การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
14202
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2553/10/21
 
รหัสในเว็บไซต์ fa319 รหัสสำเนา 10188
คำถามอย่างย่อ
จุดประสงค์ของการสร้างคืออะไร จงอธิบายเหตุผลในเชิงเหตุผลนิยม ถ้าเป้าหมายคือความสมบูรณ์แล้วทำไมพระเจ้าไม่ทรงสร้างมนุษย์ให้สมบูรณ์แบบ
คำถาม
จุดประสงค์ของการสร้างคืออะไร จงอธิบายเหตุผลในเชิงเหตุผลนิยม ถ้าเป้าหมายคือความสมบูรณ์แล้วทำไมพระเจ้าไม่ทรงสร้างมนุษย์ให้สมบูรณ์แบบ
คำตอบโดยสังเขป

พระเจ้าคือผู้ดำรงอยู่ที่ไม่มีความจำกัด พระองค์ทรงมีความสมบูรณ์แบบทุกประการ การสร้าง (บังเกิด) เป็นความงดงาม และพระองค์คือผู้มีความงดงาม ความงดงามอันสมบูรณ์แบบของพระองค์ เป็นตัวกำหนดว่าพระองค์ทรงสร้างทุกอย่างขึ้นตามคุณค่าของมัน ดังนั้น พระเจ้าทรงสร้างเป็นเพราะพระองค์คือผู้งดงาม หมายถึงจุดประสงค์และเป้าหมายในการสร้างของพระองค์นั้นงดงาม อีกด้านหนึ่งคุณลักษณะอาตมันของพระเจ้าไม่ได้แยกออกจากอาตมันของพระองค์ จึงสามารถกล่าวได้ว่าจุดประสงค์ของการสร้างคือ อาตมันของพระเ

พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์มาโดยให้มีแนวโน้มที่ดีและความชั่วร้ายภายใน และทรงประทานผู้เชิญชวนภายนอก 2 ท่าน ที่ดีได้แก่ศาสดา (นบี) และความชั่วร้ายได้แก่ชัยฎอน (ปีศาจ), ทั้งนี้มนุษย์สามารถบรรลุความสมบูรณ์สูงสุดของสรรพสิ่งที่อยู่หรือก้าวไปสู่ความชั่วช้าที่ต่ำทรามที่สุดก็เป็นได้ ทั้งที่มนุษย์นั้นมีพลังของเดรัจฉานและการลวงล่อของซาตานที่ล่อลวงอยู่ตลอดเวลา แต่เขากลับเลือกหนทางที่ถูกต้อง, แน่นอน เวลานั้นเขาจะสูงส่งกว่ามลาอิกะฮฺ เพราะว่ามวลมลาอิกะฮฺไม่มีพลังของเดรัจฉานและชัยฏอนมาลวงล่อใจ แต่ถ้ามนุษย์เลือกแนวทางผิด แน่นอนตรงนี้เขาจะตกต่ำยิ่งกว่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย เนื่องจากสรรพสัตว์ไม่มีพลังแห่งปัญญาในการคิดเหมือนกับมนุษย์

ถ้าหากพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์มาให้สมบูรณ์ตั้งแต่แรกและมีความสมบูรณ์แบบทุกประการ สิ่งนี้จะไม่ถือว่าเป็นความสมบูรณ์ในเชิงของเจตนารมณ์เสรี เพราะพระเจ้าทรงสร้างสิ่งสมบูรณ์ที่สุดก่อนหน้าพวกเขามาแล้วตั้งแต่ต้น ดังนั้น จุดประสงค์ของการสร้างมนุษย์จะบรรลุก็ต่อเมือเขามีศักยภาพของความสมบูรณ์ และมีเจตนารมณ์เสรีในการกระทำ บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาไม่สามารถเข้าถึงความสมบูรณ์แบบของอัลลอฮฺได้ แม้ว่าจุดประสงค์หลักของการสร้างมนุษย์ – ก็คือการวางกฎหมายของพระเจ้า -- ยังไม่บรรลุผลก็ตาม แต่ไม่ได้คัดค้านการสร้างมนุษย์ในเป้าหมายของการรังสรรค์โดยการกำหนดกฎเกณฑ์จากพระองค์ เนื่องจากพระเจ้าทรงอุปสงค์ (การพัฒนาความต้องการ) ให้พวกเขาสามารถเลือกหนทางที่ถูกหรือผิดได้ด้วยตนเอง ถ้าหากพระเจ้าทรงให้การเลือกแนวทางผิดพลาดเป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์แล้ว ความเชื่อและเชื่อฟังปฏิบัติตามของเขา ก็จะไม่เป็นความประสงค์หรือเจตนารมณ์เสรีของเขา

คำตอบเชิงรายละเอียด

เพื่อความเข้าใจอันดีงามในคำตอบ จำเป็นต้องพิจารณาเนื้อหาบางอย่างต่อไปนี้ :

ก. จุดประสงค์ของพระเจ้าในการสร้าง :

1) พระเจ้าผู้ทรงอำนาจในฐานะที่เป็น วาญิบุลวุญูด (จำเป็นต้องมี) การมีอยู่ของพระองค์ไม่เกี่ยวข้องหรือขึ้นอยู่กับสิ่งใดทั้งสิ้น ไม่มีข้อจำกัดและข้อบกพร่อง พระองค์มีความสมบูรณ์แบบทั้งหมด

