การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
6184
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/11/21
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1431 รหัสสำเนา 19006
คำถามอย่างย่อ
ถ้าหากไม่ทราบว่าและได้รับประทานเนื้อฮะรอมไป จะมีความผิดอันใดบ้าง?
คำถาม
ถ้าหากไม่ทราบว่าและได้รับประทานเนื้อฮะรอมไป จะมีความผิดอันใดบ้าง?
คำตอบโดยสังเขป

บุคคลใดหลังจากรับประทานอาหารแล้ว, เพิ่งจะรู้ว่านั่นเป็นอาหารฮะรอม, ถ้าหากไม่คิดว่าสิ่งนั้นจะฮะรอมประกอบกับมีสัญลักษณ์ของฮะลาลด้วย เช่น มาจากร้านของมุสลิม, มิได้กระทำบาปอันใด, แต่เป็นอาหารที่ต้องสงสัยอยู่ก่อนแล้ว, เช่น มิได้มาจาน้ำมือของมุสลิม, ตรงนี้หน้าที่ของเขาคือการสืบค้นและตรวจสอบเสียก่อน การรับประทานอาหารที่ไม่มีการตรวจสอบ ถือว่าไม่อนุญาต, แต่ถ้าไม่มีสัญลักษณ์อันใดเลยที่บ่งว่าอาหารนั้นฮะลาย กรณีนี้ถ้าอาหารนั้นเป็นเนื้อ ซึ่งตามหลักการแล้วสัตว์ต้องเชือดถูกต้อง แต่ถ้าสงสัยว่าเชือดหรือไม่ หรือสงสัยในความสะอาดตามชัรอียฺ จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงไม่รับประทาน ส่วนอาหารประเภทอื่นแม้ว่าจะไม่เข้มงวดเหมือนกับเนื้อ, แต่ถ้าบุคคลนั้นไม่ได้มีความรู้เรื่องกฎเกณฑ์ เช่น ไม่รู้ว่า ไม่อนุญาตให้รับประทานอาหารที่เปื้อนเลือด แต่สามารถตรวจสอบหรือศึกษาข้อมูลได้ เพียงแต่ไม่สนใจดังนั้นถ้ารับประทานอาหารนั้นไป ถือว่ากระทำความผิด แต่ถ้าเป็นผู้ไม่รู้ประเภทที่ว่าไม่สามารถศึกษาข้อมูลได้ หรือเป็นไปไม่ได้ที่จะตรวนสอบ ถ้ารับประทานอาหารนั้น ถือว่าไม่ได้กระทำความผิดแต่อย่างใด ประเด็นเกี่ยวกับประเด็นปัญหาต่างๆ นั้น ถ้าเขาไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร หรือมีเงื่อนไขอย่างไร , หรือแม้แต่ถ้าเขาคนไม่รู้ที่สามารถตรวจสอบได้ ก็ไม่ถือว่าได้กระทำความผิดแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม บนพื้นฐานของรายงานต่างๆ จากอะฮฺลุลบัยตฺ (.) กล่าวว่า การกระทำอย่างนี้แม้ว่าเกิดจากความผิดพลาดก็ตาม แต่ร่องรอยและผลกระทบของสิ่งเหล่านั้นจะส่งผลในทางลบกับชีวิตมนุษย์ และเท่ากับเป็นการขจัดเตาฟีกไปจากตัวเราเอง ดังนั้น มนุษย์ต้องพิจารณาและพิถีพิถันเป็นพิเศษว่า อาหารของเขาต้องฮะลาล เพื่อขับเคลื่อนชีวิตไปบนวิถีทางอันเป็นความพึงพอพระทัยของอัลลอฮฺ (ซบ.)

คำตอบเชิงรายละเอียด

ถ้าหากบุคคลทราบว่า อาหาร หรือเนื้อนั้นฮะรอม, หมายถึงรู้จักทั้งอาหาร (ประเด็น) และกฎเกณฑ์ที่ว่าฮะรอมหรือฮะลาล, แต่กระนั้นเขายังรับประทานอาหารนั้นไป, เท่ากับได้กระทำความผิดและการกระทำนั้นถือเป็นการฝ่าฝืน ไม่เชื่อฟังปฏิบัติตามพระบัญชาของอัลลอฮฺ (ซบ.) ต้องได้รับโทษทัณฑ์อย่างแน่นอน, แน่นอน เป็นธรรมดาที่ว่าความผิดบาปเหล่านี้จะส่งกระทบในทางไม่ดีกับวิถีชีวิตของมนุษย์.

