การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
13266
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2553/12/22
 
รหัสในเว็บไซต์ fa2385 รหัสสำเนา 11565
คำถามอย่างย่อ
หลักวิชามนุษย์ศาสตร์และจิตวิทยา ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นตัวเอง ส่วนหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม จริยธรรม และวิชารหัสยลัทธิ, จะกล่าวถึงการไว้วางใจและมอบหมายแด่พระเจ้า แล้วคุณคิดว่าทั้งสองมีความขัดแย้งกันไหม?
คำถาม
หลักวิชามนุษย์ศาสตร์และจิตวิทยา ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นตัวเอง ส่วนหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม จริยธรรม และวิชารหัสยลัทธิ, จะกล่าวถึงการไว้วางใจและมอบหมายแด่พระเจ้า แล้วคุณคิดว่าทั้งสองมีความขัดแย้งกันไหม?
คำตอบโดยสังเขป

การที่จะรู้ถึงความแตกต่างและความไม่แตกต่างระหว่างความเชื่อมั่นตัวเอง กับการไว้วางใจหรือมอบหมาย ขึ้นอยู่กับการได้รับความเข้าใจของทั้งสองคำ ความเข้าใจเกี่ยวกับความเชื่อมั่นตนเอง, สามารถอธิบายได้ 2 ความหมายกล่าวคือ  :

1. การรู้จักศักยภาพ ความสามารถ การพึ่งพา และการได้รับเพื่อที่จะเข้าถึงตัวตนของความปรารถนา และสติปัญญาที่แท้จริง

การเก็บเกี่ยวจะไม่ขัดแย้งกับวัฒนธรรมของความไว้วางใจเลยแม้แต่น้อย ความพิเศษของการตีความนี้คือ เข้ากันได้กับสองการตีความหลักและเป็นแก่ของศาสนา"ความรู้ตนเอง" และการรู้จักความโปรดปรานต่างๆพร้อมกับการใช้ประโยชน์.

2.  ความเชื่อมั่นตนเอง ในลักษณะที่ว่าเป็นการพึ่งพาสิ่งที่มีและความรู้ของตน และขอให้ประสงค์ของพวกเขาเป็นแหล่งแห่งความดีเป็นจุดเริ่มต้นและความสำเร็จ

การให้ความหมายเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ไม่สอดคล้องกับคำสอนทางศาสนาเท่านั้น ทว่ายังเป็นเหมือนภาพลวงในจินตนาการ ความเชื่อมั่นทำนองนี้อันตรายอย่างยิ่ง" ไม่มีสิ่งใดอื่นนอกเสียจากการหลอกตัวเองและการไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง ท่านอิมามอะลี (.) กล่าวถึงการเชื่อมั่นตัวเองว่า "ผู้ใดไว้วางใจตัวเองว่าเท่ากับเขาได้ทรยศตัวเอง"

ความเข้าใจเกี่ยวกับ การไว้วางใจ โดยหลักการแล้วคำว่า ตะวักกัล มาจากคำว่า วะกาลัต หมายถึงการเลือกตัวแทน ซึ่งจุดประสงค์ด้านหนึ่งอยู่ในทิศทางเดียวกันกับของความเชื่อมั่น (ในความหมายที่กล่าวถึง) ความไว้วางใจที่ : เมื่อมนุษย์เผชิญหน้ากับปัญหาอันใหญ่หลวง เขาอย่ามีความรู้สึกว่าตนด้อยค่าและอ่อนแอ ทว่าด้วยการอาศัยอำนาจอันไม่มีที่สิ้นสุดของพระเจ้า เขาจะต้องได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน การเผชิญหน้ากับอุปสรรคปัญหาที่ซับซ้อน, และเขาได้พยายามที่จะเปิดปมปัญหา ในประเด็นที่ตนไร้ความสามารถก็จะมอบความไว้วางใจต่อพระเจ้า หมายถึงตนได้พึ่งพาพระเจ้า และไม่ได้หยุดยั้งความพยายาม ทว่าตนยังมีความสามารถในการทำบางสิ่งบางอย่างใหม่อีกครั้ง ขณะเดียวกันตนก็ตระหนักเสมอว่าพระเจ้าคือตัวการหลัก เนื่องจากเพียงแค่กระพริบตาเท่านั้น ถ้าเราได้แยกออกจากแหล่งที่มาของอำนาจและพลังทั้งหมดของพระองค์ หรือแยกผลกระทบอันเป็นปัจจัยธรรมชาติ จากประสงค์ของพระเจ้าแล้วละก็ถือว่าเป็นชิริกประเภทหนึ่งทันที เนื่องจากปัจจัยธรรมชาติทั้งหมดที่มีอยู่ล้วนมากจากพระองค์ทั้งสิ้น และทั้งหมดเป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์

