การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
10062
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/06/21
 
รหัสในเว็บไซต์ fa73 รหัสสำเนา 14712
หมวดหมู่ เทววิทยาใหม่
คำถามอย่างย่อ
ตามคำสอนของศาสนาอื่น นอกจากอิสลาม, สามารถไปถึงความสมบูรณ์ได้หรือไม่? การไปถึงเตาฮีดเป็นอย่างไร?
คำถาม
ตามคำสอนของศาสนาอื่น นอกจากอิสลาม, สามารถไปถึงความสมบูรณ์ได้หรือไม่? การไปถึงเตาฮีดเป็นอย่างไร?
คำตอบโดยสังเขป

แม้ว่าปัจจุบันนี้จะมีความถูกต้องอยู่บ้างในบางศาสนาดั่งที่เราได้เห็นประจักษ์กับสายตาตัวเอง, แต่รูปลักษณ์ที่สมบูรณ์ของความจริง ซึ่งได้แก่เตาฮีด, มีความประจักษ์ชัดเฉพาะในศาสนาอิสลามเท่านั้น, เหตุผลหลักสำหรับการพิสูจน์คำพูดดังกล่าว,คือการไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ การถูกบิดเบือน และความบกพร่องต่างๆ ทางปัญญาในศาสนาต่างๆ ขณะที่ด้านตรงข้าม, การไม่ถูกเปลี่ยนแปลงและไม่ถูกสังคายนาของอัลกุรอาน, มีหลักฐานและประวัติที่เชื่อถือได้, คำสอนที่ครอบคลุมของอิสลาม, การเข้ากันได้อย่างเป็นธรรมชาติของคำสอนอิสลามกับสติปัญญาสมบูรณ์

คำตอบเชิงรายละเอียด

สำหรับความกระจ่างชัดในคำตอบ จำเป็นต้องกล่าวถึงประเด็นต่างๆ เช่น : เหตุผลที่ไม่กระจ่างชัดของศาสนาอื่นบนโลกนี้ กับเหตุผลประจักษ์ของศาสนาอิสลาม ... เป็นประเด็นที่ต้องนำมาวิเคราะห์ :

) เหตุผลในความล้มเหลวของศาสนาอื่นบนโลก (ยกเว้นอิสลาม)

ก่อนที่จะอธิบายถึงหลักฐานในความล้มเหลวของศาสนาอื่น  ในโลก, จำเป็นต้องกล่าวถึงสองประเด็นดังนี้ :

ประเด็นแรก : จุดประสงค์ของเราไม่ได้หมายความว่าทุกสิ่งที่มีอยู่ในศาสนาที่มีอยู่ทุกวันนี้ จะถือเป็นโมฆะ, โดยไม่อาจพบคำพูดที่เป็นจริงได้เลย, แต่ทว่าวัตถุประสงค์คือมีประเด็นในศาสนาที่มีอยู่ทุกวันนี้เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ ซึ่งศาสนาเหล่านั้นไม่อาจอธิบายรูปลักษณ์ที่สมบูรณ์แท้จริงได้

ประเด็นที่สอง : ในการวิเคราะห์สั้นๆ จะกล่าวถึงความล้มเหลวในมุมหนึ่งของ 2 ศาสนาสำคัญบนโลกนี้, กล่าวคือศาสนาคริสต์และศาสนายะฮูดียฺ คุณค่าและความถูกต้องในส่วนที่เหลือของศาสนา ในแง่ความชอบธรรมทางศาสนา ความน่าเชื่อถือและการยอมรับของทั้งสองลดลงไปจนต่ำกว่ามาตรฐาน

หลักฐานได้พิสูจน์ความจริงแล้วว่า ศาสนาคริสต์ในทุกวันนี้ไม่สามารถแสดงรูปลักษณ์ที่สมบูรณ์ของความจริงได้, เหล่านี้คือ :

