การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
7912
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/07/16
 
รหัสในเว็บไซต์ fa927 รหัสสำเนา 15117
คำถามอย่างย่อ
ถูกต้องแล้วหรือ ที่บางคนปวารณาตัวเองเป็นสัตว์ชนิดต่างๆเพื่อให้เกียรติบรรดาอิมาม(อ.)? (อย่างเช่นเรียกตัวเองว่าเป็นสุนัขของอิมามฮุเซน(อ.))
คำถาม
ผิดหรือไม่ที่บางคนถือว่าตัวเองเป็นสัตว์ชนิดต่างๆ หรือมีพฤติกรรมอื่นๆในทำนองเดียวกันนี้?
คำตอบโดยสังเขป

กุรอานและฮะดีษจากนบีและบรรดาอิมามล้วนกำชับให้เห็นถึงความสำคัญของการให้เกียรติเพื่อนมนุษย์ โดยเฉพาะมุอ์มิน
นอกจากนี้ยังได้สอนว่า การตั้งชื่ออันไพเราะและการเรียกขานผู้อื่นด้วยชื่ออันไพเราะนั้น นับเป็นการให้เกียรติเพื่อนมนุษย์ประการหนึ่ง
เช่นในซูเราะฮ์ฮุญุรอตได้กล่าวว่าจงอย่าเรียกขานกันและกันด้วยชื่ออันน่ารังเกียจยิ่งไปกว่านั้น อิสลามสอนเราว่าผู้ศรัทธามีเกียรติยิ่งกว่าวิหารอัลกะอ์บะฮ์ ผู้ศรัทธาทุกคนจึงไม่ควรจะทำลายศักดิ์ศรีของตนเองหรือผู้อื่น
ท่านนบี(..)และบรรดาอิมาม(.)ก็คงจะไม่ยินดีปรีดา หากต้องเห็นกัลญาณมิตรดูถูกตนเองเพื่อเทิดเกียรติแด่ท่าน
อย่างไรก็ดี การจะตัดสินว่าพฤติกรรมใดขัดต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์นั้น ย่อมขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมแต่ละพื้นที่ ชื่อบางชื่อในวัฒนธรรมหนึ่งอาจเป็นการดูหมิ่น แต่สำหรับอีกวัฒนธรรมหนึ่ง นอกจากจะไม่น่ารังเกียจแล้ว กลับจะเป็นที่ภาคภูมิใจด้วยซ้ำ แน่นอนว่าเขาภูมิใจในความหมายเชิงอุปมาอุปไมย และความหมายประเภทนี้ไม่ขัดต่อศักดิ์ศรีของผู้ศรัทธาแต่อย่างใด

คำตอบเชิงรายละเอียด

อิสลามเคารพในศักดิ์ศรีและเกียรติยศของมนุษย์ทุกคน โดยเฉพาะสำหรับมุสลิมและมุอ์มิน และถือว่ามนุษย์มีฐานะภาพที่สูงส่ง
อัลลอฮ์ได้กล่าวถึงคุณลักษณะและขั้นตอนการสร้างมนุษย์ไว้ว่าแท้จริงเราได้สร้างมนุษย์ในรูปลักษณ์ที่ดีที่สุด [1] และเราได้ประทานเกียรติยศแก่วงศ์วานอาดัม[2]
จึงกล่าวได้ว่ามนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่อัลลอฮ์ทรงสร้างอย่างวิจิตร ทรงคุณค่าและมีเกียรติยศสูงส่งในทัศนะของพระองค์ ในจำนวนนี้ ผู้ศรัทธาที่ยอมสยบต่อคำบัญชาของพระองค์จะได้รับเกียรติสูงกว่าผู้อื่น โดยกุรอานและฮะดีษได้เน้นย้ำให้ผู้ศรัทธารักษาฐานะภาพอันสูงส่งนี้ของตนเองและผู้อื่นไว้ให้นานเท่านาน[3]

