การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
10023
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/06/21
 
รหัสในเว็บไซต์ fa73 รหัสสำเนา 14712
หมวดหมู่ เทววิทยาใหม่
คำถามอย่างย่อ
ตามคำสอนของศาสนาอื่น นอกจากอิสลาม, สามารถไปถึงความสมบูรณ์ได้หรือไม่? การไปถึงเตาฮีดเป็นอย่างไร?
คำถาม
ตามคำสอนของศาสนาอื่น นอกจากอิสลาม, สามารถไปถึงความสมบูรณ์ได้หรือไม่? การไปถึงเตาฮีดเป็นอย่างไร?
คำตอบโดยสังเขป

แม้ว่าปัจจุบันนี้จะมีความถูกต้องอยู่บ้างในบางศาสนาดั่งที่เราได้เห็นประจักษ์กับสายตาตัวเอง, แต่รูปลักษณ์ที่สมบูรณ์ของความจริง ซึ่งได้แก่เตาฮีด, มีความประจักษ์ชัดเฉพาะในศาสนาอิสลามเท่านั้น, เหตุผลหลักสำหรับการพิสูจน์คำพูดดังกล่าว,คือการไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ การถูกบิดเบือน และความบกพร่องต่างๆ ทางปัญญาในศาสนาต่างๆ ขณะที่ด้านตรงข้าม, การไม่ถูกเปลี่ยนแปลงและไม่ถูกสังคายนาของอัลกุรอาน, มีหลักฐานและประวัติที่เชื่อถือได้, คำสอนที่ครอบคลุมของอิสลาม, การเข้ากันได้อย่างเป็นธรรมชาติของคำสอนอิสลามกับสติปัญญาสมบูรณ์

คำตอบเชิงรายละเอียด

สำหรับความกระจ่างชัดในคำตอบ จำเป็นต้องกล่าวถึงประเด็นต่างๆ เช่น : เหตุผลที่ไม่กระจ่างชัดของศาสนาอื่นบนโลกนี้ กับเหตุผลประจักษ์ของศาสนาอิสลาม ... เป็นประเด็นที่ต้องนำมาวิเคราะห์ :

) เหตุผลในความล้มเหลวของศาสนาอื่นบนโลก (ยกเว้นอิสลาม)

ก่อนที่จะอธิบายถึงหลักฐานในความล้มเหลวของศาสนาอื่น  ในโลก, จำเป็นต้องกล่าวถึงสองประเด็นดังนี้ :

ประเด็นแรก : จุดประสงค์ของเราไม่ได้หมายความว่าทุกสิ่งที่มีอยู่ในศาสนาที่มีอยู่ทุกวันนี้ จะถือเป็นโมฆะ, โดยไม่อาจพบคำพูดที่เป็นจริงได้เลย, แต่ทว่าวัตถุประสงค์คือมีประเด็นในศาสนาที่มีอยู่ทุกวันนี้เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ ซึ่งศาสนาเหล่านั้นไม่อาจอธิบายรูปลักษณ์ที่สมบูรณ์แท้จริงได้

ประเด็นที่สอง : ในการวิเคราะห์สั้นๆ จะกล่าวถึงความล้มเหลวในมุมหนึ่งของ 2 ศาสนาสำคัญบนโลกนี้, กล่าวคือศาสนาคริสต์และศาสนายะฮูดียฺ คุณค่าและความถูกต้องในส่วนที่เหลือของศาสนา ในแง่ความชอบธรรมทางศาสนา ความน่าเชื่อถือและการยอมรับของทั้งสองลดลงไปจนต่ำกว่ามาตรฐาน

หลักฐานได้พิสูจน์ความจริงแล้วว่า ศาสนาคริสต์ในทุกวันนี้ไม่สามารถแสดงรูปลักษณ์ที่สมบูรณ์ของความจริงได้, เหล่านี้คือ :

