การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
18325
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2555/01/23
 
รหัสในเว็บไซต์ fa11967 รหัสสำเนา 21057
คำถามอย่างย่อ
ตักวาหมายถึงอะไร?
คำถาม
ตักวาหมายถึงอะไร?
คำตอบโดยสังเขป

ตักว่า คือ พลังหนึ่งที่หยุดยั้งจิตด้านใน ซึ่งการมีอยู่ของมนุษย์คือสาเหตุของการมีพลังนั้น และพลังดังกล่าวจะพิทักษ์ปกป้องมนุษย์ให้รอดพ้นจากการกระทำความผิดฝ่าฝืนต่างๆ ความสมบูรณ์ของตักวานอกจากจะช่วยทำให้มนุษย์ห่างไกลจากความผิดบาป และการก่ออาชญากรรมต่างๆ แล้ว, ยังช่วยมนุษย์ให้หลีกเลี่ยงจากความเคลือบแคลงสงสัยต่างๆ อีกด้วย ตักวา จึงหมายถึงความสำรวมตนต่ออัลลอฮฺ, ตักวานั้นมีหลายขั้นตอน, ซึ่งรายละเอียดต่างๆ และกิ่งก้านสาขาจะกล่าวอธิบายในช่วงคำตอบโดยละเอียด

คำตอบเชิงรายละเอียด

ตักวาตามหลักมาจากรากศัพท์คำว่าวะกอ ยะกี วะกอยะฮฺหมายถึงการตกลง หรือการมอบตัวเองไว้ในสถานที่กำบัง[1] ส่วนในความหมายของอิสลาม, หมายถึงการไม่มักมากและป้องกันตัวเองต่อความผิดบาป,

อีกนัยหนึ่ง ตักวา คือพลังหนึ่งที่ยับยั้งมนุษย์ในลักษณะที่เป็นความเคยชินของจิตวิญญาณ หรือพลังด้านในที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ ซึ่งการมีมนุษย์นั่นเองทำให้เกิดมีพลังนี้เกิดขึ้น หน้าที่ของพลังนี้คือ การพิทักษ์ปกป้องมนุษย์จากความเลยเถิดของตัณหาราคะ และการล่วงละเมิดต่อการกระทำความผิดต่างๆ ความสมบูรณ์ของตักวา นอกจากจะช่วยทำให้มนุษย์ห่างไกลจากความผิดบาปและการก่อกรรมชั่วอื่นๆ แล้ว ยังช่วยปกป้องมนุษย์ให้รอดพ้นจากความเคลือบแคลงสงสัยต่างๆ อีกด้วย

โองการอัลกุรอาน และฮะดีซต่างๆ, เช่น คำกล่าวของท่านอิมามอะลี (.) ท่านได้กล่าวอธิบาย และเปรียบเทียบตักวาไว้อย่างมากมาย ซึ่งจะขอกล่าวถึงบางประเด็นเหล่านั้น เช่น ที่กล่าวว่า :

1. เสบียงที่สะสมไว้ : จะเห็นว่าอัลกุรอานได้เปรียบ ตักวา เหมือนกับเสบียงที่ตระเตรียมเอาไว้ และถือว่านั่นคือ เสบียงที่ดีและประเสริฐที่สุด กล่าวว่าและสูเจ้าจงเตรียมเสบียงเถิด แท้จริงเสบียงที่ดีที่สุดนั้นคือความสำรวมตนต่อบาป[2]

2. อาภรณ์ : อัลกุรอาน ได้เปรียบเทียบตักวาว่า คล้ายกับเสื้อผ้าอาภรณ์ และถือว่านั่นคือ อาภรณ์ที่ดีที่สุด: “อาภรณ์ และเครื่องนุ่งห่มแห่งความสำรวมตนนั่นคือ สิ่งที่ประเสริฐยิ่ง[3]

