การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
7668
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/10/22
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1008 รหัสสำเนา 17850
หมวดหมู่ เทววิทยาใหม่
คำถามอย่างย่อ
เพราะเหตุใดฉันต้องเป็นมุสลิมด้วย? โปรดตอบคำถามของฉันด้วยเหตุผลของวิทยปัญญา
คำถาม
เพราะเหตุใดฉันต้องเป็นมุสลิมด้วย? โปรดตอบคำถามของฉันด้วยเหตุผลของวิทยปัญญา
คำตอบโดยสังเขป

แม้ว่าความสัตย์จริงของศาสนาต่างๆ ในปัจจุบันบนโลกนี้ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่บ้างก็ตาม, แต่รูปธรรมโดยสมบูรณ์และความจริงแท้แห่งความเป็นเอกะของพระเจ้า มีเฉพาะในศาสนาอิสลามเท่านั้น หรืออีกนัยหนึ่งท่านสามารถพบสิ่งนี้เฉพาะในคำสอนของอิสลาม, เหตุผลหลักสำหรับการพิสูจน์คำกล่าวอ้างข้างต้น,คือการไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้, ประกอบกับการสังคายนาและภาพความขัดแย้งกันทางสติปัญญาที่ปรากฏในคำสอนของศาสนาอื่น นอกเหนือไปจากอิสลาม ในทางตรงกันข้ามอัลกุรอานที่ไม่เคยถูกสังคายนา ไม่เคยถูกเปลี่ยนแปลง, การมีหลักฐานที่เชื่อถือได้ทั้งทางสติปัญญา การอ้างอิงจากตำรา และประวัติศาสตร์, ความสมบูรณ์ที่ครอบคลุมของอิสลาม,การเข้ากันได้เป็นอย่างดีระหว่างคำสอนอิสลาม กับสติปัญญาสมบูรณ์ของมนุษย์

อีกด้านหนึ่งศาสนาแห่งความจริงอันเป็นสัจจะในแต่ละยุคสมัยนั้น มีเพียงศาสนาเดียวเท่านั้น ส่วนศาสนาหรือสำนักคิดอื่นที่เหลือโดยพื้นฐานแล้วถือว่าโมฆะ ไม่มีรากที่มาที่ถูกต้อง หรือถูกยกเลิกไปแล้ว ซึ่งทุกวันนี้ศาสนาที่เที่ยงธรรมถูกต้องตรงกับความเป็นจริงมีเฉพาะ อิสลาม เท่านั้น และอิสลามตามอุดมการณ์ของศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ) อันเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริงก็ปรากฏอยู่ในคำสอนของ อะฮฺลุลบัยตฺ (ชีอะฮฺ) เท่านั้น อีกนัยหนึ่งเฉพาะคำสอนของชีอะฮฺเท่านั้นที่สามารถเผยรูปลักษณ์อิสลามมุฮัมมะดีได้อย่างแท้จริง

คำตอบเชิงรายละเอียด

สำหรับความชัดเจนในคำตอบของประเด็นดังกล่าวจำเป็นต้องพิจารณาประเด็นดังต่อไปนี้ เช่น : เหตุผลที่ไม่สมบูรณ์ของศาสนาอื่นที่มีอยู่บนโลกนี้, ประกอบกับเหตุผลที่ยืนยันถึงความดีกว่าของอิสลามและนิกายชีอะฮฺ :

) เหตุผลที่ไม่สมบูรณ์ของศาสนาอื่น (นอกจากอิสลาม)

ก่อนที่จะกล่าวถึงเหตุผลไม่สมบูรณ์ของศาสนาอื่นที่มีอยู่บนโลกนี้, มี 2 ประเด็นสำคัญที่ต้องกล่าวถึงก่อนเป็นอันดับแรก :

ประเด็นแรก : วัตถุประสงค์ของเรามิได้หมายถึงว่าทุกสิ่งอันเป็นคำสอนที่มีอยู่ในศาสนาทั้งหลาย ในทุกวันนี้เป็นโมฆะทั้งหมด ไม่อาจพบคำพูดหรือคำสอนใดในศาสนาเหล่านั้นที่เป็นความจริงสักประการเดียว ทว่าวัตถุประสงค์ของเราคือ คำสอนของศาสนาอื่นทุกวันนี้มีประเด็นต่างๆที่ไม่อาจยอมรับได้ ดังนั้น ศาสนาเหล่านั้นจึงไม่อาจเป็นผู้อธิบายรูปธรรมที่สมบูรณ์ได้