1 พระคัมภีร์อิลญีล (ไบเบิล) เชื่อถือไม่ได้ ไม่มีหลักฐานเด่นชัดแน่นอน

ศาสดาอีซา (.) หรือเยซูมาจากวงศ์วาอิสราเอล ภาษาของท่านคือฮิบรู ท่านได้ประกาศเชิญชวนอยู่ในเยลูซาเล็ม ทั้งที่ประชาชนในที่นั้นเป็นชนชาติ ฮิบรู แต่ไม่มีผู้ใดศรัทธาในตัวท่าน, เว้นเสียแต่ว่ามีจำนวนน้อยนิดซึ่งเราไม่รู้ถึงสภาพที่แท้จริงของพวกเขา,แต่มีประชาชนสองสามคนจากเยลูซาเล็ม ซึ่งใช้ภาษากรีก พวกเขารู้ว่าจะถูกกระจายไปในเมืองของเอเชียไมเนอร์ เพื่อเชิญชวนประชาชนไปสู่ศาสนาของอีซา และจะเขียนหนังสือเป็นภาษากรีกขึ้นมา, ในเรื่องราวเหล่านั้นคนกรีกและโรมันพูดว่า : อีซาได้กล่าวไว้เช่นนี้และเช่นนั้น ประชาชนที่เคยเห็นศาสดาอีซา และเห็นการกระทำคำพูด อีกทั้งเข้าใจภาษาของท่าน พวกเขาอยู่ในปาเลสไตน์แต่ไม่ยอมรับศาสดาอีซา (.) ส่วนเรื่องราวต่างๆ ที่ได้ถูกเขียนขึ้นเป็นภาษากรีกถือว่าคลุมเครือเป็นเท็จ ส่วนผู้คนที่ยอมรับหนังสือและเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ เป็นประชาชนที่อยู่ไกลโพ้น ซึ่งพวกเขาไม่เคยเห็นเมืองเยลูซาเล็มเสียด้วยซ้ำไป และไม่เคยเห็นศาสดาอีซา อีกทั้งไม่เข้าใจภาษาของท่านด้วย, ดังนั้น ถ้าเรื่องราวต่างๆ ที่เขียนไว้ในคัมภีร์ อินญีล, เป็นการกุการมุสาขึ้นมาก็จะไม่มีใครห้ามปรามผู้เขียน หรือผู้ได้ยินจะมีหนทางปฏิเสธการกุมุสา

เช่นในคัมภีร์อินญีล แมทธิว เขียนว่าเมื่อท่านศาสดาอีซาประสูติ, พวกกราบไหว้ดวงดาวหลายคนจากภาคตะวันออกได้มาและถามว่ากษัตริย์ของชาวยะฮูดีย์ที่เกิดมาอยู่ที่ไหน? พวกเราได้เห็นดาวของเขาในทางตะวันออก แต่พวกเขาไม่ได้แสดงให้ดู, ทันใดนั้นเองพวกเขาได้เห็นดวงดาวในท้องฟ้าเคลื่อนไป และหยุดอยู่เหนือบ้านที่พระเยซู (.) ได้ประสูติในนั้น แน่นอน เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องกุขึ้นมาไม่มีมูลความจริง, เราเชื่อว่าไม่มีนักดาราศาสตร์คนใดเชื่อว่า การถือกำเนิดของใครบางคน จะมีดวงดาวเกิดในท้องฟ้า, และเคลื่อนเหนือศีรษะของเขา, บรรดาผู้กราบไหว้ดวงดาวและไม่ได้กราบไหว้ต่างไม่ได้เชื่อเช่นนั้น เช่นกันกล่าวว่าบรรดาชาวตริสต์โบราณมีความขัดแย้งกันในเรื่อง เยซูถูกสังหาร. อินญีลบางเล่มยืนยันว่าศาสดาอีซาไม่ได้ถูกสังหาร, ทั้งที่ถ้าหากมีคนคล้ายศาสดาอีซาถูกสังหารแทน ก็จะไม่มีสิ่งใดปกปิดคนส่วนใหญ่ได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการถูกตรึงบนไม้กางเขน แต่นักเขียนอีลญีลเป็นชาวตะวันตก และชาวตะวันตกก็ไม่ได้อยู่ในเยลูซาเล็ม เพื่อว่าจะได้รู้ความจริงเรื่องการถูกสังหารของอีซา หรือว่าไม่ได้ถูกสังหาร, นักเขียนอินญีลได้เขียนด้วยความอิสระเรื่องใดคิดว่ามีความเหมาะสมก็ได้เขียนลงไป 300 ปีหลังอีซาได้จากไปจึงมีการจัดประชุม และผู้รู้นัซรอนีได้ให้คำปรึกษาว่า จะแก้ไขข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นนี้อย่างไร, ความคิดเห็นของพวกเขาคือ ในหมู่คัมภีร์อินญีลทั้งหลายให้เลือกเอาอินญีลเพียง 4 เล่ม และสังคายนาเนื้อหาใหม่ทั้ง 4 เล่ม ส่วนคัมภีร์เล่มอื่นที่เหลืออยู่ถือเป็นโมฆะไป ส่วนการไม่ถูกสังหารของอีซาให้ลบออกไป และไม่ถือเป็นทางการ[1]

2. เหตุผลที่สองของความล้มเหลวในศาสนาคริสต์, คือมีหลายประเด็นบ่งบอกถึงความไม่สมบูรณ์และการถูกเปลี่ยนแปลง ในคัมภีร์อินญิลฉบับปัจจุบัน.ดังนั้น เพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมให้ศึกษาจากหนังสือต่างๆ ดังนี้เราะฮฺสะอาดะฮฺเขียนโดยอัลลามะฮฺ ชะอฺรอนนียฺ[2] และอิซฮารุลฮักเขียนโดยฟาฎอล ฮินดี, และกุรอานวะกิตาบฮอเยะออเซมอนนีดีฆัรเขียนโดย ชะฮีดฮาชิมมี เนะฌอซ