2) เนื่องจากพระองค์ทรงงดงามทรงเมตตา พระองค์ตรัสในอัลกุรอานว่า :และการประทานให้ของพระเจ้าของเจ้านั้นมิถูกห้าม (แก่ผู้ใด)[1] พระเจ้านั้นการประทานให้จากพระองค์ไม่มีข้อจำกัดอันใดทั้งสิ้น ดังนั้น ถ้าหากพระองค์ไม่ประทานให้ทุกที่ ก็เนืองมาจากศักยภาพในการรับมีข้อจำกัด มิใช่ผู้ให้มีข้อจำกัด ฉะนั้น ทุกสิ่งที่คู่ควรต่อการให้พระองค์จะประทานให้เขา

3) ทุกสิ่งที่ดีและความสมบูรณ์แบบนั้นมาจากพระองค์ และทุกความบกพร่องและทุกความชั่วร้ายเกิดขึ้นจากการไม่มี ตัวอย่างเช่น ความรู้เป็นสิ่งที่ดีและเป็นความสมบูรณ์แบบ, ความไม่รู้, ความชั่วร้าย และความล้มเหลวเป็นความบกพร่อง นอกจากนี้อำนาจ ที่เผชิญกับความไร้อำนาจหรือไร้ความสามารถ ถือเป็นความสมบูรณ์แบบเป็นสิ่งที่ดี ดังนั้น เป็นที่ทราบกันดีว่าการมีอยู่เป็นสิ่งที่ดี ซึ่งตรงข้ามกับสิ่งนั้นคือ ทุกความชั่วร้ายและความบกพร่องไม่มีอยู่จริง

4) เมื่อพิจารณาบทนำที่สามแบ้วสามารถได้บทสรุปว่า ความงดงามและความเมตตาของพระเจ้าการสร้างสรรค์ของพระองค์จะสามารถเกิดขึ้นได้ ดังนั้น ความจำเป็นของความงดงามคือ การสร้างสรรค์

อีกนัยหนึ่ง ถ้าหากสิ่งสมควรและเหมาะสมต่อการสร้าง แต่พระองค์ไม่ทรงสร้าง ซึ่งการไม่สร้างของพระองค์ประกอบกับความดีของการมีอยู่ ถือว่าเป็นการขัดขวางความดีและเป็นความตระหนี่ถี่เหนียวอย่างยิ่ง แน่นอนว่า ความตระหนี่ถี่เหนียวเป็นไปไม่ได้สำหรับพระองค์ จากบทนำดังกล่าวได้บทสรุปว่า ถ้าหากถามว่า เพราะสาเหตุใดพระเจ้าจึงสร้าง คำตอบคือ เพราะความเมตตาและความงดงามของพระองค์นั่นเอง

5) คุณลักษณะของพระเจ้ามิใช่สิ่งเพิ่มเติมบนอาตมันของพระองค์ คุณลักษณะของมนุษย์และร่างกายส่วนอื่น ๆ คือสิ่งที่เพิ่มเข้ามาบนตัวตนของเขา ตัวอย่าง เช่น ผลแอ

ปเปิ้ลหนึ่งผล แต่มีคุณสมบัติคือผิวสีแดง และรสชาติหวาน สีแดงกับความหวานคือสิ่งที่นอกเหนือไปจากแก่นแท้ของแอปเปิ้ล ดังนั้น แอปเปิ้ล อาจแทนที่คุณสมบัติดังกล่าวด้วยการมี รสเปรี้ยว สีเขียว แก่นแท้ของแอปเปิ้ลก็ยังคงอยู่

บทวิพากษ์เกี่ยวกับ ความเป็นหนึ่งเดียวของคุณลักษณะกับอาตมันของพระเจ้า เป็นหนึ่งในวิชาวิพากษ์วิทยาที่ลุ่มลึก ซึ่งสามารถศึกษาได้จากหมวด ความเป็นเอกะของพระเจ้าและคุณลักษณะของพระองค์ สิ่งที่สำคัญสำหรับเราในที่นี้คือ ความเป็นผู้มีเมตตาและงดงามคือสาเหตุสุดท้ายของการสร้าง – เป็นหนึ่งเดียวกันกับอาตมันของพระองค์ ซึ่งไม่ได้ออกจากอาตมันของพระองค์ ดังนั้น ถ้าถามว่า เพราะเหตุใดพระเจ้าทรงสร้าง เราสามารถกล่าวได้ว่า "เนื่องจากทรงเป็นพระเจ้า ดังนั้น สาเหตุสุดท้ายอันที่จริงก็คือพระเจ้า และนี่ก็คือคำพูดในเชิงปรัชญาของเราที่กล่าวว่า สาเหตุสิ้นสุดและสาเหตุของการกระทำในการกระทำพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน[2] บางทีอาจเป็นไปได้ที่จะนำเอาคุณลักษณะนั้นออกมาจากบางโองการ[3] เช่นกัน ที่กล่าวว่า และยัง: และยังพระองค์การงานทั้งมวลจะถูกนำกลับไป [4]

ข.จุดประสงค์ของของพระเจ้าในการสร้างมนุษย์ :