1 พระคัมภีร์อิลญีล (ไบเบิล) เชื่อถือไม่ได้ ไม่มีหลักฐานเด่นชัดแน่นอน

ศาสดาอีซา (.) หรือเยซูมาจากวงศ์วาอิสราเอล ภาษาของท่านคือฮิบรู ท่านได้ประกาศเชิญชวนอยู่ในเยลูซาเล็ม ทั้งที่ประชาชนในที่นั้นเป็นชนชาติ ฮิบรู แต่ไม่มีผู้ใดศรัทธาในตัวท่าน, เว้นเสียแต่ว่ามีจำนวนน้อยนิดซึ่งเราไม่รู้ถึงสภาพที่แท้จริงของพวกเขา,แต่มีประชาชนสองสามคนจากเยลูซาเล็ม ซึ่งใช้ภาษากรีก พวกเขารู้ว่าจะถูกกระจายไปในเมืองของเอเชียไมเนอร์ เพื่อเชิญชวนประชาชนไปสู่ศาสนาของอีซา และจะเขียนหนังสือเป็นภาษากรีกขึ้นมา, ในเรื่องราวเหล่านั้นคนกรีกและโรมันพูดว่า : อีซาได้กล่าวไว้เช่นนี้และเช่นนั้น ประชาชนที่เคยเห็นศาสดาอีซา และเห็นการกระทำคำพูด อีกทั้งเข้าใจภาษาของท่าน พวกเขาอยู่ในปาเลสไตน์แต่ไม่ยอมรับศาสดาอีซา (.) ส่วนเรื่องราวต่างๆ ที่ได้ถูกเขียนขึ้นเป็นภาษากรีกถือว่าคลุมเครือเป็นเท็จ ส่วนผู้คนที่ยอมรับหนังสือและเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ เป็นประชาชนที่อยู่ไกลโพ้น ซึ่งพวกเขาไม่เคยเห็นเมืองเยลูซาเล็มเสียด้วยซ้ำไป และไม่เคยเห็นศาสดาอีซา อีกทั้งไม่เข้าใจภาษาของท่านด้วย, ดังนั้น ถ้าเรื่องราวต่างๆ ที่เขียนไว้ในคัมภีร์ อินญีล, เป็นการกุการมุสาขึ้นมาก็จะไม่มีใครห้ามปรามผู้เขียน หรือผู้ได้ยินจะมีหนทางปฏิเสธการกุมุสา

เช่นในคัมภีร์อินญีล แมทธิว เขียนว่าเมื่อท่านศาสดาอีซาประสูติ, พวกกราบไหว้ดวงดาวหลายคนจากภาคตะวันออกได้มาและถามว่ากษัตริย์ของชาวยะฮูดีย์ที่เกิดมาอยู่ที่ไหน? พวกเราได้เห็นดาวของเขาในทางตะวันออก แต่พวกเขาไม่ได้แสดงให้ดู, ทันใดนั้นเองพวกเขาได้เห็นดวงดาวในท้องฟ้าเคลื่อนไป และหยุดอยู่เหนือบ้านที่พระเยซู (.) ได้ประสูติในนั้น แน่นอน เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องกุขึ้นมาไม่มีมูลความจริง, เราเชื่อว่าไม่มีนักดาราศาสตร์คนใดเชื่อว่า การถือกำเนิดของใครบางคน จะมีดวงดาวเกิดในท้องฟ้า, และเคลื่อนเหนือศีรษะของเขา, บรรดาผู้กราบไหว้ดวงดาวและไม่ได้กราบไหว้ต่างไม่ได้เชื่อเช่นนั้น เช่นกันกล่าวว่าบรรดาชาวตริสต์โบราณมีความขัดแย้งกันในเรื่อง เยซูถูกสังหาร. อินญีลบางเล่มยืนยันว่าศาสดาอีซาไม่ได้ถูกสังหาร, ทั้งที่ถ้าหากมีคนคล้ายศาสดาอีซาถูกสังหารแทน ก็จะไม่มีสิ่งใดปกปิดคนส่วนใหญ่ได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการถูกตรึงบนไม้กางเขน แต่นักเขียนอีลญีลเป็นชาวตะวันตก และชาวตะวันตกก็ไม่ได้อยู่ในเยลูซาเล็ม เพื่อว่าจะได้รู้ความจริงเรื่องการถูกสังหารของอีซา หรือว่าไม่ได้ถูกสังหาร, นักเขียนอินญีลได้เขียนด้วยความอิสระเรื่องใดคิดว่ามีความเหมาะสมก็ได้เขียนลงไป 300 ปีหลังอีซาได้จากไปจึงมีการจัดประชุม และผู้รู้นัซรอนีได้ให้คำปรึกษาว่า จะแก้ไขข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นนี้อย่างไร, ความคิดเห็นของพวกเขาคือ ในหมู่คัมภีร์อินญีลทั้งหลายให้เลือกเอาอินญีลเพียง 4 เล่ม และสังคายนาเนื้อหาใหม่ทั้ง 4 เล่ม ส่วนคัมภีร์เล่มอื่นที่เหลืออยู่ถือเป็นโมฆะไป ส่วนการไม่ถูกสังหารของอีซาให้ลบออกไป และไม่ถือเป็นทางการ[1]

2. เหตุผลที่สองของความล้มเหลวในศาสนาคริสต์, คือมีหลายประเด็นบ่งบอกถึงความไม่สมบูรณ์และการถูกเปลี่ยนแปลง ในคัมภีร์อินญิลฉบับปัจจุบัน.ดังนั้น เพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมให้ศึกษาจากหนังสือต่างๆ ดังนี้เราะฮฺสะอาดะฮฺเขียนโดยอัลลามะฮฺ ชะอฺรอนนียฺ[2] และอิซฮารุลฮักเขียนโดยฟาฎอล ฮินดี, และกุรอานวะกิตาบฮอเยะออเซมอนนีดีฆัรเขียนโดย ชะฮีดฮาชิมมี เนะฌอซ