ฮะดีษมากมายที่กล่าวถึงผลบุญอันมหาศาลของการช่วยเหลือ[4] การให้เกียรติผู้ศรัทธา[5] และยังห้ามมิให้เมินเฉยต่อผู้ศรัทธาในยามยาก[6] ห้ามมิให้ยั่วโทสะพวกเขา[7] เหล่านี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความจำเป็นที่จะต้องเคารพศักดิ์ศรีของผู้ศรัทธา ถึงขั้นที่มีฮะดีษระบุว่าเกียรติของผู้ศรัทธาเหนือกว่าเกียรติของวิหารกะอ์บะฮ์[8]
เกี่ยวกับเรื่องนี้ อัลลอฮ์และบรรดามะอ์ศูมีนได้สอนให้เราตั้งชื่ออันดีงามแก่บุตรธิดา และยังสอนให้เรียกขานผู้อื่นด้วยชื่อหรือฉายาที่ดีเท่านั้น อิมามอลี(.)กล่าวว่าสิทธิที่บุตรธิดามีต่อพ่อก็คือ จะต้องตั้งชื่อที่ดีแก่พวกเขา[9]
กุรอานห้ามปรามไว้ว่าผู้ศรัทธาไม่ควรดูถูกกันและกัน ไม่ควรเรียกชื่อหรือฉายาอันไม่พึงประสงค์ ไม่ควรมีอคติกับพี่น้องมุสลิม ไม่ควรจ้องจับผิดและติฉินนินทากันและกัน[10] เนื่องจากสิ่งเหล่านี้จะบ่อนทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และโดยเฉพาะผู้ศรัทธาอย่างร้ายแรง
ดังที่อัลลอฮ์ไม่ปรารถนาจะเห็นผู้ศรัทธาเรียกขานชื่อที่น่ารังเกียจและดูถูกกันและกัน แน่นอนว่าหากผู้ศรัทธาคนใดตั้งชื่อหรือฉายาที่น่ารังเกียจแก่ตนเอง อันเป็นเหตุให้ผู้อื่นหมิ่นประมาท ย่อมเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม[11]

สรุปคือ ศาสนาที่เคารพศักดิ์ศรีมนุษยชนเช่นอิสลาม ไม่อนุญาตให้ผู้ศรัทธาขนานนามตนเองหรือผู้อื่นด้วยชื่ออันไม่พึงประสงค์ บทบัญญัตินี้ครอบคลุมถึงวิธีการอะซอดอรี(ไว้ทุกข์แด่บรรดาเอาลิยาอ์ของพระองค์)ด้วย กล่าวคือ แม้จะด้วยเหตุผลที่ต้องการเทิดเกียรติบรรดาอิมามก็ไม่อนุญาตให้กระทำเช่นนั้น เนื่องจากการกระทำดังกล่าวขัดต่อคำสอนของกุรอานและบรรดาอิมาม บรรดาอิมามเองก็เคยห้ามปรามมิให้ผู้ที่เลื่อมใสแสดงพฤติกรรมที่ส่อถึงความต่ำต้อยเพื่อหวังจะให้เกียรติท่าน[12] หากได้ทราบว่านบี(..)และบรรดาอิมาม(.)ไม่ประสงค์จะเห็นผู้เลื่อมใสแสดงความต่ำต้อยเพียงการโค้งตัวให้เกียรติท่าน แน่นอนว่าคงจะไม่ยอมให้ผู้ใดให้เกียรติท่านด้วยวิธีขนานนามตัวเองว่าเป็นสุนัขหรือสัตว์ประเภทอื่นๆอย่างเด็ดขาด

ในยุคของของนบี(..)และบรรดาอิมาม(.) เราไม่เคยพบเห็นเศาะฮาบะฮ์ยุคแรก หรือสาวกระดับแนวหน้า หรือผู้รู้ที่ยิ่งใหญ่ อาทิเช่น อายะตุลลอฮ์ บุรูเญรดี, อิมามโคมัยนี ฯลฯ แสดงพฤติกรรมดังกล่าวเลย นอกจากนี้ การกระทำที่จะเป็นเหตุให้มัซฮับชีอะฮ์ถูกเหยียดหยาม ย่อมส่งผลให้ภาพลักษณ์ของบรรดาอิมามเสื่อมเสียไปด้วย บรรดาอิมามจึงห้ามปรามมิให้กระทำเช่นนี้ ดังที่ท่านอิมามญะอ์ฟัร(.)กล่าวไว้ว่าจงเป็นเครื่องประดับสำหรับเรา และจงอย่าเป็นเหตุให้เราเสื่อมเสีย[13]