ท่านอิมามญะอฺฟัร อัซซอดิก (.) ได้กล่าวถึงผลกระทบไม่ดีที่เกิดจากอาหารไม่ฮะลาลว่า :ผลกระทบไม่ดีที่เกิดจากอาหารไม่ฮะลาลนั้นจะกีดกันมนุษย์ออกจากการอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺ. บางครั้งก็จะส่งผลให้มนุษย์กระทำความผิดในตอนกลางวัน และในตอนกลางคืนมันจะกีดกันเขาให้ออกห่างจากการตื่นยามกลางคืน เพื่ออิบาดะฮฺ หรือนมาซชับ[1] เว้นเสียแต่ว่าเขาจะเตาบะฮฺ (ลุแก่โทษกลับตัวกลับใจ) และปรับปรุงแก้ไขตัวเองใหม่[2]

แต่ในกรณีที่ไม่รู้ว่าอาหารฮะรอม และได้รับประทานอาหารนั้นไปแล้ว แบ่งออกเป็น 2 กรณีด้งนี้

1.เขาไม่รู้จักประเด็น, แต่รู้กฎเกณฑ์ดีว่าเป็นอย่างไร, กล่าวคือเขารู้ดีว่าการกินอาหารนั้นไม่ถูกต้อง เช่น การกินเนื้อสุกรเป็นฮะรอม, แต่ไม่รู้ว่าอาหารนั้นได้ทำจากเนื้อสุกร ซึ่งหลังจากรับประทานแล้วเพิ่งจะรู้ว่าเป็นเนื้อสุกร กรณีแบ่งออกเป็น 3 ประเด็นด้วยกัน กล่าวคือ

) ไม่ได้คิดถึงเรื่องฮะรอมตั้งแต่แรก และไม่ได้สงสัยด้วย, ทว่ามีเครื่องหมายของฮะลาลปรากฎให้เห็นด้วย เช่น ซื้อมาจากมุสลิม กรณีนี้ถ้าทราบภายหลังว่าเป็นฮะรอม ไม่ถือว่าเขาได้กระทำความผิด

) เป็นอาหารที่สงสัยอยู่แล้ว และมีเครื่องหมายของฮะรอมด้วย, เช่น ซื้อมาจากผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม, กรณีนี้หน้าที่ของเขาคือการตรวจสอบให้มั่นใจเสียก่อน, ดังนั้น ถ้าปราศจากการตรวจสอบ และได้รับประทานอาหารดังกล่าวไป หลังจากนั้นได้รู้ ถือว่าฮะรอม, และได้กระทำความผิด.

) ไม่มีสัญลักษณ์ใดๆ ที่บ่งบอกว่าฮะลาลหรือฮะรอม, ในกรณีนี้เนื่องจากว่าการตรวจสอบประเด็นไม่วาญิบ, ซึ่งหลังจากรับประทานแล้วรู้ว่า, อาหารนั้นจัดอยู่ในประเภทฮะรอม ไม่ถือว่าเขากระทำสิ่งฮะรอมแต่อย่างใด ทว่าเกี่ยวกับเนื้อสัตว์ เนื่องจากรากเหง้าของปัญหาคือ การเชือดและความสะอาด, ดังนั้น ถ้าปราศจากการตรวจสอบแล้วได้รับประทานเข้าไป หลังจากนั้นรู้ว่า เป็นเนื้อฮะรอม, ถือว่าได้กระทำความผิด