ประเด็นที่สอง : สิ่งที่จะร่วมกันพิจารณาตรงนี้ในความจำกัดจะขอหยิบยกเหตุผลไม่สมบูรณ์ของ 2 ศาสนาสำคัญทุกวันนี้ กล่าวคือศาสนาคริสต์ และศาสนายะฮูดีย์ ดังนั้น คุณค่าและความหน้าเชี่อถือของศาสนาอื่นในแง่ของการยอมรับที่ด้อยกว่าสองศาสนานี้ ก็จะรับรู้ได้เองโดยปริยาย

แต่เหตุผลที่พิสูจน์ให้เห็นว่าศาสนาคริสต์บนโลกในทุกวันนี้ ไม่อาจอธิบายแก่นแท้ความจริงอันสมบูรณ์ได้คือ :

1.คัมภีร์ไบเบิ้ล (อินญีล) ไม่อาจเชื่อถือได้ อีกทั้งไม่มีสายรายงานที่แน่นอนและเชื่อถือได้

ศาสดาอีซา (.) เป็นศาสดาแห่งวงศ์วานอิสราเอล ภาษาของท่านคือ อิบรู ท่านศาสดาได้ประกาศการเป็นศาสดาและเชิญชวนผู้คนไปสู่คำสอนของท่าน  บัยตุลมุก็อดดิสหรือเยลูซาเล็มในปัจจุบัน ซึ่งประชาชนทั้งหมดในที่นั้นที่เป็น อิบรู ก็มิได้เชื่อศรัทธาท่านทั้งหมด ยกเว้นกลุ่มชนเพียงน้อยนิดเท่านั้นเองแต่ไม่ทราบจำนวนที่แน่นอน, แต่มีประชาชนเพียงไม่กี่คนจากบัยตุลมุก็อดดิสที่รู้ภาษา กรีก ได้เดินทางไปสู่ประเทศอื่น เพื่อเชิญชวนประชาชนให้เชื่อฟังปฏิบัติตามศาสนาของอีซา (.) และยังได้เขียนคัมภีร์เป็นภาษายูนานอีกด้วย ซึ่งสาระในคัมภีร์ที่ได้เขียนเพื่อคนกรีกและอิตาลี กล่าวว่า : อีซาได้กล่าวเช่นนี้และเช่นนั้นว่า. สำหรับบุคคลที่เคยเห็นศาสดาอีซา และเห็นการกระทำหรือได้ยินคำพูดของท่าน และรู้ภาษาของท่านมีเฉพาะในปาเลสไตน์เท่านั้น แต่พวกเขาก็ไม่ยอมรับท่านอีซา (.) ว่าเป็นศาสดาแต่อย่างใด ส่วนเรื่องเล่าต่างๆ ที่เขียนเป็นภาษากรีกก็ถือว่า เป็นการประพันธ์ขึ้นมาซึ่งประชาชนที่ยอมรับคำพูดเหล่านั้นก็เป็นประชาชนที่อยู่ไกล มิใช่ประชาชนที่อยู่ในบัยตุลมุก็อดดิสแต่อย่างใด และพวกเขาก็ไม่เคยเห็นศาสดาอีซาด้วยและไม่เข้าใจภาษาของท่าน ถ้าหากว่ามีเรื่องราวถูกบันทึกอยู่ในคัมภีร์ไบเบิ้ล, ส่วนใหญ่เป็นเรื่องมุสาทั้งสิ้น เนื่องจากผู้เขียนคัมภีร์ขึ้นมาไม่มีผู้ใดท้วงติง หรือตรวจสอบ และผู้ฟังก็มิได้นำไปสู่การปฏิเสธและมุสาแต่อย่างใด เช่น ในคัมภีร์ไบเบิ้ล ฉบับมะทา กล่าวว่าเมื่อศาสดาอีซาได้ประสูติแล้ว ได้มีพวกบูชาไฟสองสามคนจากตะวันออกเข้ามาหาท่าน และถามท่านว่ากษัตริย์แห่งยะฮูดีที่เพิ่งประสูติอยู่  ที่ใด? เนื่องจากเราได้เห็นหมู่ดวงดาวของเขาปรากฏทางทิศตะวันออก แต่ดวงดาวเหล่านั้นมิได้แสดงสัญลักษณ์อันใด, ทันใดนั้นพวกเราได้เห็นดวงดาวเหล่านั้นขับเคลื่อนอีกในท้องฟ้า จนกระทั่งว่าได้มาหยุดนิ่งเหนือบ้านที่ อีซา (.) ได้ประสูติ พวกเราจึงรู้ว่าเป็นบ้านหลังนั้นเอง, แน่นอนเรื่องราวเหล่านี้ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด เนื่องจากเรื่องเดียวกันแต่ไม่ได้ถูกเขียนเป็นภาษาอิบรูสำหรับคนในบัยตุลมุก็อดดิสแต่อย่างใด, ทว่าสิ่งนั้นได้ถูกเขียนเพื่อคนแปลกหน้า จึงนับว่าเป็นความแปลกอย่างยิ่ง ซึ่งเรามั่นใจว่าไม่มีนักดาราศาสตร์คนใดเชื่อเช่นนั้นเหมือนกันว่า การถือกำเนิดของแต่ละคนต้องมีดวงดาวปรากฏ และขับเคลื่อนไปเหนือศีรษะของเขา, ทั้งพวกบูชาไฟก็ไม่เชื่อเรื่องนี้ และคนอื่นก็เช่นเดียวกัน. กล่าวกันว่าชาวคริสต์มีความเห็นขัดแย้งกันเรื่องการสังหารศาสดาอีซา (.) เนื่องจากคัมภีร์ไบเบิ้ลบางฉบับบันทึกว่า ศาสดาอีซามิได้ถูกสังหารแต่อย่างใด เนื่องจากถ้าหากมีคนหนึ่งถูกสังหารในเมืองแล้วละก็ ไม่อาจปกปิดสายตาของประชาชนส่วนใหญ่ที่ให้ความสนใจในเรื่องดังกล่าวได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการแขวนประจารเช่นนั้น แต่เนื่องจากผู้เขียนไบเบิ้ลได้เขียนด้วยภาษาอื่น และเขียนเพื่อคนแปลกหน้าความแปลกเช่นนี้จึงไม่ถูกพบในบัยตุลมุก็อดดิสแต่อย่างใด เพื่อจะได้พิสูจน์ความจริงให้ปรากฏไปว่า ศาสดาอีซา (.) ถูกสังหารจริงหรือไม่?

ผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิ้ลได้เขียนด้วยความอิสระ ซึ่งทุกสิ่งที่ตนเห็นว่าสมควรก็ได้เขียนบันทึกไว้ในคัมภีร์นั้น โดยไม่มีผู้ใดท้วงติง ซึ่ง 300 ปี หลังจากศาสดาอีซา (.) ได้ประกาศศาสนา เพิ่งจะมีการจัดประชุมและบรรดานักปราชญ์ นัศรอนีได้ปรึกษาหารือกันว่า จะจัดการกับความขัดแย้งที่ปรากฏในคัมภีร์เหล่านั้นอย่างไร พวกเขาได้แสดงทัศนะโดยพร้อมเพียงกันว่า ให้เลือกคัมภีร์ไบเบิ้ลเพียงแค่ 4 เล่ม และปรับปรุงแก้ไขเนื้อหาสาระในคัมภีร์เหล่านั้น ส่วนเล่มอื่นๆ ให้ถือเป็นโมฆะไป ซึ่งเรื่องการไม่ถูกสังหารของศาสดาอีซาที่ปรากฏในคัมภีร์ต่างๆ ถือเป็นเรื่องมุสาและไม่เป็นทางการ[1]

2.เหตุผลที่สองที่บ่งบอกความไม่สมบูรณ์ของศาสนาคริสต์, มีประเด็นมากมายที่บกพร่องและมีการสังคายนาหลายครั้งในคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับปัจจุบัน ดังนั้น ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากหนังสือ เราะฮฺสะอาดะฮฺ เขียนโดยอัลลามะฮฺชะอฺรอนียฺ[2] และหนังสืออิซฮารุลฮัก.เขียนโดยฟาฎิล ฮินดี ฮับบะตุลลอฮฺ บิน เคาะลีลุลลอฮฺ อัรเราะฮฺมาน, กุรอานและคัมภีร์แห่งฟากฟ้าฉบับอื่น, เขียนโดยชะฮีด ฮาชิมี เนะฌอด.

3.เหตุผลที่สาม,การไม่เข้ากันของความเชื่องบางประการของคริสต์กับเหตุผลทางตรรก และสติปัญญา เช่น พวกเขาเชื่อว่า : พระเจ้าที่เป็นพระบุตร,มีรูปร่างเหมือนมนุษย์, พระเจ้าองค์นี้จะเก็บความผิดของปวงบ่าวเอาไว้,ด้วยการถูกตรึงบนไม้กางเขาเพื่อถ่ายบาปให้แก่ปวงบ่าว ขณะในคัมภีร์ไบเบิ้ล ฉบับวารสารของยอห์น...กล่าวว่า

เนื่องจากพระเจ้า,ทรงรักโลกนี้เป็นอย่างยิ่งพระองค์จึงทรงมอบพลีบุตรชายคนเดียวของพระองค์ให้ เพื่อว่าใครก็ตามที่เชื่อถือพระองค์จะได้ไม่พบกับความวิบัติ,ทว่าพวกเขาจะได้มีชีวิตอมตะนิรันดร์, เนื่องจากพระองค์มิได้ทรงส่งบุตรชายของพระองค์มายังโลกนี้เพื่อตัดสินมนุษย์, ทว่าส่งมาช่วยเหลือชาวโลกให้รอดพ้นความวิบัติ[3]

เกี่ยวกับศาสนาของยะฮูดีมี 3 ปัญหาสำคัญดังนี้ ..