3.ป้อมปราการที่แข็งแรง : เมื่อเผชิญหน้ากับอันตรายต่างๆ จากบาปกรรม: ท่านอิมามอะลี (.) กล่าวว่า: “โอ้ ปวงบ่าวของพระเจ้าเอ๋ย พึงสังวรไว้เถิดว่าแท้จริง ความสำรวมตนต่อพระเจ้าคือ บ้านอันมั่นคงแข็งแรง[4]

4. พาหะนะที่แสนเชื่อง นายแห่งศรัทธาชนผู้มีความสำรวมตนเป็นเลิศได้กล่าวไว้ในประโยคคำพูดอื่นว่า :ส่วนความสำรวมตนต่อพระผู้เป็นเจ้านั้นคือ พาหนะที่แสนเชื่องที่ยื่นบังเหี้ยนให้เจ้าของมันขี่ แล้วมันจะนำพวกเขาไปสู่สรวงสวรรค์[5]

5. นักปราชญ์ผู้อาวุโสบางท่าน, ได้นำเอาตักวาไปกล่าวเปรียบเทียบกับสภาพของคนๆ หนึ่งว่า เหมือนกับเขากำลังเดินผ่านเส้นทางหนึ่งที่เต็มไปด้วยขวากหนาม, ซึ่งเขาได้พยายามเดินโดยรวบเสื้อผ้าเอาไว้ ไม่ให้ถูกหนามเกี่ยว แล้วค่อยๆ ย่างก้าวเท้าไปด้วยความระวัง เพื่อป้องกันมิให้หนามหรือเศษกระเบื้องทิ่มแทงเท้า รวบเก็บกางเกงหรือกระโปงเอาไว้ด้วยความระมัดระวัง[6] จากการเปรียบเทียบดังกล่าวนี้เข้าใจได้ว่า ตักวา มิได้หมายถึงว่าการที่คนเราได้ปลีกตัวแยกไปต่างหากตามลำพัง,หรือที่เรียกว่าปลีกวิเวก, ทว่าจำเป็นที่เขาต้องอยู่ในสังคมต่อไป และถ้าสังคมปนเปื้อนความสกปรก เขาก็ต้องปกป้องตัวเองได้[7]

ตักวา คือสัญลักษณ์ที่บ่งบอกให้เห็นถึง ความศรัทธา ที่มีต่อการสร้างสรรค์และมะอาดกล่าวคืออัลลอฮฺ วันฟื้นคืนชีพ มาตรฐานความประเสริฐและเกียรติยศของมนุษย์ โดยถือว่าเป็นมาตรการแห่งบุคลิกภาพของเขาในอิสลาม ดังที่อัลกุรอานกล่าวว่าผู้ที่มีเกียรติยิ่ง  อัลลอฮฺคือ บุคคลที่มีความสำรวมตนต่อบาป[8]

ในมุมมองของอัลกุรอานตักวาคือรัศมีแห่งพระเจ้าเนื่องจากที่ใดก็ตามที่ปรากฏความสำรวมตนที่นั่นจะปรากฏวิชาการความรู้[9]

ระดับของตักวา

ตักวามีอยู่หลายระดับด้วยกัน นักปราชญ์ผู้อาวุโสบางท่านได้แบ่ง ตักวา ไว้ 3 ระดับด้วยกัน

1.การพึงระวงตนเองให้พ้นจากการลงโทษอันถาวร ซึ่งเกิดจากความเชื่อที่ถูกต้อง

2.หลีกเลี่ยงการทำความผิดบาปทั้งหมด ทั้งการละเว้นสิ่งวาญิบ หรือการกระทำที่เป็นบาป

3.การพึงระวังรักษาตนเองจากสิ่งที่จิตใจมนุษย์ผูกพันอยู่กับมัน และทำให้เขาเบี่ยงเบนออกจากความจริงและความถูกต้อง และนี่คือตักวาอันเฉพาะ ทว่าเป็นความเฉพาะพิเศษเหนือความเฉพาะ[10]