3. เหตุผลที่สาม, ความล้มเหลวของศาสนาคริสต์คือ หลักความเชื่อของศาสนาคริสต์บางอย่าง ไม่เข้ากับเหตุและผลหรือสติปัญญาแต่อย่างใด, เช่น เชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นเด็ก, และทรงปรากฏมาในร่างของมนุษย์, เพื่อเผชิญกับบาปของมนุษย์และจะอดทนอยู่บนไม้กางเขา, จะไถ่บาปของมนุษย์, ในอินญีลยอห์น เขียนว่า : เนื่องจากพระเจ้าทรงรักโลกนี้มาก จีงประทานบุตรชายเพียงคนเดียวของพระองค์ลงมา, และใครที่ศรัทธาในตัวเขาจะไม่พบกับความพินาศ, ทว่าจะมีชีวิตเป็นอัมตะ, เนื่องจากพระเจ้าไม่ได้ส่งพระบุตรลงมาเพื่อตัดสินโลก, แต่เพื่อให้เขาได้มาช่วยเหลือโลก[3]

เกี่ยวกับศาสนายะฮูดียฺ เช่นเดียวกันมีปัญหาคล้ายคลึงกัน, เนื่องจากอันดับแรก : คัมภีร์เตารอตมี 3 ฉบับด้วยกัน

1 . ฉบับภาษาฮิบรู ซึ่งอยู่กับพวกยะฮูดและนักวิชาการโปรเตสแตนต์ถูกต้อง

2. ฉบับซามาเรีย ซึ่งอยู่กับซามาเรีย (อีกเผ่าหนึ่งของอิสราเอล) ที่ถูกต้อง

3. รุ่นภาษากรีก ซึ่งผู้รู้ชาวคริสต์ที่มิใช่โปรแตสแตนต์ ถือว่าถูกต้อง

รุ่น ซามาเรีย ครอบคลุมเฉพาะคัมภีร์ห้าเล่มของโมเสส (.) และหนังสืออื่น  พระคัมภีร์เดิมของโยชูวาและผู้พิพากษา ส่วนคัมภีร์อื่น พันธสัญญาเก่าถือว่าเชื่อถือไม่ได้ ช่วงเวลาและระยะห่างระหว่างการสร้างศาสดาอาดัม จนถึงพายุของศาสดานูฮฺ คัมภีร์ฉบับแรกกล่าวว่าประมาณ 1656 ปี ส่วนในฉบับที่สิง กล่าว่าประมาณ 1307 ปี ฉบับที่สามกล่าวว่าประมาณ 1362 ปี ดังนั้นคัมภีร์ทั้งสามฉบับไม่อาจถูกต้องทั้งหมด, ทว่าหนึ่งในนั้นต้องเชื่อถือได้และถูกต้อง แต่ก็ยังไม่รู้อีกว่าเป็นฉบับใด[4]

ประการที่สอง : ในคัมภีร์เตารอตมีเรื่องราวบางเรื่องที่สติปัญญาของมนุษย์ไม่อาจรับได้.

เช่น ในคัมภีร์เตารอตพระเจ้าได้ถูกแนะนำในรูปร่างของมนุษย์ เดินไปมา, ร้องเพลง มุสา และเจ้าเล่ห์เพทุบาย, เนื่องจากพระเจ้าได้กล่าวแก่อาดัมว่า ถ้าเจ้ากินต้นไม้ดีและไม่ดีเจ้าจะตาย, แต่อาดัมและฮะวาได้กินผลไม้จากต้นไม้นั้น ซึ่งไม่ใช่ว่าทั้งจะไม่ตายเพียงอย่างเดียว, ทว่ายังได้รู้จักทั้งดีและเลวว่าเป็นอย่างไร[5]

หรือเรืองราวการเล่นมวยปล้ำของพระเจ้ากับศาสดายะอฺกูบ ซึ่งมีบันทึกอยู่ในคัมภีร์เตารอตด้วย[6]

) เหตุผลความจริงที่ดีกว่าของอิสลาม

1.มีชีวิตและเป็นนิรันดร์ปาฏิหาริย์ของศาสนาอิสลาม, เนื่องจากปาฏิหาริย์หลักของอิสลามคืออัลกุรอานซึ่งเป็นชนิดของคัมภีร์ ตรรกะ และวิชาการต่างไปจากปาฏิหาริย์ของบรรดาศาสดาอื่นในอดีต ซึ่งเป็นภารกิจแห่งความรู้สึกด้วยเหตุนี้เอง อัลกุรอานจึงมีชีวิตตลอดเวลา และพึ่งตนเอง และไม่ขึ้นอยู่กับสถานะและการมีชีวิตของพระศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ) แต่อย่างใด ด้วยสาเหตุนี้เอง อัลกุรอานจึงเป็นปาฏิหาริย์ของอิสลามที่เป็นอมตะนิรันดร์

นอกจากนี้ อัลกุรอานยังได้ประกาศท้าทาย ชาวโลกให้นำสิ่งคล้ายเหมือนมา, และประกาศการมีชีวิตและเป็นอมตะไปของตนว่า : และถ้าหากพวกเจ้ายังแคลงใจในสิ่งที่เราได้ประทานมาแก่บ่าวของเรา พวกเจ้าก็จงนำมาสักบทหนึ่งเยี่ยงนั้น[7]

