่มีหนทางอื่นใดอีก นอกจากการสาธยายถึงความประเสริฐและความอธรรมกดขี่ข่มเหงทั้งหลายที่ได้เกิดกับท่านอิมาม, ในกรณีนี้สิ่งจำเป็นก็คือ การจัดพิธีกรรมรำลึกถึงท่านอิมามเพื่อสาธยายถึงการได้รับการกดขี่ของท่าน, ขณะที่การกดขี่เหล่านี้มิได้บ่งบอกให้เห็นถึงความอ่อนแอหรือความไร้สามารถของท่านอิมามแต่อย่างใด ทว่าเป็นการบ่งชี้ให้เห็นถึงความกล้าหาญ และเกียรติยศของท่านอิมามเสียด้วยซ้ำ

4. การสาธยายถึงการได้รับการกดขี่ข่มเหงของบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ (.) โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) ซึ่งการกล่าวถึงความชั่วร้ายของศัตรูของอะฮฺลุลบัยตฺ (.) เท่ากับเป็นการจุดดวงประทีปแห่งทางนำไว้สำหรับเยาวชนรุ่นต่อไป, เพื่อว่าพวกเขาจะได้สามารถจำแนกแยกแยะได้ระหว่างผู้เป็นมิตรกับศัตรู, ด้วยเหตุนี้เอง การกล่าวรำลึกถึงโศกนาฏกรรมของอะฮฺลุลบัยตฺ (.) โดยเฉพาะของท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) และการจินตนาภาพของการถูกกดขี่ข่มเหงของท่านจึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องกระทำ

จากเหตุผลที่กล่าวอ้างมานั้นเข้าใจได้ว่า เป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงประเด็นที่ว่า การสาธยายหรือการจินตนาการถึงภาพการได้รับการกดขี่ข่มเหงของอะฮฺลุลบัยตฺ (.) โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) ในความหมายที่สอง[10]จึงเป็นที่ยอมรับ  อัลลอฮฺ, ทว่าจำเป็นเสียด้วยซ้ำ, แต่การจินตนาการภาพของการถูกกดขี่ของท่านอิมามฮุซัยนฺ (.) ในความหมายแรก[11] ซึ่งในบางที่ได้ตั้งใจกระทำ หรืออาจพลั้งเผลอกระทำสิ่งนี้ขึ้นมา, แน่นอน การกระทำเช่นนี้ถือว่าเป็นบิดอะฮฺและฮะรอมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 



[1] มัจญฺลิซซียฺ, มุฮัมมัด บากิร, บิฮารุลอันวาร, เล่ม 25, หน้า 7, สถาบันอัลวะฟาอฺ, เบรูต, เลบานอน, 1404 .. ดะวอนียฺ,อะลี,มะฮฺดียฺ เมาอูด,ฉบับแปล, เล่ม 13, บิฮารุลอันวาร, หน้า 1237, พิมพ์ครั้งที่ 28, สำนักพิมพ์ ดารุลกุตุบ อัลอิสลามียะฮฺ, เตหะราน, ปี 1378.

[2] อัซซะดูก, อัลอะมาลียฺ, หน้า 115

[3] มีกล่าวไว้เป็นจำนวนมากใน หนังสือซิยาเราะฮฺ, ดุอาอฺและฮะดีซ ซึ่งได้ใช้คำนี้ต่อท้ายนามของท่านอิมาม

[4] "مَن قُتِل‌َ مَظْلُومًا فَقَدْ جَعَلْنَا لِوَلِیِّه‌ِ سُلْطاناً".และผู้ใดถูกฆ่าอย่างอยุติธรรม ดังนั้น เราได้ให้อำนาจแก่ผู้ปกครองของเขา (ดำเนินคดีและลงโทษ)

[5] นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ, คำเทศนาที่ 3,มันชูรอต ดารุลฮิจญฺเราะฮฺ, กุม

[6] เช่น การเป็นชะฮีดของบรรดาบุตรหลาน, พี่น้อง, สหาย, และการทนต่อสภาพความหิวกระหายที่ได้เกิดกับท่าน เหล่าบรรดาเด็ก และสตรีทั้งหลาย

[7] เช่น การทำลายและการไม่ให้เกียรติต่อบรรดาลูกหลานที่อยู่ภายในค่ายที่พัก การไม่ให้เกียรติต่อศีรษะของท่านอิมาม ต่อครอบครัวของท่านทั้งในกูฟะฮฺ และชาม และ ...

