การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
10792
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2555/04/07
คำถามอย่างย่อ
ถ้าหากมุสลิมคนหนึ่งหลังจากการค้นคว้าแล้วได้ยอมรับศาสนาคริสต์ ถือว่าตกศาสนาโดยกำเนิด และต้องประหารชีวิตหรือไม่?
คำถาม
ถ้าเป็นผู้นิยมการค้นคว้าวิจัยอย่างแท้จริง และหลังงานวิจัยได้บทสรุปว่า ศาสนาของศาสดาอีซามะซีฮฺ, มีความสมบูรณ์ยิ่งกว่าศาสนาอิสลาม และได้ออกนอกอิสลามไป บุคคลเช่นนี้ต้องถูกประหารชีวิตหรือไม่ สมมุตว่าเขาตกศาสนาโดยกำเนิด?
คำตอบโดยสังเขป

แม้ว่าศาสนาอิสลามอันชัดแจ้งได้เชิญชวนมนุษย์ทั้งหมดไปสู่การเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ, แต่ก็มิได้หมายความว่าบังคับให้ทุกคนต้องยอมรับเช่นนั้น, เนื่องจากอีมานและความเชื่อศรัทธาต้องไม่เกิดจากการบีบบังคับ, แน่นอน แต่สิ่งนี้ก็มิได้หมายความว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ขัดแย้งต่อรากหลักของศาสนา, เนื่องจากรากหลักของอิสลามวางอยู่บน หลักความเป็นเอกภาพของพระเจ้า และปฏิเสธการตั้งภาคีเทียบเทียมโดยสิ้นเชิง, และในทัศนะของอิสลามบุคคลใดที่ยอมรับอิสลามแล้ว และเจริญเติบโตขึ้นมาในครอบครัวอิสลาม, ต่อมาเขาได้ปฏิเสธรากศรัทธาของอิสลาม และเป็นปรปักษ์ซึ่งปัญหาความเชื่อส่วนตัวได้ลามกลายเป็นปัญหาสังคม และได้เผชิญหน้ากับศาสนา หรือสร้างฟิตนะฮฺ (ความเสื่อมทราม) ให้เกิดขึ้นทางความคิดของสังคมส่วนรวม และบังเกิดความลังเลใจในการตัดสินใจระหว่างสิ่งถูกกับสิ่งผิด, เท่ากับเขากลายเป็นอาชญากรของสังคม ดังนั้น จำเป็นต้องแบกรับบทลงโทษที่ได้ก่อขึ้น

บทลงโทษของบุคคลที่ออกนอกศาสนาโดยกำเนิด ก็เนื่องจากเหตุผลที่ว่าเขาเป็นอาชญากร กระทำความผิดให้เกิดแก่สังคม มิใช่เพราะความผิดส่วนตัว ด้วยเหตุนี้เอง การลงโทษบุคคลที่ตกศาสนา จะไม่ครอบคลุมถึงบุคคลที่ออกนอกศาสนาไปแล้ว, แต่ไม่ได้เปิดเผยให้เกิดความเสียหายแก่คนอื่น

อีกนัยหนึ่ง, สมมุติว่าบุคคลหนึ่งได้พยายามทุ่มเทค้นคว้าหาความจริงด้วยตัวเองว่า ฉะนั้น การตกศาสนาของเขาย่อมได้รับการอภัย ณ อัลลอฮฺ, แน่นอนว่า บุคคลเช่นนี้ในแง่ของบทบัญญัติส่วนตัวเขามิได้กระทำความผิดแต่อย่างใด, แต่ถ้าเขาเพิกเฉยต่อการค้นคว้าหาความจริงละก็ ในแง่ของบทบัญญัติที่ว่าด้วยเรื่องส่วนตัวถือว่า เขาได้กระทำผิด, ส่วนการตกศาสนานั้นไม่ถือว่าเป็นความผิดส่วนตัว เนื่องจากการออกนอกศาสนานั้น เท่ากับได้ทำลายจิตวิญญาณศาสนาของสังคมไปจนหมดสิ้นแล้ว นอกจากนั้นยังได้ทำลายและเป็นการคุกคามความสำรวมของประชาชน ที่มิใช่นักปราชญ์หรือผู้เชี่ยวทางศาสนาอีกด้วย

ในยุคแรกของอิสลาม ศัตรูอิสลามกลุ่มหนึ่งได้พยายามวางแผนการณ์ โดยเปลือกนอกแสร้งทำเป็นยอมรับอิสลาม ต่อมาได้ออกนอกศาสนา เพื่อว่าการกระทำของพวกเขาจะได้ทำให้ความศรัทธาของประชาชนเกิดความอ่อนแอลง

อิสลามต้องการปกป้องภัยคุกคามเหล่านี้, จึงได้วางบทลงโทษที่หนักหน่วงสำหรับผู้ที่ออกนอกศาสนาเอาไว้, แม้ว่าการพิสูจน์ความจริงเหล่านั้นจะยากลำบากก็ตาม, ดังนั้น จะเห็นว่ามีคนบางกลุ่มในยุคแรกของอิสลามที่ได้รับการลงโทษดังกล่าว, ด้วยเหตุนี้ จะเห็นว่าในแง่ของจิตวิทยาการลงโทษดังกล่าวมีผลเกินตัว, และสามารถสร้างบรรยากาศที่สมบูรณ์สำหรับสังคมส่วนรวมได้, ฉะนั้น การลงโทษผู้ตกศาสนา, จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่โน้มน้าวบุคคลที่มิใช่มุสลิม ให้สนใจอิสลามมากยิ่งขึ้น, และยังช่วยปกป้องความอ่อนแอของอีมาน

