การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
8793
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/10/22
 
รหัสในเว็บไซต์ fa985 รหัสสำเนา 17837
คำถามอย่างย่อ
จะให้นิยามและพิสูจน์ปาฏิหาริย์ได้อย่างไร?
คำถาม
จะให้นิยามและพิสูจน์ปาฏิหาริย์ได้อย่างไร?
คำตอบโดยสังเขป

อิอฺญาซ หมายถึงภารกิจที่เหนือความสามารถของมนุษย์บุถุชนธรรมดา อีกด้านหนึ่งเป็นการท้าทาย และเป็นภารกิจที่ตรงกับคำกล่าวอ้างตนของผู้ที่อ้างตนเองว่าเป็นผู้แสดงปาฏิหาริย์นั้น การกระทำที่เหนือความสามารถหมายถึง การกระทำที่แตกต่างไปจากวิสามัญทั่วไปซึ่งเกิดภายใต้เงื่อนไขและกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติ

ภารกิจที่เหนือธรรมชาติหมายถึง ภารกิจที่ไม่มีสาเหตุ หรือภารกิจที่ปฏิเสธกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติ และกฎเกณฑ์ของสาเหตุ อิอฺญาซมาตรว่าเป็นภารกิจธรรมดาที่มีสาเหตุทางธรรมชาติ แต่สามารถเหล่านั้นก็ยากเกินความสามารถที่มนุษย์บุถุชนทั่วไปจะสัมผัสได้ หรือเกินความสามารถที่จะรับรู้และเข้าใจได้ด้วย การท้าทายหมายถึงท่านศาสดา (ซ็อล ) ในฐานะที่เป็นเจ้าของปาฏิหาริย์ ได้กล่าวท้าทายบุคคลหรือกลุ่มชนที่ไม่เชื่อเรื่องปาฏิหาริย์ของท่าน หรือไม่ยอมคำเชิญชวนของท่าน ซึ่งท่านจะกล่าวท้าทายให้เขานำสิ่งที่คล้ายเหมือนมาแสดงเยี่ยงท่าน

ปาฏิหาริย์ อิอ์ญาซ ได้รับอิทธิพลมาจากท่านศาสดาโดยได้รับอนุญาตจากอัลลอฮฺ กล่าวคือปาฏิหาริย์ต่างๆ ของศาสดาขึ้นอยู่กับอำนาจที่ไม่มีความจำกัดของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ จึงได้รับชัยชนะเสมอมา ปาฏิหาริย์ ไม่ต้องเรียนหรือจดจำแต่อย่างใด อีกทั้งไม่ต้องการเงื่อนไขอันจำกัดจำเพาะแต่อย่างใดด้วย ปาฏิหาริย์ของบรรดาศาสดานั้นส่วนใหญ่มิได้เป็นการแสดงเพื่อคร่าเวลาให้หมดไป ทว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อการชี้นำทางมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ ปาฏิหาริย์ของบรรดาศาสดาจึงมีแตกต่างไปจากเรื่องกะรอมัต เช่น การตอบรับดุอาอฺ และ....มายากล หรือคาถาอาคมต่างๆ โดยสิ้นเชิง

เรื่อง กะรอมัต นั้นมิได้อยู่ในส่วนของคำท้าทาย หรือการชี้นำทางามนุษย์ หรือคำกล่าวอ้างการเป็นนบีแต่อย่างใด ทำนองเดียวกันเรื่องมายากลและคาถาคมต่างๆ ที่บรรดามุรตะฎออินเดียได้แสดงให้เห็นนั้น ล้วนเป็นภารกิจที่เกิดขึ้นเป็นไปภายใต้กฎเกณฑ์ทางธรรมชาติทั้งสิ้น แม้ว่าบางครั้งอาจจะมีภารกิจบางอย่างที่มีเป้าหมายอันศักดิ์สิทธิ์ก็ตาม

นอกจากนี้,บุคคลที่ได้ศึกษาและฝึกฝนภารกิจดังกล่าวจนประสบความสำเร็จ และสามารถปฏิบัติภารกิจบางประการได้ ภารกิจของเขาก็ขึ้นอยู่กับแหล่งอำนาจของมนุษย์ ซึ่งมีความจำกัดดังนั้นภารกิจที่ดูเหมือนว่าเหนือธรรมชาติที่กระทำโดยบุคคลที่ฝีกฝนตน ก็ยังพ่ายแพ้ต่ออำนาจที่เหนือธรรมชาติที่เรียกว่า มุอฺญิซะฮฺ อยู่ดี