[8] ท่านอิมามริฎอ (.) กล่าวถึง โศกนาฏกรรมดังกล่าวไว้ว่า : มุฮัรรอม คือ เดือนซึ่งบรรดาญาฮิลลียะฮฺถือว่าการทะเลาะวิวาท และการนองเลือดในเดือนนี้เป็นสิ่งต้องห้ามและฮะรอม แต่บรรดาศัตรูได้หลั่งเลือดลูกหลานนบีภายในเดือนนี้ ได้ทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของเรา ได้จับเหล่าสตรีและลูกหลานของเราร้อยโซ่ตรวนเป็นเชลย” (บิฮารุลอันวาร, เล่ม 44. หน้า 283, บาบ 34, ผลบุญแห่งการร้องไห้บนโศกนาฏกรรม ฮะดีซที่ 17.

[9] อันซอรียฺ มะฮัลลาตตียฺ, มุฮัมมัด ริฏอ, ษะวาบุลอะอฺมาล, ฉบับแปล, อันซอรียฺ, หน้า 163, พิมพ์ครั้งแรก, สำนักพิมพ์นะซีมเกาซัร, กุม ปี 1382.

[10] ความอธรรมกดขี่ที่ไม่ได้บ่งบอกให้เห็นถึงความอ่อนแอของท่านอิมาม, ทว่าเป็นการสาธยายถึงโศกนาฏกรรมต่างๆ ที่ได้เกิดกับท่านอิมาม ครอบครัว และเหล่าสหาย จึงจำเป็นต้องเอ่ยถึงการอธรรมของศัตรูที่มีต่ออิมามและครอบครัว

[11] การกดขี่ข่มเหงที่แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอ และการยอมจำนนต่อการอธรรม อันเป็นสาเหตุทำให้ท่านถูกตัดขาดความสัมพันธ์ ที่มีต่ออำนาจอันไม่มีที่สิ้นสุดของพระผู้อภิบาล