2. การไม่ถูกสังคายนาของอัลกุรอาน, กล่าวคือไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้นเกิดขึ้นในอัลกุรอาน

ซึ่งนอกเหนือจากคำสัญญาของพระเจ้าที่ว่าแท้จริงเราเป็นผู้รักษามันอย่างแน่นอน[8] ท่านศาสดา (ซ็อล ) มีความสนใจเป็นพิเศษที่จะปกป้องความถูกต้องไว้ ประการแรก : ท่านได้สั่งให้สหายกลุ่มหนึ่งรู้จักกันในนามผู้บันทึกวะฮฺยูให้บันทึกทุกสิ่งเอาไว้ เพื่อว่าโองการและบทต่างๆ จะได้ถูกบันทึกเอาไว้, ประการที่สอง : มีการสนับสนุนอย่างมากมายเพื่อให้เหล่าสหายและหมู่มิตรท่องจำอัลกุรอาน, ด้วยเหตุนี้เองมีสหายจำนวนมากในสมัยท่านศาสดา (ซ็อล ) เป็นนักท่องจำอัลกุรอาน ประการที่สาม : ส่งเสริมการอ่าน, กล่าวคือควรจะอ่านตรงคำพูดด้วยลักษณะของวาจาและถูกหลักการอ่าน, มิใช่เป็นเพียงการศึกษาหาความรู้และความเข้าใจเพียงอย่างเดียว[9]

เหล่านี้คือตัวการสำคัญที่ช่วยปกป้องอัลกุรอานจากความเสียหายและการบิดเบือน

3. แนวทางในการพิสูจน์ความจริงของอิสลาม, คือการให้ความสำคัญต่อปัญหาการเป็นศาสดาท่านสุดท้ายของนบีมุฮัมมัด (ซ็อล ), เนื่องจากตำราศาสนาอิสลาม[10]เน้นย้ำว่า ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ) คือศาสดาสุดท้ายแห่งพระเจ้าและหลังจากท่านจะไม่มีศาสดาใดถูกประทานลงมาอีก

ในสังคมมนุษย์จะยึดถือเอาคำแนะนำครั้งสุดท้าย ของผู้บริหารและหัวหน้าเป็นเกณฑ์ในการปฏิบัติ, และถือว่าจำเป็นต้องปฏิบัติตาม , ด้วยการมาของคำสั่งใหม่ คำสั่งเก่าจะสิ้นสุดวาระไปโดยปริยาย

ตามคำสอนของศาสนาอื่นมิได้ระบุถึงศาสดาสุดท้ายของพวกเขาเลย, ทว่าเป็นการแนะนำให้ทราบถึงการปรากฏของศาสดาแห่งอิสลามโดยแนะนำแก่ศาสนิกของตน[11]หมายถึงได้แสดงออกชั่วคราวของพวกเขาให้เห็น

4. ประเด็นที่สี่ที่ต้องพิจารณาอย่างยิ่งคือ ปัญหาความครอบคลุมของอิสลาม ศาสนาอิสลามในมิติต่างๆ มากมายได้สอนเรื่องของชีวิตส่วนตัวและสังคม วัตถุ และสอนเรื่องทางจิตวิญญาณเอาไว้. เพื่อการรู้จักสังคมที่ดีกว่า และวิชาการที่ยิ่งใหญ่กว่าของศาสนาอิสลาม ต้องมีการศึกษาเปรียบเทียบเนื้อหาข้อความศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลาม กับศาสนาอื่น  ในนั้นจะเห็นความเป็นเลิศและความครอบคลุมในด้านการสอนของศาสนาอิสลาม ในด้านความเชื่อ, พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวและคุณลักษณะของพระเจ้า, จริยธรรมของแต่ละบุคคลและสังคม, กฎหมาย, เศรษฐศาสตร์ การเมือง และการปกครองและ ... ซึ่งจะเห็นได้ชัด

5. ประเด็นที่ห้า, ในประวัติศาสตร์ของศาสนาที่มีอยู่ในโลกปัจจุบัน ศาสนาเดียวเท่านั้นที่มีประวัติ มีชีวิต และน่าเชื่อถือ, คืออิสลาม ซึ่งนักประวัติศาสตร์ได้บันทึกรายละเอียดในวัยเด็กของพระศาสดาไว้ด้วย ในขณะที่ศาสนาอื่น  ไม่ได้มีเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่เชื่อถือได้แต่อย่างใด ดังนั้น นักคิดตะวันตกบางคนจึงมีความสงสัย แม้ในการมีอยู่ของพระเยซู (.) ถ้ากุรอานของเราชาวมุสลิม ไม่พูดถึงเรื่องราวของพระเยซูและศาสดาคนอื่น , บางทีศาสนาคริสต์ ศาสนายิว และศาสดาของพวกเขาอาจจะไม่ได้ถูกรู้จักหรือถูกตระหนักถึงเลยในสังคมมนุษย์ก็ว่าได้[12]