สาขาต่างๆ ของตักวา

ตักวา มีสาขาต่างๆ มากมาย, ซึ่งระหว่างสาขาเหล่านั้นสามารถกล่าวถึงประเด็นดังต่อไปนี้ได้ : ตักวาทรัพย์สินและเศรษฐศาสตร์, ตักวาเรื่องเพศ, สังคม, ตักวาด้านการเมือง, ตักวาด้านจริยธรรม, และตักวา ... บุคคลที่มีตักวาคือบุคคลที่พึงระวังตักวาของตนในภารกิจทั้งหมดที่กล่าวมา

ผลพวงของตักวา

ผลของตักวาในชีวิตมนุษย์ในแง่บวกนั้นมีอย่างมากมาย ซึ่งบางอย่างสามารถหยิบยกมากล่าวได้ดังนี้ :

1.การสร้างสรรค์ตนเอง: ท่านอิมามอะลี (.) กล่าวว่า : ตักวาคือ ความพิเศษแห่งจิตวิญญาณ เป็นการอบรมสั่งสอนจิตใจ ซึ่งเบื้องหลังตักวาคือ จิตวิญญาณของมนุษย์จะได้รับการสร้างสรรค์[11]

2.การยอมรับหน้าที่ : บุคคลที่มีความสำรวมตนเขาจะไม่หลบหนีหน้าที่ความรับผิดชอบทางชัรอียฺของตน เขาจะยอมรับหน้าที่นั้นด้วยความรัก และอดทนต่ออุปสรรคปัญหาต่างๆ อย่างผู้มีขันติธรรม

3. เป็นอิสระชน : ตักวาคือเครื่องมือที่ปลดปล่อยมนุษย์ให้รอดพ้นจากการเป็นทาส และเป็นบ่าวของทุกคนและทุกสิ่ง บุคคลที่มีตักวาจะไม่ยอมก้มศีรษะให้แก่ตัณหาราคะ, จะไม่ยอมจำนนตอตำแหน่งลาภยศสรรเสริญ หรือความปรารถนาของอำนาจฝ่ายต่ำ, ด้วยเหตุนี้ เขาจึงมีความปลอดภัยในทุกความหายนะ

4.เป็นผู้มีความสัตย์จริงในปรโลก : แท้จริง ความสำรวมตน (ตักวา) คือกุญแจสำหรับประตูทุกบานที่ถูกปิดอยู่ เสบียงสำหรับวันแห่งการฟื้นคืนชีพ ปัจจัยแห่งความอิสระจากทุกๆ บาปกรรมที่เกิดกับมนุษย์ สาเหตุแห่งความช่วยเหลือให้รอดพ้นความหายนะ เนื่องจากความสำรวมทำให้ผู้ขวนขวายประสบความสำเร็จ ทำให้ผู้หลีกหนี (จากการลงโทษของพระเจ้า) ได้รับความช่วยเหลือ และสามารถไปถึงทุกความหวังที่ตั้งไว้ บุคคลที่มีความสำรวมตน จะเลือกกระทำเฉพาะความดีงาม ย่างก้าวเดินไปบนหนทางแห่งการชี้นำ นอกจากจะได้รับความผาสุกทางโลกแล้ว ยังจะได้รับรางวัลในปรโลกอีกต่างหาก และเขาจะสั่งสมไว้เป็นเสบียงเพื่อวันแห่งการฟื้นคืนชีพของเขา



[1] รอฆิบ เอซฟาฮานี ฮุเซน บินมุฮัมมัด, มุฟรอดาต ฟี เฆาะรีบิลกุรอาน, เล่ม 1 หน้า 881, หมวดคำว่าวะกอดารุลอิลม์ อัดดารุลชามียะฮ, ดามัสกัส, เบรูต, ปี 1512.