1.ฉบับอิบรู ซึ่งอยู่  นักวิชาการชาวยิวและโปรเตสแตนต์ที่เชื่อถือได้

2.ฉบับซามาเรียของ ซึ่ง  ซามิเรียล (เป็นอีกเผ่าหนึ่งของอิสราเอล) ที่เชื่อถือได้

3.ฉบับภาษากรีกของนักวิชาการคริสเตียน ที่ไม่โปรเตสแตนต์ที่เชื่อถือได้

ฉบับซามาเรียนั้นครอบคลุมคัมภีร์อยู่เพียง 5 ฉบับของศาสดามูซา (.) คัมภีร์ของยูชะอ์ และดาวะรอน ส่วนคัมภีร์ฉบับอื่นของพระสัญญาฉบับเก่า ไม่ได้รับความเชื่อถือแต่อย่างใด. ในคัมภีร์ฉบับแรกกล่าวถึงช่วงเวลาที่ห่างกันระหว่างการสร้างอาดัม กับการเกิดน้ำท่วมโลกสมัยนูฮฺ ประมาณ 1656 ปี ส่วนฉบับที่สองกล่าวว่า 1307 ปี และฉบับที่สามกล่าวว่ 1362 ปี. ดังนั้น จะเห็นว่าคัมภีร์ทั้งสามฉบับไม่อาจถูกต้องได้, ทว่าหนึ่งเดียวเท่านั้นคือ ฉบับที่ถูกต้องและเชื่อถือได้แต่ก็ไม่ทราบว่าฉบับใด[4]

2. ในคัมภีร์เตารอตมีบางประเด็นที่สติปัญญาไม่อาจรับได้ เช่น ในคัมภีร์เตารอตกล่าวว่า พระเจ้าทรงมีมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับมนุษย์และทรงท่องเดินไป, ทรงส่งเสียงร้อง, ทรงมุสา, และทรงเจ้าเล่ห์เพทุบายอีกด้วย, เนื่องจากพระเจ้าทรงกล่าวแก่อาดัมว่า ถ้าเจ้าบริโภคผลไม้แห่งความดีและเลวเจ้าจะต้องตาย, แต่ทั้งอาดัมและฮะวาได้บริโภคผลไม้จากต้นไม้ดังกล่าว ไม่เพียงแต่ทั้งสองจะไม่ตายเท่านั้นทว่าเขาทั้งสองยังได้รู้จักความดีและความเลวว่าเป็นอย่างไรอีกด้วย.[5]

หรือเรื่องราวการเล่นมวลปล้ำของพระเจ้ากับศาสดายะอฺกูบ ซึ่งถูกบันทึกอยู่ในคัมภีร์เตารอตเช่นกัน[6]

. เหตุผลที่บ่งบอกว่าอิสลามคือศาสนาแห่งความจริงและดีกว่าคือ

1.ความเป็นอมตะของปาฏิหาริย์ในศาสนาอิสลาม, เนื่องจากปาฏิหาริย์หลักของศาสนานี้คืออัลกุรอานซึ่งถือว่าเป็นพระคัมภีร์แห่งวิชาการและตรรกะ แตกต่างไปจากปาฏิหาริย์ของศาสดาท่านอื่น ซึ่งเป็นภารกิจที่เกิดจากการสัมผัสทางความรู้สึกเสียเป็นส่วนใหญ่ ด้วยเหตุนี้เองอัลกุรอานจึงมีชีวิตเป็นอมตะ นิรันดร์ และพึ่งพาตัวเองไม่ได้ขึ้นอยู่กับชีวิตอันสั้นเพียงเล็กน้อยของท่านศาสดา (ซ็อล ) เท่านั้น ทว่าเป็นปาฏิหาริย์ที่มีความเป็นอมตะนิรันดร์เสมอ