3. เหตุผลที่สาม, ความล้มเหลวของศาสนาคริสต์คือ หลักความเชื่อของศาสนาคริสต์บางอย่าง ไม่เข้ากับเหตุและผลหรือสติปัญญาแต่อย่างใด, เช่น เชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นเด็ก, และทรงปรากฏมาในร่างของมนุษย์, เพื่อเผชิญกับบาปของมนุษย์และจะอดทนอยู่บนไม้กางเขา, จะไถ่บาปของมนุษย์, ในอินญีลยอห์น เขียนว่า : เนื่องจากพระเจ้าทรงรักโลกนี้มาก จีงประทานบุตรชายเพียงคนเดียวของพระองค์ลงมา, และใครที่ศรัทธาในตัวเขาจะไม่พบกับความพินาศ, ทว่าจะมีชีวิตเป็นอัมตะ, เนื่องจากพระเจ้าไม่ได้ส่งพระบุตรลงมาเพื่อตัดสินโลก, แต่เพื่อให้เขาได้มาช่วยเหลือโลก[3]

เกี่ยวกับศาสนายะฮูดียฺ เช่นเดียวกันมีปัญหาคล้ายคลึงกัน, เนื่องจากอันดับแรก : คัมภีร์เตารอตมี 3 ฉบับด้วยกัน

1 . ฉบับภาษาฮิบรู ซึ่งอยู่กับพวกยะฮูดและนักวิชาการโปรเตสแตนต์ถูกต้อง

2. ฉบับซามาเรีย ซึ่งอยู่กับซามาเรีย (อีกเผ่าหนึ่งของอิสราเอล) ที่ถูกต้อง

3. รุ่นภาษากรีก ซึ่งผู้รู้ชาวคริสต์ที่มิใช่โปรแตสแตนต์ ถือว่าถูกต้อง

รุ่น ซามาเรีย ครอบคลุมเฉพาะคัมภีร์ห้าเล่มของโมเสส (.) และหนังสืออื่น  พระคัมภีร์เดิมของโยชูวาและผู้พิพากษา ส่วนคัมภีร์อื่น พันธสัญญาเก่าถือว่าเชื่อถือไม่ได้ ช่วงเวลาและระยะห่างระหว่างการสร้างศาสดาอาดัม จนถึงพายุของศาสดานูฮฺ คัมภีร์ฉบับแรกกล่าวว่าประมาณ 1656 ปี ส่วนในฉบับที่สิง กล่าว่าประมาณ 1307 ปี ฉบับที่สามกล่าวว่าประมาณ 1362 ปี ดังนั้นคัมภีร์ทั้งสามฉบับไม่อาจถูกต้องทั้งหมด, ทว่าหนึ่งในนั้นต้องเชื่อถือได้และถูกต้อง แต่ก็ยังไม่รู้อีกว่าเป็นฉบับใด[4]

ประการที่สอง : ในคัมภีร์เตารอตมีเรื่องราวบางเรื่องที่สติปัญญาของมนุษย์ไม่อาจรับได้.

เช่น ในคัมภีร์เตารอตพระเจ้าได้ถูกแนะนำในรูปร่างของมนุษย์ เดินไปมา, ร้องเพลง มุสา และเจ้าเล่ห์เพทุบาย, เนื่องจากพระเจ้าได้กล่าวแก่อาดัมว่า ถ้าเจ้ากินต้นไม้ดีและไม่ดีเจ้าจะตาย, แต่อาดัมและฮะวาได้กินผลไม้จากต้นไม้นั้น ซึ่งไม่ใช่ว่าทั้งจะไม่ตายเพียงอย่างเดียว, ทว่ายังได้รู้จักทั้งดีและเลวว่าเป็นอย่างไร[5]

หรือเรืองราวการเล่นมวยปล้ำของพระเจ้ากับศาสดายะอฺกูบ ซึ่งมีบันทึกอยู่ในคัมภีร์เตารอตด้วย[6]

) เหตุผลความจริงที่ดีกว่าของอิสลาม

1.มีชีวิตและเป็นนิรันดร์ปาฏิหาริย์ของศาสนาอิสลาม, เนื่องจากปาฏิหาริย์หลักของอิสลามคืออัลกุรอานซึ่งเป็นชนิดของคัมภีร์ ตรรกะ และวิชาการต่างไปจากปาฏิหาริย์ของบรรดาศาสดาอื่นในอดีต ซึ่งเป็นภารกิจแห่งความรู้สึกด้วยเหตุนี้เอง อัลกุรอานจึงมีชีวิตตลอดเวลา และพึ่งตนเอง และไม่ขึ้นอยู่กับสถานะและการมีชีวิตของพระศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ) แต่อย่างใด ด้วยสาเหตุนี้เอง อัลกุรอานจึงเป็นปาฏิหาริย์ของอิสลามที่เป็นอมตะนิรันดร์