2.ไม่รู้เรื่องกฎเกณฑ์, แต่รู้จักประเด็นเรื่องเป็นอย่างดี, กล่าวคือไม่ทราบการรับประทานเนื้อสุกร ฮะรอม, แต่รู้ว่าอาหารนั้นทำจากเนื้อสุกร, ในกรณีที่เขาสามารถตรวนสอบและค้นคว้าได้ และสามารถรับรู้ความจริงได้ด้วย, แต่มิได้กระทำการดังกล่าว, ถือว่าเขาได้กระทำความผิดและการกระทำนั้นฮะรอม, แต่ถ้าไม่สามารถตรวจสอบหรือค้นหาความจริงเกี่ยวกับอาหารดังกล่าวได้ หรือไม่มีความสามารถในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับกฎเกณฑ์, กรณีนี้ถือว่าไม่มีความผิด และการกระทำของเขาก็ไม่ถูกลงโทษแต่อย่างใด, เนื่องจากบนพื้นฐานของฮะดีซ รัฟอ์ จากท่านศาสดา (ซ็อล ) กล่าวว่าหน้าที่และการลงโทษได้ถูกถอดถอนออกไปจากเขาแล้ว[3] ซึ่งหน้าที่ของเขาไม่มีสิ่งใดนอกจากการทำความสะอาดปาก มือ และภาชนะอาหารเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม อาหารที่ฮะรอม โดยธรรมชาติแล้วย่อมมีผลกระทบต่อร่างกาย และจิตวิญญาณมนุษย์

นักปราชญ์ด้านจริยธรรมได้กล่าวถึงอาหารประเภทนี้มีผลกระทบต่อจิตวิญญาณอย่างแน่นอน และเชื่อว่าแม้ว่าจะไม่มีการลงโทษอันใดสำหรับบุคคลที่ได้กระทำผิดทำนองนี้ก็ตาม ทว่าเตาฟีกได้ถูกปฏิเสธไปจากบุคคลนั้นเสียแล้ว และยังมีผลลบกับจิตวิญญาณอีกมากมาย ซึ่งไม่สามารถอะลุ่มอล่วยให้แก่ร่างกายได้อย่างแน่นอน ด้วยเหตุผลนี้เอง รายงานจำนวนมากมายเน้นย้ำว่า มนุษย์มีหน้าที่พึงระวังรักษาอาหารของตนให้ดี

ในสมัยของท่านเราะซูล (ซ็อล ) ได้มีบุคคลหนึ่งนำน้ำนมมาให้ท่านศาสดา, ทว่าตราบที่ท่านยังไม่อาจตรวจสอบได้ว่าน้ำนมนั้นฮะลาล ท่านไม่ได้ดื่มนมนั้นเลย ท่านเราะซูล (ซ็อล ) กล่าวว่า :บรรดาศาสดาก่อนหน้าฉัน, ต่างมีคำสั่งว่าจงอย่ารับประทานอาหารและเครื่องดื่มใดๆ ยกสิ่งที่ฮะลาลและดีเท่านั้น[4]

รายงานจากอะฮฺลุลบัยตฺ (.) ที่กล่าวถึงคุณลักษณะอันเป็นผลที่เกิดจากอาหารฮะรอม แม้แต่ในเด็กเล็กท่านก็ได้กำชับเตือนเอาไว้[5]

ด้วยเหตุนี้ จำเป็นอย่างยิ่งและถือเป็นหน้าที่ของเราที่ว่าต้องใส่ใจเป็นพิเศษต่ออาหารที่ฮะลาล และฮะรอม. เนื่องจากอาหารเหล่านี้มีผลกระทบต่อร่างกายและจิตวิญญาณ และชะตากรรมด้านศีลธรรมของเรา อีกทั้งมีผลต่อเส้นทางไปสู่ความพึงพอพระทัยของอัลลอฮฺ, ดังเช่นที่ความประพฤติของคนเราทั้งด้านสังคมและส่วนตัว ต่างมีผลกระบทต่อสังคมโลกทั้งสิ้น เช่นเดียวกันเหตุการณ์โลกก็มีผลกระทบต่อจริยธรรม ความประพฤติ และการกระทำของมนุษย์[6]



[1] ญะวาดดีย ออมูลียฺ, อับดุลลอฮฺ, มะรอฮิลอักลาค ดัรกุรอาน, หน้า 153.

[2] อัลกุรอาน บทมาอิดะฮฺ, 39.