นอกจากนั้นแล้วอัลกุรอานยังได้ท้าทายมนุษย์ทั้งโลกให้ต่อสู้กับอัลกุรอาน ชนิดตาต่อตา ฟันต่อฟัน หรือประกาศความเป็นนิรันดร์ของตัวเองเฉกเช่นอัลกุรอาน โองการกล่าวว่า :และถ้าหากสูเจ้ายังแคลงใจในสิ่งที่เราได้ประทานมาแก่บ่าวของเรา สูเจ้าก็จงนำมาสักบทหนึ่งเยี่ยงนั้น และจงเรียกบรรดาผู้ช่วยเหลือของสูเจ้ามา 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ความหมายของวิลายะฮฺของฮากิมบนสิ่งต้องห้ามคืออะไร?
    9238 สิทธิและกฎหมาย 2555/05/17
    คำนิยามที่ชัดเจนและสั้นของกฎนี้คือ ผู้ปกครองบรรดามุสลิม มีสิทธิบังคับในบางเรื่องซึ่งบุคคลนั้นมีหน้าที่จ่ายสิทธิ์ (ในความหมายทั่วไป) แต่เขาได้ขัดขวาง ดังนั้น ผู้ปกครองมีสิทธิ์บังคับให้เขาจ่ายสิทธิที่เขารับผิดชอบอยู่ ในช่วงระยะเวลาที่ไม่ใกล้ไกลนี้ มรดกทางบทบัญญัติได้ให้บทสรุปแก่มนุษย์ในการยอมรับว่า วิลายะฮฺของฮากิมที่มีต่อสิ่งถูกห้าม ในฐานะที่เป็นแก่นหลักของประเด็น (โดยหลักการเป็นที่ยอมรับ) ณ บรรดานักปราชญ์ทั้งหมด โดยไม่ขัดแย้งกัน, แม้ว่าบางท่านจะกล่าวถึงองค์ประกอบที่แตกต่างกันก็ตาม ...
  • กรุณาอธิบายสาเหตุและเงื่อนไขของวะลียุลฟะกีฮ์ ตลอดจนเหตุผลที่เลือกพณฯอายะตุลลอฮ์ อุซมา คอเมเนอี ขึ้นดำรงตำแหน่งวะลียุลฟะกีฮ์.
    7001 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/12
    ในทัศนะของชีอะฮ์, วิลายะฮ์ของฟะกีฮ์(ผู้เชี่ยวชาญศาสนา)ในยุคที่อิมามเร้นกายนั้นเป็นผลต่อเนื่องมาจากวิลายะฮ์ของบรรดาอิมามมะอ์ศูม(อ) กล่าวคือในยุคที่อิมามมะอ์ศูม(อ)ยังไม่ปรากฏกายหน้าที่การปกครองดูแลประชาคมมุสลิมจะได้รับการสืบทอดสู่บรรดาฟะกีฮ์ซึ่งฟุก่อฮา(พหูพจน์ฟะกีฮ์
  • ในกุรอานมีกี่ซูเราะฮ์ที่มีชื่อเหมือนบรรดานบี?
    21198 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/03/04
    ในกุรอานมีหกซูเราะฮ์ที่มีชื่อคล้ายบรรดานบี ได้แก่ ซูเราะฮ์นู้ห์, อิบรอฮีม, ยูนุส, ยูซุฟ, ฮู้ด และ มุฮัมมัด อย่างไรก็ดี จากคำบอกเล่าของฮะดีษบางบททำให้นักอรรถาธิบายกุรอานเชื่อว่า ซูเราะฮ์บางซูเราะฮ์อย่างเช่น ฏอฮา[1], ยาซีน[2], มุดดัษษิร[3], มุซซัมมิ้ล[4] หมายถึงท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) จึงอาจจะจัดได้ว่าซูเราะฮ์ต่างๆข้างต้นถือเป็นซูเราะฮ์ที่มีชื่อเหมือนบรรดานบีได้เช่นเดียวกัน คำถามนี้ไม่มีคำตอบเชิงรายละเอียด [1] มะการิม ชีรอซี,นาศิร,ตัฟซี้รเนมูเนะฮ์,เล่ม ...
  • เป็นไปได้หรือไม่ที่จะรู้จักบุคคลสำคัญในสวรรค์และนรก?
    7033 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/03/07
    มีหลายโองการในกุรอานที่กล่าวถึงบทสนทนาระหว่างชาวสวรรค์และชาวนรก ซึ่งทำให้พอจะทราบคร่าวๆได้ว่าชาวสวรรค์สามารถที่จะรับรู้สภาพและชะตากรรมของบุคคลต่างๆในนรกได้ นอกจากนี้ เหล่าบุรุษชาวอะอ์ร้อฟรู้จักสีหน้าของชาวสวรรค์และชาวนรกเป็นอย่างดี มีฮะดีษมากมายที่ระบุว่าเหล่าบุรุษแห่งอะอ์ร้อฟนั้น ตามนัยยะเชิงแคบก็คือบรรดาอิมามมะอ์ศูม(อ.) ส่วนนัยยะเชิงกว้างก็หมายถึงบรรดามนุษย์ที่ได้รับการเลือกสรร ซึ่งจะอยู่ในลำดับถัดจากบรรดาอิมาม โดยบุคคลเหล่านี้อยู่เหนือชาวสวรรค์และชาวนรกทั้งมวล เราขอนำเสนอความหมายของโองการเหล่านี้ดังต่อไปนี้ 1. โองการที่ 50-57 ซูเราะฮ์ อัศศ้อฟฟ้าต “ในสรวงสวรรค์ ผู้คนต่างหันหน้าเข้าหากันแล้วถามไถ่กันและกัน โดยหนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นว่า แท้จริงฉันมีสหายคนหนึ่งที่ถามฉันว่า เธอเชื่อได้อย่างไรที่ว่าหลังจากที่เราตายและกลายเป็นธุลีดินแล้ว จะถูกนำไปพิพากษา (ชาวสวรรค์กล่าวว่า) ท่านรับรู้สภาพปัจจุบันของเขาหรือไม่? เมื่อนั้นก็ได้ทราบว่าเขาอยู่ ณ ใจกลางไฟนรก (ชาวสวรรค์)กล่าวแก่เขาว่า ขอสาบานต่อพระองค์ เจ้าเกือบจะทำให้ฉันหลงทางแล้ว หากปราศจากซึ่งพระเมตตาของพระองค์ ฉันคงจะอยู่(ในไฟนรก)เช่นกัน”[1] 2. โองการที่ 50-57 ซูเราะฮ์ มุดดัษษิร “ทุกคนย่อมค้ำประกันความประพฤติของตนเอง นอกจากสหายแห่งทิศขวาซึ่งจะถามไถ่กันในสรวงสวรรค์ ...
  • เป็นไปได้อย่างไรที่คนเราจะรักและกลัวอัลลอฮ์ในขณะเดียวกัน?
    6326 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/23
    ความหวังความรักและความกริ่งเกรงที่มีต่ออัลลอฮ์ไม่ถือเป็นเรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใดเพราะความรู้สึกเหล่านี้เกิดขึ้นในชีวิตของเราทุกคนเป็นปกติเพียงแต่เราอาจจะเคยชินเสียจนไม่รู้ตัวแม้แต่การเดินเหินตามปกติของเราก็เกิดจากปัจจัยทั้งสามประการดังกล่าวเนื่องจากหากไม่มีความหวังเราก็จะไม่ก้าวเท้าเดินและหากไม่ก้าวเท้าเดินก็จะไม่มีวันถึงจุดหมายและหากไม่มีความกลัวเราก็จะไม่ระวังตัวจนอาจประสบอุบัติเหตุได้ซึ่งก็จะทำให้ไม่สามารถไปถึงจุดหมายได้เช่นกันตัวอย่างที่ชัดเจนอีกประการก็คือการใช้สอยเครื่องอำนวยความสะดวกเช่นยานพาหนะเครื่องใช้ไฟฟ้าเตาแก๊สฯลฯเรามีความสุขและรักที่จะใช้สอยสิ่งเหล่านี้แต่หากเราใช้สอยโดยไม่ระมัดระวังและไม่เกรงภัยที่อาจเกิดขึ้นเครื่องอำนวยความสะดวกเหล่านี้ก็อาจเป็นอันตรายแก่เราได้ทุกเมื่อ ด้วยเหตุนี้เองการผนวกความรักความกลัวและความหวังเข้าด้วยกันจึงไม่ไช่เรื่องที่น่าแปลกใจแต่อย่างใด ในกรณีของอัลลอฮ์ก็เช่นกันควรต้องกริ่งเกรงรักและคาดหวังในพระองค์ในเวลาเดียวกันทั้งนี้ก็เนื่องจากความรักและความหลงใหลในพระองค์จะสร้างแรงบันดาลใจให้มนุษย์เคลื่อนไหวสู่การปฏิบัติในสิ่งที่พระองค์พึงพอพระทัยเพื่อให้ได้รับความการุณย์และลาภเนียะมัตต่างๆทั้งในโลกนี้และโลกหน้าส่วนความกริ่งเกรงก็จะเป็นแรงบันดาลใจให้ต้องนอบน้อมยอมสยบต่อคำบัญชาของพระองค์และพยายามหลีกห่างกิเลสตัณหาและปัจจัยต่างๆที่จุดเพลิงพิโรธของพระองค์ การจับคู่กันระหว่างความหวังและความกลัวนี้จะทำให้บุคคลทั่วไปได้อยู่เย็นเป็นสุขและปราศจากความหวาดผวาในโลกหน้าเนื่องจากโลกนี้คือสถานที่หว่านเมล็ดพันธุ์เมล็ดที่หว่านไปต้องได้รับการปกป้องจากภัยคุกคามเพื่อรอให้ถึงวันเก็บเกี่ยวผลผลิตและในวันเก็บเกี่ยวผลผลิตย่อมไม่จำเป็นต้องมีการปกป้องใดๆอีกต่อไป โดยลำพังแล้วความกลัวจะนำมาซึ่งความท้อแท้ความเบื่อหน่ายและความเครียดส่วนความหวังและความรักนั้นหากไม่กำกับไว้ด้วยความกลัวก็จะนำพาสู่ความลำพองตนความดื้อรั้นซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคุณสมบัติที่ไม่พึงประสงค์ทั้งสิ้น ...
  • ทำไมจึงให้สร้อยนามมะอ์ศูมะฮ์แก่ท่านหญิงฟาติมะฮ์ มะอ์ศูมะฮ์ ท่านดำรงสถานะมะอ์ศูมด้วยหรืออย่างไร?
    7718 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/06/23
