การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
18929
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/07/10
 
รหัสในเว็บไซต์ fa974 รหัสสำเนา 15031
คำถามอย่างย่อ
เหตุใดอัลลอฮ์จึงกำชับให้ขอบคุณต่อเนียะอฺมัตที่ทรงประทานให้?
คำถาม
หากไม่มองว่าการขอบคุณต่อเนียะอฺมัตจะทำให้ได้รับเนียะอฺมัตเท่าทวีคูณ จะมีเหตุผลใดอีกที่อัลลอฮ์ทรงกำชับให้ต้องขอบคุณพระองค์?
คำตอบโดยสังเขป

“ชุโกร”ในทางภาษาอรับหมายถึง การมโนภาพเนียะอฺมัต(ความโปรดปรานจากพระองค์)แล้วเผยความกตัญญูรู้คุณผ่านคำพูดหรือการกระทำ[i] ส่วนที่ว่าทำไมต้องชุโกรขอบคุณพระองค์ในฐานะที่ประทานเนียะอฺมัตต่างๆนั้น ขอให้ลองพิจารณาประเด็นต่อไปนี้:
1.
ความจำเป็นที่จะต้องขอบคุณผู้ให้ปัจจัยแก่เรานั้น ถือเป็นสัญชาตญาณโดยปกติของมนุษย์ จิตใต้สำนึกของคนเรากำกับให้ต้องแสดงอาการขอบคุณผู้ที่ช่วยเหลือหรือมอบปัจจัยให้ ฉะนั้นเมื่อคนเรารับรู้ได้ว่า มีผู้เปี่ยมด้วยพลานุภาพประทานลาภแก่เราเสมอไม่ว่าวัตถุปัจจัยหรือเนียะอฺมัตอันเป็นนามธรรม เราย่อมหาทางรู้จักผู้นั้นเพื่อแสดงการขอบคุณ ด้วยเหตุนี้เองที่การขอบคุณต่อเนียะอฺมัตของอัลลอฮ์จึงมีที่มาทางสติปัญญามากกว่าจะเป็นข้อบังคับทางศาสนา
2. แม้ว่าอัลลอฮ์ไม่ทรงต้องการคำขอบคุณใดๆจากมนุษย์ แต่ด้วยทรงตระหนักดีว่าการขอบคุณจะนำมาซึ่งผลประโยชน์ในโลกนี้และโลกหน้าแก่เรา จึงได้กำชับให้เราขอบคุณต่อเนียะอฺมัตของพระองค์ อัลกุรอานระบุไว้ว่าผู้ขอบคุณจะได้รับเนียะอฺมัตเพิ่มขึ้น แต่ผู้เนรคุณจะถูกลงโทษอย่างสาสม
3. การขอบคุณถือเป็นกุญแจที่ไขสู่ความผาสุกทั้งปวง และเปรียบดั่งต้นสายปลายเหตุของบาเราะกัตจากพระองค์ ที่จะนำพาให้เราได้ใกล้ชิดความเมตตาของพระองค์ทีละก้าวด้วยความรักที่เรามี ด้วยเหตุนี้ แม้พระองค์จะไม่ต้องการคำขอบคุณจากเรา แต่ด้วยความหวังดีต่อเรา พระองค์จึงกำชับให้เราต้องขอบคุณพระองค์
4. แน่นอนว่าไม่มีใครสามารถขอบคุณเนียะอฺมัตของพระองค์ได้อย่างทั่วถึง ส่วนการขอบคุณที่ประเสริฐสุดก็คือ การสารภาพและขออภัยจากพระองค์เนื่องจากไม่สามารถขอบคุณอย่างครบถ้วน



[i] มุฟร่อด้าต รอฆิบ,หน้า 265,คำว่า ชุกร์.