[1] ชะอฺรอนนียฺ,อบุลฮะซัน, เราะฮฺสะอาดะฮฺ,หน้า 187-188,197-221, สำนักพิมพ์ กิตาบคอเนะฮฺ ซะดูก,พิมพ์ครั้งที่ 3, บะฮาร 1363

[2] อ้างแล้วเล่มเดิม

[3]  พระวารสารนักบุญยอห์น, 3, 16-17

[4] เราะฮฺสะอาดะฮฺ,หน้า 206,207

[5] โตราห์, ปฐมกาลบทที่สองและสาม

[6] อ้างแล้ว,บท 32, โองการ 25

[7] อัลกุรอาน บทอัลบะเกาะเราะฮฺ,23

[8] อัลกุรอาน บทอัลฮิจญฺร์,9

[9] เราะฮฺสะอาดะฮฺ,หน้า 22, 215, 24, 25

[10] อะฮฺซาน,40, เซาะฮียฺบุคอรียฺ, เล่ม 4, หน้า 250

[11] เราะฮฺสะอาดะฮฺ,หน้า 226-241,พระวารสารนักบุญยอห์น, 14 : 17,ฉันจะขอต่อพระบิดา และเขาจะให้คุณอีกครั้งเพื่อจะอยู่กับคุณตลอดไป (ซึ่งบัญญัติของเขาเป็นสิ่งยกเลิกได้)