[2] อัลกุรอาน บทบะเกาะเราะฮฺ 197 " وَ تَزَوَّدُوا فَإِنَّ خَیْرَ الزَّادِ التَّقْوى"

[3] อัลกุรอาน บทอะอฺรอฟ 26 “وَ لِباسُ التَّقْوى‏ ذلِکَ خَیْرٌ

[4] นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ คำเทศนาที่ 157 “اعلموا عباد اللَّه ان التقوى دار حصن عزیز

[5] นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ คำเทศนาที่ 16 “الا و ان التقوى مطایا ذلل، حمل علیها اهلها و اعطوا ازمتها، فاوردتهم الجنة

[6] อบุลฟุตูฮฺ รอซียฺ, ฮุเซน บิน อะลี, เราเฎาะตุลญันนาน วะรูฮุลญันนาน ฟีตัฟซีริลกุรอาน เล่ม 1 หน้า 101, สถาบันวิจัยและค้นคว้าเกี่ยวกับอิสลาม มณฑลรัฐ ระฎะวี, มัชฮัด, ปี 1408, มะการิมชีรอซียฺ, นาซิร, ตัฟซีรเนะมูเนะฮฺ, เล่ม 1, หน้า 80, ดารุลกุตุบ อัลอิสลามียะฮฺ, พิมพ์ครั้งแรก, เตหะราน 1374.

[7] มะการิมชีรอซียฺ, นาซิร, ตัฟซีรเนะมูเนะฮฺ, เล่ม 22, หน้า 204,

[8] อัลกุรอาน บทฮุจญฺรอต 14 “اتَّقُوا اللَّهَ وَ یُعَلِّمُکُمُ اللَّهُ

[9] อัลกุรอาน บทบะเกาะเราะฮฺ 282 “จงสำรวมตนต่ออัลลอฮฺเถิด แล้วอัลลอฮฺจะสอนพวกท่าน

[10] ตัฟซีรเนะมูเนะฮฺ, เล่ม 22, หน้า 205, อัลลามะฮฺ มัจญฺลิสซียฺ, บิฮารุลอันวาร, เล่ม 70, หน้า 136, สถาบัน อัลวะฟาอฺ, เบรูต เลบานอน ปี .. 1404