คำตอบเชิงรายละเอียด

“ชุโกร”ในทางภาษาอรับหมายถึง การมโนภาพเนียะอฺมัต(ความโปรดปรานจากพระองค์)แล้วเผยความกตัญญูรู้คุณผ่านคำพูดหรือการกระทำ[1] ส่วนที่ว่าทำไมต้องชุโกรขอบคุณพระองค์ในฐานะที่ประทานเนียะอฺมัตต่างๆนั้น ขอให้ลองพิจารณาประเด็นต่อไปนี้:
1.
ความจำเป็นที่จะต้องขอบคุณผู้ให้ปัจจัยแก่เรานั้น ถือเป็นสัญชาตญาณโดยปกติของมนุษย์ จิตใต้สำนึกของคนเรากำกับให้ต้องแสดงอาการขอบคุณผู้ที่ช่วยเหลือหรือมอบปัจจัยให้  เพราะผู้มีสามัญสำนึกทุกคนจะถือว่าผู้ที่เนรคุณผู้อื่นด้อยค่ากว่าสิงสาราสัตว์ เนื่องจากสัตว์บางประเภทยังแสดงความซื่อสัตย์ต่อผู้มีบุญคุณ ด้วยเหตุผลทางปัญญาดังกล่าว เมื่อทราบว่าพระองค์ทรงประทานเนียะอฺมัตอันยิ่งใหญ่และมากมายมหาศาลแก่เราไม่จะในด้านวัตถุปัจจัยหรือเนียะอฺมัตอันเป็นนามธรรม เราจึงไม่อาจจะนิ่งดูดายโดยไม่สนใจขอบคุณและให้เกียรติพระองค์เท่าที่จะกระทำได้ นั่นหมายความว่า สามัญสำนึกดังกล่าวที่มนุษย์ทุกคนมีนั้น จะผลักดันให้ต้องทำความรู้จักผู้มีพระคุณต่อเรา เนื่องจากก่อนที่เราจะขอบคุณใครสักคน เราจะต้องรู้จักเขาเสียก่อน[2].

2. การรับรู้คุณประโยชน์ของการขอบคุณจะทำให้เราเข้าใจความจำเป็นดังกล่าว
โดยทั่วไปแล้ว หากรามีโอกาสได้ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น เราก็มักจะคาดหวังให้ผู้อื่นกล่าวขอบคุณ แต่ในกรณีของอัลลอฮ์นั้น พระองค์ทรงไม่ต้องการคำขอบคุณใดๆจากมนุษย์ เพราะแม้มนุษย์ทั้งโลกแสดงท่าทีเนรคุณพระองค์ ก็มิได้ทำให้ความเกรียงไกรของพระองค์พร่องลงแต่อย่างใด ทั้งนี้แม้พระองค์จะไม่ต้องการคำขอบคุณ แต่ก็ทรงกำชับให้มนุษย์แสดงการขอบคุณ เนื่องจากทรงทราบดีถึงผลประโยชน์ที่มนุษย์เองจะได้รับ ดังที่กุรอานกล่าวได้แจ้งข่าวดีแก่ผู้ที่กตัญญูรู้คุณพระองค์ ทว่าเมินเฉยต่อการเนรคุณ
: “ผู้ที่แสดงการขอบคุณ แท้จริงเขาเท่านั้นที่ได้รับคุณประโยชน์จากการขอบคุณ และผู้ใดที่เนรคุณ แท้จริงอัลลอฮ์ทรงไม่ต้องพึ่งพาผู้ใด[3]” ยิ่งไปกว่านั้นยังกล่าวว่าการเนรคุณจะนำมาซึ่งไฟนรกอีกด้วย “...และหากสูเจ้าเนรคุณ แท้จริงการลงทัณฑ์ของข้ายิ่งใหญ่นัก”[4]