สิ่งที่กล่าวมาแล้วคือ เป้าหมายของผู้กระทำในการสร้างทั่วไป แต่จุดมุ่งหมายของผู้สร้างในการสร้างสิ่งอันเฉพาะ เช่น มนุษย์ จำเป็นต้องอาศัยจุดที่เป็นความพิเศษ ซึ่งจุดพิเศษเกี่ยวกับมนุษย์นั้นก็คือ ความสมบูรณ์แบบอันเฉพาะบางประการ ซึ่งพระเจ้าประสงค์ที่จะสร้างสิ่งนั้นด้วยการสร้างมนุษย์

คำอธิบาย : ความสมบูรณ์แบบการเป็นผู้งดงามของพระเจ้าคือ พระองค์สามารถสร้างทุกความสมบูรณ์ที่มีความเป็นไปได้  ซึ่งก่อนการสร้างมนุษย์พระองค์ได้สร้างสิ่งอื่นที่มีความสมบูรณ์แบบมาก่อน ซึ่งสิ่งมีชีวิตนั้นเรียกว่าทูตสวรรค์หรือมะลาอิกะฮฺ มวลมะลาอิกะฮฺเป็นสิ่งถูกสร้างสมบูรณ์แบบนับตั้งแต่เริ่มต้นของการสร้าง หมายถึง มีความสมบูรณ์โดยรูปธรรม ดังนั้น มวลมะลาอิกะฮฺจึงไม่มีโอกาสไปถึงยังความสมบูรณ์แบบใหม่ และการมีอยู่ของมะลาอิกะฮฺก็จะไม่สมบูรณ์ยิ่งไปกว่านี้อีก อัลลอฮฺ ตรัสด้วยภาษาของมะลาอิกะฮฺว่า: และไม่มีผู้ใดในหมู่พวกเรา เว้นแต่เขาได้มีตำแหน่งที่ได้กำหนดไว้แล้ว แท้จริง เรานั้นเป็นผู้ที่ยืนเข้าแถวอยู่แล้ว แท้จริง เรานั้นเป็นผู้แซ่ซ้องสดุดีอัลลอฮฺ”[5]

ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า : ต่อมาพระองค์ทรงเปิดเผยสิ่งที่อยู่ท่ามกลางฟากฟ้าอันสูงส่ง ทรงจัดสรรให้ที่นั่นดาษดื่นไปด้วยมวลมลาอิกะฮฺของพระองค์ที่มีหน้าที่สลับสับเปลี่ยนกันไป จำนวนหนึ่งมุ่งมั่นเฉพาะการกราบกรานโดยไม่ได้โค้ง อีกจำนวนหนึ่งมุ่งมั่นเฉพาะการโค้งคารวะโดยไม่ได้เงยขึ้นเลย จำนวนหนึ่งได้ประชิดแถวเข้าด้วยกันโดยไม่แยกจากกัน มลาอิกะฮฺจำนวนหนึ่งสรรเสริญพระองค์โดยไม่เหนื่อยหน่าย”[6] พวกเขาได้มนัสการพระเจ้าและนี่คือความสมบูรณ์ที่พระเจ้าทรงประทานแก่พวกเขา ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะฝ่าฝืนคำสั่งของพระองค์ อัลลอฮฺ ตรัสว่า : พวกเขาจะไม่ชิงกล่าวคำพูดก่อนพระองค์ และพวกเขาปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์[7] บางโองการตรัสว่า : ไฟนรกซึ่งเชื้อเพลิงของมันคือมนุษย์และก้อนหิน มีมลาอิกะฮฺผู้แข็งกร้าวคอยเฝ้ารักษามันอยู่ พวกเขาจะไม่ฝ่าฝืนอัลลอฮฺในสิ่งที่พระองค์ทรงบัญชาแก่พวกเขา และพวกเขาจะปฏิบัติตามที่ถูกบัญชาอย่างเคร่งครัด”[8]

พระเจ้าเนื่องจากพระองค์ทรงเป็นผู้มีความงดงาม  ซึ่งนอกจากมลาอิกะฮฺที่มีความสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว พระองค์ยังทรงประสงค์ที่จะสร้างความสมบูรณ์แบบที่เหนือกว่ามลาอิกะฮฺขึ้นไปอีก ซึ่งความสมบูรณ์แบบนั้นอยู่ในการเลือกสรรของมนุษย์ หมายถึง พระองค์จะทรงสร้างสรรพสิ่งหนึ่งซึ่งความสมบูรณ์ทั้งหมดเหล่านี้ เขาสามารถนำมาได้ด้วยการเลือกสรรและเจตนารมณ์เสรีของตน ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงสร้างมนุษย์ขึ้นมา มนุษย์ซึ่งนับตั้งแต่เริ่มต้นเขาไม่มีความสมบูรณ์นี้อยู่ในตัว แต่เนื่องจากสาเหตุบางประการเขาสามารถไปถึงยังความสมบูรณ์นั้นได้ เป็นที่ชัดเจนว่า ความสมบูรณ์ของมนุษย์ขึ้นอยู่กับเจตนารมณ์เสรีและการเลือกสรรอย่างเสรีของตน ซึ่งแน่นอนว่าความสมบูรณ์อันนั้นสูงส่งกว่าความสมบูรณ์ของมลาอิกะฮฺเสียอีก ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า : อัลลอฮฺผู้ทรงเกรียงไกรทรงสร้างมลาอิกะฮฺขึ้นจาก ภูมิปัญญา และไม่ได้ประทานความต้องการแก่มลาอิกะฮฺ พระองค์ทรงสร้างบรรดาสรรพสัตว์ขึ้นมาจากความต้องการ (ชะฮฺวัต) และไม่ได้มอบปัญญาแก่สรรพสัตว์ ขณะที่พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาจากสติปัญญาและความต้องการ ดังนั้น ใครก็ตามที่เอาสติปัญญาควบคุมต้องการได้ เขาจะสูงส่งกว่ามลาอิกะฮฺ แต่บุคคลใดก็ตามเอาความต้องการควบคุมสติปัญญา เขาจะเลวยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน[9] เมาลาได้เน้นย้ำประเด็นดังกล่าวไว้ว่า