จึงเป็นการเหมาะสมกว่า หากเราจะแสดงออกถึงความรักในลักษณะที่สอดคล้องกับคำสอนของบรรดาอิมาม(.) ตลอดจนระมัดระวังคำพูดที่จะทำให้บุคคล การไว้อาลัย และมัซฮับได้รับความเสื่อมเสีย
สุดท้ายนี้ อยากจะฝากข้อคิดต่อไปนี้ว่า สิ่งที่จะเป็นตัวชี้วัดพฤติกรรมที่ขัดต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ก็คือวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่น ความแตกต่างของวัฒนธรรมแต่ละท้องที่จะเป็นตัวแปรในการพิจารณาพฤติกรรม ยกตัวอย่างเช่น ในวัฒนธรรมของบางพื้นที่ ชื่อบางชื่ออาจนำมาซึ่งความอับอาย แต่ในวัฒนธรรมของอีกพื้นที่หนึ่ง ไม่เพียงแต่จะไม่น่าอับอาย แต่อาจจะเป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจก็ได้ ในกรณีเช่นนี้ แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้ภาคภูมิใจก็คือความหมายเชิงอุปมาอุปไมย มิไช่ความหมายเชิงคำศัพท์ เนื่องจากความหมายเชิงอุปมาอุปไมย หรือกาพย์โคลงกลอน[14] ย่อมไม่ขัดต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และความเป็นผู้ศรัทธาแต่อย่างใด



[1] ซูเราะฮ์ อัตตีน,4

[2] อัลอิสรออ์,70

[3] อันนู้ร,12 อัลฮุญุรอต,11,12 และ หนังสือวะซาอิลุชชีอะฮ์,เล่ม 11(หมวดว่าด้วยการกำชับความดีและห้ามปรามความชั่ว,ฮะดีษว่าด้วยการให้เกียรติมุอ์มิน)

[4] อ้างแล้ว, 582

[5] อ้างแล้ว, 590

[6] อ้างแล้ว, 597

[7] อ้างแล้ว, 569

[8] มุสตั้ดร่อกุลวะซาอิ้ล,เล่ม 9,หน้า 343,ฮะดีษที่ 9.

[9] นะฮ์ญุ้ลบะลาเฆาะฮ์,ฮิกมะฮ์ 399.

[10] ซูเราะฮ์ ฮุญุร้อต, 11-14

[11] อัลมีซานฉบับแปลฟารซี,เล่ม 18,หน้า 481.

[12] ดู: นะฮ์ญุ้ลบะลาเฆาะฮ์,ถ้อยธรรมสั้นลำดับที่ 37

[13] อัลกาฟี,เล่ม 2,หน้า 77,ฮะดีษที่ 9

[14] ดังที่ปรากฏในประวัติของเชคฏูซีว่า ท่านได้สั่งให้เขียนโองการที่เกี่ยวกับสุนัขของอัศฮาบุ้ลกะฮ์ฟิบนสุสานของท่าน หรือกรณีกลอนยกย่องอิ

ามอลี(.)ของท่านอายะตุลลอฮ์ วะฮีด โครอซอนี ที่ลงท้ายว่าฉันคือหนึ่งเดียวในเรื่องความผิดพลาด   เป็นเพียงสุนัขที่บัดนี้ชราภาพในถิ่นฐานของท่านอย่างไรก็ดี เหล่านี้เป็นการอุปมาอุปไมยเชิงกาพย์โคลงกลอนเท่านั้น ซึ่งไม่ขัดต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์แต่อย่างใด