ส่วนการพิสูจน์เรื่อง มุอฺญิซะฮฺ, อิอฺญาซมี 2 ประเภท,บางครั้งเป็นการกระทำ และบางครั้งเป็นกาลเวลาเป็นการบรรยายหรือคำพูด, ปาฏิหาริย์ที่เป็นการกระทำด้านหนึ่งเกิดจากการเรียกร้องของประชาชน และจะเกิดในช่วงเวลาที่มีความเหมาะสม และหลังจากเกิดแล้ว ปาฏิหาริย์นั้นจะไม่คงเหลืออยู่อีกต่อไป, แม้ว่าจะมีปาฏิหาริย์อันเป็นการกระทำของบรรดาศาสดา (.) หลงเหลืออยู่บ้างก็ตาม

การพิสูจน์ปาฏิหาริย์ดังกล่าวข้างต้น, สำหรับบุคคลที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ของการเกิดปาฏิหาริย์, สามารถพิจารณาได้จากรายงานต่างๆ ที่กล่าวถึงเรืองปาฏิหาริย์นั้นๆ และสามารถยอมรับความจริงได้.

ส่วนมุอฺญิซะฮฺ ที่เป็นถ้อยจำนรรจ์ของท่านศาสดา (ซ็อล ) ก็คืออัลกุรอาน, ซึ่งอัลกุรอานเองได้เชิญชวนและท้าทายบรรดาผู้ปฏิเสธอัลกุรอานให้มาต่อสู้กัน ซึ่งการท้าทายอันเฉพาะของอัลกุรอาน มิได้จำกัดอยู่เฉพาะแค่เรื่องวาทศิลป์ วาทศาสตร์ และโวหาร, ทว่าได้ท้าทายในทุกรูปแบบที่คิดว่าสามารถทำได้ดีกว่าอัลกุรอาน, ซึ่งสิ่งเหล่านั้นจัดว่าเป็นการท้าทายของอัลกุรอานโดยแท้จริง เช่น การแจ้งข่าวความเร้นลับ การอธิบายในเชิงวิชาการ การไม่มีความขัดแย้งกันในอัลกุรอาน และ .... แน่นอนการพิสูจน์ปาฏิหาริย์เหล่านี้ต้องอาศัยการพิสูจน์ปาฏิหาริย์ของอัลกุรอานที่ว่า อัลกุรอาน ดีกว่าในทุกด้านที่มนุษย์คิดว่าสิ่งนั้นดี และมนุษย์ไร้ความสามารถในการนำเสนอเยี่ยงอัลกุรอาน

คำตอบเชิงรายละเอียด

นักปราชญ์อิสลามกับการตีความคำว่า มุอฺญิซะฮฺ[1]

มุอฺญิซะฮฺหมายถึงภารกิจที่เหนือความสามารถของมนุษย์บุถุชนธรรมดา อีกด้านหนึ่งเป็นการท้าทาย และเป็นภารกิจที่ตรงกับคำกล่าวอ้างตนของผู้ที่อ้างตนเองว่าเป็นผู้แสดงปาฏิหาริย์นั้น การกระทำที่เหนือความสามารถหมายถึง การกระทำที่แตกต่างไปจากวิสามัญทั่วไปซึ่งเกิดภายใต้เงื่อนไขและกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติ แต่มิได้หมายความว่า มุอฺญิซะฮฺ, ได้รับการยกเว้นจากกฎเกณฑ์ของเหตุปัจจัย. มุอฺญิซะฮฺ มิใช่การปฏิเสธสาเหตุ เนื่องจากกฎของเหตุปัจจัยที่เป็นไป, นั้นยอมรับเรื่องของเหตุผล และอัลกุรอาน. กฎเกณฑ์ของเหตุปัจจัย[2] และปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ ทั้งสองประการยอมรับอัลกุรอาน แต่โดยหลักการได้นำเสนอแก่มนุษย์ เช่น การเกิดปาฏิหาริย์อยู่ในอำนาจของอัลลอฮฺ.เหตุที่เป็นวัตถุโดยเอกเทศไม่มีผลโดยตรงกับการเกิดปาฏิหาริย์ แน่นอน สาเหตุทีแท้จริงคืออัลลอฮฺเพียงผู้เดียว[3] ซึ่งหนึ่งในสาเหตุที่มีผลต่อปาฏิหาริย์, ก็คือการมีอยู่ของบรรดาศาสดา[4]ส่วนสาเหตุที่มีอิทธิพลเหนือบรรดาศาสดาและมวลผู้ศรัทธา,ก็คือสิ่งที่อยู่เหนือประมวลสาเหตุภายนอก และมีอิทธิต่อสิ่งเหล่านั้น[5]