ฮะดีซ กล่าวถึงการรังสรรค์อันสูงส่ง

พระองค์ทรงสร้างจักรวาลใน 3 ลักษณะ

กลุ่มหนึ่ง เปี่ยมด้วยสติปัญญาและความรอบรู้

นามว่ามลาอิกะฮฺ พวกเขาไม่รับรู้สิ่งใดนอกจากการกราบกราน

ความโลภ และโมหะไม่มีอยู่ในตัว

รัศมีสมบูรณ์แห่งชีวิตคือความรักต่อพระเจ้า

อีกกลุ่มหนึ่ง ไม่มีความรอบรู้

นามว่าสัตว์ ไม่รู้จักสิ่งใดนอกจากใบหญ้า

มันมองไม่เห็น เว้นแต่คอกและยอดหญ้า

มันไม่เห็นมีเกียรติและศักดิ์ศรี

กลุ่มที่สามนามว่ามนุษย์ผู้มีเนื้อหนัง

ครึ่งหนึ่งจากเทพแห่งฟากฟ้าและครึ่งหนึ่งจากลาผู้โง่เขลา

ครึ่งหนึ่งของลาคือความต่ำทราม

อีกครึ่งหนึ่งคือความสูงศักดิ์

สิ่งใดมีชัยเหนืออีกสิ่งในการต่อสู้

คือเครื่องประดับที่จะชนะคู่ต่อสู้

ดังนั้น จุดประสงค์ของผู้กระทำและสาเหตุสุดท้ายในการสร้างมนุษย์ คือความงดงามของพระเจ้า ซึ่งสิ่งจำเป็นสำหรับความงดงามของพระเจ้าคือ การสร้างความสมบูรณ์แบบที่เป็นไปได้ สมบูรณ์ซึ่งดีกว่าความสมบูรณ์นั้นคือ ความสมบูรณ์ยิ่งกว่า

ค.  ทำไมพระเจ้าจึงไม่สร้างมนุษย์ให้สมบูรณ์ :

ถ้าหากพิจารณาเรื่องราวที่ได้นำเสนอไป สามารถสรุปได้ว่า จุดประสงค์ในการสร้างมนุษย์จะมีความเป็นไปได้ก็ต่อเมือ มนุษย์มีศักยภาพที่จะไปถึงยังความสมบูรณ์ ซึ่งเขาจะบรรลุเป้าหมายนั้นได้ด้วยการกระทำและเจตนารมณ์เสรีของตนเอง ในขณะที่ถ้าเขามีความสมบูรณ์แบบนั้นตั้งแต่แรกแล้ว ความสมบูรณ์แบบนั้นก็จะไม่ได้เกิดจากเจตนารมณ์เสรีของตน และจุดประสงค์ในการสร้างมนุษย์ก็จะบกพร่อง

สิ่งที่ควรพิจารณาคือ แม้แต่การพัฒนาขั้นหนึ่งของบันไดแห่งความสมบูรณ์สำหรับมนุษย์, ก็จะถูกนับว่าเป็นความสมบูรณ์ที่เกิดจากเจตนารมณ์เสรี ซึ่งจะทำให้จุดประสงค์หลักของการสร้างนั้นสมบูรณ์ไปด้วย

ง. มนุษย์ผู้ปฏิเสธและมีความผิด :

ถ้าหากมนุษย์ไม่สามารถวิวัฒนาการความสมบูรณ์ของตนขึ้นไปสักขั้นหนึ่ง ตลอดอายุขัยของเขาก็จะจมปรักอยู่กับบาปกรรมและการปฏิเสธ ซึ่งเท่ากับเขาได้ออกจากจุดประสงค์ของการสร้าง เนื่องจากเขาได้ทำให้ศักยภาพของตนเป็นรูปธรรมขึ้นมา ทั้งที่ในตัวมนุษย์มีศักยภาพที่จะพัฒนาตนไปสู่ก้นบึ้งของความตกต่ำ อันเป็นชั้นที่ต่ำที่สุด พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์มาในลักษณะที่ว่าเขาสามารถเลือกหนทางสมบูรณ์หรือหนทางตกต่ำก็ได้ แม้คนผิดและผู้ปฏิเสธก็จะไม่ขับเคลื่อนไปในหนทางที่ขัดแย้งกับความประสงค์ที่ดีของพระเจ้า ทว่าพระเจ้าทรงทรงยอมรับความสูงส่งของมนุษย์ไปตามความสมบูรณ์แต่ไม่ทรงยอมรับความตกต่ำของเขา อีกนัยหนึ่ง ในการสร้างมนุษย์ของพระเจ้านั้นทรงมีจุดประสงค์ที่เป็นตักวียน์ และตัชรีอีย์ จุดประสงค์ที่เป็นตักวีนีย์คือ : มนุษย์ทุกคนสามารถทำให้ศักยภาพของตนเป็นรูปธรรมทั้งดีและไม่ดีได้ ส่วนความต้องการที่เป็นตัชรีอีคือ เฉพาะพัฒนาไปสู่ความสมบูรณ์เท่านั้น ที่มนุษย์สามารถเปลี่ยนศักยภาพให้เป็นรูปธรรม