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ความแตกต่างระหว่างจิตฟุ้งซ่านกับชัยฎอนคืออะไร?
    11053 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/10/22
    ตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ซึ่งได้ถูกตีความว่าเป็นตัวตนหรือจิต, มีหลายมิติด้วยกันซึ่งอัลกุรอานได้แบ่งไว้ 3 ระดับด้วยกัน (จิตอัมมาเราะฮฺ, เลาวามะฮฺ, และมุตมะอินนะฮฺ)
  • อิสลามมีบทบัญญัติอย่างไรเกี่ยวกับการโคลนนิ่ง?
    9095 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/09
    การโคลนนิ่งโดยเฉพาะการโคลนนิ่งมนุษย์ถือเป็นประเด็นปัญหาใหม่จึงไม่อาจจะพบโองการกุรอานหรือฮะดีษที่ระบุเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรงอย่างไรก็ดีผู้รู้และนักวิชาการชีอะฮ์ได้ใช้กระบวนการวินิจฉัยหลักฐานจากกุรอานและฮะดีษทำให้สามารถแสดงทัศนะเกี่ยวกับเรื่องนี้ซึ่งแบ่งออกเป็นสามทัศนะด้วยกัน
  • ตักวาหมายถึงอะไร?
    18394 จริยธรรมทฤษฎี 2555/01/23
    ตักว่าคือพลังหนึ่งที่หยุดยั้งจิตด้านในซึ่งการมีอยู่ของมนุษย์คือสาเหตุของการมีพลังนั้นและพลังดังกล่าวจะพิทักษ์ปกป้องมนุษย์ให้รอดพ้นจากการกระทำความผิดฝ่าฝืนต่างๆความสมบูรณ์ของตักวานอกจากจะช่วยทำให้มนุษย์ห่างไกลจากความผิดบาปและการก่ออาชญากรรมต่างๆ
  • ท่านอิมามฮุเซน(อ.)มีบุตรสาวชื่อรุก็อยยะฮ์หรือสะกีนะฮ์ไช่หรือไม่ ที่เสียชีวิตที่ดามัสกัสขณะอายุได้สามหรือสี่ขวบ?
    7731 تاريخ بزرگان 2554/12/21
    แม้ว่านักประวัติศาสตร์จะมิได้กล่าวถึงบุตรสาวตัวน้อยของอิมามฮุเซน(อ.) ที่มีนามว่ารุก็อยยะฮ์หรือฟาฏิมะฮ์ศุฆรอฯลฯแต่ตำราบางเล่มก็สาธยายเรื่องราวอันน่าเวทนาของเด็กหญิงคนนี้ณซากปรักหักพังในแคว้นชามเราพบว่ามีเบาะแสเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวปรากฏในตำราประวัติศาสตร์บางเล่มอาทิเช่นก. เมื่อท่านหญิงซัยนับ(ส.) ได้เห็นศีรษะของอิมามฮุเซน(อ.) ผู้เป็นพี่ชายนางได้รำพึงรำพันบทกวีที่มีเนื้อหาว่า “โอ้พี่จ๋าโปรดคุยกับฟาฏิมะฮ์น้อยสักนิดเถิดเพราะหัวใจนางกำลังจะสูญสลาย”
  • มลาอิกะฮ์สร้างมาจากรัศมีของบรรดาอิมาม และมีหน้าที่ร่ำไห้แด่อิมามฮุเซน(อ.)กระนั้นหรือ?
    9372 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/19
    1. ความเชื่อที่ว่ามลาอิกะฮ์สร้างขึ้นจากรัศมีนั้นได้รับการยืนยันจากฮะดีษหลายบทที่รายงานไว้ในตำราฝ่ายชีอะฮ์และซุนหนี่ตำราชีอะฮ์บางเล่มระบุถึงการสร้างสิ่งมีชีวิตต่างๆรวมถึงมลาอิกะฮ์จากรัศมีของปูชนียบุคคลอย่างท่านนบี(ซ.ล.) หรือบรรดาอิมามหรือบุคคลอื่นๆดังที่ตำราของซุนหนี่เองก็เล่าว่าเคาะลีฟะฮ์ท่านแรกและคนอื่นๆถือกำเนิดจากรัศมีของท่านนบี(ซ.ล) การที่มีฮะดีษเหล่านี้ปรากฏอยู่ในตำรับตำราของแต่ละฝ่ายมิได้หมายความว่าทุกคนจะต้องคล้อยตามฮะดีษเหล่านี้เสมอไป อย่างไรก็ดีตำราฮะดีษชีอะฮ์ได้รายงานฮะดีษชุด "ฏีนัต" ไว้ซึ่งไม่อาจจะมองข้ามได้กล่าวโดยสรุปคือหากพบว่ามุสลิมแต่ละฝ่ายอาจมีทัศนะแตกต่างกันบ้างในเรื่องการสรรสร้างของพระองค์
  • มีบทบัญญัติทางฟิกเกาะฮ์ในสวรรค์หรือไม่?
    7652 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    ก่อนอื่นต้องคำนึงเสมอว่าเราไม่สามารถล่วงรู้ถึงสภาวะของปรโลกและสวรรค์-นรกได้นอกจากจะศึกษาจากวะฮยู (กุรอาน)และคำบอกเล่าของเหล่าผู้นำศาสนาที่ได้รับการยืนยันความน่าเชื่อถือเสียก่อน.แม้ตำราทางศาสนาจะไม่ได้ระบุคำตอบที่ชัดเจนสำหรับคำถามดังกล่าวแต่จากการพิจารณาถึงข้อคิดที่ระบุไว้ในตำราทางศาสนาก็สามารถกล่าวได้ว่าในสวรรค์ไม่มีบทบัญญัติและกฏเกณฑ์จำเพาะใดๆอีกต่อไปหรือหากมีก็ย่อมแตกต่างจากข้อบังคับต่างๆในโลกนี้ทั้งนี้ก็เพราะการบังคับใช้บทบัญญัติของพระเจ้าในสังคมมนุษย์มีไว้เพื่อสร้างเสริมให้มนุษย์บรรลุถึงความเจริญและความสมบูรณ์สูงสุดซึ่งก็เป็นผลจากการปฏิบัติหน้าที่ทางศาสนาในโลกนี้นั่นเอง
  • ชีอะฮ์มีสำนักตะศ็อววุฟหรืออิรฟานเหมือนซุนหนี่หรือไม่? เป็นไปได้หรือไม่ที่จะจาริกอย่างชีอะฮ์ในสังคมปัจจุบัน และหากเป็นไปได้ เราควรเริ่มจากจุดใด? สามารถจะจาริกในหนทางนี้โดยปราศจากครูบาอาจารย์ได้หรือไม่? ฯลฯ