ในความเป็นจริงแล้ว อัลลลอฮ์ทรงยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะกลั่นแกล้งผู้ที่เนรคุณพระองค์ ทว่าการเนรคุณจะนำความอัปยศมาสู่มนุษย์โดยอัตโนมัติ อาทิเช่น การขาดแคลนลาภพร และการเลือนหายไปของการบำเพ็ญความดี การเสียสละ และความเอื้ออาทรจากสังคมมนุษย์ ส่วนการขอบคุณผู้ประทานลาภย่อมจะนำมาซึ่งฐานะภาพอันสูงส่งอันเหมาะสมสำหรับมนุษย์ที่แท้จริง
กล่าวคือ การกำชับให้มนุษย์แสดงการขอบคุณพระองค์ก็เพื่อให้ได้รับคุณประโยชน์แก่ตนเอง และหากพิจารณาให้ดีจะเข้าใจถึงเหตุผลที่ต้องขอบคุณพระองค์ดังต่อไปนี้
:
. บุคคลหรือสังคมที่ขอบคุณต่อเนียะอฺมัตพระองค์ด้วยกาย วาจา ใจ ย่อมเป็นเครื่องชี้วัดว่าบุคคลหรือสังคมดังกล่าวควรค่าแก่การได้รับเนียะอฺมัตต่อไป และจากการที่การงานของอัลลอฮ์ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งเหตุและผล ในลักษณะที่พระองค์จะไม่ทรงประทานหรือระงับลาภของผู้ใดโดยปราศจากเหตุอันสมควร เมื่อพิจารณาในกุรอานจะพบว่า การขอบคุณต่อเนียะอฺมัตคือสาเหตุของการเพิ่มพูนเนียะอฺมัต มีฮะดีษจากท่านอิมามอลี(อ.)ว่า“การใหลมาเทมาของเนียะอฺมัตเป็นผลจากการขอบคุณพระองค์”[5]
. เมื่อความกตัญญูรู้คุณแผ่ซ่านในจิตใจมนุษย์แล้ว การขอบคุณพระเจ้าจะนำพาสู่การขอบคุณเพื่อนมนุษย์ แน่นอนว่าการขอบคุณผู้อื่นที่ได้ให้การช่วยเหลือแบ่งเบาภาระ ย่อมจะเป็นการส่งเสริมให้เขามีกำลังใจในการทำความดีต่อไป และจะช่วยพัฒนาศักยภาพของคนในสังคมทั้งในแง่วัตถุและศีลธรรม
. การขอบคุณพระเจ้าจะนำพาสู่การรู้จักพระองค์ ส่งผลให้สามารถสานสัมพันธ์กับพระองค์ได้อย่างแนบแน่น ซึ่งนอกจากจะทำให้รู้จักผู้ประทานลาภแล้ว ยังทำให้ตระหนักถึงคุณค่าของลาภพรที่ได้รับอีกด้วย การตระหนักถึงคุณค่าของเนียะอฺมัตนี้เองที่จะเสริมสร้างความรักที่มีต่อพระองค์ให้เบ่งบานยิ่งขึ้น
3. แน่นอนว่าไม่มีใครสามารถแสดงการขอบคุณพระองค์ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่า ปัจจัยทั้งหมดที่เราจะใช้ในการขอบคุณพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นความคิด ปัญญา ลิ้น สองมือ สองเท้า ฯลฯ นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเนียะอฺมัตจากพระองค์ทั้งสิ้น นั่นหมายความว่าก่อนที่เราจะคนึงคิดหรือเอ่ยปากขอบคุณลาภอื่นๆของพระองค์ เราก็ต้องขอบคุณลาภแห่งการมีปัจจัยเหล่านี้เสียก่อนด้วย ด้วยเหตุนี้เองที่ฮะดีษต่างๆระบุว่า การขอบคุณพระองค์ที่ประเสริฐสุดก็คือ การขอขมาพระองค์เนื่องจากไม่สามารถขอบคุณพระองค์อย่างครบถ้วนตามรายการเนียะอฺมัตที่ทรงประทานได้  ทั้งนี้เพราะนอกจากวิธีนี้แล้ว ก็ไม่มีวิธีใดที่จะแสดงการขอบคุณที่สอดคล้องกับความยิ่งใหญ่ของพระองค์ได้เลย[6]

สรุปคือ การขอบคุณพระองค์ไม่เพียงแต่มีสาเหตุมาจากสามัญสำนึกของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังเป็นมูลเหตุที่ทำให้ได้รับความผาสุกและความจำเริญจากพระองค์ทุกประการ ส่งผลให้มนุษย์สามารถใกล้ชิดความรักที่มีต่อพระเจ้าทีละระดับ นอกจากนี้ยังเอื้ออำนวยให้มนุษย์เกิดความยำเกรง และส่องสว่างให้พบเส้นทางแห่งการเป็นบ่าวที่ทอดยาวสู่ความผาสุกอันยั่งยืน ด้วยเหตุผลเหล่านี้เอง แม้พระองค์จะไม่ต้องการคำขอบคุณใดๆจากเรา ทว่าด้วยตระหนักถึงคุณประโยชน์ดังที่กล่าวมา พระองค์จึงกำชับให้เราแสดงการขอบคุณพระองค์.