จากคำอธิบายสามารถกล่าวได้ว่า ผู้ศรัทธาคือผู้ที่ทำให้จุดประสงค์ที่เป็นตัชรีอีย์ บรรลุผลและตนยังตั้งอยู่ในจุดประสงค์ที่ป็นตักวีนีย์อีกด้วย ส่วนผู้ปฏิเสธและคนบาป แม้ว่าจะไม่ทำให้เป้าหมายของตัชรีอีบรลุผล แต่ก็ยังอยู่ในเป้าหมายของตักวีนียะฮฺ

หมายเหตุ : เนื่องจากการให้ความสำคัญต่อประเด็นของการมีอยู่ มีเหตุผลอ้างอิงเป็นจำนวนมาก เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้สำหรับการศึกษาค้นคว้าต่อไป



[1] อัลกุรอานบทอัสรอ 20

[2] เฏาะบาเฏาะบาอี มุฮัมมัดฮุซัยนฺ อัลมีซาน เล่ม 8 หน้า 44, มิซบายัซดี มุฮัมมัดตะกี มะอาริฟกุรอาน เล่ม 1 หน้า 154

[3] อัลกุรอาน บทบะเกาะเราะฮฺ 210, อาลิอิมรอน 109, อินฟิอาล 144, ฮัจญ์ 76, ฟาฏิร 4, ฮะดีด 5