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ก่อนการปรากฏกายของท่านอิมามซะมาน (อ.) จะมีมัรญิอฺตักลีด 12 คน ในชีอะฮฺ ในอิสลามเกิดขึ้นใหม่ แต่หลังจากอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) ปรากฏกายแล้ว พวกเขาจถูกสังหาร 11 คน จะมีชีวิตเหลืออยู่เพียงแค่คนเดียว? โปรดแจ้งแจงประเด็นนี้ด้วย
    7079 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/21
    จำคำถามที่กล่าวมามีความเป็นไปได้ 2 กรณี. หนึ่งมัรญิอฺตักลีด 11 คน
  • ข้อความละอ์นัตในซิยารัตอาชูรอครอบคลุมถึงบุตรชายยะซีดด้วยซึ่งเป็นคนดี แล้วจะถือว่าซิยารัตนี้น่าเชื่อถือได้อย่างไร?
    7316 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/12/21
    ในซิยารัตอาชูรอมีการละอ์นัตกลุ่มบนีอุมัยยะฮ์ซึ่งรวมถึงบุตรชายยะซีดด้วยในขณะที่นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าบุตรชายของยะซีดและสมาชิกบนีอุมัยยะฮ์บางคนเป็นคนดีเนื่องจากเคยทำประโยชน์บางประการซึ่งย่อมไม่สมควรจะถูกละอ์นัตเพื่อชี้แจงข้อสงสัยดังกล่าวควรทราบว่าบนีอุมัยยะฮ์ในที่นี้หมายความเฉพาะผู้ที่มีความคิดเห็นสอดคล้องกันกับพวกเขาอันหมายถึงผู้กระทำผิดผู้วางเฉยผู้ปีติยินดี ... ฯลฯต่อการแย่งชิงสิทธิอันชอบธรรมของบรรดาอิมาม(อ.) ตลอดจนการสังหารท่านเหล่านั้นและสาวกหากคำนึงถึงประโยคก่อนและหลังท่อนดังกล่าวในซิยารัตอาชูรอก็จะเข้าใจจุดประสงค์ดังกล่าวได้ไม่ยากเนื่องจากบรรยากาศของซิยารัตบทนี้เต็มไปด้วยละอ์นัตและการสาปแช่งกลุ่มบุคคลที่ยึดครองตำแหน่งคิลาฟะฮ์และพยายามจะดับรัศมีของอัลลอฮ์โดยทำทุกวิถีทางเพื่อต่อกรกับอะฮ์ลุลบัยต์รวมไปถึงกลุ่มบุคคลที่ให้การสนับสนุนและพึงพอใจในพฤติกรรมของกลุ่มแรก ฉะนั้นในทางวิชาอุศู้ลแล้วเราถือว่าการยกเว้นบุคคลที่ดีออกจากนัยยะของคำว่าบนีอุมัยยะฮ์นั้นเป็นการยกเว้นประเภท “ตะค็อศศุศ” มิไช่ “ตัคศี้ศ” หมายความว่าคำว่าบนีอุมัยยะฮ์ไม่ครอบคลุมถึงบุคคลเหล่านี้ตั้งแต่แรกแล้วจึงไม่จำเป็นต้องยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ ...
  • ฮะดีษที่ว่า "อิมามทุกท่านมีสถานะและฐานันดรเทียบเคียงท่านนบี(ซ.ล.)"(อัลกาฟีย์,เล่ม 1,หน้า 270) เชื่อถือได้หรือไม่?
    7231 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/09
    แม้เหล่าผู้ปราศจากบาปทั้งสิบสี่ท่านจะบรรลุฐานันดรทางจิตวิญญาณอันสูงส่งแต่อย่างไรก็ดีท่านเราะซู้ล(ซ.ล.)คือผู้ที่มีสถานะสูงสุดและมีข้อแตกต่างบางประการที่อิมามมะอ์ศูมอื่นๆไม่มีดังที่ท่านอิมามศอดิก(อ.)กล่าวว่า "บรรดาอิมามเปรียบดั่งท่านนบี(ซ.ล.) เพียงแต่มิได้มีสถานะเป็นศาสนทูตและไม่สามารถกระทำบางกิจเฉกเช่นนบี (
  • การนั่งจำสมาธิคืออะไร? ชีอะฮฺมีทัศนะอย่างไรเกี่ยวกับการนั่งจำสมาธิ?
    9075 รหัสยปฏิบัติ 2557/05/20
    วัตถุประสงค่ของการนั่งจำสมาธิ (การอิบาดะฮฺ 40 วัน) คือการเดินจิตด้านใน, การจาริกจิต, การคอยระมัดระวังตนเองภายใน 40 วัน, เพื่อยกระดับและพัฒนาจิตด้านในของบุคคล เพื่อเตรียมพร้อมที่จำเป็น สำหรับการรองรับวิทยญาณและวิชาการของพระเจ้า ซึ่งนักเดินจิตด้านใน และปราชญ์ฝ่ายชีอะฮฺส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าว ซึ่งวางอยู่บนพื้นฐานของโองการและรายงานฮะดีซ ด้วยเหตุนี้ การอิบาดะฮฺและการตั้งเจตนาด้วยความจริงใจและบริสุทธิ์ใจ ภายใน 40 วัน จึงถือว่าเป็นการปฏิบัติที่ดีที่สุด แต่สิ่งที่นักเดินจิตด้านในตักเตือนไว้คือ จงอย่าให้การนั่งจำสมาธิกลายเป็นเครื่องมือละทิ้งสังคม ปลีกวิเวกจนกลายเป็นความสันโดษ ...
  • เพราะเหตุใดจึงวาญิบต้องตักลีดกับมัรญิอฺ ?
    7854 สิทธิและกฎหมาย 2554/09/25