[11] นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ คำเทศนาบทมุตตะกีน

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • กรุณาอธิบายวิธีตะยัมมุมแทนที่วุฎูอฺและฆุซลฺ ว่าต้องทำอย่างไร?
    11006 สิทธิและกฎหมาย 2555/05/17
    จะทำตะยัมมุมอย่างไร การตะยัมมุมนั้นมี 4 ประการเป็นวาญิบ: 1.ตั้งเจตนา, 2. ตบฝ่ามือทั้งสองข้างลงบนสิ่งที่ทำตะยัมมุมกับสิ่งนั้นแล้วถูกต้อง, 3. เอาฝ่ามือทั้งสองข้างลูบลงบนหน้าผากตั้งแต่ไรผม เรื่อยลงมาจนถึงคิ้ว และปลายมูก อิฮฺติยาฏวาญิบ, ให้เอาฝ่ามือลูบลงบนคิ้วด้วย, 4. เอาฝ่ามือข้างซ้ายลูบหลังมือข้างขวา, หลังจากนั้นให้เอาฝ่ามือข้างขวาลูบลงหลังมือข้างซ้าย คำวินิจฉัยของมัรญิอฺบางท่าน กล่าวถึงการตะยัมมุมแทนวุฎูอฺ และฆุซลฺ ไว้ดังนี้: หนึ่ง. การตะยัมมุมแทนทีฆุซลฺ, อิฮฺยาฏมุสตะฮับ หลังจากทำเสร็จแล้วให้เอาฝ่ามือทั้งสองข้างตบลงบนฝุ่นอีกครั้ง (ตบครั้งที่สอง) หลังจากนั้นให้เอาฝ่ามือลูบลงที่หลังมือข้างขวาและข้างซ้าย[1] มัรญิอฺ บางท่านแสดงความเห็นว่า สิ่งที่เป็นมุสตะฮับเหล่านี้ สมควรทำในตะยัมมุม ที่แทนที่ วุฎูดฺด้วย
  • ริวายะฮ์ที่กล่าวว่า “ในสมัยที่อิมามอลี (อ.) ปกครองอยู่ ท่านมักจะถือแซ่เดินไปตามถนนหนทางและท้องตลาดพร้อมจะลงโทษอาชญากรและผู้กระทำผิด” จริงหรือไม่?
    6932 สิทธิและกฎหมาย 2555/03/18
    สำนักงานท่านอายะตุลลอฮ์อัลอุซมา มะการิม ชีรอซี ริวายะฮ์ข้างต้นกล่าวถึงช่วงรุ่งอรุณขณะที่ท่านสำรวจท้องตลาดในเมืองกูฟะฮ์ และการที่ท่านมักจะพกแซ่ไปด้วยก็เนื่องจากต้องการให้ประชาชนสนใจและให้ความสำคัญกับกฏหมายนั่นเอง สำนักงานท่านอายะตุลลอฮ์อัลอุซมาศอฟีย์ กุลพัยกานี ริวายะฮ์ได้กล่าวไว้เช่นนั้นจริง และสิ่งที่อิมามอลี(อ.) ได้กระทำไปคือสิ่งที่จำเป็นต่อสถานการณ์ในยุคนั้น การห้ามปรามความชั่วย่อมมีหลายวิธีที่จะทำให้บังเกิดผล ดังนั้นจะต้องเลือกวิธีที่จะทำให้สังคมคล้อยตามความถูกต้อง คำตอบของท่านอายะตุลลอฮ์มะฮ์ดี ฮาดาวี เตหะรานี มีดังนี้ หากผู้ปกครองในอิสลามเห็นสมควรว่าจะต้องลงโทษผู้ต้องหาและผู้ร้ายในสถานที่เกิดเหตุ หลังจากที่พิสูจน์ความผิดด้วยวิธีที่ถูกต้อง และพิพากษาตามหลักศาสนาหรือข้อกำหนดที่ผู้ปกครองอิสลามได้กำหนดไว้ การลงทัณฑ์ในสถานที่เกิดเหตุถือว่าไม่ไช่เรื่องผิด และในการนี้ไม่จำเป็นต้องอ้างอิงริวายะฮ์ดังกล่าวแต่อย่างใด แต่รายงานที่ถูกต้องที่ปรากฏในตำราฮะดีษอย่าง กุตุบอัรบาอะฮ์[1] ก็คือ ท่านอิมามอลี (อ.) พกแซ่เดินไปตามท้องตลาดและมักจะตักเตือนประชาชนให้ระมัดระวังในเรื่องต่าง ๆ โดยไม่มีตำราเล่มใดบันทึกว่าอิมามอลี (อ.) เคยลงโทษผู้ใดในตลาด
  • สัมพันธภาพระหว่างศรัทธาและความสงบมั่นที่ปรากฏในกุรอานเกิดขึ้นได้อย่างไร?
    7429 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/03/07
    อีหม่านให้ความหมายว่าการให้การยอมรับ ซึ่งตรงข้ามกับการกล่าวหาว่าโกหก แต่ในสำนวนทั่วไป อีหม่านหมายถึงการยอมรับด้วยวาจา ตั้งเจตนาในใจ และปฏิบัติด้วยสรรพางค์กาย ส่วน “อิฏมินาน” หมายถึงความสงบภายหลังจากความกระวนกระวายใจ ความแตกต่างระหว่างอีหม่านและความสงบมั่นทางจิตใจก็คือ ในบางครั้งสติปัญญาของคนเราอาจจะยอมรับเรื่องใดเรื่องหนึ่งด้วยกระบวนการพิสูจน์เชิงเหตุและผล ทว่ายังไม่บังเกิดความสงบมั่นใจจิตใจ แต่ถ้าลองได้มั่นใจในสิ่งใดแล้ว ความมั่นใจนี้จะนำมาซึ่งความสงบมั่นทางจิตใจในที่สุด มีผู้ถามอิมามริฎอ(อ.)ว่า ท่านนบีอิบรอฮีม(อ.)มีความเคลือบแคลงสงสัยหรืออย่างไร? ท่านตอบว่า “หามิได้ ท่านมีความมั่นใจจริง แต่ทว่าท่านขอให้พระองค์ทรงเพิ่มพูนความมั่นใจแก่ตนเองอีก” ...