[4] อัลกุรอาน บทฮูด 123

[5]  อัลกุรอานบทซอฟาต 164-166

[6] นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ คำเทศนา 1

[7] อัลกุรอาน บทอัลอันบิยาอ์ 27

[8] อัลกุรอาน บทอัตตะฮฺรีม 6

[9]  วะซาอิลุชชีอะฮฺ เล่ม 11 หน้า 164

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • แนวทางที่ถูกต้อง และง่ายในการเลือกมัรญิอฺตักลีดที่มีความรู้สูงสุด สำหรับบุคคลที่เพิ่งเข้ารับอิสลาม และไม่สามารถแยกแยะอุละมาอฺได้คืออะไร?
    13476 สิทธิและกฎหมาย 2555/08/22
    การตักลีดกับมุจญฺตะฮิดที่มีความรู้สูงสุด หมายถึงมิได้จำกัดอยู่แค่บุคคลที่มีความเชื่ยวชาญพิเศษเฉพาะปัญหาฟิกฮฺ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น การปฏิบัติหน้าที่ตามหลักชัรอียฺของตนนั้น จำเป็นต้องปฏิบัติตามมุจญฺตะฮิดที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษ สมบูรณ์ในเรื่องฟิกฮฺ และต้องเป็นผู้รู้ที่มีความรู้มากกว่ามุจญฺตะฮิดด้วยกัน ในสมัยของตน และมุจญฺตะฮิดที่มีความรู้สูงสุดสามารถรู้จักได้จากหนึ่ง 3 วิธีดังนี้ : หนึ่ง : ตัวเราต้องมั่นใจด้วยตัวเอง สอง : มีผู้รู้สองคนที่ยุติธรรมยืนยันในความรู้ของมุจญฺตะฮิดท่านนั้น สาม : ผู้รู้กลุ่มหนึ่งได้ยืนยันและรับรองการเป็นมุจญฺตะฮิด และการเป็นผู้มีความรู้สูงสุดของเขา น่ายินดีว่าปัจจุบันบรรดาคณาจารย์ระดับสูงของสถาบันสอนศาสนา ณ เมืองกุม ได้แนะนำผู้รู้ที่มีคุณสมบัติของมุจญฺตะฮิดสมบูรณ์ ในฐานะของมัรญิอฺตักลีดไว้หลายคนด้วยกัน ซึ่งมุสลิมทุกคนสามารถเลือกปฏิบัติตามอุละมาอฺเหล่านั้น ในฐานะมัรญิอฺตักลีด ท่านหนึ่งท่านใดก็ได้ และกิจการงานของตนให้ถือปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของท่าน ที่มีอยู่ในริซาละฮฺ เตาฎีฮุลมะซาอิล ในกรณีนี้ท่านจะมั่นใจได้ว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ทางชัรอียฺของท่านแล้ว และปัจจุบันเนื่องจากการติดต่อสื่อสารนั้นสะดวกสบาย และเป็นไปได้ในรูปแบบต่างๆ มีหลายภาษาให้เลือก ดังนั้น สำหรับบุคคลที่เพิ่งเข้ารับอิสลาม สามารถรับรู้ข้อมูลนี้ได้อย่างง่ายดาย ...
  • สายรายงานของฮะดีษที่ท่านอิมามอลี(อ.)กล่าวแก่ชาวอรับเกี่ยวกับชาวเปอร์เซียว่า“พวกท่าน(อรับ)รบกับพวกเขา(เปอร์เซีย)เพื่อให้ยอมรับการประทานกุรอาน แต่ก่อนโลกนี้จะพินาศ พวกเขาจะรบกับพวกท่านเพื่อการตีความกุรอาน”เชื่อถือได้เพียงใด?
    8219 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/09/11
    ในตำราฮะดีษมีฮะดีษชุดหนึ่งที่มีนัยยะถึงการที่ท่านอิมามอลี(อ.)กล่าวกับชาวอรับเกี่ยวกับชาวเปอร์เซียว่า “พวกท่าน(อรับ)รบกับพวกเขา(เปอร์เซีย)เนื่องด้วยการประทานกุรอานแต่ก่อนโลกนี้จะพินาศพวกเขาก็จะรบกับพวกท่านเนื่องด้วยการตีความกุรอาน”สายรายงานของฮะดีษบทนี้เชื่อถือได้ ...
  • มีคำอธิบายอย่างไรเกี่ยวกับโองการที่ ซูเราะฮ์เราะอ์ด وَ لَوْ أَنَّ قُرْآناً سُیِّرَتْ بِهِ الْجِبالُ أَوْ قُطِّعَتْ بِهِ الْأَرْضُ أَوْ کُلِّمَ بِهِ الْمَوْتى‏ بَلْ لِلَّهِ الْأَمْرُ جَمیعا
    8896 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/18
    ในประเด็นที่ว่าโองการوَ لَوْ أَنَّ قُرْآناً سُیِّرَتْ بِهِ الْجِبالُ أَوْ قُطِّعَتْ بِهِ الْأَرْضُ... หมายความว่าอย่างไรนั้นนักอรรถาธิบายกุรอานได้นำเสนอไว้สองทัศนะด้วยกัน1. โองการต้องการจะสื่อว่าหากจะมีตำราใดที่จะสามารถเคลื่อนย้ายภูเขาหรือแยกแผ่นดินหรือทำให้ผู้ตายสนทนาได้ตำรานั้นย่อมมิไช่อื่นใดนอกจากกุรอานทั้งนี้ก็เพราะกุรอานประเสริฐเหนือทุกคัมภีร์2. โองการข้างต้นเป็นคำตอบโต้ข้อเรียกร้องของบรรดากาเฟรแห่งมักกะฮ์ที่เรียกร้องให้ท่านนบีแสดงอภินิหารโดยโองการนี้สื่อว่าคนพวกนี้มีนิสัยดื้อรั้นแม้หากกุรอานแสดงอภินิหารเคลื่อนย้ายภูเขาตามที่พวกเขาต้องการหรือแม้จะแยกแผ่นดินและผุดตาน้ำหรือแม้จะชุบชีวิตผู้ตายให้ปฏิญาณถึงความเป็นศาสดาของเจ้า (โอ้มุฮัมมัด)ให้เป็นที่ประจักษ์แก่พวกเขาก็ตามแต่คนเหล่านี้ก็จะยังดื้อแพ่งไม่ศรัทธาอยู่วันยังค่ำ. ...
  • เหตุใดท่านอิมามอลี(อ.)จึงวางเฉยต่อการหมิ่นประมาทท่านหญิงฟาฏิมะฮ์?
    8087 ประวัติหลักกฎหมาย 2554/10/09