คำตอบเชิงรายละเอียด

แม้ว่าศาสนาอิสลามอันชัดแจ้งได้เชิญชวนมนุษย์ทั้งหมดไปสู่การเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ, แต่ก็มิได้หมายความว่าบังคับให้ทุกคนต้องยอมรับเช่นนั้น, เนื่องจากอีมานและความเชื่อศรัทธาต้องไม่เกิดจากการบีบบังคับ,[1]แน่นอนว่า คำสั่งนี้มิได้เป็นการเปิดโอกาสให้บุคคลหนึ่งตั้งตนเป็นปรปักษ์กับรากหลักของศาสนา, กล่าวคือถ้าหากบุคคลหนึ่งยอมรับอิสลามแล้ว และเติบโตขึ้นมาภายในครอบครัวที่เคร่งครัดศาสนา แต่ต่อมาเขาได้ปฏิเสธรากหลักศรัทธาประการหนึ่ง แล้วต่อต้านซึ่งผลจากความเชื่อส่วนบุคคล ได้ลามไปสู่สังคม และนำไปสู่การต่อต้านศาสนา หรือสร้างความเสื่อมทรามทางความคิดแก่สังคม ซึ่งทำให้เกิดความลังเลใจในการจำแนกสิ่งถูกกับสิ่งผิด, เท่ากับเขาได้ก่ออาชญากรรมทางสังคม ดังนั้น จำเป็นต้องถูกลงโทษอย่างสาหัส[2]

กล่าวคือ การลงโทษคนที่ออกนอกศาสนาอันเนื่องมาจาก เขาได้ก่ออาชญากรรมทางสังคม แม้ว่าบุคลลดังกล่าวได้พยายามศึกษาค้นคว้าหาความจริงแล้วก็ตาม ก็ต้องได้รับการลงโทษ เพียงแต่ว่าการตกศาสนาของเขาจะได้รับการอภัย ณ อัลลอฮฺ, และตามความเป็นจริงแล้วในขอบข่ายของบทบัญญัติส่วนตัวเขาไม่ใช่อาชญากรก็ตาม

สำหรับความชัดแจ้งในคำตอบ, จำเป็นต้องพิจารณาประเด็นดังต่อไปนี้ :

ประเด็นที่ 1 : ผู้ออกนอกศาสนา (มุรตัด) คือใคร?

มุรตัด หมายถึงบุคคลที่ได้ออกนอกอิสลามไปแล้ว, และเลือกการปฏิเสธศรัทธาแทน[3] ได้ออกนอกอิสลามพร้อมกับปฏิเสธรากหลักของศาสนา, หรือปฏิเสธหลักศรัทธาข้อใดข้อหนึ่ง (ความเป็นเอกะของพระเจ้า, นบูวัต, และมะอาด) หรือปฏิเสธข้อบังคับของศาสนา –ซึ่งข้อบังคับดังกล่าวนั้นเป็นที่ชัดเจนสำหรับมุสลิมทั้งหลาย- ในลักษณะที่ว่า เป็นการปฏิเสธสาส์นของศาสดาด้วย และตัวของเขาเองก็ใส่ใจต่อสิ่งดังกล่าว ดังนั้น จึงถือว่าเขาออกนอกศาสนาไปแล้ว[4]

การออกนอกศาสนาแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ :

มุรตัดฟิฏรียฺ : หมายถึงบุคคลหนึ่งขณะที่บิดามารดได้ร่วมหลับนอน และเกิดปฏิสนธิขึ้นระหว่างนั้น โดยที่ทั้งสองอยู่ในสภาพของมุสลิม และตัวของเขาหลังจากบรรลุนิติภาวะตามศาสนบัญญัติแล้ว ได้ประกาศตนเป็นมุสลิม, หลังจากนั้นได้ออกนอกอิสลาม[5]

มุรตัดมิลลี : หมายถึงบุคคลที่บิดามารดาของเขาขณะปฏิสนธิมิได้เป็นมุสลิม หรือเป็นกาเฟร, และหลังจากบรรลุศาสนภาวะแล้วเขาได้ประกาศว่าเป็นกาฟิร หลังจากนั้นได้ยอมรับอิสลาม, แต่ต่อมาได้กลับไปเป็นกาฟิรอีกครั้งหนึ่ง[6]

ประการที่ 2: บทบัญญัติของมุรตัดในศาสนาแห่งพระเจ้าและศาสนาอิสลาม

ตามหลักการฟิกฮฺของชีอะฮฺ, มุรตัดมีบทบัญญัติบางประการด้านแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเรื่อง ทรัพย์สมบัติและคู่ครอง ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว บทบัญญัตินี้ยังมิได้ถูกถามถึง, บทลงโทษเกี่ยวกับมุรตัดคือ : บุรุษที่ตกมุรตัดโดยกำเนิด ต้องถูกประหารชีวิต การลุแก่โทษของเขา ณ ผู้พิพากษาไม่ถูกยอมรับ, ส่วนมุรตัดมิลลี อันดับแรกจะเชิญชวนในลุแก่โทษก่อน, กรณีที่เขาได้ลุแก่โทษจะได้รับอิสรภาพ, แต่ถ้าไม่เขาก็จะถูกประหารชีวิตเช่นกัน, สตรีที่ตกมุรตัด,ไม่ว่าจะเป็นมุรตัดฟิฏรียฺหรือมิลลีก็ตาม จะไม่ถูกประหารชีวิต ทว่าจะได้รับการเชิญชวนไปสู่การลุแก่โทษ, ถ้าเธอได้ลุแก่โทษก็จะได้รับอิสรภาพ, แต่ถ้าไม่จะถูกจำคุก[7]