[1] มุฟร่อด้าต รอฆิบ,หน้า 265,คำว่า ชุกร์.

[2] เตาฮีดจากปริทรรศน์ปัญญาและฮะดีษ,ญะอ์ฟัร กะรีมี,กุดเราะตุลลอฮ์ ฟุรกอนี,บทเกี่ยวกับความจำเป็นต้องรู้จักพระเจ้า.(เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย)

[3] ซูเราะฮ์ลุกมาน, 12, «وَ مَنْ یَشْکُرْ فَاِنَّما یَشْکُرُ لِنَفْسِهِ وَ مَنْ کَفَرَ فَاِنَّ اللّهَ غَنِىُّ حَمیدٌ».

[4] ซูเราะฮ์อิบรอฮีม, 7, لَئِنْ شَکَرْتُمْ لَأَزیدَنَّکُمْ وَ لَئِنْ کَفَرْتُمْ إِنَّ عَذابی‏ لَشَدیدٌ.

[5] ฆุร่อรุ้ลฮิกัม ฉบับฟารซี,เล่ม 3,หน้า 328, ثمَرَةُ الشُّکْرِ زِیادَةُ النِّعَمِ.

[6] อัคล้ากในกุรอาน,อ.มะการิม ชีรอซี,เล่ม 3,หน้า 80,81.