[12] มัจญฺมูอฺ ออซอร, เล่ม 16, หน้า 44

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ภารกิจของท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) หลังจากปรากฏกายแล้วคืออะไร? แล้วเป็นไปได้ไหมที่ท่านจะถูกทำชะฮาดัตโดยน้ำมือของสตรีชราที่มีนวดเครา?
    6315 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/04/21
    ในเวลานั้นท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) จะได้รับอนุญาตจากอัลลอฮฺให้จัดตั้งทั้งด้านวัตถุปัจจัยและด้านคุณธรรมมโนธรรมเพื่อจะได้จัดตั้งรัฐบาลแห่งความยุติธรรมขึ้นมาปกครองโลกซึ่งถือว่าเป็นรัฐบาลที่ใหญ่ที่สุดบนโลกนี้ ท่านจะเป็นผู้สนับสนุนส่งเสริมเกียรติและคุณค่าของความเป็นมนุษย์พร้อมกับเรียกร้องไปสู่ความปลอดภัยชีวิตมนุษย์จะกลายเป็นชีวิตแห่งพระเจ้าในเวลานั้นท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.)
  • ฮะดีซต่างๆ ในหนังสือกาฟียฺ สามารถอธิบายความอัลกุรอานได้หรือไม่?
    8196 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/07/16
    นักรายงานฮะดีซผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งคือ มุฮัมมัด บิน ยะอฺกูบ กุลัยนียฺ (รฮ.) เป็นหนึ่งในปราชญ์ผู้อาวุโสฝ่ายชีอะฮฺ และเป็นหนึ่งในนักรายงานฮะดีซที่เชื่อถือได้มากที่สุดของฝ่ายอิมามียะฮฺ ท่านอยู่ในยุคสมัยการเร้นกายระยะสั้นของท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) และยังเป็นผู้ประพันธ์หนังสือ อุซูลกาฟียฺ อันเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้เอง จะเห็นว่ารายงานส่วนใหญ่ในหนังสือกาฟียฺล้วนเป็นที่เชื่อถือ แต่หนังสือกาฟียฺก็เหมือนกับหนังสือฮะดีซทั่วไปที่มีรายงานอ่อนแอ และไม่น่าเชื่อถืออยู่บ้าง ตามทัศนะของชีอะฮฺและอะฮฺลุซซุนนะฮฺ มีฮะดีซที่ถูกต้องจำนวนมากมายจากท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และอิมามผู้บริสุทธิ์ บันทึกอยู่ในหนังสือญะวามิอฺริวายะฮฺ ซึ่งฮะดีซจำนวนมากเหล่านั้นได้ตัฟซีรโองการอัลกุรอาน ซึ่งหนึ่งในฮะดีซทรงคุณค่าเหล่านั้นคือ หนังสือกาฟียฺ ...
  • อลี บิน ฮุเซน ในประโยค“اَلسَّلامُ عَلَى الْحُسَیْنِ وَ عَلى عَلِىِّ بْنِ الْحُسَیْنِ و” หมายถึงใคร?
    7505 تاريخ بزرگان 2554/07/16
    หากพิจารณาจากดุอาตะวัซซุ้ล บทศอละวาตแด่อิมาม บทซิยารัต กลอนปลุกใจ และฮะดีษต่างๆที่กล่าวถึงอิมามซัยนุลอาบิดีนและท่านอลีอักบัรจะพบว่า ชื่อ“อลี บิน ฮุเซน”เป็นชื่อที่ใช้กับทั้งสองท่าน แต่หากพิจารณาถึงบริบทกาลเวลาและสถานที่ที่ระบุในซิยารัตอาชูรอ อันกล่าวถึงวันอาชูรอ กัรบะลา และบรรดาชะฮีดในวันนั้น กอปรกับการที่มีสมญานาม“ชะฮีด”ต่อท้ายคำว่าอลี บิน ฮุเซนในซิยารัตวาริษ ซิยารัตอาชูรอฉบับที่ไม่แพร่หลาย และซิยารัตมุฏละเกาะฮ์ ทำให้พอจะอนุมานได้ว่า อลี บิน ฮุเซนในที่นี้หมายถึงท่านอลีอักบัรที่เป็นชะฮีดที่กัรบะลาในวันอาชูรอ ...
  • อิมามมะฮ์ดีสมรสแล้วหรือยัง?
    8143 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/09
    แม้จะเป็นไปได้ว่าท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)อาจมีคู่ครองและบุตรหลาน เนื่องจากภาวะการเร้นกายมิได้จำกัดว่าจะท่านต้องงดกระทำการสมรสอันเป็นซุนนะฮ์แต่อย่างใด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราไม่พบเหตุผลใดๆที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ สันนิษฐานว่าสาเหตุที่ประเด็นดังกล่าวไม่เป็นที่เปิดเผยนั้น อาจเป็นผลพวงมาจากความจำเป็นที่พระองค์ทรงเร้นกายท่านจากสายตาผู้คนนั่นเอง ...
  • ความเสียหายของศาสนาคือสิ่งไหน?
    9438 دین و فرهنگ 2555/09/29