นอกจากนี้ อัลกุรอานยังได้ประกาศท้าทาย ชาวโลกให้นำสิ่งคล้ายเหมือนมา, และประกาศการมีชีวิตและเป็นอมตะไปของตนว่า : และถ้าหากพวกเจ้ายังแคลงใจในสิ่งที่เราได้ประทานมาแก่บ่าวของเรา พวกเจ้าก็จงนำมาสักบทหนึ่งเยี่ยงนั้น[7]

2. การไม่ถูกสังคายนาของอัลกุรอาน, กล่าวคือไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้นเกิดขึ้นในอัลกุรอาน

ซึ่งนอกเหนือจากคำสัญญาของพระเจ้าที่ว่าแท้จริงเราเป็นผู้รักษามันอย่างแน่นอน[8] ท่านศาสดา (ซ็อล ) มีความสนใจเป็นพิเศษที่จะปกป้องความถูกต้องไว้ ประการแรก : ท่านได้สั่งให้สหายกลุ่มหนึ่งรู้จักกันในนามผู้บันทึกวะฮฺยูให้บันทึกทุกสิ่งเอาไว้ เพื่อว่าโองการและบทต่างๆ จะได้ถูกบันทึกเอาไว้, ประการที่สอง : มีการสนับสนุนอย่างมากมายเพื่อให้เหล่าสหายและหมู่มิตรท่องจำอัลกุรอาน, ด้วยเหตุนี้เองมีสหายจำนวนมากในสมัยท่านศาสดา (ซ็อล ) เป็นนักท่องจำอัลกุรอาน ประการที่สาม : ส่งเสริมการอ่าน, กล่าวคือควรจะอ่านตรงคำพูดด้วยลักษณะของวาจาและถูกหลักการอ่าน, มิใช่เป็นเพียงการศึกษาหาความรู้และความเข้าใจเพียงอย่างเดียว[9]

เหล่านี้คือตัวการสำคัญที่ช่วยปกป้องอัลกุรอานจากความเสียหายและการบิดเบือน

3. แนวทางในการพิสูจน์ความจริงของอิสลาม, คือการให้ความสำคัญต่อปัญหาการเป็นศาสดาท่านสุดท้ายของนบีมุฮัมมัด (ซ็อล ), เนื่องจากตำราศาสนาอิสลาม[10]เน้นย้ำว่า ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ) คือศาสดาสุดท้ายแห่งพระเจ้าและหลังจากท่านจะไม่มีศาสดาใดถูกประทานลงมาอีก

ในสังคมมนุษย์จะยึดถือเอาคำแนะนำครั้งสุดท้าย ของผู้บริหารและหัวหน้าเป็นเกณฑ์ในการปฏิบัติ, และถือว่าจำเป็นต้องปฏิบัติตาม , ด้วยการมาของคำสั่งใหม่ คำสั่งเก่าจะสิ้นสุดวาระไปโดยปริยาย

ตามคำสอนของศาสนาอื่นมิได้ระบุถึงศาสดาสุดท้ายของพวกเขาเลย, ทว่าเป็นการแนะนำให้ทราบถึงการปรากฏของศาสดาแห่งอิสลามโดยแนะนำแก่ศาสนิกของตน[11]หมายถึงได้แสดงออกชั่วคราวของพวกเขาให้เห็น

4. ประเด็นที่สี่ที่ต้องพิจารณาอย่างยิ่งคือ ปัญหาความครอบคลุมของอิสลาม ศาสนาอิสลามในมิติต่างๆ มากมายได้สอนเรื่องของชีวิตส่วนตัวและสังคม วัตถุ และสอนเรื่องทางจิตวิญญาณเอาไว้. เพื่อการรู้จักสังคมที่ดีกว่า และวิชาการที่ยิ่งใหญ่กว่าของศาสนาอิสลาม ต้องมีการศึกษาเปรียบเทียบเนื้อหาข้อความศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลาม กับศาสนาอื่น  ในนั้นจะเห็นความเป็นเลิศและความครอบคลุมในด้านการสอนของศาสนาอิสลาม ในด้านความเชื่อ, พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวและคุณลักษณะของพระเจ้า, จริยธรรมของแต่ละบุคคลและสังคม, กฎหมาย, เศรษฐศาสตร์ การเมือง และการปกครองและ ... ซึ่งจะเห็นได้ชัด