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • สาขามัซฮับที่สำคัญของชีอะฮ์มีจำนวนเท่าใด?
    10492 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/07/10
    คำว่า“ชีอะฮ์”โดยรากศัพท์แล้วหมายถึง“สหาย”หรือ“สาวก”และยังแปลได้ว่า“การมีแนวทางเดียวกัน” ส่วนในแวดวงมุสลิมหมายถึงผู้เจริญรอยตามท่านอิมามอลี(อ.) ซึ่งมีการนิยามความหมายของคำว่าผู้เจริญรอยตามว่า
  • สตรีสามารถที่จะติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นในโลกไซเบอร์โดยไม่ขออนุญาตจากสามีหรือไม่?
    5807 สิทธิและกฎหมาย 2555/02/05
    คำตอบของบรรดามัรยิอ์เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวมีดังนี้อายาตุลลอฮ์คอเมเนอี “หากไม่จำเป็นที่จะต้องครอบครองทรัพย์สินของสามีก็ถือว่าไม่จำเป็นที่จะต้องขออนุญาตแต่จะต้องคำนึงว่าการติดต่อสื่อสารกับผู้ที่ไม่ใช่มะฮ์รอมส่วนใหญ่จะทำให้เกิด... หรืออาจจะทำให้ตกในการกระทำบาปซึ่งไม่อนุญาต”อายาตุลลอฮ์ซิซตานี “การติดต่อสื่อสารกับผู้ที่ไม่ใช่มะฮ์รอมถือว่าไม่อนุญาต”อายาตุลลอฮ์ศอฟีกุลฟัยกานี “โดยรวมแล้วการติดต่อสื่อสารในลักษณะนี้แม้ว่าสามีอนุญาติก็ไม่ถือว่าสามารถจะกระทำได้”ฮาดาวีเตหะรานี “หากการติดต่อสื่อสารในโลกไซเบอร์อยู่ในขอบเขตที่อนุญาตและไม่เกรงที่จะเกิดบาปเป็นที่อนุญาตและไม่จำเป็นที่จะต้องขออนุญาติจากสามี” ...
  • สาเหตุของการตั้งฉายานามท่านอิมามริฎอ (อ.) ว่าผู้ค้ำประกันกวางคืออะไร?
    8608 تاريخ بزرگان 2554/12/21
    หนึ่งในฉายานามที่มีชื่อเสียงของท่านอิมามริฎอ (อ.) คือ..”ผู้ค้ำประกันกวาง” เรื่องเล่านี้เป็นเรื่องที่มีชื่อเสียงอย่างยิ่งในหมู่ประชาชน,แต่ไม่ได้ถูกบันทึกอยู่ในตำราอ้างอิงของฝ่ายชีอะฮฺแต่อย่างใด, แต่มีเรื่องเล่าที่คล้ายคลึงกับเรื่องนี้อย่ซึ่งมีได้รับการโจษขานกันภายในหมู่ซุนนีย, ถึงปาฏิหาริย์ที่พาดพิงไปยังเราะซูล
  • “ศอดุกอติฮินนะ” และ “อุญูริฮินนะ” ในกุรอานหมายถึงอะไร?
    7820 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/03/08
    คำว่า “ศอดุกอติฮินนะ”[1] มีการกล่าวถึงในประเด็นของการแต่งงานถาวร และได้กล่าวว่าสินสอดนั้นเป็น “ศิด้าก”[2] อายะฮ์ที่คำดังกล่าวปรากฏอยู่นั้น บ่งบอกถึงสิทธิที่สตรีจะต้องได้รับ และย้ำว่าสามีจะต้องจ่ายค่าสินสอดของภรรยาของตน[3] นอกจากว่าพวกนางจะยกสินสอดของนางให้กับเขา[4] นอกจากนี้คำนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความสัจจะและความจริงใจในการแต่งงานด้วยเช่นกัน[5] ส่วนคำว่า “อุญูริฮินนะ”[6] หมายถึงการแต่งงานชั่วคราวและที่เรียกกันว่า “มุตอะฮ์” นั้นเอง และกล่าวว่า “จะต้องจ่ายมะฮัรแก่สตรีที่ท่านได้แต่งงานชั่วคราวกับนางเนื่องจากสิ่งนี้เป็นวาญิบ”[7] คำถามนี้ไม่มีคำตอบเชิงรายละเอียด
  • โปรดอธิบาย ปรัชญาของการกล่าวข้อผูกมัดนิกาห์ คืออะไร?
    8993 จริยศาสตร์ 2555/06/30