บทสรุป, มุอฺญิซะฮฺและภารกิจเหนือธรรมชาติ ก็เหมือนกับภารกิจทั่วไปที่ต้องอาศัยสาเหตุอันเป็นธรรมชาติ และนอกจาก, ทั้งสอง (มุอฺญิซะฮฺและภารกิจธรรมชาติ) ยังได้รับประโยชน์จากด้านใน ซึ่งเราเรียกสิ่งนั้นว่า สาเหตุ และแน่นอน สิ่งนี้มีความแตกต่างกัน, เพียงแต่ว่าภารกิจทั่วไปจะอยู่ร่วมกับภารกิจภายนอกและสาเหตุภายในอันเป็นแก่นแท้ และสาเหตุภายในก็จะอยู่ร่วมกับความประสงค์และบัญชาของพระเจ้า แน่นอน บางครั้งสาเหตุที่แท้จริงกับสาเหตุภายนอกจะไม่ประสานกัน ซึ่งในบทสรุปก็คือว่า, สาเหตุภายนอกจะออกนอกระบบของ สาเหตุทั้งหลาย ซึ่งสิ่งนั้นจะไม่ถือว่าเป็นภารกิจธรรมดาทั่วไปอีกต่อไป เนื่องจากสิ่งนั้นมิได้ย้อนกลับไปยังพระประสงค์และบัญชาของพระเจ้าอีกต่อไป แตกต่างไปจากภารกิจเหนือธรรมชาติ แม้ว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับสาเหตุอันเป็นธรรมชาติ ทว่าได้พึ่งพิงไปยังสาเหตุธรรมชาติที่มิใช่ธรรมดาทั่วไป หมายถึง สาเหตุต่างๆ ที่ประชาชนไม่อาจสัมผัสได้. อย่างไรก็ตามสาเหตุธรรมชาติที่มิใช่ธรรมดานั้น มีความใกล้เคียงกับสาเหตุที่แท้จริงภายใน และในที่สุดแล้วสิ่งนั้นขึ้นอยู่กับการอนุญาตของพระเจ้า

เงื่อนไขอีกประการหนึ่งมุอฺญิซะฮฺ, ขึ้นอยู่กับการท้าทายกล่าวคือบรรดาศาสดา (.) เท่านั้นที่ได้เป็นผู้แสดงปาฏิหาริย์, และได้ท้าทายบรรดาผู้ไม่เชื่อฟังปฏิบัติตามท่าน ไม่ยอมรับการเชิญชวนของท่าน และเชื่อว่าภารกิจเหล่านั้นเป็นเพียงภารกิจธรรมดา ท่านจึงได้ท้าทายพวกเขาให้นำสิ่งที่คล้ายเหมือนเยี่ยงท่านแสดง[6]

อีกนัยหนึ่ง, มุอฺญิซะฮฺ หมายถึงคำอธิบายสัญญาณของพระเจ้าที่ได้ถูกอนุมัติเพื่อพิสูจน์ภารกิจหนึ่งของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้เอง มุอฺญิซะฮฺ จึงต้องมีเงื่อนไขจำกัดอันเฉพาะและต้องเป็นการท้าทายด้วย[7]

สิ่งที่เป็นเงื่อนไขสำหรับ มุอฺญิซะฮฺ หรือสิ่งที่ได้ถูกกล่าวถึงขณะตีความ มุอฺญิซะฮฺก็คือ ภารกิจนี้จะต้องตรงกับคำกล่าวอ้าง หมายถึงบุคคลที่กล่าวอ้างตนว่าเป็นศาสดา ต้องแสดงมุอฺญะซะฮฺ ออกมาด้วยตัวเอง เช่น การเยียวยารักษาคนตาบอด และคนตาบอดได้หายเป็นปกติ เพื่อให้สิ่งนี้เป็นเหตุผลที่ยืนยันความสัจจริงของตน[8] 

ดังนั้น มุอฺญิซะฮฺ จึงถือว่าเป็นภารกิจเหนือธรรมชาติ แม้ว่าภายนอกอาจจะครอบคลุมถึงเรื่องมายากล การตอบรับดุอาอฺ และการแสดงสิ่งมหัศจรรย์อื่นด้วยก็ตาม แต่ทั้งมายากลและอาคมต่างๆ ไม่อาจยืนหยัดต่อหน้ามุอฺญิซะฮฺได้ สาเหตุของสิ่งเหล่านี้ล้วนพ่ายต่อมุอฺญิซะฮฺ ด้วยเหตุนี้ มุอฺญิซะฮฺ ในแง่มุมนี้จึงถือว่าเป็นปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง เนื่องด้วยทั้งเหตุปัจจัยที่เป็นธรรมชาติหรือเหตุปัจจัยที่มิใช่สิ่งธรรมดา ต่างพ่ายต่อมุอฺญิซะฮฺทั้งสิ้น[9]