5. ประเด็นที่ห้า, ในประวัติศาสตร์ของศาสนาที่มีอยู่ในโลกปัจจุบัน ศาสนาเดียวเท่านั้นที่มีประวัติ มีชีวิต และน่าเชื่อถือ, คืออิสลาม ซึ่งนักประวัติศาสตร์ได้บันทึกรายละเอียดในวัยเด็กของพระศาสดาไว้ด้วย ในขณะที่ศาสนาอื่น  ไม่ได้มีเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่เชื่อถือได้แต่อย่างใด ดังนั้น นักคิดตะวันตกบางคนจึงมีความสงสัย แม้ในการมีอยู่ของพระเยซู (.) ถ้ากุรอานของเราชาวมุสลิม ไม่พูดถึงเรื่องราวของพระเยซูและศาสดาคนอื่น , บางทีศาสนาคริสต์ ศาสนายิว และศาสดาของพวกเขาอาจจะไม่ได้ถูกรู้จักหรือถูกตระหนักถึงเลยในสังคมมนุษย์ก็ว่าได้[12]



[1] ชะอฺรอนนียฺ,อบุลฮะซัน, เราะฮฺสะอาดะฮฺ,หน้า 187-188,197-221, สำนักพิมพ์ กิตาบคอเนะฮฺ ซะดูก,พิมพ์ครั้งที่ 3, บะฮาร 1363

[2] อ้างแล้วเล่มเดิม

[3]  พระวารสารนักบุญยอห์น, 3, 16-17

[4] เราะฮฺสะอาดะฮฺ,หน้า 206,207

[5] โตราห์, ปฐมกาลบทที่สองและสาม

[6] อ้างแล้ว,บท 32, โองการ 25

[7] อัลกุรอาน บทอัลบะเกาะเราะฮฺ,23

[8] อัลกุรอาน บทอัลฮิจญฺร์,9

[9] เราะฮฺสะอาดะฮฺ,หน้า 22, 215, 24, 25

[10] อะฮฺซาน,40, เซาะฮียฺบุคอรียฺ, เล่ม 4, หน้า 250

[11] เราะฮฺสะอาดะฮฺ,หน้า 226-241,พระวารสารนักบุญยอห์น, 14 : 17,ฉันจะขอต่อพระบิดา และเขาจะให้คุณอีกครั้งเพื่อจะอยู่กับคุณตลอดไป (ซึ่งบัญญัติของเขาเป็นสิ่งยกเลิกได้)