[3] บิฮารุลอันวาร, เล่ม 5, เราซูล (ซ็อล ) กล่าวว่าได้ถูกถอดถอนออกไปจากประชาชาติของฉันแล้ว ความผิดพลาด ความหลงลืม และการบังคับ

[4] อัดดุรุ มันซูร, เล่ม 6, หน้า 102, มีซานุลฮิกมะฮฺ, เล่ม 3, หน้า 128, มุฮัมมะดี เรย์ ชะฮฺรียฺ, มุฮัมมัด

[5] บิฮารุลอันวาร, เล่ม 100, หน้า 323, หน้า 96, อิมามอะลี (.) : จงนำทารกของท่านออกห่างจากการดื่มน้ำนมจากหญิงเลว และสติฟั่นเฟือน, เนื่องจากน้ำนมจะส่งผลกระทบต่อทารก

[6] ญะวาดียฺ ออมูลียฺ, อับดุลลอฮฺ, มะบาดียฺ อัคลากดัรกุรอาน, หน้า 108

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ความแตกต่างระหว่างจิตฟุ้งซ่านกับชัยฎอนคืออะไร?
    11053 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/10/22
    ตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ซึ่งได้ถูกตีความว่าเป็นตัวตนหรือจิต, มีหลายมิติด้วยกันซึ่งอัลกุรอานได้แบ่งไว้ 3 ระดับด้วยกัน (จิตอัมมาเราะฮฺ, เลาวามะฮฺ, และมุตมะอินนะฮฺ)
  • อิสลามมีบทบัญญัติอย่างไรเกี่ยวกับการโคลนนิ่ง?
    9095 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/09
    การโคลนนิ่งโดยเฉพาะการโคลนนิ่งมนุษย์ถือเป็นประเด็นปัญหาใหม่จึงไม่อาจจะพบโองการกุรอานหรือฮะดีษที่ระบุเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรงอย่างไรก็ดีผู้รู้และนักวิชาการชีอะฮ์ได้ใช้กระบวนการวินิจฉัยหลักฐานจากกุรอานและฮะดีษทำให้สามารถแสดงทัศนะเกี่ยวกับเรื่องนี้ซึ่งแบ่งออกเป็นสามทัศนะด้วยกัน
  • ตักวาหมายถึงอะไร?
    18394 จริยธรรมทฤษฎี 2555/01/23
    ตักว่าคือพลังหนึ่งที่หยุดยั้งจิตด้านในซึ่งการมีอยู่ของมนุษย์คือสาเหตุของการมีพลังนั้นและพลังดังกล่าวจะพิทักษ์ปกป้องมนุษย์ให้รอดพ้นจากการกระทำความผิดฝ่าฝืนต่างๆความสมบูรณ์ของตักวานอกจากจะช่วยทำให้มนุษย์ห่างไกลจากความผิดบาปและการก่ออาชญากรรมต่างๆ
  • ท่านอิมามฮุเซน(อ.)มีบุตรสาวชื่อรุก็อยยะฮ์หรือสะกีนะฮ์ไช่หรือไม่ ที่เสียชีวิตที่ดามัสกัสขณะอายุได้สามหรือสี่ขวบ?
    7731 تاريخ بزرگان 2554/12/21
    แม้ว่านักประวัติศาสตร์จะมิได้กล่าวถึงบุตรสาวตัวน้อยของอิมามฮุเซน(อ.) ที่มีนามว่ารุก็อยยะฮ์หรือฟาฏิมะฮ์ศุฆรอฯลฯแต่ตำราบางเล่มก็สาธยายเรื่องราวอันน่าเวทนาของเด็กหญิงคนนี้ณซากปรักหักพังในแคว้นชามเราพบว่ามีเบาะแสเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวปรากฏในตำราประวัติศาสตร์บางเล่มอาทิเช่นก. เมื่อท่านหญิงซัยนับ(ส.) ได้เห็นศีรษะของอิมามฮุเซน(อ.) ผู้เป็นพี่ชายนางได้รำพึงรำพันบทกวีที่มีเนื้อหาว่า “โอ้พี่จ๋าโปรดคุยกับฟาฏิมะฮ์น้อยสักนิดเถิดเพราะหัวใจนางกำลังจะสูญสลาย”
  • มลาอิกะฮ์สร้างมาจากรัศมีของบรรดาอิมาม และมีหน้าที่ร่ำไห้แด่อิมามฮุเซน(อ.)กระนั้นหรือ?
    9372 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/19