    ตามคำสอนของอิสลามการแต่งงานถือเป็นข้อตกลงที่ศักดิ์สิทธิ์ สำหรับการจัดตั้งครอบครัวและสิ่งที่ติดตามมาคือ, ระบบสังคม ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีผลสะท้อนและบทสรุปอย่างมากมาย เช่น : เพื่อตอบสนองความต้องการทางกามรมย์, ผลิตสายเลือดและรักษาเผ่าพันธุ์, สร้างความสมบูรณ์ในความเป็นมนุษย์, สร้างความสงบมั่นแก่จิตใจ, เป็นการรักษาความสะอาดบริสุทธิ์, เป็นการส่งเสริมความผูกพันให้มั่นคง และประเด็นอื่นๆ อีกมากมาย, ดังนั้น การจัดการข้อตกลงศักดิ์สิทธิ์นี้ให้สมประสงค์ได้, มีเพียงการปฏิบัติไปตามกฎเกณฑ์พื้นฐาน และเงื่อนไขอันเฉพาะที่อัลลอฮฺ ทรงกำหนดไว้เท่านั้น จึงจะเป็นไปได้. เช่น เงื่อนที่ว่านั้นได้แก่การกล่าวข้อผูกมัดนิกาห์ ด้วยคำพูดเฉพาะ (ดังกล่าวไว้ในหนังสือริซาละฮฺต่างๆ) พระผู้อภิบาลผู้ทรงเกรียงไกรในฐานะของ พระเจ้าผู้ทรงกำหนดกฎระเบียบ พระองค์คือผู้ทรงกำหนดคำพูดอันทรงเกียรติยิ่งนี้ และให้ความน่าเชื่อถือ พร้อมกับการเกิดขึ้นของคำพูดดังกล่าวในฐานะ อักดฺนิกาห์, จึงเป็นสาเหตุทำให้เกิดการเป็นสามีภรรยา ระหว่างชายกับหญิงขึ้น. การแต่งงานมิได้หมายถึง ความพอใจของสองฝ่ายเท่านั้น ทว่าเป็นความพึงพอใจและการยินยอมของทั้งสองฝ่าย อันถือว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญยิ่งสำหรับการแต่งงาน ที่จะเกิดขึ้นพร้อมกับการอ่านอักดฺนิกาห์ปัจจุบันนี้ เพื่อให้การแต่งงานนั้นถูกต้องสมบูรณ์ตามหลักการชัรอียฺ. การแต่งงาน มิได้หมายถึงความพอใจของสองฝ่ายเท่านั้น ทว่าเป็นความพึงพอใจและยินยอมของทั้งสองฝ่าย อันถือว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับการแต่งงาน ...
  • เพราะเหตุใดกุญแจสู่สรวงสวรรค์คือ นมาซ?
    8075 จริยธรรมทฤษฎี 2555/05/17
    เป้าหมายของการสร้างมนุษย์ก็เพื่อ การแสดงความเคารพภักดีและการรู้จักพระเจ้า, ซึ่งการแสดงความเคารพภักดีต่อพระเจ้านั้น จะทำให้มนุษย์ก้าวไปสู่ความสมบูรณ์ และตำแหน่งอันใกล้ชิดต่อพระเจ้า, นมาซ คือภาพลักษณ์ที่ดีและสวยงามที่สุดของการแสดงความเคารพภักดีต่อพระเจ้า หรือการแสดงความเป็นบ่าวที่ดีต่อพระผู้ทรงสร้าง, ความเคร่งครัดต่อนมาซ 5 เวลาคือสาเหตุของความประเสริฐและเป็นพลังด้านจิตวิญญาณ ซึ่งทำให้มนุษย์ละเว้นการทำความผิดบาป หรือการแสดงความประพฤติไม่ดี อีกด้านหนึ่งเป็นการสนับสนุนส่งเสริมให้พลังแห่งความสำรวมตน ภายในจิตใจมนุษย์มีความเข้มแข็งขึ้น, ในกรณีนี้ เข้าใจได้ทันทีว่า เพราะอะไรนมาซ, จึงเป็นกุญแจสู่สรวงสวรรค์ ต้องไม่ลืมที่จะกล่าวว่า, นมาซคือหนึ่งในภาคปฏิบัติที่เป็นอิบาดะฮฺ อันมีผลบุญคือ เป็นกุญแจสู่สรวงสวรรค์, เนื่องจากรายงานฮะดีซ,เกี่ยวกับความรักที่มีต่อบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) คือ การกล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ, ความอดทน ...ก็ถือว่าเป็นกุญแจแห่งสรวงสวรรค์เช่นกัน, และเช่นกันสิ่งที่เข้าใจได้จากรายงานที่ว่า นมาซพร้อมกับความศรัทธามั่นที่มีต่ออัลลอฮฺ ความเป็นเอกะของพระองค์ ขึ้นอยู่กับความรักที่มีต่อบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) เป็นความสัมพันธ์เกี่ยวข้องที่มีความพิเศษยิ่งต่อกัน ...
  • ตักวาหมายถึงอะไร?
    18228 จริยธรรมทฤษฎี 2555/01/23
    ตักว่าคือพลังหนึ่งที่หยุดยั้งจิตด้านในซึ่งการมีอยู่ของมนุษย์คือสาเหตุของการมีพลังนั้นและพลังดังกล่าวจะพิทักษ์ปกป้องมนุษย์ให้รอดพ้นจากการกระทำความผิดฝ่าฝืนต่างๆความสมบูรณ์ของตักวานอกจากจะช่วยทำให้มนุษย์ห่างไกลจากความผิดบาปและการก่ออาชญากรรมต่างๆ
  • มีหลักฐานอนุญาตให้มะตั่มให้แก่ท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) หรือทำร้ายตัวเองของมุสลิมในช่วงเดือนมุฮัรรอม หรือเดือนอื่นหรือไม่?