    ชื่อของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ คือ“ฟาติมะฮ์” ตำราประวัติศาสตร์ก็ได้เอ่ยถึงท่านโดยใช้นามว่า ฟาติมะฮ์ บินติ มูซา บินญะอ์ฟัร (อ.) ท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ไม่ได้เป็นมะอ์ศูมในความหมายทางหลักของศาสตร์แห่งเทววิทยาอิสลามอย่างที่ใช้กับบรรดาศาสดาและบรรดาอะอิมมะฮ์ แต่ทว่าเธอมีความบริสุทธิ์ทางจิตใจและความเพียบพร้อมทางด้านจิตใจที่สูงส่ง อนึ่ง ประเด็นของอิศมะฮ์และความบริสุทธิ์ถือเป็นประเด็นที่ต้องอาศัยการเปรียบเทียบกับสิ่งอื่น เมื่อคำนึงถึงฮะดีษหลายบทที่ได้กล่าวถึงฐานันดรและความสูงส่งของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์แล้ว สามารถกล่าวได้ว่าท่านนั้นมีความสูงส่งในด้านของอิศมะฮ์ ในระดับสูง – แม้ไม่ถึงขั้นของอะอิมมะฮ์ ...
  • ระหว่างการกระทำกับผลบุญที่พระองค์จะทรงตอบแทนนั้น มีความสอดคล้องกันหรือไม่?
    7583 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/10/18
    การสัญญาว่าจะมอบผลบุญให้อย่างที่กล่าวมามิได้ขัดต่อความยุติธรรมหรือหลักดุลยภาพระหว่างการกระทำกับผลบุญแต่อย่างใดเพราะหากจะนิยามความยุติธรรมว่าคือ"การวางทุกสิ่งในสถานะอันเหมาะสม"ซึ่งในที่นี้ก็คือการวางผลบุญบนการกระทำที่เหมาะสมก็ต้องเรียนว่ามีความเหมาะสมเป็นอย่างดีเนื่องจาก ก. จุดประสงค์ของฮะดีษที่อธิบายผลบุญเหล่านี้คือการเน้นย้ำถึงความสำคัญของอิบาดะฮ์ที่กล่าวถึงมิได้ต้องการจะดึงฮัจย์หรือญิฮาดลงต่ำแต่อย่างใดซ้ำยังถือว่าฮะดีษประเภทนี้กำลังยกย่องการทำฮัจย์หรือญิฮาดทางอ้อมได้อีกด้วยเนื่องจากยกให้เป็นมาตรวัดอิบาดะฮ์ประเภทอื่นๆ
  • จำเป็นต้องสวมแหวนทางมือขวาด้วยหรือ ?
    14417 สิทธิและกฎหมาย 2554/09/25
    หนึ่งในแบบฉบับของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และอิมามผู้บริสุทธิ์คือการสวมแหวนทางนิ้วมือข้างขวาซึ่งมีรายงานกล่าวไว้ถึงประเภทของแหวนรูปทรงและแบบ. นอกจากคำอธิบายดังกล่าวที่ว่าดีกว่าให้สวมแหวนทางนิ้วมือข้างขวาแล้วบทบัญญัติทั้งหมดที่กล่าวเกี่ยวกับแหวนก็จะเน้นเรื่องการเป็นมุสตะฮับและเฉพาะผู้ชายเท่านั้นที่ห้ามสวมแหวนทอง (และเครื่องประดับทุกชนิดที่ทำจากทองคำ) ซึ่งได้ห้ามในลักษณะที่เป็นความจำเป็นด้วยเหตุนี้
  • เพราะเหตุใดกุญแจสู่สรวงสวรรค์คือ นมาซ?
    8133 จริยธรรมทฤษฎี 2555/05/17
    เป้าหมายของการสร้างมนุษย์ก็เพื่อ การแสดงความเคารพภักดีและการรู้จักพระเจ้า, ซึ่งการแสดงความเคารพภักดีต่อพระเจ้านั้น จะทำให้มนุษย์ก้าวไปสู่ความสมบูรณ์ และตำแหน่งอันใกล้ชิดต่อพระเจ้า, นมาซ คือภาพลักษณ์ที่ดีและสวยงามที่สุดของการแสดงความเคารพภักดีต่อพระเจ้า หรือการแสดงความเป็นบ่าวที่ดีต่อพระผู้ทรงสร้าง, ความเคร่งครัดต่อนมาซ 5 เวลาคือสาเหตุของความประเสริฐและเป็นพลังด้านจิตวิญญาณ ซึ่งทำให้มนุษย์ละเว้นการทำความผิดบาป หรือการแสดงความประพฤติไม่ดี อีกด้านหนึ่งเป็นการสนับสนุนส่งเสริมให้พลังแห่งความสำรวมตน ภายในจิตใจมนุษย์มีความเข้มแข็งขึ้น, ในกรณีนี้ เข้าใจได้ทันทีว่า เพราะอะไรนมาซ, จึงเป็นกุญแจสู่สรวงสวรรค์ ต้องไม่ลืมที่จะกล่าวว่า, นมาซคือหนึ่งในภาคปฏิบัติที่เป็นอิบาดะฮฺ อันมีผลบุญคือ เป็นกุญแจสู่สรวงสวรรค์, เนื่องจากรายงานฮะดีซ,เกี่ยวกับความรักที่มีต่อบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) คือ การกล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ, ความอดทน ...ก็ถือว่าเป็นกุญแจแห่งสรวงสวรรค์เช่นกัน, และเช่นกันสิ่งที่เข้าใจได้จากรายงานที่ว่า นมาซพร้อมกับความศรัทธามั่นที่มีต่ออัลลอฮฺ ความเป็นเอกะของพระองค์ ขึ้นอยู่กับความรักที่มีต่อบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) เป็นความสัมพันธ์เกี่ยวข้องที่มีความพิเศษยิ่งต่อกัน ...