    1. ความเชื่อที่ว่ามลาอิกะฮ์สร้างขึ้นจากรัศมีนั้นได้รับการยืนยันจากฮะดีษหลายบทที่รายงานไว้ในตำราฝ่ายชีอะฮ์และซุนหนี่ตำราชีอะฮ์บางเล่มระบุถึงการสร้างสิ่งมีชีวิตต่างๆรวมถึงมลาอิกะฮ์จากรัศมีของปูชนียบุคคลอย่างท่านนบี(ซ.ล.) หรือบรรดาอิมามหรือบุคคลอื่นๆดังที่ตำราของซุนหนี่เองก็เล่าว่าเคาะลีฟะฮ์ท่านแรกและคนอื่นๆถือกำเนิดจากรัศมีของท่านนบี(ซ.ล) การที่มีฮะดีษเหล่านี้ปรากฏอยู่ในตำรับตำราของแต่ละฝ่ายมิได้หมายความว่าทุกคนจะต้องคล้อยตามฮะดีษเหล่านี้เสมอไป อย่างไรก็ดีตำราฮะดีษชีอะฮ์ได้รายงานฮะดีษชุด "ฏีนัต" ไว้ซึ่งไม่อาจจะมองข้ามได้กล่าวโดยสรุปคือหากพบว่ามุสลิมแต่ละฝ่ายอาจมีทัศนะแตกต่างกันบ้างในเรื่องการสรรสร้างของพระองค์
  • มีบทบัญญัติทางฟิกเกาะฮ์ในสวรรค์หรือไม่?
    7652 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    ก่อนอื่นต้องคำนึงเสมอว่าเราไม่สามารถล่วงรู้ถึงสภาวะของปรโลกและสวรรค์-นรกได้นอกจากจะศึกษาจากวะฮยู (กุรอาน)และคำบอกเล่าของเหล่าผู้นำศาสนาที่ได้รับการยืนยันความน่าเชื่อถือเสียก่อน.แม้ตำราทางศาสนาจะไม่ได้ระบุคำตอบที่ชัดเจนสำหรับคำถามดังกล่าวแต่จากการพิจารณาถึงข้อคิดที่ระบุไว้ในตำราทางศาสนาก็สามารถกล่าวได้ว่าในสวรรค์ไม่มีบทบัญญัติและกฏเกณฑ์จำเพาะใดๆอีกต่อไปหรือหากมีก็ย่อมแตกต่างจากข้อบังคับต่างๆในโลกนี้ทั้งนี้ก็เพราะการบังคับใช้บทบัญญัติของพระเจ้าในสังคมมนุษย์มีไว้เพื่อสร้างเสริมให้มนุษย์บรรลุถึงความเจริญและความสมบูรณ์สูงสุดซึ่งก็เป็นผลจากการปฏิบัติหน้าที่ทางศาสนาในโลกนี้นั่นเอง
  • ชีอะฮ์มีสำนักตะศ็อววุฟหรืออิรฟานเหมือนซุนหนี่หรือไม่? เป็นไปได้หรือไม่ที่จะจาริกอย่างชีอะฮ์ในสังคมปัจจุบัน และหากเป็นไปได้ เราควรเริ่มจากจุดใด? สามารถจะจาริกในหนทางนี้โดยปราศจากครูบาอาจารย์ได้หรือไม่? ฯลฯ
    6425 รหัสยทฤษฎี 2555/03/12
    มีอาริฟ(นักจาริก)ในโลกชีอะฮ์มากมายที่ค้นหาสารธรรมโดยอิงคำสอนอันบริสุทธิ์ของบรรดาอิมาม หรืออาจกล่าวได้ว่าวิถีชีอะฮ์ก็คือการจำแลงอิรฟานและการรู้จักพระเจ้าในรูปคำสอนของอิมามนั่นเอง ในยุคปัจจุบัน ไม่เพียงแต่สามารถจะขัดเกลาจิตใจและจาริกทางอิรฟานได้ หากแต่ต้องถือเป็นวาระจำเป็นเร่งด่วน เหตุเพราะการจะบรรลุถึงตักวาในยุคที่โลกเต็มไปด้วยเทคโนโลยีแห่งโลกิยะนั้น จะกระทำได้ต่อเมื่อเข้าถึงแก่นธรรมแห่งอิรฟานแล้วเท่านั้น ซึ่งจะสามารถพบแหล่งกำเนิดอิรฟานที่ถูกต้องและสูงส่งที่สุดได้ ณ แนวทางอิมามียะฮ์ ...
  • อัคล้ากกับเชาวน์ปัญญามีความเกี่ยวพันกันอย่างไร?
    6876 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/02/18