[12] มัจญฺมูอฺ ออซอร, เล่ม 16, หน้า 44

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • คำว่า อัซเซาะมัด ในอัลลอฮฺ อัซเซาะมัดหมายถึงอะไร?
    11130 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/05/17
    สำหรับคำว่า “เซาะมัด” ในอภิธานศัพท์, ริวายะฮฺ และตัฟซีร ได้กล่าวถึงความหมายไว้มากมาย, ด้วยเหตุนี้ สามารถสรุปอธิบายโดยย่อเพื่อเป็นตัวอย่างไว้ใน 3 กลุ่มความหมายด้วยกัน (อภิธานศัพท์ รายงานฮะดีซ และตัซรีร) ก) รอฆิบเอซฟาฮานียฺ กล่าวไว้ในสารานุกรมว่า : เซาะมัด หมายถึง นาย จอมราชันย์ ความยิ่งใหญ่ สำหรับการปฏิบัติภารกิจหนึ่งต้องไปหาเขา, บางคนกล่าวว่า : “เซาะมัด” หมายถึงสิ่งๆ หนึ่งซึ่งภายในไม่ว่าง, ทว่าเต็มล้น[1] ข) อิมามฮุซัยนฺ (อ.) อธิบายความหมาย “เซาะมัด” ไว้ 5 ความหมายด้วยกัน กล่าวคือ
  • เราสามารถปฏิบัติตามอัลกุรอานเฉพาะโองการที่เข้าใจได้หรือไม่?
    8073 فضایل اخلاقی 2557/01/21
    มนุษย์เราจำเป็นจะต้องขวนขวายหาความรู้อยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่าหากเลือกปฏิบัติตามที่ตนรู้ตามกระบวนการดังกล่าวอย่างบริสุทธิ์ใจ อัลลอฮ์จะทรงชี้นำเขาสู่ความถูกต้องอย่างแน่นอน กุรอานกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า «وَ الَّذینَ جاهَدُوا فینا لَنَهْدِیَنَّهُمْ سُبُلَنا وَ إِنَّ اللَّهَ لَمَعَ الْمُحْسِنین»[1] “และเหล่าผู้ที่ต่อสู้ในแนวทางของเรา(อย่างบริสุทธิ์ใจ) แน่แท้ เราจะชี้นำพวกเขา และพระองค์ทรงอยู่เคียงข้างผู้บำเพ็ญความดี” ท่านนบีกล่าวว่า “مَنْ عَمِلَ بِمَا یَعْلَمُ وَرَّثَهُ اللَّهُ عِلْمَ مَا لَمْ یَعْلَمْ”[2] ผู้ที่ปฏิบัติตามสิ่งที่ตนรู้ พระองค์จะทรงสอนสั่งในสิ่งที่เขาไม่รู้” จำเป็นต้องทราบว่า กุรอานมีทั้งโองการที่มีสำนวนเข้าใจง่ายและมีความหมายไม่ซับซ้อน อย่างเช่นโองการที่บัญชาให้นมาซ ห้ามมิให้พูดปด ห้ามนินทา ฯลฯ ...
  • ศาสนามีความเหมาะสมกับความเสรีของเราหรือว่าไม่เข้ากัน
    7630 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/10/21
    เสรีภาพในการศาสนานั้นสามารถตรวจสอบได้จาก เสรีภาพทางจิตวิญญาณ และเสรีภาพทางสังคมการเมือง ในมุมมองจิตวิญญาณ, แก่นแท้ของมนุษย์คือ นัฟซ์มุญัรร็อด (หมายถึงสภาพที่เป็น อรูป ไม่ต้องอาศัยร่างกายและวัตถุหรืออาการทางกายภาพ) เพราะเป็นอาณาจักรแห่งความเร้นลับมีแนวโน้มของความคิดเห็นที่มีต่อแหล่งกำเนิดของตน และนั่นเป็นเพราะว่าชีวิตของเราขึ้นอยู่กับร่างกาย ซึ่งมีพันธผูกพันอยู่กับกิจการทางโลก มนุษย์ไม่มีทางหลีกเลี่ยงที่ต้องสร้างความสมบูรณ์แบบของตน โดยการปฏิบัติภารกิจบนโลกนี้ซึ่งโลกนั้นเป็นเพียงเรือกสวนไร่นาสำหรับปรโลก แต่บางคนเนื่องจากใส่ใจต่อความเป็นอิสรเสรี เขาจึงตกหลุมพรางการละเล่นและความสวยงามภายนอกของโลก และสิ่งนี้กลายเป็นสาเหตุสำคัญที่เขาไม่สามารถพัฒนาจิตใจให้สูงส่งได้ และแทนที่จะคิดถึงแก่นแท้ความจริงของภารกิจ หรือของสรรพสิ่งที่มีอยู่ แต่คิดถึงเฉพาะเปลือกนอกเหล่านั้นและคิดว่านั้นเป็นแก่นความจริง เขาจึงหลงลืมแก่นแท้ความจริงโดยสิ้นเชิง มีความเพลิดเพลินต่อโลกหรือหลงโลกนั่นเอง พวกเขาตั้งความหวังกับโลกไว้อย่างสวยหรู และไม่มีข้อจำกัดในการใช้ประโยคทางโลก พวกเขาได้ให้ความอิสระชนิดปราศจากเงื่อนไขแก่ตัวเอง ขณะที่เสรีภาพคือการปลดปล่อยตนเองให้รอดพ้นจากราชประสงค์ของความเป็นสัตว์ โลก และอำนาจฝ่ายต่ำ และนี่คือเสรีภาพที่เป็นความต้องการของศาสนา จากมุมมองของศาสนาไม่ใช่เรื่องแปลกที่บุคคลหนึ่งอาจเป็นมหาจักรพรรดิที่มีอำนาจ แต่เขาขัดเกลาจิตวิญญาณเพื่อความสมบูรณ์แบบ ประหนึ่งผู้ยากจนไร้ซึ่งสมบัติ ขณะที่เขาเป็นกษัตริย์ปกครองประเทศ