ส่วน มายากล มิได้มีแหล่งที่มาจากพระเจ้า หรือธรรมชาติแต่อย่างใดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยขัดแย้งกับความเป็นจริง ตามคำสั่งที่เป็นไปของนักมายากร ซึ่งโดยปกติแล้วเป็นเหมือนภาพลวงตา เช่น การยุติความเร็วที่วางอยู่บนการจินตนาการ ซึ่งแม้ว่าบางครั้งมาลายากลจะมีแหล่งที่มาจากธรรมชาติ แต่นั่นก็เป็นไปเพื่อการรับใช้เป้าหมายอันเลวร้าย ซึ่งจะเกิดควบคู่กับความโง่เขลา และการหลงผิด

ภารกิจเหนือธรรมชาติบางอย่างของมนุษย์ ในทางเป้าหมายแล้วมีความแตกต่างกับมุอฺญิซะฮฺของบรรดาศาสดา. บรรดาศาสดาได้แสดงปาฏิหาริย์เพื่อการชี้นำมวลมนุษย์ชาติ หรือเพื่อแนะนำแนวทางแก่พวกเขา มิใช่เพื่อคร่าเวลาของมนุษย์ให้สูญเสียไปโดยไร้ประโยชน์

อีกด้านหนึ่ง มุอฺญิซะฮฺ ไม่มีเงื่อนไขอันเฉพาะเจาะจง หมายถึงในการแสดงปาฏิหาริย์ของศาสดา ไม่จำเป็นต้องผ่านขบวนการเรียนรู้และฝึกฝนแต่อย่างใด ต่างไปจากสิ่งที่นักมายากร หรือบรรดามุรตะฎออินเดียได้แสดง พวกเขาต้องผ่านขบวนการเรียนรู้และการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี และทางตรงกันข้ามพวกเขาก็ไม่สามารถทำทุกสิ่งตามใจปรารถนาได้ เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องจากว่า มุอฺญิซะฮฺของบรรดาศาสดานั้น ได้พึ่งพิงอำนาจที่ไม่มีวันสูญสลาย และไม่มีความจำกัดของพระเจ้า ส่วนภารกิจที่เหนือธรรมชาติของมนุษย์นั้นได้รับมาจากบุคคลอื่น เป็นแหล่งอำนาจที่สูญสลายและมีความจำกัด ด้วยเหตุนี้ ภารกิจเหนือธรรมชาติของมนุษย์จึงสูญสลายและไม่มีบุคคลใดกล้าท้าทายให้อีกฝ่ายกระทำเยี่ยงตน[10]

มุอฺญิซะฮฺ กับการตอบรับดุอาอฺ และ ....มีความแตกต่างกัน เนื่องจากมุอฺญิซะฮฺ, นั้นเป็นการท้าทายและวางอยู่บนการชี้นำมวลมนุษย์, ซึ่งการแสดงมุอฺญิซะฮฺ แต่ละครั้งนั้นก็เพื่อพิสูจน์สภาวะการเป็นศาสดา สาส์น และคำเชิญชวนทีมีมายังมวลมนุษย์ทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้ บุคคลที่เป็นเจ้าของมุอฺญิซะฮฺ, ในการแสดงมุอฺญิซะฮฺแต่ละครั้งขึ้นอยู่กับการเลือกสรร หมายถึงเมื่อมีการเรียกร้อง มุอฺญิซะฮฺ จากท่านแล้วท่านจะแสดงได้ก็ต้องเป็นความประสงค์ของพระเจ้าด้วยเช่นกัน ต่างไปจากการตอบรับดุอาอฺ หรือกะรอมัตของหมู่มิตรของอัลลอฮฺ เนื่องจากมิได้วางอยู่บนพื้นฐานของการท้าทาย หรือมิได้มีจุดประสงค์เพื่อการชี้นำมวลมนุษย์ จึงเป็นไปได้ที่อาจจะไม่เกิดขึ้น หรืออาจจะผิดแปลกออกไป ซึ่งการผิดแปลกไปนั้นมิได้เป็นเหตุนำไปสู่การหลงทางของคนอื่นแต่อย่างใด[11]

อีกนัยหนึ่ง, กะรอมัต เป็นภารกิจหนึ่งที่เหนือธรรมชาติเช่นกัน เป็นผลที่เกิดจากจิตวิญญาณที่เข้มแข็งและบริสุทธิ์ เป็นพลังจิตของมนุษย์ผู้สมบูรณ์คนหนึ่ง หรือมนุษย์ที่มีความสมบูรณ์เพียงครึ่งหนึ่ง ซึ่งมิได้เป็นไปเพื่อการชี้นำอันเฉพาะ ตามความเป็นจริงแล้ว, มุอฺญิซะฮฺคือภาษาของพระเจ้า ซึ่งมีผลกระต่อบุคคลส่วนกะรอมัตมิได้เป็นภาษาของพระเจ้าแต่อย่างใด[12]