    8328 ประวัติหลักกฎหมาย 2554/12/21
    การจัดพิธีกรรมรำลึกถึงท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) นับได้ว่าเป็นหนึ่งในอิบาดะฮฺที่ดีที่สุดและการกระทำทุกสิ่งที่สังคมยอมรับว่านั่นเป็นส่วนหนึ่งของการจัดพิธีกรรมถือว่าอนุญาต, เว้นเสียแต่ว่าสิ่งนั้นได้สร้างเสื่อมเสียหรือมีอันตรายจริง, หรือเป็นสาเหตุทำให้แนวทางชีอะฮฺต้องได้รับการดูถูกเหยียดหยามอย่างรุนแรงซึ่งการทุบอก
  • เหตุใดจึงห้ามกล่าวอามีนในนมาซ?
    11146 สิทธิและกฎหมาย 2555/04/02
    มีฮะดีษจากอะฮ์ลุลบัยต์ระบุว่าการกล่าวอามีนในนมาซไม่เป็นที่อนุมัติ และจะทำให้นมาซบาฏิล โดยหลักการแล้ว ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ถึงการไม่เป็นที่อนุมัติ ทั้งนี้ก็เพราะการนมาซเป็นอิบาดะฮ์ประเภทหนึ่ง ซึ่งย่อมไม่สามารถจะเพิ่มเติมได้ตามใจชอบ ฉะนั้น หากไม่สามารถจะพิสูจน์การเป็นที่อนุมัติของส่วนใดในนมาซด้วยหลักฐานทางศาสนา ก็ย่อมแสดงว่าพฤติกรรมนั้นๆไม่เป็นที่อนุมัติ เพราะหลักเบื้องต้นในการนมาซก็คือ ไม่สามารถจะเพิ่มเติมใดๆได้ หลักการสงวนท่าที(อิห์ติยาฏ)ก็หนุนให้งดเว้นการเพิ่มเติมเช่นนี้ เนื่องจากเมื่อเอ่ยอามีนออกไป ผู้เอ่ยย่อมไม่แน่ใจว่านมาซจะยังถูกต้องอยู่หรือไม่ ต่างจากกรณีที่มิได้กล่าวอามีน ...
  • เหตุใดจึงตั้งชื่อซูเราะฮ์บะเกาะเราะฮ์ด้วยนามนี้?
    7834 วิทยาการกุรอาน 2555/03/18
    ซูเราะฮ์บะเกาะเราะฮ์ถูกตั้งชื่อด้วยนามนี้เนื่องจากในซูเราะฮ์นี้ได้มีการกล่าวถึงเรื่องราวของบะก็อร(วัว)ของบนีอิสรออีลระหว่างอายะฮ์ที่ 67-71 หลายต่อหลายครั้ง เช่น وَ إِذْ قالَ مُوسى‏ لِقَوْمِهِ إِنَّ اللَّهَ يَأْمُرُكُمْ أَنْ تَذْبَحُوا بَقَرَةً قالُوا أَ تَتَّخِذُنا هُزُواً قالَ أَعُوذُ بِاللَّهِ أَنْ أَكُونَ مِنَ الْجاهِلين‏"؛ (และจงรำลึกถึงขณะที่มูซาได้กล่าวแก่กลุ่มชนของเขาว่า แท้จริงอัลลอฮ์ (ซ.บ.) ทรงบัญชาแก่พวกท่านให้เชือดวัวตัวเมียตัวหนึ่ง (เพื่อนำชิ้นอวัยวะของวัวไปแตะศพที่ไม่สามารถระบุตัวผู้สังหารได้ เพื่อให้ศพฟื้นคืนชีพและชี้ตัวผู้ต้องสงสัย อันเป็นการยุติความขัดแย้งในสังคมยุคนั้น) พวกเขากล่าวว่า “ท่านจะถือเอาพวกเราเป็นที่ล้อเล่นกระนั้นหรือ?” มูซากล่าวว่า “ฉันขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮ์ (ซ.บ.) ให้พ้นจากการที่ฉันจะเป็นพวกโง่เขล่าเบาปัญญา)[1] และเนื่องจากประเด็นดังกล่าวมีความสำคัญต่อการขัดเกลาของมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง จึงได้ตั้งชื่อด้วยนามนี้

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60574 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58161 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42686 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40096 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39311 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34426 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28499 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28408 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28342 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26265 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...