    6425 รหัสยทฤษฎี 2555/03/12
    มีอาริฟ(นักจาริก)ในโลกชีอะฮ์มากมายที่ค้นหาสารธรรมโดยอิงคำสอนอันบริสุทธิ์ของบรรดาอิมาม หรืออาจกล่าวได้ว่าวิถีชีอะฮ์ก็คือการจำแลงอิรฟานและการรู้จักพระเจ้าในรูปคำสอนของอิมามนั่นเอง ในยุคปัจจุบัน ไม่เพียงแต่สามารถจะขัดเกลาจิตใจและจาริกทางอิรฟานได้ หากแต่ต้องถือเป็นวาระจำเป็นเร่งด่วน เหตุเพราะการจะบรรลุถึงตักวาในยุคที่โลกเต็มไปด้วยเทคโนโลยีแห่งโลกิยะนั้น จะกระทำได้ต่อเมื่อเข้าถึงแก่นธรรมแห่งอิรฟานแล้วเท่านั้น ซึ่งจะสามารถพบแหล่งกำเนิดอิรฟานที่ถูกต้องและสูงส่งที่สุดได้ ณ แนวทางอิมามียะฮ์ ...
  • อัคล้ากกับเชาวน์ปัญญามีความเกี่ยวพันกันอย่างไร?
    6876 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/02/18
    อัคล้าก (จริยธรรม) แบ่งออกเป็นสองประเภทเสมือนศาสตร์แขนงอื่นๆดังนี้ก. จริยธรรมภาคทฤษฎีข. จริยธรรมภาคปฏิบัติการเรียนรู้หลักจริยธรรมภาคทฤษฎีมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับเชาวน์ปัญญา กล่าวคือ ยิ่งมีความเฉลียวฉลาดเท่าใด ก็ยิ่งเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่หากมีเชาวน์ปัญญาน้อย ก็จะทำให้เรียนรู้จริยศาสตร์ได้น้อยตามไปด้วยทว่าในส่วนของภาคปฏิบัติ (ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นจุดประสงค์หลักของผู้ถาม) จำเป็นต้องชี้แจงในรายละเอียดดังต่อไปนี้มีการนิยามคำว่าอัคล้ากว่า เป็นพหูพจน์ของ “คุ้ลก์” อันหมายถึง “ทักษะทางจิตใจของมนุษย์ที่ส่งผลให้กระทำการใดๆโดยอัตโนมัติ”ฉะนั้น อัคล้าก (จริยธรรม) ก็คือนิสัยและความเคยชินที่หยั่งรากลึกในจิตใจมนุษย์ ส่งผลให้ปฏิบัติกิจกรรมโดยไม่ต้องข่มใจ นั่นหมายความว่า การทำดีในลักษณะที่เกิดจากการไตร่ตรองไว้ก่อนนั้น แม้จะถือเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม แต่ไม่ถือเป็นความประเสริฐทางอัคล้าก ผู้ที่มีอัคล้ากดีก็คือผู้ที่กระทำความดีจนกลายเป็นอุปนิสัย ...
  • ฮะดีษนบีและอะฮ์ลุลบัยต์ที่เกี่ยวกับความเศร้าหมองและการโอดครวญเทียบกับทัศนะของผู้รู้ชีอะฮ์ อย่างใดสำคัญกว่ากัน?
    7884 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/13
    เกี่ยวกับเรื่องนี้จำเป็นต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงต่อไปนี้:1. ไม่ไช่ว่าฮะดีษทุกบทจะเชื่อถือได้ทั้งหมด2. ต้องคำนึงเสมอว่าปัจจัยกาลเวลาและสถานที่มีอิทธิพลต่อฮุก่ม(กฎศาสนา)3. ในจำนวนฮุก่มทั้งหมดมีฮุก่มวาญิบและฮะรอมเท่านั้นที่มีความอ่อนไหว4. จะต้องพิจารณาแหล่งอ้างอิงให้ถี่ถ้วนตัวอย่างเช่นกรณีของการร้องไห้นั้นยังมีข้อถกเถียงกันได้เพราะแม้ว่าวะฮาบีจะฟัตวาห้ามร้องไห้แก่ผู้ตายแต่ในแง่สติปัญญาแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับได้นอกจากนี้ฮะดีษทั้งสายซุนหนี่และชีอะฮ์ก็ปรากฏเหตุการณ์ที่ท่านนบี(ซ.ล.)และบรรดาอิมาม(อ.)ร้องไห้ให้กับผู้ตายหรือบรรดาชะฮีดเช่นท่านฮัมซะฮ์หรือมารดาท่านนบี(ซ.ล.) ตลอดจนกรณีอื่นๆอีกมาก 5. อุละมาอ์และผู้รู้ระดับสูงสอนว่ามีบางพฤติกรรมที่ผู้ไว้อาลัยไม่ควรกระทำซึ่งบางกรณีอาจทำให้ต้องจ่ายกัฟฟาเราะฮ์ด้วยฉะนั้นจะต้องแยกแยะระหว่างพฤติกรรมที่ผิดหลักศาสนาของผู้คนที่ไม่รู้ศาสนากับคำสอนที่แท้จริงของอิสลามและบรรดาอุละมาอ์ ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60765 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58439 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42867 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40417 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39482 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34627 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28683 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28588 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28537 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26453 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...