ส่วนหลักฟิกฮฺของฝ่ายซุนนียฺ ตามทัศนะส่วนใหญ่, มุรตัด –ทุกประเภท- อันดับแรกจะเชิญชวนไปสู่การลุแก่โทษ, ถ้าหากได้ลุแก่โทษเขาจะได้รับอิสรภาพ, แต่ถ้าไม่จะถูกประหารชีวิตโดยไม่มีความแตกต่างกันระหว่าง มุรตัดฟิฏรียฺหรือมิลลี, ชายหรือหญิง[8]

การออกนอกศาสนาในศาสนาอื่นแห่งฟากฟ้า ที่นอกเหนือจากอิสลามถือว่าเป็นอาชญากรรมและได้ทำบาปอย่างใหญ่หลวง ซึ่งบทลงโทษคือ ความตาย[9]

ด้วยเหตุนี้ สามารถกล่าวได้ว่า มุรตัด ในทุกศาสนาถือว่าเป็น อาชญากรรมและเป็นบาป ซึ่งมีบทลงโทษคือความตาย (เพียงแต่แตกต่างกันในเรื่องเงื่อนไข)

ประการที่ 3 : ปรัชญาของการลงโทษมุรตัด

เพื่อความเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับปรัชญาการลงโทษ มุรตัด จำเป็นต้องพิจารณาประเด็นดังต่อไปนี้ :

1.บทบัญญัติอิสลาม แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ กล่าวคือ ปัจเจกบุคคล และสังคมส่วนรวม, แน่นอน บทบัญญัติที่เกี่ยวกับสังคมนั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเหมาะสม สถานภาพ และความถูกต้องทางสังคม, บางครั้งการเติมเต็มสถานภาพดังกล่าว, จำเป็นต้องจำกัดอิสรภาพส่วนตัวให้ลดน้อยลง, ซึ่งประเด็นนี้ไม่มีสังคมใดบนโลกนี้สามารถปฏิเสธได้

2.บุคคลที่เป็น มุรตัด ถ้าหากได้พยายามศึกษาค้นคว้าหาความจริงด้วยตัวเองแล้ว, การเป็นมุรตัดของตน ณ อัลลอฮฺ ย่อมได้รับการอภัย, และในแง่ของบทบัญญัติส่วนตัวเขามิได้กระทำความผิดอันใดทั้งสิ้น[10] แต่ถ้าเขาเพิกเฉยหรือไม่ใส่ใจต่อการศึกษาค้นคว้าหาความจริงแล้วละก็, ในแง่ของบทบัญญัติส่วนตัวก็ถือว่าเขามีความผิดเช่นกัน

เมื่อใดก็ตามบุคคลที่เป็น มุรตัด ได้เผยแผ่การออกนอกศาสนาของตนไปสู่สังคม, ความประพฤติของเขาก็จะเข้าไปสู่บทบัญญัติของสังคมส่วนรวม ดังนั้น เงื่อนไขของบัญญัติที่ว่าด้วยสังคมส่วนรวม ก็จะถูกนำมาปฏิบัติกับเขา ในกรณีนี้ถือว่าเขาเป็น อาชญากร เนื่องจาก :

ประการแรก : เขาได้ทำลายสิทธิของบุคคลอื่น, เนื่องจากเขาได้สร้างความเคลือบแคลงสงสัยให้เกิดขึ้นในความคิดของคนอื่น ก่อให้เกิดความลังเลสองจิตสองใจ ฉะนั้น เป็นที่ชัดเจนว่าการสร้างความเคลือบแคลงสงสัยให้เกิดขึ้น ในความคิดของส่วนรวมเป็นสาเหตุทำให้จิตวิญญาณและอีมานของสังคม บังเกิดความอ่อนแอ ขณะที่การวิจัยเรื่องข้อสงสัยต่างๆ อยู่ในความสามารถของผู้มีความเชี่ยวชาญด้านศาสนาเท่านั้น, ซึ่งสังคมส่วนใหญ่แม้ว่าจะมีศาสนา แต่ก็มิได้มีศักยภาพเพียงพอต่อการค้นคว้า และพวกเขามีสิทธิอยู่ในสังคมที่มีความเข้มแข็งและสมบูรณ์

ประการที่สอง : เป็นที่แน่นอนว่า การปกป้องจิตวิญญาณและความเชื่อศรัทธาของสังคม เป็นสิทธิของประชาชนทุกคน, ซึ่งอิสลามถือว่าสิ่งนั้นเป็นความเหมาะสมของสังคม ด้วยเหตุนี้ จึงได้รับการสนับสนุนอย่างดีว่าสิ่งนั้นเป็นสัญลักษณ์ของศาสนา[11] ซึ่งมีการห้ามปรามไว้ว่ามิให้ทำลายสิ่งนั้น[12]

สุดท้ายผู้ที่ออกนอกศาสนาบางที่ในทัศนะของบทบัญญัติปัจเจกชน อาจจะไม่ใช่อาชญากร, แต่ในแง่ของสังคมเขาคืออาชญากรก็ได้

3.เนื่องจากผู้ที่เป็นมุรตัดถือว่าเป็น อาชญากร,ฉะนั้น ปรัชญาการลงโทษพวกเขาจึงสามารถอธิบายได้ดังนี้