  • สาเหตุของการปฏิเสธอัลลอฮฺ เนื่องจากเหตุผลในการพิสูจน์พระองค์ไม่เพียงพอ?
    8358 ปรัชญาอิสลาม 2555/04/07
    ความจริงที่เหล่าบรรดาศาสดาแห่งพระเจ้าได้พิสูจน์ด้วยเหตุผลแน่นอน, แต่กระนั้นก็ยังได้รับการปฏิเสธจากผู้คนในสมัยของตน,แสดงให้เห็นถึงความดื้อรั้นของผู้ปฏิเสธ, เนื่องจากไม่ต้องการที่จะยอมรับความจริง, มิใช่ว่าเหตุผลในการพิสูจน์พระเจ้าไม่เพียงพอ, หรือเหตุผลในการปฏิเสธพระเจ้าเหนือกว่า ...
  • มลาอิกะฮ์สร้างมาจากรัศมีของบรรดาอิมาม และมีหน้าที่ร่ำไห้แด่อิมามฮุเซน(อ.)กระนั้นหรือ?
    9029 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/19
    1. ความเชื่อที่ว่ามลาอิกะฮ์สร้างขึ้นจากรัศมีนั้นได้รับการยืนยันจากฮะดีษหลายบทที่รายงานไว้ในตำราฝ่ายชีอะฮ์และซุนหนี่ตำราชีอะฮ์บางเล่มระบุถึงการสร้างสิ่งมีชีวิตต่างๆรวมถึงมลาอิกะฮ์จากรัศมีของปูชนียบุคคลอย่างท่านนบี(ซ.ล.) หรือบรรดาอิมามหรือบุคคลอื่นๆดังที่ตำราของซุนหนี่เองก็เล่าว่าเคาะลีฟะฮ์ท่านแรกและคนอื่นๆถือกำเนิดจากรัศมีของท่านนบี(ซ.ล) การที่มีฮะดีษเหล่านี้ปรากฏอยู่ในตำรับตำราของแต่ละฝ่ายมิได้หมายความว่าทุกคนจะต้องคล้อยตามฮะดีษเหล่านี้เสมอไป อย่างไรก็ดีตำราฮะดีษชีอะฮ์ได้รายงานฮะดีษชุด "ฏีนัต" ไว้ซึ่งไม่อาจจะมองข้ามได้กล่าวโดยสรุปคือหากพบว่ามุสลิมแต่ละฝ่ายอาจมีทัศนะแตกต่างกันบ้างในเรื่องการสรรสร้างของพระองค์
  • มีวิธีใดที่จะตักเตือนสามีเกี่ยวกับพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ได้บ้าง?
    6159 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/05/01
    สิ่งหนึ่งที่สังเกตุเห็นได้ชัดเจนในคำถามก็คือ คุณสองคนยังรักกันตามปกติ อีกทั้งคุณต้องการจะทำหน้าที่ภรรยาอย่างสุดความสามารถ สมควรอย่างยิ่งที่จะคำนึงถึงสองจุดเด่นนี้ให้มากเพื่อจะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาในเรื่องอื่นๆ บรรยากาศในครอบครัวควรอบอวลไปด้วยความรักความเข้าใจ มิไช่การยกตนข่มท่าน ด้วยเหตุนี้เอง บางปัญหาที่ว่าหนักเกินแบกรับ ก็สามารถแก้ไขได้อย่างไม่ยากเย็น บางเรื่องที่เรามองว่าเป็นจุดบกพร่องอาจจะมิไช่จุดบกพร่องเสมอไป ฉะนั้นจึงต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าพฤติกรรมใดคือจุดบกพร่อง แล้วจึงคิดที่จะเยียวยารักษา เชื่อว่าหลักการง่ายๆเพื่อตักเตือนสามีก็คือ การเอาใจเขามาใส่ใจเรา ลองคิดว่าถ้าหากมีใครสักคนต้องการจะตักเตือนเรา เราอยากได้ยินคำตักเตือนลักษณะใด ให้ถือว่านั่นคือสิ่งที่ควรถือปฏิบัติ เมื่อคำนึงถึงการที่คุณสองคนเพิ่งจะแต่งงานกันได้ไม่นาน ย่อมจะยังไม่เข้าใจอุปนิสัยของคู่รักอย่างละเอียดละออนัก จึงไม่ควรจะด่วนสรุปจนกว่าจะเข้าใจกันและกันอย่างละเอียด หากทำได้ดังนี้ก็สามารถจะบรรลุเป้าหมายได้โดยต้องไม่สร้างแรงกดดันแก่คู่ครองของคุณ ...
  • วิธีตอบรับสลามขณะนมาซควรทำอย่างไร?
    11771 สิทธิและกฎหมาย 2555/05/20
    ขณะนมาซ, จะต้องไม่ให้สลามบุคคลอื่น แต่ถ้าบุคคลอื่นได้กล่าวสลามแก่เขา, เขาจะต้องตอบในลักษณะที่ว่ามีคำว่า สลาม ขึ้นหน้า, เช่น กล่าวว่า »อัสลามุอะลัยกุม« หรือ »สลามุน อะลัยกุม« ซึ่งจะต้องไม่ตอบว่า »วะอะลัยกุมสลาม«[1] สิ่งจำเป็นต้องกล่าวถึงคือ, คนเราต้องตอบรับสลามอย่างเร่งด่วน ไม่ว่าจะอยู่ในนมาซหรือไม่ก็ตาม ซึ่งถ้าลืมหรือตั้งใจไม่ตอบรับสลามโดยทิ้งช่วงให้ล่าช้านานออกไป, และไม่นับว่าเป็นการตอบรับสลามอีกต่อไป, ขณะนมาซไม่จำเป็นต้องตอบ และถ้านอกเวลานมาซไม่วาญิบต้องตอบรับสลามอีก[2] [1] ...