อย่างไรก็ตาม มุอฺญิซะฮฺ ได้เกิดขึ้นพร้อมกับคำกล่าวอ้าง อันเฉพาะสำหรับบุคคลที่เป็นศาสดาเท่านั้น ดังนั้น ถ้าบุคคลหนึ่งได้แสดงมุอฺญิซะฮฺ ออกมาซึ่งอาจอ้างตนเป็นนบีหรือไม่ได้อ้างตน ถ้าเขาอ้างตนเป็นนบีก็จะสามารถพิสูจน์ความจริงได้ด้วยวิถีทางของมุอฺญิซะฮฺ หรือยืนยันคำกล่าวอ้างได้อย่างถูกต้องด้วยวิถีดังกล่าวนั่นเอง เนื่องจาก การแสดงปาฏิหาริย์ลักษณะนี้มิอาจเกิดจากบุคคลที่มุสาได้อย่างแน่นอน แต่ถ้าเขามิได้อ้างตนเป็นนบี ก็มิอาจตัดสินว่าเขาเป็นนบีได้เนื่องจากในเบื้องต้น มุอฺญิซะฮฺ มิได้บ่งชี้การเป็นนบีแต่อย่างใด แต่สิ่งที่ได้พิสูจน์ให้เห็นคือ คำกล่าวอ้างที่เป็นจริงของเขา และถ้าคำกล่าวอ้างของเขาครอบคลุมการเป็นนบีของเขา เวลานั้น มุอฺญิซะฮฺ จะบ่งชี้ให้เห็นว่าคำกล่าวอ้างของเขาเป็นจริง และสิ่งจำเป็นสำหรับความจริงดังกล่าวนี้ก็คือ การพิสูจน์การเป็นนบีของเขา

อย่างไรก็ตามนบีก่อนที่จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนบีนั้น ก็สามารถแสดงมุอฺญิซะฮฺได้, แต่สิ่งนั้นเป็นเพียงอัรฮาซหมายถึงการเตรียมพร้อมประชาชนเพื่อรับฟังคำเชิญชวน[13]

แน่นอน มุอฺญิซะฮฺ จะเกิดขึ้นหลังจากการได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสดาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะเกิดพร้อมกับการท้าทายผู้ปฏิเสธ เพราะถ้านอกเหนือจากนี้แล้ว ถ้าได้เห็นภารกิจเหนือธรรมชาติที่เกิดจากบรรดาศาสดาที่ยังมิได้เป็นศาสดา เรียกสิ่งนั้นว่า กะรอมัต แม้ว่าในทางสังคมจะเรียกปาฏิหาริย์ที่เกิดจากบรรดาศาสดา และอิมามว่าเป็น มุอฺญิซะฮฺ ก็ตาม[14]

ส่วนการพิสูจน์ มุอฺญิซะฮฺ, ขึ้นอยู่กับการอธิบายใน 2 ประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้ : ประการที่หนึ่ง, ประเภทของมุอฺญิซะฮฺของบรรดาศาสดาทั้งหลาย, ประการที่สอง, การเป็นปาฏิหาริย์ของอัลกุรอาน

ประเภทของมุอฺญิซะฮฺต่างๆ : มุอฺญิซะฮฺแบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกัน กล่าวคือ : การกระทำและคำพูด

มุอฺญิซะฮฺที่เป็นการกระทำได้แก่ : การแสดงภารกิจบางอย่างบนพื้นฐานของวิลายะฮฺตักวีนีย์[15] ตามการอนุญาตของอัลลอฮฺ, เช่น การแยกดวงจันทร์[16] ซึ่งได้แสดงโดยท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ) หรือการแยกแผ่นดิน[17] การแยกทะเล[18] เรื่องราวเกี่ยวกับกอนรูนและฟิรอาวน์ ซึ่งได้แสดงโดยท่านศาสดามูซา (.) หรือการแยกภูเขา[19] โดยท่านศาสดาซอลิฮฺ (.) การเยียวยารักษาคนเป็นโรคเรื้อน และการทำให้คนตายฟื้นคืนชีพ[20] โดยท่านศาสดาอีซา (.) หรือการถอดประตูป้อมปราการค้ยบัร โดยปาฏิหาริย์ของอัลละวีย[21]

มุอฺญิซะฮฺคำพูด, หมายถึง : พระวจนะหรือคำอธิบายของพระเจ้า ซึ่งท่านศาสดา (ซ็อล ) และบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์คือผู้แบกรับวิชาการอันสูงส่งและลุ่มลึกเหล่านี้ อันเป็นสาเหตุนำไปสู่การชี้นำมวลมนุษย์ และไขปัญหาข้อข้องใจของชาวโลก