ก) พวกเขาสมควรได้รับการลงโทษ : บทลงโทษผู้เป็นมุรตัด, เป็นการลงโทษไปตามช่องว่างของจริยธรรมที่เขาได้ก่อขึ้น,กล่าวคือ ช่องว่างในแง่จริยธรรมศาสนาเกิดขึ้นมากเท่าใด หรือเป็นการทำลายสิทธิทางสังคมมากเท่าใด บทลงโทษก็จะหนักขึ้นไปตามนั้น, เนื่องจากเป็นที่ชัดเจนว่าสังคมใดก็ตาม จิตวิญญาณของศาสนาอ่อนแอลง สังคมก็จะยิ่งห่างไกลจากความเจริญผาสุกอันแท้จริงมากเท่านั้น แม้ว่าในแง่ของเทคโนโลยีจะพัฒนาล้ำหน้าไปไกลแล้วก็ตาม ด้วยเหตุนี้เอง นอกจากจะออกนอกศาสนาแล้ว ทุกการกระทำที่ทำให้ความเชื่อศรัทธาและอีมานของสังคม อ่อนแอลงเขาผู้นั้นต้องได้รับการลงโทษอันสาหัส, เช่น การด่าประจารท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) หรืออิมาม (อ.) เป็นต้น เนื่องจากเมื่อใดก็ตามความศักดิ์สิทธิ์ของสังคมถูกทำลายลง ความบิดเบือนทางศาสนา และความหายนะก็จะเปิดกว้างขึ้น

ข) ป้องกันการเผยแผ่การออกนอกศาสนา โดยบุคคลที่เป็นมุรตัด: ตรงนี้บุคคลที่เป็นมุรตัด ตราบที่เขามิได้เผยแผ่หรือประกาศการออกนอกศาสนาของตน เท่ากับเขายังมิได้ก่อความผิดแก่สังคม, ฉะนั้น การลงโทษอันหนักหน่วงที่อิสลามได้กำหนดไว้สำหรับ บุคคลที่ออกนอกศาสนา ก็เพื่อปิดกั้นการเผยแผ่ความเป็นมุรตดของเขา

ค) เป็นเครื่องของการให้ความสำคัญต่อศาสนาในสังคม : ขบวนการกฎหมายและการลงโทษของสังคม ได้ร่างขึ้นมากฎขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นว่า ภารกิจใดมีความสำคัญมากกว่ากัน ฉะนั้น บทลงโทษสำหรับผู้ออกนอกศาสนาหนักหน่วงก็เนื่องจาก ต้องการรักษาจิตวิญญาณและความศรัทธาของสังคมให้เข้มแข็งต่อไป

ง) เพื่อเชิญชวนให้ใคร่ครวญในศาสนา,ก่อนที่จะยอมรับ: บทลงโทษผู้ออกนอกศาสนา, เป็นการกระตุ้นเตือนบุคคลที่มิใช่มุสลิมว่า ให้ใส่ใจ ใคร่ครวญ และพิจารณาให้รอบคอบก่อนที่จะประกาศยอมรับอิสลาม แน่นอนว่าปัญหาดังกล่าวเป็นการป้องกันความศรัทธาที่เรรวน หรือความศรัทธาที่อ่อนแอหวั่นไหวไปตามสภาพ

จ) การลดหย่อนโทษอื่น : ในทัศนะของศาสนากล่าวว่า การลงโทษบนโลกนี้คือสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่การลดหย่อนโทษในปรโลก, อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงมีเมตตายิ่งกว่าที่มนุษย์ได้คิดไว้ว่า สำหรับความผิดหนึ่งต้องได้รับโทษถึง 2 ครั้ง,รายงานได้บ่งบอกให้เห็นถึงประเด็นดังกล่าวว่า ในยุคแรกของอิสลามมีความเชื่อว่า การลงโทษบนโลกนี้จะทำให้การลงโทษในปรโลกถูกยกเลิกไป จึงได้มีการสนับสนุนให้ผู้กระทำผิดสารภาพและขอลุแก่โทษในความผิด

อย่างไรก็ตาม : แม้ว่าอย่างน้อยที่สุดการลงโทษบนโลกนี้จะช่วยลดหย่อนการลงโทษในปรโลกได้ ทว่าอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเปิดโอกาสให้มนุษย์อีกวิธีหนึ่งด้วยความการุณย์ของพระองค์ นั้นคือ การเตาบะฮฺหรือกลับตัวกลับใจด้วยความจริงใจ, ฉะนั้นถ้าหากผู้กระทำความผิดได้ลุแก่โทษด้วยความจริงใจ ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องได้รับการลงโทษในโลกนี้ ความผิดของเขาก็จะได้รับการอภัย

4.ข้อระวังในการร่างกฎหมาย : บางที่ปรัชญาการลงโทษผู้เป็นมุรตัดได้ถูกสาธยายไปแล้ว และสิ่งที่กล่าวไว้ในอัลกุรอานเกี่ยวกับแผนการร้ายของชาวคัมภีร์[13] อาจจะไม่ครอบคลุมผู้เป็นมุรตัดทั้งหมดก็ได้ กล่าวคือ บุคคลที่เป็นมุรตัด มิเคยมีเจตนาที่จะชักจูง หรือมิมีเจตนาที่ทำลายความเชื่อของสังคม ประกอบการเป็นมุรตัดของเขา มิได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อของสังคม, แต่กระนั้นอิสลามก็มิได้ลดหย่อนการลงโทษแก่เขา สาเหตุของมันคืออะไร? อีกนัยหนึ่งอาจกล่าวได้ว่า ภารกิจหนึ่งซึ่งปรัชญาของการลงโทษมุรตัด มิได้ครอบคลุมเหนือเขา ดังนั้น แล้วเป็นเพราะสาเหตุใดที่อิสลามยังต้องลงโทษเขาอีก?