  • ฮะดีษนี้เศาะฮี้ห์หรือไม่? รายงานจากอิมามญะฟัร(อ.)ว่า "ก่อนท่านนบี(ซ.ล.)จะนอน ท่านจะแนบใบหน้าที่หว่างอกของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(อ.)เสมอ" (บิฮารุลอันว้าร,เล่ม 43,หน้า 78)
    8084 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/11/24
    ฮะดีษแบ่งออกเป็นสองประเภท ก.กลุ่มฮะดีษที่มีสายรายงานที่เชื่อถือได้แข็งแรงและเศาะฮี้ห์ ขกลุ่มฮะดีษที่มีสายรายงานที่ไม่น่าเชื่อถืออ่อนแอและไม่เป็นที่รู้จัก.ฮะดีษที่ยกมานั้นหนังสือบิฮารุลอันว้ารอ้างอิงจากหนังสือมะนากิ้บของอิบนิชะฮ์รอชู้บแต่เนื่องจากไม่มีสายรายงานที่ชัดเจนจึงจัดอยู่ในกลุ่มฮะดีษที่ไม่น่าเชื่อถือแต่สมมติว่าฮะดีษดังกล่าวเศาะฮี้ห์
  • ฮะดีษต่อไปนี้น่าเชื่อถือเพียงใด “อสุจิที่ปฏิสนธิในคืนอีดกุรบานจะเติบโตเป็นทารกที่มี 6 นิ้ว”?
    6957 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/15
    ในบทฮะดีษที่ท่านนบี(ซ.ล.)สอนท่านอิมามอลี(อ.)เกี่ยวกับข้อพึงปฏิบัติและข้อพึงหลีกเลี่ยงของการร่วมหลับนอนท่านนบีกล่าวว่า “จงงดการร่วมหลับนอนกับภรรยาในคืนอีดกุรบานเนื่องจากอสุจิที่ปฏิสนธิในค่ำคืนนี้จะกำเนิดเป็นทารกที่มี 4 หรือ6นิ้ว”[1]ฮะดีษนี้นอกจากจะปรากฏในหนังสือฮิลยะตุลมุตตะกีนแล้วยังปรากฏในหนังสือญามิอุ้ลอัคบ้ารประพันธ์โดยตาญุดดีนอัชชะอีรีและหนังสือมะการิมุ้ลอัคล้ากประพันธ์โดยเราะฎียุดดีนฮะซันบินฟัฎล์เฏาะบัรซีอีกด้วยอย่างไรก็ตามในแง่สายรายงานจัดอยู่ในฮะดีษที่มีสายรายงานไม่ต่อเนื่องเมื่อพิจารณาเนื้อหาฮะดีษก็พอจะกล่าวได้ว่าการร่วมหลับนอนและการปฏิสนธิที่เกิดขึ้นในค่ำคืนอีดกุรบ้านนั้นถือเป็นหนึ่งในเหตุที่ทำให้ทารกพิการมีสี่หรือหกนิ้วแต่มิได้เป็นเหตุอันสมบูรณ์ของปรากฏการณ์ดังกล่าวจึงยังเห็นได้ว่าเด็กบางคนที่ปฏิสนธิในค่ำคืนดังกล่าวมิได้พิการเสมอไปในทางกลับกันผู้ที่พิการมีสี่หรือหกนิ้วก็มิได้หมายความว่าปฏิสนธิในคืนอีดกุรบานทุกคนสรุปคือถึงแม้ว่าฮะดีษข้างต้นจะไม่มีความต่อเนื่องในแง่สายรายงานอีกทั้งไม่อาจจะฟันธงว่าการร่วมหลับนอนในคืนอีดกุรบานคือเหตุอันสมบูรณ์ของการพิการดังกล่าวแต่อย่างไรก็ดีสามารถถือเป็นข้อพึงระวังที่สำคัญได้เพื่อมิให้ประสบกับเหตุไม่พึงประสงค์ที่อาจจะเกิดขึ้นกับทารก[1] قال رسول الله ص :".... یا علی لا تجامع مع أهلک فی لیلة الأضحى فإنه إن قضی بینکما ...
  • นามอันเป็นมักนูนและมุสตะอ์ษิ้รของอัลลอฮ์หมายความว่าอย่างไร?
    6860 รหัสยทฤษฎี 2554/10/23
    จากฮะดีษและบทดุอาทำให้ทราบว่าอัลลอฮ์มีพระนามที่ทรงคัดสรรด้วยพระองค์เองโดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้พระนามเหล่านี้เรียกว่า"อัสมาอ์มุสตะอ์ษิเราะฮ์" ซึ่งตามคำบอกเล่าของฮะดีษพระนามเหล่านี้คือมิติเร้นลับของอิสมุลอะอ์ซ็อมอันเป็นพระนามแรกของพระองค์พระนามประเภทนี้ยังเรียกขานกันว่าอิสมุ้ลมักนูนหรืออิสมุ้ลมัคซูนอีกด้วย ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60183 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57644 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42262 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39469 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38986 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34047 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28054 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28039 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27877 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25861 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...