    อัคล้าก (จริยธรรม) แบ่งออกเป็นสองประเภทเสมือนศาสตร์แขนงอื่นๆดังนี้ก. จริยธรรมภาคทฤษฎีข. จริยธรรมภาคปฏิบัติการเรียนรู้หลักจริยธรรมภาคทฤษฎีมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับเชาวน์ปัญญา กล่าวคือ ยิ่งมีความเฉลียวฉลาดเท่าใด ก็ยิ่งเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่หากมีเชาวน์ปัญญาน้อย ก็จะทำให้เรียนรู้จริยศาสตร์ได้น้อยตามไปด้วยทว่าในส่วนของภาคปฏิบัติ (ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นจุดประสงค์หลักของผู้ถาม) จำเป็นต้องชี้แจงในรายละเอียดดังต่อไปนี้มีการนิยามคำว่าอัคล้ากว่า เป็นพหูพจน์ของ “คุ้ลก์” อันหมายถึง “ทักษะทางจิตใจของมนุษย์ที่ส่งผลให้กระทำการใดๆโดยอัตโนมัติ”ฉะนั้น อัคล้าก (จริยธรรม) ก็คือนิสัยและความเคยชินที่หยั่งรากลึกในจิตใจมนุษย์ ส่งผลให้ปฏิบัติกิจกรรมโดยไม่ต้องข่มใจ นั่นหมายความว่า การทำดีในลักษณะที่เกิดจากการไตร่ตรองไว้ก่อนนั้น แม้จะถือเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม แต่ไม่ถือเป็นความประเสริฐทางอัคล้าก ผู้ที่มีอัคล้ากดีก็คือผู้ที่กระทำความดีจนกลายเป็นอุปนิสัย ...
  • ฮะดีษนบีและอะฮ์ลุลบัยต์ที่เกี่ยวกับความเศร้าหมองและการโอดครวญเทียบกับทัศนะของผู้รู้ชีอะฮ์ อย่างใดสำคัญกว่ากัน?
    7884 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/13
    เกี่ยวกับเรื่องนี้จำเป็นต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงต่อไปนี้:1. ไม่ไช่ว่าฮะดีษทุกบทจะเชื่อถือได้ทั้งหมด2. ต้องคำนึงเสมอว่าปัจจัยกาลเวลาและสถานที่มีอิทธิพลต่อฮุก่ม(กฎศาสนา)3. ในจำนวนฮุก่มทั้งหมดมีฮุก่มวาญิบและฮะรอมเท่านั้นที่มีความอ่อนไหว4. จะต้องพิจารณาแหล่งอ้างอิงให้ถี่ถ้วนตัวอย่างเช่นกรณีของการร้องไห้นั้นยังมีข้อถกเถียงกันได้เพราะแม้ว่าวะฮาบีจะฟัตวาห้ามร้องไห้แก่ผู้ตายแต่ในแง่สติปัญญาแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับได้นอกจากนี้ฮะดีษทั้งสายซุนหนี่และชีอะฮ์ก็ปรากฏเหตุการณ์ที่ท่านนบี(ซ.ล.)และบรรดาอิมาม(อ.)ร้องไห้ให้กับผู้ตายหรือบรรดาชะฮีดเช่นท่านฮัมซะฮ์หรือมารดาท่านนบี(ซ.ล.) ตลอดจนกรณีอื่นๆอีกมาก 5. อุละมาอ์และผู้รู้ระดับสูงสอนว่ามีบางพฤติกรรมที่ผู้ไว้อาลัยไม่ควรกระทำซึ่งบางกรณีอาจทำให้ต้องจ่ายกัฟฟาเราะฮ์ด้วยฉะนั้นจะต้องแยกแยะระหว่างพฤติกรรมที่ผิดหลักศาสนาของผู้คนที่ไม่รู้ศาสนากับคำสอนที่แท้จริงของอิสลามและบรรดาอุละมาอ์ ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60765 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58439 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42867 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40417 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39482 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34627 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28683 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28588 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28537 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26453 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...