ความแตกต่างระหว่างมุอฺญิซะฮฺที่เป็นการกระทำกับคำพูด จำเป็นต้องกล่าวว่ามุอฺญิซะฮฺที่เป็นการกระทำ, นั้นมีเวลาและสถานที่เป็นตัวกำกับและจำกัดการกระทำนั้น อีกทั้งได้แสดงเพื่อสามัญชนทั่วไป,เนื่องประชาชนเหล่านั้นใช้ความรู้สึกที่สัมผัสได้ภายนอกเป็นเกณฑ์ตัดสิน[22]ส่วนมุอฺญิซะฮฺที่เป็นคำพูด, ไม่มีเวลาและสถานที่เป็นตัวกำกับและจำกัดความอันเฉพาะแต่อย่างใด และมุอฺญิซะฮฺประเภทนี้จะดำรงอยู่ในทุกยุคทุกสมัย

แต่อย่างไรก็ตามมุอฺญิซะฮฺของท่านศาดามุฮัมมัด (ซ็อล ) เช่น การเปลี่ยนและกำหนดกิบละฮฺในมะดีนะฮฺ จวบจนถึงปัจจุบันก็ยังคงเหลืออยู่ ซึ่งท่านศาสดามิได้ใช้หลักการของดาราศาสตร์ หรือหลักการคำนวณแต่อย่างใด ท่านได้หันหน้าไปทางกิบละฮฺและกล่าวว่า : "محرابى على المیزاب" เมะฮฺรอบของฉันอยู่ตรงกับรางน้ำของกะอฺบะฮฺ[23]

การพิสูจน์ มุอฺญิซะฮฺ ในปัจจุบัน,ต้องอาศัยการพิจารณาจากรายงานต่างๆ ที่กล่าวถึงเรื่องมุอฺญิซาตเอาไว้, ถ้าหากรายงานเหล่านั้นมีสายรายงานที่เชื่อถือได้ หรือมีสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความถูกต้อง เราก็สามารถยอมรับมุอฺญิซะฮฺนั้นได้ ถ้ามิได้ใช่เช่นนั้นก็ไม่มีวิธ