    ศาสนา,เป็นพระบัญชาศักดิ์สิทธิ์,มาจากพระเจ้า ซึ่งในนั้นจะไม่มีทางผิดพลาด และไม่มีผลกระทบอันเสียหายอย่างแน่นอน, การยอมรับความผิดพลาดและการกระทำผิด เกี่ยวข้องกับภารกิจของมนุษย์ แน่นอนการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการรู้จักผลกระทบของศาสนา และการตื่นตัวของผู้มีศาสนา สิ่งเหล่านี้จะไม่ย้อนกลับไปสู่แก่นแท้ความจริงของศาสนา, ทว่าจะย้อนกลับไปสู่ประชาชาติที่นับถือศาสนา ความใจและการพัฒนาของมนุษย์ที่มีต่อศาสนา ประเภทของการรู้จักในศาสนา และรูปแบบของการตื่นตัวในศาสนา ความเสียหายและผลกระทบต่อศาสนา มีรายละเอียดแตกต่างกันมากมาย เนื่องจากกลุ่มหนึ่งของความเสียหายทางศาสนา เป็นความเสียหายที่มีผลกระทบ ต่อความศรัทธาของบุคคลที่นับถือศาสนา หรือผู้มีความสำรวมตน ซึ่งความเสียหายดังกล่าวนี้เองจะอยู่ในระดับของการรู้จักทางศาสนา (ความเสียหายทางศาสนาและการศึกษา) บางครั้งก็อยู่ในระดับของการปฏิบัติบทบัญญัติและคำสั่งของศาสนา การรักษาบทบัญญัติ บทลงโทษ และสิทธิ ซึ่งศาสนาได้กำหนดเป็นข้อบังคับให้รักพึงระมัดระวังต่อสิ่งเหล่านั้น เช่น ความอิจฉาริษยา ความอคติ และเกียรติยศ อีกกลุ่มหนึ่งของความเสียหายทางศาสนา จะอยู่ในปัญหาด้านสังคมทางศาสนา เช่น ความบิดเบือน การอุปโลกน์ และการกระทำตามความนิยมต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอันตราย และเป็นความกดดันต่อการระวังรักษาความศักดิ์สิทธิ์ และการขยายศาสนาให้กว้างขวางออกไป ...
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42344 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ชาวสวรรค์ทุกคนจะได้ครองรักกับฮูรุลอัยน์หรือไม่? ฮูรุลอัยน์แต่ละนางมีสามีได้เพียงคนเดียวไช่หรือไม่? และจะมีฮูรุลอัยน์เพศชายสำหรับสตรีชาวสวรรค์หรือไม่?
    10913 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    สรวงสวรรค์นับเป็นความโปรดปรานที่พระองค์ทรงมอบเป็นรางวัลสำหรับผู้ศรัทธาและประพฤติดีโดยไม่มีข้อจำกัดทางเพศจากการยืนยันโดยกุรอานและฮะดีษพบว่า “ฮูรุลอัยน์”คือหนึ่งในผลรางวัลที่อัลลอฮ์ทรงมอบให้ชาวสวรรค์น่าสังเกตุว่านักอรรถาธิบายกุรอานส่วนใหญ่ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าในสวรรค์ไม่มีพิธีแต่งงานส่วนคำว่าแต่งงานกับฮูรุลอัยน์ที่ปรากฏในกุรอานนั้นตีความกันว่าหมายถึงการมอบฮูรุลอัยน์ให้เคียงคู่ชาวสวรรค์โดยไม่ต้องแต่งงาน.ส่วนคำถามที่ว่าสตรีในสวรรค์สามารถมีสามีหลายคนหรือไม่นั้นจากการศึกษาโองการกุรอานและฮะดีษทำให้ได้คำตอบคร่าวๆว่าหากนางปรารถนาจะมีคู่ครองหลายคนในสวรรค์ก็จะได้ตามที่ประสงค์ทว่านางกลับไม่ปรารถนาเช่นนั้น ...
  • ความต่างกิจกรรมของวิญญาณขณะนอนหลับ และสลบคืออะไร?
    16478 ปรัชญาอิสลาม 2555/09/29
    รูปแบบการปฏิสัมพันธ์ระหว่างร่างกายกับจิตวิญญาณขณะตื่นนอน กับการปฏิสัมพันธ์ขณะนอนหลับนั้นมีความแตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้ ตามคำสอนของอิสลามจึงได้เรียกการนอนหลับว่า เป็นพี่น้องของความตาย วิทยาศาสตร์แม้ว่าจะไม่มีข้อมูลการปฏิสัมพันธ์ระหว่างจิตวิญญาณกับร่างกายขณะนอนหลับ แต่สามารถค้นพบการเปลี่ยนแปลงและปฏิกิริยาบางอย่างทางร่างกายขณะนอนหลับได้ บนพื้นฐานของการค้นคว้านั้นและการทำสอบพบว่ามนุษย์มีการนอนหลับในสองระดับ ด้วยนามว่า REM และ Non REM ซึ่งทั้งสองมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยปกติแล้วการความฝันที่มักเกิดในระดับของ Non REM เกิดจากการหลับลึกซึ่งจะไม่อยู่ในความทรงจำ แต่เฉพาะการนอนหลับในระ REM เท่านั้นที่จะคงอยู่ในความทรงจำ ส่วนการสลบหมดสติเกิดจากการเบี่ยงเบนของวิญญาณ และเป็นการหลับที่ลุ่มลึกมาก ทำให้เขาไม่มีความทรงจำอันใดหลงเหลืออยู่ ...
  • กรุณาอธิบายเกี่ยวกับมัสญิดญัมกะรอนและสาเหตุของการก่อตั้งมัสญิดแห่งนี้
    7357 ประวัติสถานที่ 2554/08/08
    มัสญิดญัมกะรอนหนึ่งคือในสถานที่ศักดิสิทธิและเป็นสถานที่ของท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.) ตั้งอยู่ห่างจากเมืองกุมประมาณ๖กิโลเมตรมัสญิดแห่งนี้ได้ก่อสร้างเมื่อประมาณ๑๐๐๐ปีที่แล้วโดยคำสั่งของท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.) ซึ่งผู้ริเริ่มก่อสร้างได้รับคำสั่งดังกล่าวในขณะตื่น (ไม่ใช่ในฝัน) ซึ่งความเมตตาและสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆของอิมามมะฮ์ดี (อ.) ได้ปรากฎณสถานที่แห่งนี้อีกทั้งเป็นสถานที่นัดหมายสำหรับผู้ที่รอคอยการมาของท่านและมีความรักต่อท่านมัรฮูมมิรซาฮูเซนนูรีได้กล่าวเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของการก่อตั้งมัสญิดญัมกะรอนโดยอ้างอิงจากเชคฟาฏิลฮะซันบินฮะซันกุมี (อยู่ยุคสมัยเดียวกับเชคศอดูก) ในหนังสือ “ประวัติศาสตร์เมืองกุม”[1] จากหนังสือ “มูนิซุลฮะซีนฟีมะอ์ริฟะติลฮักวัลยะกีน”[2] ว่า:[3]เชคอะฟีฟศอและฮ์ฮะซันบินมุซลิฮ์ยัมกะรอนีได้กล่าวว่า: ในคือวันพุธที่๑๗เดือนรอมฏอนปี๓๙๓ฮ. ฉันได้นอนอยู่ในบ้านทันใดนั้นได้มีกลุ่มชนกลุ่มหนึ่งมาที่ประตูบ้านของฉันและได้ปลุกฉันและได้กล่าวกับฉันว่าจงลุกขึ้นและทำตามความต้องการของอิมามมะฮ์ดี (อ.) ซึ่งท่านได้เรียกหาท่านอยู่พวกเขาได้พาฉันมาสถานที่หนึ่งซึ่งในปัจจุบันสถานที่แห่งนั้นได้กลายมาเป็นมัสญิดญัมกะรอนแล้วท่านอิมามมะฮ์ดีได้เรียกชื่อของฉันและได้กล่าวว่า: “ไปบอกกับฮะซันบินมุสลิมว่า “สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่อันบริสุทธ์ที่อัลลอฮ์ทรงเลือกและให้สถานที่แห่งนี้มีความบริสุทธ์เจ้าได้ยึดครองสถานที่แห่งนี้...