คำตอบ : ทุกตัวบทกฎหมายประเด็นของกฎหมายนั้น จะครอบคลุมกว้างมากกว่าปรัชญาของมัน ซึ่งเรียกสิ่งนั้นว่า ข้อควรระวังในการร่างกฎหมาย และสิ่งนี้ก็ด้วยเหตุผลนี้เอง จะขอกล่าวถึง 2 ประเด็นสำคัญที่สุดของกฎหมาย กล่าวคือ

ก) บางครั้งเงื่อนไข คือตัวกำหนดประเด็นหรือหัวข้อที่แท้จริง ไม่ใช่ในลักษณะที่ว่ามนุษย์สามารถรับผิดชอบในการแบ่งแยกสิ่งเหล่านั้นได้, เช่น ปรัชญาหลักของการห้ามจอดรถมอเตอร์ไซบนท้องถนน, ก็เพื่อควบคุมและจัดระบบการจลาจรในท้องถนน และปรัชญาของสิ่งนี้ก็เนื่องจากว่า ท้องถนนไม่เคยว่าง แต่ขณะเดียวกันตำรวจจลาจรจะห้ามจอดรถบนถนนตลอดไป เนื่องจากไม่สามารถมอบให้ประชาชนแบกรับความรับผิดชอบการจลาจรที่ติดขัดเช่นนั้นได้

ข) บางที่การให้ความสำคัญต่อกฎเกณฑ์ข้อหนึ่งนั้นก็มากมาย เนื่องจากผู้ร่างกฎเกณฑ์ได้ทำด้วยการระมัดระวัง วางขอบข่ายของประเด็นให้มีความกว้างขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่าประชาชนสามารถปฏิบัติตามกฎนั้นจริง เสมือนดังเช่น ค่ายทหาร, สิ่งอำนวยความสะดวกทางทหารจำเป็นต้องห่างไกลจากสายตาประชาชน เพื่อจะได้อยู่เป็นความลับต่อไป แต่ทหารมีความระมัดระวัง เนื่องจากเป็นประเด็นสำคัญ จึงจัดตั้งเครื่องอำนายความสะดวก ให้ห่างไกลไปอีกหลายเท่าเพื่อจะได้มั่นใจในการเติมเต็มเป้าหมายของตน

ในการร่างกฎหมายอิสลามก็เช่นเดียวกัน 2 ประเด็นสำคัญตามกล่าวมา ได้กลายเป็นสาเหตุสำคัญ ซึ่งอัลลอฮฺทรงกำหนดขอบเขตของหัวข้อของบทบัญญัติให้กว้างกว่า หัวข้อที่แท้จริงของปรัชญาของบทบัญญัติ เพื่อจะได้มั่นใจได้ว่าปรัชญาของสิ่งนั้นครอบคลุมทั่วทั้งหมดแล้ว

เพื่อการค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับปรัชญาการลงโทษในอิสลาม :

- ศึกษาได้จาก : ปรัชญาแห่งสิทธิ, กุดเราะตุลลอฮฺ โคสโรชาฮี-มุเฏาะฟา ดอนิช พะชู สถาบันการเรียนการสอนอิมามโคมัยนี, หน้า 210-222

- อัดล์ อิลาฮียฺ, ชะฮีด มุเฏาะฮะรียฺ, สำนักพิมพ์ซ็อดรอ

- ศึกษาได้จาก : การอธิบายความโองการ “ไม่มีการบังคับในศาสนา” ตัฟซีรอัลมีซาน เล่ม 2, หน้า 278, ตัฟซีรเนะมูเนะฮฺ, เล่ม 2, หน้า 360.

 


[1] ไม่มีการบีบบังคับในศาสนา, บทบะเกาะเราะฮฺ, 256.

[2] สำหรับการศึกษาเพิ่มเติม, โปรดดูได้จาก “ออเชะนอบอมะซอฮิบอิสลาม” (15) คำถามตอบตามทัศนะของสุนียฺและชีอะฮฺ, หน้า 116-117.

[3] อิมามโคมัยนี (รฎ.), ตะฮฺรีรุลวะซีละฮฺ, เล่ม 2, หน้า 366, อิบนุกุดามะฮฺ, อัลมุฆนี, เล่ม 10, หน้า 74.

[4] อิมามโคมัยนี (รฎ.), ตะฮฺรีรุลวะซีละฮฺ, เล่ม 1, หน้า 118.

[5] อิมามโคมัยนี (รฎ.), ตะฮฺรีรุลวะซีละฮฺ, เล่ม 2, หน้า 366, บางคนกล่าวว่า อิสลาม หนึ่งในบิดามารดาขณะเกิดคือเงื่อนไขสำคัญ (คูอียฺ,มะบานี ตะกัลป์ละมะฮฺ อัลมินฮาจญฺ เล่ม 2 หน้า 451) บางคนกล่าว่า การเผยอิสลามหลังจากบรรลุนิติภาวะตามศาสนบัญญัติ มิใช่เงื่อนไข (ชะฮีดซานี, มะซาลิก อัลอัฟฮาม, เล่ม 2, หน้า 451)

[6] อิมามโคมัยนี (รฎ.), ตะฮฺรีรุลวะซีละฮฺ, เล่ม 2, หน้า 336.

[7]อิมามโคมัยนี (รฎ.), ตะฮฺรีรุลวะซีละฮฺ, เล่ม 2, หน้า 494.