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ในกรณีที่เป็นไปได้โปรดอธิบายถึงรายชื่อของสตรีที่เป็นนายหญิงแห่งโลก และนักวิชาการแห่งศตวรรษจากอดีตจนถึงปัจจุบัน?
    7303 تاريخ بزرگان 2555/04/07
    รายชื่อของสตรีบางคนในโลกนี้,ฟะกีฮฺ, มุฮัดดิซ, นักปรัชญา, และ ....นับตั้งแต่ศตวรรษในอดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งบันทึกอยู่ในแหล่งอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ ตัวอย่างเช่น 1.ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ มะอฺซูมมะฮฺ (อ.) บุตรีของท่านอิมามมูซา กาซิม (อ.) น้องสาวของท่านอิมามริฎอ (อ.) 2.ท่านอุมมุ กุลษูม โรฆันนี,แกซวีนียฺ เป็นมุจญฺตะฮิด และมุฮัดดิษ 3.เคาะดิญะฮฺ บัรฆอนียฺ แกซวีนียฺ,เป็นมุจญฺตะฮิด มุฮัดดิษ และนักเทววิทยา, ท่านมีความรู้ด้านเทววิทยาเป็นอย่างดี นอกจากนั้นยังเป็นนักท่องจำ และเป็นนักตัฟซีรอัลกุรอาน อีกด้วย 4.นักกิซ บัรฆอนียฺ แกซวีนียฺ,ป็นมุจญฺตะฮิด มุฮัดดิษ และนักเทววิทยา, ท่านมีความรู้ด้านเทววิทยา ไวยากรณ์ภาษาอาหรับ ความรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงคำ โครงสร้างของลำดับคำในประโยคและวลี ตรรกวิทยา ...
  • เป็นไปได้ไหมที่จะอธิบาย อัรบะอีน, อิมามฮุซัยนฺ ให้ชัดเจน?
    9089 تاريخ بزرگان 2555/05/20
    เกี่ยวกับพิธีกรรมอัรบะอีน, สิ่งที่ปรากฏอยู่ในวัฒนธรรฒศาสนาของเรา, คือการรำลึกถึงช่วง 40 วัน แห่งการเป็นชะฮาดัตของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ซัยยิดุชชุฮะดา ซึ่งตรงกับวันที่ 20 เดือนเซาะฟัร, ท่านอิมามฮะซันอัสการียฺ (อ.) ได้กล่าวถึงสัญลักษณ์ของผู้ศรัทธา »มุอฺมิน« ไว้ 5 ประการด้วยกัน กล่าวคือ : การดำรงนมาซวันละ 51 เราะกะอัต, ซิยารัตอัรบะอีน, สวมแหวนทางนิ้วมือข้างขวา, เอาหน้าซัจญฺดะฮฺแนบกับพื้น และอ่านบิสมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม ในนมาซด้วยเสียงดัง[1] ทำนองเดียวกันนักประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า ท่านญาบิร บิน อับดุลลอฮฺ อันซอรียฺ,พร้อมกับอุฏ็อยยะฮฺ เอาฟีย์ ประสบความสำเร็จต่อการเดินทางไปซิยาเราะฮฺอิมามฮุซัยนฺ (อ.) หลังจากถูกทำชะฮาดัตในช่วง 40 วันแรก
  • หลังจากเสียชีวิต วิญญาณมนุษย์สามารถรับรู้เรื่องราวในโลกดุนยาหรือไม่?
    15240 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/08/09
    นัยยะที่ได้จากกุรอานและฮะดีษจากบรรดามะอ์ศูมีนบ่งชี้ว่าภายหลังจากเสียชีวิตวิญญาณผู้ตายสามารถแวะเวียนมายังโลกนี้เพื่อจะรับทราบสารทุข์สุขดิบของญาติมิตรได้และหลักฐานทางศาสนาก็มิได้ปฏิเสธบทบาทของมะลาอิกะฮ์เกี่ยวกับเรื่องนี้แถมยังระบุไว้ชัดเจนอีกด้วยดังฮะดีษต่อไปนี้“แน่นอนว่าวิญญาณผู้ศรัทธาจะกลับมาเยี่ยมครอบครัวเขาจะได้เห็นสิ่งที่ดีงามแต่จะไม่ได้เห็นเรื่องที่ไม่พึงประสงค์”“อัลลอฮ์จะส่งมะลาอิกะฮ์มาพร้อมกับวิญญาณผู้ศรัแธาเพื่อชี้ให้เขาเห็นเฉพาะสิ่งที่น่ายินดี” ...
  • ท่านนบี(ซ.ล.)เคยกล่าวไว้ดังนี้หรือไม่? “หากผู้คนล่วงรู้ถึงอภินิหารของอลี(อ.) จะทำให้พวกเขาปฏิเสธพระเจ้าเพราะจะโจษขานว่าอลีก็คือพระเจ้านั่นเอง(นะอูซุบิลลาฮ์)”
    9461 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/19
    เราไม่พบฮะดีษที่คุณยกมาในหนังสือเล่มใดแต่มีฮะดีษชุดที่มีความหมายคล้ายคลึงกันปรากฏอยู่ในตำราหลายเล่มซึ่งขอหยิบยกฮะดีษบทหนึ่งจากหนังสืออัลกาฟีมานำเสนอพอสังเขปดังนี้อบูบะศี้รเล่าว่าวันหนึ่งขณะที่ท่านนบี(ซ.ล.)นั่งพักอยู่ท่านอิมามอลี(อ.)ก็เดินมาหาท่านท่านนบีกล่าวแก่อิมามอลี(อ.)ว่า “เธอคล้ายคลึงอีซาบุตรของมัรยัมและหากไม่เกรงว่าจะมีผู้คนบางกลุ่มยกย่องเธอเสมือนอีซาแล้วฉันจะสาธยายคุณลักษณะของเธอกระทั่งผู้คนจะเก็บดินใต้เท้าของเธอไว้เพื่อเป็นสิริมงคล ...
  • ในทัศนะอิสลามอนุญาตให้ซัจญฺดะฮฺและแสดงการตะอฺซีมหรือไม่ ?
    7365 การตีความ (ตัฟซีร) 2554/09/25
    ในทัศนะอิสลามบนพื้นฐานคำสอนของแนวทางอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) ถือว่าการซัจญฺดะฮฺคือรูปแบบของการอิบาดะฮฺที่สวยงามและสมบูรณ์ที่สุดสำหรับพระผู้อภิบาลเท่านั้นและไม่อนุญาตกระทำกับบุคคลอื่นส่วนการซัจญฺดะฮฺที่มีต่อศาสดายูซุฟ (อ.), มิได้ถือว่าเป็นการซัจญฺดะฮฺอิบาดี, ทว่าในความเป็นจริงก็คือว่าเป็นการอิบาดะฮฺต่อพระเจ้าด้วยเช่นกันดังที่เราได้หันหน้าไปทางกะอฺบะฮฺเพื่อนมาซและได้ซัจญฺดะฮฺ, ทั้งที่การนมาซและการซัจญฺดะฮฺของเรามิได้กระทำเพื่อวิหารกะอฺบะฮฺแต่อย่างใดทว่าวิหารกะอฺบะฮฺคือสิ่งเดียวอันถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งการรำลึกถึงอัลลอฮฺเราจึงอิบาดะฮฺ ...