  • ศาสนาและวัฒนธรรมมีความสัมพันธ์กันอย่างไร?
    13566 เทววิทยาใหม่ 2554/06/02
    การที่จะสามารถนิยามความสัมพันธระหว่างศาสนาและวัฒนธรรมจารีตได้นั้นขั้นแรกต้องเข้าใจถึงลักษณะจำเพาะเป้าประสงค์และผลผลิตของทั้งศาสนาและวัฒนธรรมเสียก่อน.บางคนปฎิเสธความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและวัฒนธรรมโดยสิ้นเชิงทัศนคตินี้ค่อนข้างจะไร้เหตุผลทั้งนี้ก็เพราะแม้ว่าวัฒนธรรมจารีตบางประเภทอาจจะผิดแผกและไม่เป็นที่ยอมรับโดยศาสนาเนื่องจากขัดต่อเป้าประสงค์ที่ศาสนามุ่งนำพามนุษย์สู่ความผาสุกแต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่ายังมีวัฒนธรรมจารีตอีกมากมายที่สอดคล้องและได้รับการยอมรับโดยศาสนายิ่งไปกว่านั้นยังมีวัฒนธรรมจารีตบางส่วนที่เกิดขึ้นจากคุณค่าที่ได้รับการฟูมฟักโดยศาสนาเช่นกัน. ...
  • การใช้ชีวิตเพื่ออัลลอฮฺ เป็นชีวิตอย่างไร? มีความขัดแย้งกับชีวิตการเป็นอยู่ทั่วไปทางโลกหรือไม่?
    9969 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/01/23
    ถ้าหากพิจารณาอัลกุรอานแล้วได้ถามอัลกุรอานว่าเราได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร? คำตอบของอัลกุรอานคือเรามิได้สร้างมนุษย์และญินขึ้นมาเพื่อการใดเว้นเสียแต่เพื่อการอิบาดะฮฺ"وَ ما خَلَقْتُ الْجِنَّ وَ الْإِنْسَ إِلَّا لِیَعْبُدُونِ" อิบาดะฮฺ
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39412 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • คำพูดทั้งหมดของพระศาสดา (ซ็อล ฯ) ถือว่าเป็นวะฮฺยูหรือไม่?
    8081 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/21
    มุมมองของผู้เชี่ยวชาญ,ในประเด็นที่กำลังกล่าวถึงแตกต่างกันบางคนได้พิจารณาการตีความของโองการที่ 3,4 ของอัลกุรอานบทนัจมฺ[i]ซึ่งเชื่อว่าคำพูดทั้งหมดของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ตลอดจนการกระทำต่างๆของท่านมาจากวะฮฺยูทั้งสิ้นบางคนเชื่อว่าโองการที่ 4 ของบทอันนัจมฺนั้นกล่าวถึงอัลกุรอานกะรีมและบรรดาโองการต่างๆที่ประทานให้แก่ท่านศาสดา,แม้ว่าซุนนะฮฺ (แบบฉบับ) ของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จะเป็นข้อพิสูจน์และเป็นเหตุผลก็ตามซึ่งคำพูดการกระทำและการนิ่งเฉยของท่านมิได้เกิดจากอารมณ์อย่างแน่นอนสิ่งที่เข้าใจได้จากสิ่งที่กล่าวถึงในตรงนี้คือสามารถกล่าวได้อย่างมั่นใจว่าทั้งความประพฤติและแบบอย่างของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) มิได้กระทำลงไปโดยปราศจากวะฮียฺอย่างแน่นอนดังเช่นคำพูดของท่านก็เป็นเช่นนี้ด้วยแม้ว่าจะเป็นคำพูดประจำวันคำพูดสามัญทั่วไปตลอดการดำรงชีวิตของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ก็ตามสิ่งนั้นก็จะไม่เกิดจากอารมณ์อย่างเด็ดขาดซึ่งตามความเป็นจริงแล้วเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แน่นอนว่าท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จะล่วงละเมิดกระทำความผิด[i]