ดังนั้นท่านได้กล่าวว่า: จงบอกประชาชนว่าให้รักและหวงแหนสถานที่แห่งนี้”[4]อายาตุลลอฮ์อัลอุซมามัรอะชีนะญะฟีได้กล่าวยอมรับความศักดิ์สิทธิของมัสญิดญัมกะรอนว่า: ชีอะฮ์ทั่วไปให้ความสำคัญต่อมัสญิดอันศักดิ์สิทธ์แห่งนี้ตั้งแต่สมัยของการเร้นกายระยะแรกของท่านอิมามมะฮ์ดีจนถึงปัจจุบันซึ่งกินระยะเวลาถึงพันสองร้อยสองปีท่านเชคผู้สูงส่งมัรฮูมศอดูกได้กล่าวในหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า “มูนิซุลฮะซีน” ซึ่งฉันยังไม่ได้อ่านเองทว่ามัรฮูมฮัจยีมิรซาฮุเซนนูรีซึ่งเป็นอาจารย์ของฉันได้เล่าจากหนังสือเล่มนั้นว่าอุลามาอ์และนักวิชาการชั้นนำของชีอะอ์ให้ความเคารพมัสญิดแห่งนี้กันถ้วนหน้าและสิ่งมหัศจรรย์มากมายได้ปรากฏในมัสญิดญัมกะรอนแห่งนี้
  • เพราะสาเหตุใดการใส่ทองคำจึงฮะรอมสำหรับผู้ชาย?
    12391 ปรัชญาของศาสนา 2554/06/22
    ตามทัศนะของนักปราชญ์และผู้รู้การสวมใส่ทองคำสำหรับผู้ชายมีผลกระทบที่สามารถทำลายล้างได้กล่าวคือก) เป็นการกระตุ้นประสาท[1], ข) การเพิ่มจำนวนที่มากเกินไปของเซลล์เม็ดเลือดขาว[2]เหล่านี้คือผลเสียที่สามารถกล่าวถึงได้แต่ประเด็นทีต้องพิจารณาความรู้ที่รับผิดชอบต่อ"สุขภาพพลานามัย" ของมนุษย์ในขณะการปรับปรุงและพัฒนามิติด้านอาณาจักรที่เร้นลับและมิติทางจิตวิญญาณของมนุษย์ผู้ที่เป็นกังวลสมควรเป็นมุสลิมมากที่สุดซึ่งต้องพิจารณาที่ "ร่างกาย" และ "ความรู้" ระดับในการแสดงออกและเป็นบทนำสำหรับการพิจาณาในขั้นต่อไปเนื่องจากมนุษย์มิใช่เป็นเพียงดินหรือวัตถุเท่านั้นความเป็นมนุษยชาติขึ้นอยู่กับการเติบโตของความสามารถและศักยภาพต่างๆของมนุษย์พระเจ้าผู้ทรงอำนาจได้ประทานให้แก่พวกเขาโดยมีประสงค์ให้เขาบรรลุตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺของพระองค์แต่จริงๆแล้วแนวทางที่ทำให้พรสวรรค์นี้เติบโตคืออะไร? ศัตรูและอุปสรรคของหนทางนี้อยู่ตรงไหน?อัลลอฮฺ (ซบ.) ได้อธิบายถึงแนวทางและอุปสรรคขวางกั้นพรสวรรค์และศักยภาพของมนุษย์ไว้ในรูปแบบของบัญญัติแห่งศาสนาในฐานะที่เป็นพระมหากรุณาธิคุณด้วยการพิจารณาข้อเท็จจริงต่างๆแล้วไม่อาจมีข้อสงสัยใดๆได้เลยว่าบทบัญญัติพระเจ้าเป็นความจริงที่เกิดขึ้นภายนอกและในตัวเองแต่ถ้าต้องการทราบถึงปรัชญาของสิ่งนั้นจำเป็นต้องพิจารณาประเด็นต่อไปนี้ด้วย:1- มนุษย์สามารถรับรู้ปรัชญาทั้งหมดของบทบัญญัติของพระเจ้าได้หรือไม่? แน่นอนคำตอบคือไม่เนื่องจาก:ก) เนื่องจากในตำราทางศาสนามิได้กล่าวถึงปรัชญาทั้งหมดของบทบัญญัติเอาไว้ข) บทบัญญัติที่กล่าวถึงปรัชญาของตัวเองเอาไว้ไม่อาจรับรู้ได้ว่ากล่าวถึงปรัชญาทั้งหมดแล้วหรือไม่, ทว่าบางครั้งบทบัญญัติเพียงข้อเดียวก็มีปรัชญากล่าวไว้อย่างมากมายแต่พระเจ้าทรงเลือกสรรที่จะกล่าวบางข้อเหล่านั้นเพื่อเป็นการย้ำเตือนความทรงจำค) ความรอบรู้ของมนุษย์ก็สามารถค้นหาปรัชญาและวิทยปัญญาบางประการของบทบัญญัติได้เท่านั้นมิใช่ทั้งหมด

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60250 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57752 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42344 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39564 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39023 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34112 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28116 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28091 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27966 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25949 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...