  • อิมามมะฮ์ดีสมรสแล้วหรือยัง?
    8311 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/09
    แม้จะเป็นไปได้ว่าท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)อาจมีคู่ครองและบุตรหลาน เนื่องจากภาวะการเร้นกายมิได้จำกัดว่าจะท่านต้องงดกระทำการสมรสอันเป็นซุนนะฮ์แต่อย่างใด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราไม่พบเหตุผลใดๆที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ สันนิษฐานว่าสาเหตุที่ประเด็นดังกล่าวไม่เป็นที่เปิดเผยนั้น อาจเป็นผลพวงมาจากความจำเป็นที่พระองค์ทรงเร้นกายท่านจากสายตาผู้คนนั่นเอง ...
  • เกี่ยวกับวิลายะฮฺที่มีเหนือมุอฺมิน ซึ่งอยู่ในอำนาจของอะอิมมะฮฺ, ท่านมีทัศนะอย่างไร?
    6101 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/01/23
    คำตอบของท่านอายะตุลลอฮฺ มะฮฺดี ฮาดะวี เตหะรานนี (ขออัลลอฮฺทรงคุ้มครอง) มีรายละเอียดดังนี้ :บรรดาอิมามมะอฺซูม (อ.) มีวิลายะฮฺทั้งวิลายะฮฺตักวีนีและตัชรีอียฺเหนือบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย แต่การปฏิบัติวิลายะฮฺขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ...
  • ในเมื่อนบีมูซาสังหารชายกิบฏี แล้วจะเชื่อว่าท่านไร้บาปได้อย่างไร?
    9903 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/08/17
    นบีทุกท่านล้วนเป็นผู้ปราศจากบาปและมีสถานะอันสูงส่งณอัลลอฮ์ (ตามระดับขั้นของแต่ละท่าน) และมีภาระหน้าที่ๆหนักกว่าคนทั่วไปโดยมาตรฐานของบรรดานบีแล้วการให้ความสำคัญต่อสิ่งอื่นนอกเหนืออัลลอฮ์ถือเป็นบาปอันใหญ่หลวงอย่างไรก็ดีนักวิชาการมีคำอธิบายเกี่ยวกับเหตุการณ์สังหารชายชาวกิบฏีหลายทัศนะคำอธิบายที่น่าสนใจที่สุดคือท่านมิได้ทำบาปใดๆเนื่องจากการสังหารชาวกิบฏีในครั้งนั้นไม่เป็นฮะรอมเพราะควรแก่เหตุเพียงแต่ท่านไม่ควรรีบลงมือเช่นนั้นสำนวนในโองการกุรอานก็มิได้ระบุว่าเหตุดังกล่าวคือบาปของท่านดังที่มะอ์มูนถามอิมามริฎอ(อ.)เกี่ยวกับคำพูดของนบีมูซาที่ว่า “นี่คือการกระทำของชัยฏอนมันคือศัตรูผู้ล่อลวงอย่างชัดแจ้ง” หรือที่กล่าวว่า “
  • ฮุกุมของการขับร้องเพลงวันประสูติพร้อมกับการบรรเลง (ในงานเฉพาะสตรี)เป็นอย่างไร?
    5982 สิทธิและกฎหมาย 2554/09/11
    ในทัศนะของอิสลามเพลงบรรเลง[1]หรือการขับร้องที่มีลักษณะ“ฆินาอ์”ถือเป็นฮะรอมกล่าวคือไม่ว่าจะเป็นการร้อง, การแสดง, การฟังและการรับค่า
  • เมื่อคำนึงถึงการที่สตรีจะต้องมีประจำเดือน จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะถือศีลอดกัฟฟาเราะฮ์ เนื่องจากจะต้องถือศีลอดติดต่อกันเป็นเวลา 31 วัน
    7724 สิทธิและกฎหมาย 2555/02/05
    ในการถือศีลอดที่มีเงื่อนไขว่าจะต้องถืออย่างติดต่อกัน (เช่นการถือศีลอดกัฟฟาเราะฮ์หรือการถือศีลอดที่มีการบนบานเอาไว้) หากเขาไม่สามาถทำเช่นนี้ได้เนื่องจากป่วยหรือมีรอบเดือนหรือเป็นนิฟาซ (สำหรับสตรี) และผู้ถือศีลอดไม่สามารถถือศีลอดติดต่อกันได้ต่อเมื่อข้อจำกัดเหล่านั้นหมดไป (เช่นการป่วย, การมีรอบเดือนหรือการมีนิฟาซ) หากถือศีลอดต่อทันทีก็จะถือว่าถูกต้องและไม่จำเป็นต้องเริ่มถือศีลอดใหม่แต่อย่างใด[1][1]อิมามโคมัยนี, รูฮุลลอฮ์, ตะฮ์รีรุลวะซีละฮ์, แปล,เล่มที่

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60426 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57996 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42532 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39851 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39179 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34289 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28339 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28262 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28191 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26131 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...