    จุดประสงค์ของ “การตักลีด” คือการย้อนไปสู่ภารกิจที่ตนไม่มีความเชี่ยวชาญในคำสั่งอันเฉพาะซึ่งต้องอาศัยความความเชี่ยวชาญพิเศษซึ่งเหตุผลที่สำคัญที่สุดสำหรับเรื่องการตักลีดเกี่ยวกับปัญหาศาสนาคือเหตุผลทางสติปัญญาที่ว่าผู้ไม่มีความรู้และไม่มีความเชี่ยวชาญปัญหาต้องปฏิบัติตามผู้มีความรู้และเชี่ยวชาญในปัญหานั้นแน่นอนทั้งอัลกุรอาน
  • มีการกล่าวถึงเงื่อนไขการทำความสะอาดด้วยแสงแดดว่า»ระยะห่างระหว่างพื้นดินกับอาคารซึ่งแสงแดดส่องไปถึงนั้น ภายในต้องไม่มีอากาศหรือสิ่งอื่นกีดขวางแสดงแดด... « ประโยคนี้หมายถึงอะไร ช่วยอธิบายด้วย?
    6061 สิทธิและกฎหมาย 2555/01/23
    คำอธิบาย:แสงแดด,
  • การรัจญฺอัตหมายถึงอะไร? ครอบคลุมบุคคลใดบ้าง? และจะเกิดขึ้นเมื่อใด?
    7327 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/09/25
    การรัจญฺอัตเป็นหนึ่งในความเชื่อของชีอะฮฺอิมามียะฮฺ, หมายถึงการกลับมายังโลกมนุษย์, ภายหลังจากได้ตายไปแล้วและก่อนที่จะถึงวันฟื้นคืนชีพซึ่งจะเกิดขึ้นภายหลังการปรากฎกายของท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.)
  • การสักร่างกายถือว่าเป็นฮะรอมหรือไม่?
    6197 สิทธิและกฎหมาย 2555/02/09
     คำตอบของอายาตุลลอฮ์มะฮ์ดีฮาดาวีเตหะรานี“หากไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายและไม่ถือว่าเป็นที่น่ารังเกียจอีกทั้งไม่ทำให้ภาพพจน์ของบุคคลดังกล่าวตกต่ำลงถือว่าไม่เป็นไรคำถามนี้ไม่มีคำตอบเชิงรายละเอียด ...
  • มีวิธีใดบ้างในการชำระบาป
    10433 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/21
    วิธีแสวงหาการอภัยโทษจากอัลลอฮ์มีหลายวิธีด้วยกันอาทิเช่น1.เตาบะฮ์หรือการกลับตนเป็นคนดี (ตามเงื่อนไขที่กำหนด)2. ประกอบกุศลกรรมที่ยิ่งใหญ่อันจะสามารถลบล้างความผิดบาปได้3. สงวนใจไม่ทำบาปใหญ่ (กะบีเราะฮ์) ซึ่งจะส่งผลให้ได้รับการผ่อนปรนบาปเล็ก4. อดทนต่ออุปสรรคยากเข็ญในโลกนี้รวมทั้งการชำระโทษในโลกแห่งบัรซัคและทนทรมานในการลงทัณฑ์ด่านแรกๆของปรโลก
  • สตรีสามารถที่จะติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นในโลกไซเบอร์โดยไม่ขออนุญาตจากสามีหรือไม่?
    5619 สิทธิและกฎหมาย 2555/02/05
    คำตอบของบรรดามัรยิอ์เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวมีดังนี้อายาตุลลอฮ์คอเมเนอี “หากไม่จำเป็นที่จะต้องครอบครองทรัพย์สินของสามีก็ถือว่าไม่จำเป็นที่จะต้องขออนุญาตแต่จะต้องคำนึงว่าการติดต่อสื่อสารกับผู้ที่ไม่ใช่มะฮ์รอมส่วนใหญ่จะทำให้เกิด... หรืออาจจะทำให้ตกในการกระทำบาปซึ่งไม่อนุญาต”อายาตุลลอฮ์ซิซตานี “การติดต่อสื่อสารกับผู้ที่ไม่ใช่มะฮ์รอมถือว่าไม่อนุญาต”อายาตุลลอฮ์ศอฟีกุลฟัยกานี “โดยรวมแล้วการติดต่อสื่อสารในลักษณะนี้แม้ว่าสามีอนุญาติก็ไม่ถือว่าสามารถจะกระทำได้”ฮาดาวีเตหะรานี “หากการติดต่อสื่อสารในโลกไซเบอร์อยู่ในขอบเขตที่อนุญาตและไม่เกรงที่จะเกิดบาปเป็นที่อนุญาตและไม่จำเป็นที่จะต้องขออนุญาติจากสามี” ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60255 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57756 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42351 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39569 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39030 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34119 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28128 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28099 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27977 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25958 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...