[8] อับดุรเราะฮฺมาน อัลญะซีรียฺ, อัลฟิกฮฺ อะลัลมะซาฮิบ อัลอัรบะอะฮฺ, เล่ม 5, หน้า 424, อบูฮะนะฟะฮฺ มีทัศนะเหมือนกับชีอะฮฺที่ว่ามีความแตกต่างกันระหว่างชายกับหญิง (อบูบักร์ อัลกาซานียฺ, บิดาอุซซะนาบิอ์, เล่ม 7, หน้า 135) ฮะซัน บัซรียฺ ไม่ยอมรับเรื่องการเชิญไปสู่การลุแก่โทษ (อิบนุกุดามะฮฺ, อัลมุฆนี, เล่ม 10, หน้า 76)

[9] โปรดศึกษาจาก สัญญาฉบับเก่า, สารการเดินทาง, บทที่ 13,คัมภีร์ไบเบิลฉบับแปลภาษาฟารซียฺ วิลเลียม โคล, ดารุลซัลตะนะฮ์, ลอนดอน, คศ. 1856, หน้า 8-357, คัมภีรไบเบิล,ดารุล อัลมัชริก, เบรุต

[10] อัลลอฮฺตรัสว่า "لا يكلف اللَّه نفساً الّا وسعها" จะไม่ทรงบังคับชีวิตหนึ่งชีวิตใดนอกจากตามความสามารถของเขาเท่านั้น, (บะเกาะเราะฮฺ 286)

[11] อัลกุรอาน บทฮัจญฺ, 32.

[12] บทมาอิดะฮฺ, 2.

[13] บทอาลิอิมรอน, 72.