  • จริงหรือไม่ที่กล่าวกันว่าหนังสืออัลกาฟีมีฮะดีษเศาะฮี้ห์เพียงไม่กี่บท?
    8239 ริญาลุลฮะดีซ 2555/01/01
    หลักเกณฑ์การเลือกฮะดีษที่ท่านกุลัยนีระบุไว้นั้นมีไว้เฉพาะกรณีฮะดีษที่ขัดแย้งกันเพราะหลักเกณฑ์พิสูจน์ความเศาะฮี้ห์ของฮะดีษมีมากกว่าสามวิธีที่ท่านระบุไว้อันได้แก่จะต้องสอดคล้องกับกุรอานตรงข้ามกับอามมะฮ์และแนวตัคยี้รส่วนการประพันธ์ตำราหลังยุคท่านกุลัยนีก็มิได้หมายความว่าหนังสืออัลกาฟีไม่น่าเชื่อถือเพราะผู้ประพันธ์ตำราเหล่านั้นก็ล้วนยอมรับความนิยมในหนังสืออัลกาฟี ...
  • ในมุมมองของรายงาน,ควรจะประพฤติตนอย่างไรกับผู้มิใช่มุสลิม?
    8053 สิทธิและกฎหมาย 2555/08/22
    อิสลาม เป็นศาสนาที่วางอยู่บนธรรมชาติอันสะอาดยิ่งของมนุษย์ ศาสนาแห่งความเมตตา ได้ถูกประทานลงมาเพื่อชี้นำมนุษย์ไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง และความผาสุกของมนุษย์ชาติทั้งหมด อีกด้านหนึ่งการเลือกนับถือศาสนาเป็นความอิสระของมนุษย์ ดังนั้น ในสังคมอิสลามนั้นท่านจะพบว่ามีผู้มิใช่มุสลิมปะปนอยู่ไม่มากก็น้อย อิสลามมีคำสั่งให้รักษาสิทธิ ประพฤติดี และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสันติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบุคคลที่นับถือศาสนา ไม่ว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมอิสลาม ภายใต้การปกครองของรัฐอิสลาม หรือบุคคลที่อยู่ในสังคมอื่นที่มิใช่อิสลาม, ผู้ปฏิเสธศรัทธาที่ดำรงชีวิตอยู่ภายใต้รัฐอิสลาม จำเป็นรักษาเงื่อนไขของผู้ร่วมอาศัยด้วย ถ้าหากไม่รักษาเงื่อนไขของผู้ร่วมอาศัย หรือทรยศหักหลังก็จำเป็นต้องถูกลงโทษตามกฎหมายอิสลาม ...
  • คำว่า อัซเซาะมัด ในอัลลอฮฺ อัซเซาะมัดหมายถึงอะไร?
    11658 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/05/17
    สำหรับคำว่า “เซาะมัด” ในอภิธานศัพท์, ริวายะฮฺ และตัฟซีร ได้กล่าวถึงความหมายไว้มากมาย, ด้วยเหตุนี้ สามารถสรุปอธิบายโดยย่อเพื่อเป็นตัวอย่างไว้ใน 3 กลุ่มความหมายด้วยกัน (อภิธานศัพท์ รายงานฮะดีซ และตัซรีร) ก) รอฆิบเอซฟาฮานียฺ กล่าวไว้ในสารานุกรมว่า : เซาะมัด หมายถึง นาย จอมราชันย์ ความยิ่งใหญ่ สำหรับการปฏิบัติภารกิจหนึ่งต้องไปหาเขา, บางคนกล่าวว่า : “เซาะมัด” หมายถึงสิ่งๆ หนึ่งซึ่งภายในไม่ว่าง, ทว่าเต็มล้น[1] ข) อิมามฮุซัยนฺ (อ.) อธิบายความหมาย “เซาะมัด” ไว้ 5 ความหมายด้วยกัน กล่าวคือ

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60690 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58318 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42791 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40289 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39412 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34543 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28602 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28510 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28464 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26372 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...