    การที่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ถูกทุบตีมิได้ขัดต่อความกล้าหาญของท่านอิมามอลี(อ.) เพราะในสถานการณ์นั้นท่านต้องเลือกระหว่างการจับดาบขึ้นสู้เพื่อทวงสิทธิของครอบครัวที่ถูกละเมิดหรือจะอดทนสงวนท่าทีแล้วหาทางช่วยเหลืออิสลามด้วยวิธีอื่นจากการที่การจับดาบขึ้นสู้ในเวลานั้นเท่ากับการต่อต้านและสร้างความแตกแยกในหมู่มุสลิมอันจะทำให้สังคมมุสลิมยุคแรกอ่อนเปลี้ยส่งผลให้กองทัพโรมันเหล่าศาสดาจอมปลอมและผู้ตกศาสนาจ้องตะครุบให้สิ้นซากท่านอิมามอลี(อ.)ยอมสละความสุขของตนและครอบครัวเพื่อผดุงไว้ซึ่งอิสลามศาสนาที่เป็นผลงานคำสอนทั้งชีวิตของท่านนบี(ซ.ล.)และการเสียสละของเหล่าชะฮีดในสมรภูมิต่างๆ ...
  • จะเชื่อว่าพระเจ้าเมตตาได้อย่างไร ในเมื่อโลกนี้มีทั้งสิ่งดีและสิ่งเลวร้าย ความน่ารังเกียจและความสวยงาม?
    9227 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/07/10
    หากได้ทราบว่าพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ให้มีคุณลักษณะที่ดีที่สุดอีกทั้งยังสนองความต้องการของเขาทั้งในโลกนี้และโลกหน้าตลอดจนได้สร้างสรรพสิ่งอื่นๆเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่มนุษย์เมื่อนั้นเราจะรู้ว่าพระองค์ทรงมีเมตตาแก่เราเพียงใดส่วนความเมตตาของพระองค์ที่มีต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆก็เข้าใจได้จากการที่พระองค์ทรงประทานชีวิตประทานศักยภาพในการดำรงชีวิตและมอบความเจริญเติบโตให้ด้วยเมตตาอย่างไรก็ดีในส่วนของสิ่งเลวร้ายและอุปสรรคต่างๆนานาที่มีในโลกนั้น
  • จะชี้แจงความแตกต่างระหว่างคริสเตียนและอิสลามกรณีพระเจ้ามีบุตรอย่างไร?
    13212 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/07/31
    เมื่อพิจารณาถึงเนื้อหาซูเราะฮ์กุ้ลฮุวัลลอฮ์จะเข้าใจว่ามุสลิมเชื่อว่าอัลลอฮ์มิได้ถือกำเนิดจากผู้ใดและมิได้ให้กำเนิดผู้ใดศาสนาเอกเทวนิยมล้วนเชื่อเช่นนี้ซึ่งแนวทางของพระเยซูก็อยู่ในเกณฑ์เดียวกันเหตุเพราะศาสนาเทวนิยมล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานของสติปัญญาและธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของมนุษย์สติปัญญาก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่งย่อมไม่ต้องพึ่งพาสิ่งใดแน่นอนว่าผู้มีคุณลักษณะเช่นนี้ย่อมไม่ต้องมีบิดาหรือบุตรเพราะการมีบิดาหรือบุตรบ่งบอกถึงการมีสรีระเชิงวัตถุซึ่งย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพึ่งพาอวัยวะและแน่นอนว่าพระเจ้าปราศจากข้อบกพร่องเหล่านี้ส่วนความเชื่อที่แพร่หลายในหมู่ชาวคริสเตียนในปัจจุบันนั้นชี้ให้เห็นว่ามีการบิดเบือนคำสอนอันทำให้ผิดเพี้ยนไปจากศาสนาคริสต์ดั้งเดิม ...
  • วะฮฺยูคืออะไร ประทานลงมาแก่ศาสดาอย่างไร
    22172 อัล-กุรอาน 2553/10/21
    วะฮฺยู (วิวรณ์) "ในเชิงภาษาความถึง การบ่ชี้อย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจเป็นไปได้ที่เป็นชนิดหนึ่งของคำ หรือเป็นรหัสหรืออาจเป็นเสียงอย่างเดียวปราศจากการผสม หรืออาจเป็นการบ่งชี้และสิ่งที่คล้ายคลึงกัน ความหมายและการนำไปใช้ที่แตกต่างกันของคำนี้ในพระคัมภีร์กุรอาน ทำให้เราได้พบหลายประเด็นที่สำคัญ : อันดับแรก วะฮฺยูไม่ได้เฉพาะพิเศษสำหรับมนุษย์เท่านั้น ทว่าหมายรวมถึงพืช สัตว์ และสิ่งไม่มีชีวิตอื่นด้วย .... (วะฮฺยู เมื่อสัมพันธ์ไปยังสิ่งมีชีวิตก็คือ การชี้นำอาตมันและสัญชาติญาณ หรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นการชี้นำในเชิงตักวีนีของพระเจ้า เพื่อชี้นำพวกเขาไปยังเป้าหมายของพวกเขา) แต่ระดับชั้นที่สูงที่สุดของวะฮฺยู เฉพาะเจาะจงสำหรับบรรดาศาสดา และหมู่มวลมิตรของพระองค์เท่านั้น ซึ่งจุดประสงค์ในที่นี้หมายถึง การดลความหมายนบหัวใจของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) หรือการสนทนาของพระเจ้ากับท่านเหล่านั้น บทสรุปก็คือโดยหลักการแล้วการดลอื่นๆ ...
  • ในประโยคคำปฏิญาณ (อัชฮะดุ อันลา อิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ) ได้นำเอาประโยคปฏิเสธขึ้นหน้าก่อนการปฏิญาณ (ในความเป็นเอกะของพระองค์) มีเหตุผลอันใดหรือ?
    25245 ادله نقلی 2557/10/06