  • คำพูดของอิมามศอดิกที่ว่า “ยี่สิบห้าอักขระแห่งวิชาการจะแพร่หลายในยุคที่อิมามมะฮ์ดีปรากฏกาย” หมายความว่าอย่างไร?
    8198 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/03/04
    ความเจริญรุดหน้าทางวิทยาการทั้งทางโลกและทางธรรมนั้น เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในยุคที่ท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)ปรากฏกาย วิทยาการจะรุ่งเรืองถึงขีดสุดในยุคนี้ ดังที่ปรากฏในฮะดีษที่ผู้ถามอ้างอิงไว้ข้างต้น อย่างไรก็ดี ฮะดีษทำนองนี้มิได้ระบุว่ามนุษย์ในยุคดังกล่าวจะสามารถเรียนรู้วิทยาการทั้งยี่สิบเจ็ดอักขระอย่างรวดเร็วเหมือนกันหมดทุกคน ทว่าฮะดีษของอิมามศอดิก(อ.)ข้างต้นใช้คำว่า “أخرج”[1] อันหมายถึงการที่ท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)จะนำอักขระที่เหลือออกมาเผยแพร่ เพื่อให้มนุษยชาติได้มีโอกาสเรียนรู้วิทยาการทั้งยี่สิบเจ็ดอักขระอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ อันเป็นการแผ่ขยายโอกาสอย่างกว้างขวาง แต่การที่ทุกคนสามารถจะเรียนรู้ได้ครบยี่สิบเจ็ดอักขระเท่าเทียมกันได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความไฝ่รู้ของแต่ละคน ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีบุคคลจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่บรรลุถึงวิทยฐานะอันสูงส่ง โดยจะเป็นผู้จัดตั้งสถานศึกษาและประสิทธิประสาทวิชาการแก่ผู้ที่สนใจสืบไป ดังที่อิมามอลี(อ.)กล่าวไว้ว่า “เสมือนว่าฉันกำลังเห็นเหล่าชีอะฮ์ของฉันกางเต๊นท์ในมัสญิดกูฟะฮ์เพื่อเป็นสถานที่สอนความรู้อันบริสุทธิจากอัลกุรอานแก่ประชาชน”[2] ข้อสรุป: แม้ว่าท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)จะเปิดศักราชแห่งการศึกษาวิทยาการถึงยี่สิบเจ็ดอักขระภายหลังจากที่ท่านปรากฏกาย อันกล่าวได้ว่าอาจเป็นโอกาสในการก้าวกระโดดทางวิชาการ แต่ก็มีบางคนในยุคนั้นที่ไม่สามารถจะบรรลุถึงเป้าหมายดังกล่าวได้ การจะบรรลุเป้าหมายทางวิชาการจะต้องอาศัยความพากเพียร เปรียบดั่งเป้าหมายแห่งตักวาที่ทุกคนสามารถไขว่คว้ามาได้ด้วยความบากบั่น ฉะนั้น ในเมื่อการบรรลุถึงจุดสูงสุดของตักวายังต้องอาศัยความอุตสาหะ การบรรลุถึงวิชาการทั้งยี่สิบเจ็ดอักขระก็ต้องอาศัยความพยายามและความมุมานะเช่นกัน

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60628 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58244 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42744 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40206 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39369 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34478 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28552 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28463 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28402 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26333 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...