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • เหตุใดศาสนาจึงขัดต่อหลักสติปัญญา?
    6980 เทววิทยาใหม่ 2554/09/04
    สติปัญญาถือเป็นเครื่องพิสูจน์สัจธรรมจากภายในส่วนชะรีอัต(ศาสนา)ก็ถือเป็นเครื่องพิสูจน์สัจธรรมจากภายนอกทั้งสองมีหน้าที่นำพามนุษย์สู่ความผาสุกและความสมบูรณ์แบบซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่เครื่องพิสูจน์สัจธรรมจากภายในและภายนอกจะขัดแย้งกันเองจากการที่สติปัญญานับเป็นปรากฏการณ์หนึ่งและการที่ทุกปรากฏการณ์มีข้อจำกัดศักยภาพของสติปัญญาก็มิอาจอยู่เหนือกฏเกณฑ์นี้ได้จึงมีศักยภาพประมวลผลในระดับของสรรพสิ่งถูกสร้างเท่านั้นโดยไม่อาจที่จะหยั่งรู้ถึงสถานภาพที่แท้จริงของพระเจ้าได้อย่างถี่ถ้วนเนื่องจากทรงปราศจากข้อจำกัด
  • ฮะดีษนี้เศาะฮี้ห์หรือไม่: การภักดีต่ออลี(อ.)คือสัมมาคารวะที่แท้จริง และการไม่ภักดีต่อท่าน คือการปฏิเสธพระเจ้า
    7308 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/11/09
    ฮะดีษนี้มีเนื้อหาที่ถูกต้องเนื่องจากมีรายงานอย่างเป็นเอกฉันท์กล่าวคือมีฮะดีษมากมายที่ถ่ายทอดถึงเนื้อหาดังกล่าวอย่างไรก็ดีการปฏิเสธในที่นี้ไม่ไช่การปฏิเสธอิสลามแต่เป็นการปฏิเสธอีหม่านที่แท้จริงแน่นอนว่าการปฏิเสธอีหม่านที่แท้จริงย่อมมิได้ทำให้บุคคลผู้นั้นอยู่ในฮุก่มของกาเฟรทั่วไปในแง่ความเป็นนะญิส ...ฯลฯต้องเข้าใจว่าที่เชื่อว่าการไม่จงรักภักดีต่อท่านอิมามอลี(อ.)เท่ากับปฏิเสธอีหม่านที่แท้จริงนั้นเป็นเพราะการจงรักภักดีต่อท่านคือแนวทางสัจธรรมที่พระองค์ทรงกำหนดฉะนั้นผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งของท่านก็เท่ากับฝ่าฝืนคำสั่งของพระองค์
  • “ฟาฏิมะฮ์”แปลว่าอะไร? และเพราะเหตุใดท่านนบีจึงตั้งชื่อนี้ให้บุตรีของท่าน?
    23536 ชีวประวัติมะอฺซูม (อ.) 2554/06/12
    ไม่จำเป็นที่ชื่อของคนทั่วไปจะต้องสื่อความหมายพิเศษหรือแสดงถึงบุคลิกภาพของเจ้าของชื่อเสมอไปขอเพียงไม่สื่อความหมายถึงการตั้งภาคีหรือขัดต่อศีลธรรมอิสลามก็ถือว่าเพียงพอแต่กรณีปูชณียบุคคลที่ได้รับการขนานนามจากอัลลอฮ์เช่นท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ซะฮ์รอ(ส) นามของเธอย่อมมีความหมายสอดคล้องกับคุณลักษณะเฉพาะตัวอย่างแน่นอนนาม “ฟาฏิมะฮ์”มาจากรากศัพท์ “ฟัฏมุน” ...
  • การสู่ขออดีตภรรยาของอับดุลลอฮ์ บิน สะลามที่ชื่ออุร็อยนับโดยอิมามฮุเซน(อ.)และยะซีดในเวลาเดียวกัน มีผลต่อเหตุการณ์กัรบะลาอย่างไร?
    7756 تاريخ بزرگان 2554/12/21
    ตำราประวัติศาสตร์บางเล่มระบุว่าแม้ยะซีดจะมีสิ่งบำเรอกามารมณ์อย่างครบครันแต่ก็ยังอยากจะเชยชมหญิงที่มีสามีแล้วอย่างอุร็อยนับบินติอิสฮ้ากภรรยาของอับดุลลอฮ์บินสะลามมุอาวิยะฮ์ผู้เป็นพ่อของยะซีดจึงคิดอุบายที่จะพรากหญิงสาวคนนี้จากสามีเพื่อให้ลูกชายของตนสมหวังในกามราคะอิมามฮุเซน(อ.) ทราบเรื่องนี้เข้าจึงคิดขัดขวางแผนการดังกล่าวโดยใช้บทบัญญัติอิสลามทำลายอุบายของมุอาวิยะฮ์และปล่อยให้อุร็อยนับคืนสู่อับดุลลอฮ์บินสะลามผู้เป็นสามีอีกครั้งหนึ่งทำให้ยะซีดหมดโอกาสที่จะย่ำยีครอบครัวนี้ได้อีกต่อไปแม้รายงานทางประวัติศาสตร์ชิ้นนี้จะมีข้อกังขามากพอสมควรแต่สมมติว่าเป็นเรื่องจริงก็มิไช่เรื่องเสียหายสำหรับอิมามฮุเซนแต่อย่างใดกลับจะชี้ให้เห็นถึงความเฉลียวฉลาดและเมตตาธรรมของท่านในการรักษาเกียรติยศครอบครัวมุสลิมได้เป็นอย่างดีอนึ่งไม่มีตำราที่มีชื่อเสียงเล่มใดระบุว่าเรื่องราวดังกล่าวเป็นสาเหตุให้ยะซีดแค้นฝังใจและก่อเหตุนองเลือดที่กัรบะลา ...
  • เหตุใดจึงไม่อนุญาตให้นำทองใหม่(รูปพรรณ)ไปแลกเปลี่ยนกับทองเก่าที่มีน้ำหนักมากกว่า?
    9551 ปรัชญาของศาสนา 2554/10/23
    กุรอานและฮะดีษห้ามปรามธุรกรรมที่เกี่ยวกับดอกเบี้ยอย่างชัดเจนโดยได้อธิบายเหตุผลไว้อย่างสังเขปอาทิเช่นทำลายช่องทางการกู้ยืมเป็นการขูดรีดผู้เดือดร้อนและเป็นเหตุให้สูญเสียการลงทุนในด้านที่สังคมขาดแคลนเหตุผลข้างต้นล้วนเกี่ยวข้องกับดอกเบี้ยประเภทกู้ยืมทั้งสิ้นส่วนดอกเบี้ยประเภทซื้อขายแลกเปลี่ยนนั้นเราไม่พบเหตุผลใดๆทั้งในกุรอานและฮะดีษทำให้เราไม่อาจจะทราบถึงเหตุผลได้อย่างไรก็ดีเรายังต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติที่ท่านนบีและบรรดาอิมามกล่าวไว้แต่ก็มิได้หมายความว่าไม่มีเหตุผลหรือปรัชญาใดๆแฝงอยู่ในเรื่องนี้ ผู้รู้บางท่านสันนิษฐานเกี่ยวกับเหตุผลของการห้ามดอกเบี้ยประเภทแลกเปลี่ยนว่าอาจเป็นเพราะธุรกรรมดังกล่าวจะถูกใช้เป็นช่องทางหลบเลี่ยงดอกเบี้ยประเภทกู้ยืมหรือกล่าวได้ว่าดอกเบี้ยประเภทแลกเปลี่ยนคือประตูไปสู่ดอกเบี้ยประเภทกู้ยืมนั่นเอง ...
  • เราสามารถที่จะใช้เงินคุมุสที่เกิดขึ้นจากการออมทรัพย์เพื่อการซื้อบ้านได้หรือไม่?
    5902 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/08
    ก่อนที่จะตอบคำถามของคุณจะต้องกล่าวว่า: ตามทัศนะของท่านอายาตุลลอฮ์อุซมาคอเมเนอีเงินออมจากกำไรของผลประกอบการนั้นแม้จะเป็นการออมเพื่อใช้ชำระในชีวิตประจำวันแต่เมื่อถึงปีคุมุสแล้วจะต้องชำระคุมุสนอกจากได้มีการออมเพื่อซื้อของใช้จำเป็นในชีวิตหรือค่าใช้ชำระจำเป็น
  • โปรดอธิบาย ปรัชญาของการกล่าวข้อผูกมัดนิกาห์ คืออะไร?
    8883 จริยศาสตร์ 2555/06/30