    คำว่า ชะฮาดะตัยนฺ คือการผนวกสองประโยคเข้าด้วยกันคือ คำปฏิญาณประโยคแรกคือ (อัชฮะดุ อันลา อิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ) เพื่อพิสูจน์และสารภาพถึงความเป็นหนึ่งเดียวของพระเจ้า ซึ่งเฉพาะเจาะจงและคู่ควรยิ่งแก่การเคารพภักดี สำหรับองค์พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก ส่วนคำปฏิญาณที่สอง (อัชฮะดุ อันนะ มุฮัมมะดัน เราะซูลลุลอฮฺ) เพื่อพิสูจน์และปฏิญาณว่า ท่านนะบีมุฮัมมัดคือ ศาสนทูตแห่งอิสลาม มิได้พิสูจน์การเป็นศาสนทูตคู่ควรแก่ท่านนะบี ด้วยเหตุนี้ ชะฮาดัตแรก จึงเป็นเน้นอันเฉพาะเจาะจงสำหรับพระองค์ ประโยคจึงเริ่มต้นด้วย “การปฏิเสธ” ลานะฟีญินซฺ เพื่อเน้นให้เห็นความสำคัญของคำว่า “อิลาฮะ” ซึ่งถือว่าเป็นคำนามที่เป็นนักกิเราะฮฺ (มิได้ระบุเจาะจง) แน่นอน บริบทของการปฏิเสธนี้ ให้ประโยชน์ในแง่รวมทั้งหมด โดยปฏิเสธพระเจ้าที่มีทั้งหมดบนโลก และปฏิเสธการมีส่วนร่วมในความเป็นพระเจ้า ของพระเจ้าที่แท้จริง ดังนั้น การที่กล่าวว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใด “นอกจาก” อิลลา นั่นเป็นจำกัดให้เห็นถึงความสำคัญอันเฉพาะสำหรับ อัลลอฮฺ เพื่อประกาศให้รู้ว่าไม่มีใคร หรือสิ่งใดมีส่วนร่วมในการเป็นพระผู้อภิบาลของพระองค์ ดังนั้น ในความเป็นจริงจึงพิสูจน์ด้วยประโยคที่กล่าวว่า “นอกจากอัลลอฮฺ” ...
  • ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์มีบุคลิกภาพด้านใดบ้าง?
    12053 ชีวประวัติมะอฺซูม (อ.) 2554/09/22
    มิติบุคลิกภาพด้านต่างๆของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ลึกซึ้งและละเอียดอ่อนในลักษณะที่จะต้องได้รับการพินิจพิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนเท่านั้นจึงจะสามารถประจักษ์ได้ซึ่งการนี้จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อมีการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับมิติด้านศีลธรรมและจิตใจความรู้และการต่อสู้ของนางทั้งในเชิงการเมืองและสังคมขอหยิบยกบุคลิกภาพอันโดดเด่นของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ที่กล่าวถึงในตำราฝ่ายซุนหนี่และชีอะฮ์)มานำเสนอโดยสังเขปดังนี้1. ท่านหญิงใช้ชีวิตเรียบง่ายและพอใจวิถีชีวิตสมถะทั้งที่สามารถจะได้รับความสะดวกสบายขั้นสูงสุด2. บริจาคของรักของตนมากมายทั้งที่ยังจำเป็นต้องใช้3. ทำอิบาอะฮ์และวิงวอนต่ออัลลอฮ์สม่ำเสมอด้วยความบริสุทธิใจ4. เป็นภาพลักษณ์แห่งจริตกุลสตรีและความเหนียมอาย5. แบบฉบับที่สมบูรณ์ด้านการสวมฮิญาบตามวิถีอิสลาม6. มีความรู้อันกว้างขวางซึ่งประจักษ์ได้จากการรับทราบเนื้อหาในตำรา"มุศฮัฟฟาฏิมะฮ์"7.
  • ชีอะฮ์และมุอ์ตะซิละฮ์มีทัศนคติเกี่ยวกับความยุติธรรมแตกต่างกันอย่างไร?
    11110 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/04/24
    ทั้งสองสำนักคิดนี้ต่างก็ถือว่าความยุติธรรมของอัลลอฮ์คือหนึ่งในหลักศรัทธาของตน ทั้งสองเชื่อว่าความดีและความชั่วพิสูจน์ได้ด้วยสติปัญญา กล่าวคือสติปัญญาสามารถจะพิสูจน์ความผิดชอบชั่วดีในหลายๆประเด็นได้แม้ไม่ได้รับแจ้งจากชะรีอัตศาสนา ความอยุติธรรมก็เป็นหัวข้อหนึ่งที่สติปัญญาของมนุษย์ทุกคนพิสูจน์ได้ว่าเป็นความชั่ว ด้วยเหตุนี้ อัลลอฮ์จึงไม่ทรงลดพระองค์มาแปดเปื้อนกับความชั่วดังกล่าว แต่ทรงเป็นผู้ไว้ซึ่งความเที่ยงธรรมอย่างไม่ต้องสงสัย ข้อแตกต่างระหว่างสองสำนักคิดข้างต้นก็คือ เมื่อเผชิญข้อโต้แย้งที่ว่า “หากทุกการกระทำของมนุษย์มาจากพระองค์จริง แสดงว่าการให้รางวัลและการลงโทษมนุษย์ย่อมไม่มีความหมาย” มุอ์ตะซิละฮ์ชี้แจงด้วยการปฏิเสธเตาฮี้ด อัฟอาลี (เอกานุภาพเชิงกรณียกิจ) แต่ชีอะฮ์ปฏิเสธทางออกดังกล่าวที่ถือว่ามนุษย์ไม่ต้องพึ่งพาอัลลอฮ์ในการกระทำ โดยเชื่อว่าการกระทำของมนุษย์เชื่อมต่อกับการกระทำของอัลลอฮ์ในเชิงลูกโซ่ มิได้อยู่ในระนาบเดียวกัน จึงทำให้ตอบข้อโต้แย้งข้างต้นได้โดยที่ยังเชื่อในความยุติธรรมของพระองค์ดังเดิม ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60781 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58465 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42883 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40453 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39495 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34643 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28702 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28597 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28555 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26473 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...