    ตามคำสอนของอิสลามการแต่งงานถือเป็นข้อตกลงที่ศักดิ์สิทธิ์ สำหรับการจัดตั้งครอบครัวและสิ่งที่ติดตามมาคือ, ระบบสังคม ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีผลสะท้อนและบทสรุปอย่างมากมาย เช่น : เพื่อตอบสนองความต้องการทางกามรมย์, ผลิตสายเลือดและรักษาเผ่าพันธุ์, สร้างความสมบูรณ์ในความเป็นมนุษย์, สร้างความสงบมั่นแก่จิตใจ, เป็นการรักษาความสะอาดบริสุทธิ์, เป็นการส่งเสริมความผูกพันให้มั่นคง และประเด็นอื่นๆ อีกมากมาย, ดังนั้น การจัดการข้อตกลงศักดิ์สิทธิ์นี้ให้สมประสงค์ได้, มีเพียงการปฏิบัติไปตามกฎเกณฑ์พื้นฐาน และเงื่อนไขอันเฉพาะที่อัลลอฮฺ ทรงกำหนดไว้เท่านั้น จึงจะเป็นไปได้. เช่น เงื่อนที่ว่านั้นได้แก่การกล่าวข้อผูกมัดนิกาห์ ด้วยคำพูดเฉพาะ (ดังกล่าวไว้ในหนังสือริซาละฮฺต่างๆ) พระผู้อภิบาลผู้ทรงเกรียงไกรในฐานะของ พระเจ้าผู้ทรงกำหนดกฎระเบียบ พระองค์คือผู้ทรงกำหนดคำพูดอันทรงเกียรติยิ่งนี้ และให้ความน่าเชื่อถือ พร้อมกับการเกิดขึ้นของคำพูดดังกล่าวในฐานะ อักดฺนิกาห์, จึงเป็นสาเหตุทำให้เกิดการเป็นสามีภรรยา ระหว่างชายกับหญิงขึ้น. การแต่งงานมิได้หมายถึง ความพอใจของสองฝ่ายเท่านั้น ทว่าเป็นความพึงพอใจและการยินยอมของทั้งสองฝ่าย อันถือว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญยิ่งสำหรับการแต่งงาน ที่จะเกิดขึ้นพร้อมกับการอ่านอักดฺนิกาห์ปัจจุบันนี้ เพื่อให้การแต่งงานนั้นถูกต้องสมบูรณ์ตามหลักการชัรอียฺ. การแต่งงาน มิได้หมายถึงความพอใจของสองฝ่ายเท่านั้น ทว่าเป็นความพึงพอใจและยินยอมของทั้งสองฝ่าย อันถือว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับการแต่งงาน ...
  • คำพูดทั้งหมดของพระศาสดา (ซ็อล ฯ) ถือว่าเป็นวะฮฺยูหรือไม่?
    7900 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/21
    มุมมองของผู้เชี่ยวชาญ,ในประเด็นที่กำลังกล่าวถึงแตกต่างกันบางคนได้พิจารณาการตีความของโองการที่ 3,4 ของอัลกุรอานบทนัจมฺ[i]ซึ่งเชื่อว่าคำพูดทั้งหมดของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ตลอดจนการกระทำต่างๆของท่านมาจากวะฮฺยูทั้งสิ้นบางคนเชื่อว่าโองการที่ 4 ของบทอันนัจมฺนั้นกล่าวถึงอัลกุรอานกะรีมและบรรดาโองการต่างๆที่ประทานให้แก่ท่านศาสดา,แม้ว่าซุนนะฮฺ (แบบฉบับ) ของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จะเป็นข้อพิสูจน์และเป็นเหตุผลก็ตามซึ่งคำพูดการกระทำและการนิ่งเฉยของท่านมิได้เกิดจากอารมณ์อย่างแน่นอนสิ่งที่เข้าใจได้จากสิ่งที่กล่าวถึงในตรงนี้คือสามารถกล่าวได้อย่างมั่นใจว่าทั้งความประพฤติและแบบอย่างของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) มิได้กระทำลงไปโดยปราศจากวะฮียฺอย่างแน่นอนดังเช่นคำพูดของท่านก็เป็นเช่นนี้ด้วยแม้ว่าจะเป็นคำพูดประจำวันคำพูดสามัญทั่วไปตลอดการดำรงชีวิตของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ก็ตามสิ่งนั้นก็จะไม่เกิดจากอารมณ์อย่างเด็ดขาดซึ่งตามความเป็นจริงแล้วเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แน่นอนว่าท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จะล่วงละเมิดกระทำความผิด[i]
  • เคยได้ยินฮะดีษที่ว่าท่านนบี(ซ.ล.)ได้บั่นศีรษะชัยฏอนไปแล้ว, ฮะดีษนี้เชื่อถือได้เพียงใด? แล้วการล่อลวงของชัยฏอนจะตีความอย่างไร?
    10068 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/21
    ฮะดีษที่ดังกล่าวมีอยู่จริงในขุมตำราฮะดีษของเรา อย่างไรก็ดี ฮะดีษดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่ออธิบายเกี่ยวกับ“เยามิล วักติล มะอ์ลูม”(วันเวลาที่กำหนดไว้)ดังคำบอกเล่าของกุรอาน อิบลีสถูกเนรเทศออกไปจาก ณ พระองค์ แต่มันได้ขอให้ทรงประวิงเวลา อัลลอฮ์ตัดสินคาดโทษอิบลีสจนถึง“เยามิล วักติล มะอ์ลูม” ฮะดีษที่ถามมาต้องการจะเฉลยปริศนาเกี่ยวกับวันเวลาดังกล่าว โดยเชื่อว่าจะเกิดขึ้นในยุคแห่งร็อจอะฮ์(ยุคต่อจากกาลสมัยของอิมามมะฮ์ดี ที่บรรดาอิมามในอดีตจะหวลกลับมาบริหารรัฐอิสลามโลก) หาไช่วันสิ้นโลกหรือวันกิยามะฮ์ไม่.
  • ท่านนบี(ซ.ล.)เคยกล่าวไว้ดังนี้หรือไม่? “หากผู้คนล่วงรู้ถึงอภินิหารของอลี(อ.) จะทำให้พวกเขาปฏิเสธพระเจ้าเพราะจะโจษขานว่าอลีก็คือพระเจ้านั่นเอง(นะอูซุบิลลาฮ์)”
    9480 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/19
    เราไม่พบฮะดีษที่คุณยกมาในหนังสือเล่มใดแต่มีฮะดีษชุดที่มีความหมายคล้ายคลึงกันปรากฏอยู่ในตำราหลายเล่มซึ่งขอหยิบยกฮะดีษบทหนึ่งจากหนังสืออัลกาฟีมานำเสนอพอสังเขปดังนี้อบูบะศี้รเล่าว่าวันหนึ่งขณะที่ท่านนบี(ซ.ล.)นั่งพักอยู่ท่านอิมามอลี(อ.)ก็เดินมาหาท่านท่านนบีกล่าวแก่อิมามอลี(อ.)ว่า “เธอคล้ายคลึงอีซาบุตรของมัรยัมและหากไม่เกรงว่าจะมีผู้คนบางกลุ่มยกย่องเธอเสมือนอีซาแล้วฉันจะสาธยายคุณลักษณะของเธอกระทั่งผู้คนจะเก็บดินใต้เท้าของเธอไว้เพื่อเป็นสิริมงคล ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60456 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58040 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42567 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39900 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39207 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34318 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28371 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28292 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28224 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26170 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...