แต่การตีความในความหมายที่สอง ของความเชื่อมั่นตัวเอง ไม่เข้ากันกับความไว้วางใจ เพราะถือว่าปัจจัยและความสามารถต่างๆ เป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งที่เป็นเอกเทศเมื่ออยู่ต่อหน้าพระประสงค์ของพระองค์ และตนได้พึ่งพาสิ่งอื่นนอกเหนือจากพระองค์ ตลอดจากความเข้าใจก็ตรงกันข้ามกับการมอบหมายความไว้วางใจที่มีต่อพระเจ้า

ท่านนบีมุฮัมมัด (ซ็อล) กล่าวว่า "ฉันได้ถามกาเบรียล (ญิบรออีล) ว่า : ความไว้วางใจหมายถึงอะไร ตอบว่า : หมายถึงการรับรู้ถึงความจริงที่ว่าสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย ไม่ให้คุณและไม่ให้โทษใดๆ และการที่เราได้ถอดถอนสายตาออกจามือและทรัพย์สินของประชาชน และเมื่อปวงบ่าววางตนได้เช่นนี้เวลานั้นเขาก็จะไม่เพื่อสิ่งอื่นใดอีก นอกจากอัลลอฮฺ และจะไม่มีความหวังกับสิ่งอื่นใดอีก นอกจากพระองค์ และทั้งหมดเหล่านี้คือแก่นแท้และขอบเขตของความไว้วางใจ"

คำตอบเชิงรายละเอียด

การติดตามความแตกต่างระหว่าง "ความเชื่อมั่นตนเอง" และ "ความไว้วางใจ" ขึ้นอยู่กับการความเข้าใจของทั้งสองแนวคิดดังกล่าว จะอธิบายเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นความเข้าใจทั้งสองนี้ :

. ความเข้าใจเกี่ยวกับความมั่นใจในตนเอง :

สำหรับคำข้างต้น สามารถพิจารณาถึงความแตกต่างกันของทั้งสองได้ดังนี้ :

1) ความเชื่อมั่นตนเองหมายถึง การรู้จักความสามารถ ศักยภาพต่างๆ ตลอดจนการพึงพาอาศัย และการเก็บเกี่ยวเพื่อไปให้ถึงยังความต้องการ และบรรลุความหวังที่แท้จริงของตัวตน

ความเข้าใจดังกล่าวนั้นไม่เพียงแต่ ไม่ขัดแย้งกับบรรทัดฐานของศาสนาเท่านั้น ทว่าในความเป็นจริงแล้วก็คือความต้องการของพระเจ้า ซึ่งเมื่อสัมพันธ์ไปยังการค้นหาคุณสมบัติดังกล่าวนั้น ถือว่าเรามีหน้ารับผิดชอบ การที่เราไม่ขวนขวายหาความพิเศษนั้น เท่ากับเราได้ละทิ้งสิ่งมีค่าไปมากมาย อย่างน้อยที่สุดคือความเสียหายที่เกิดขึ้น ความล้มเหลวในชีวิต และความไม่มีประโยชน์ในการแสวงหาความพึงพอพระทัยจากพระเจ้า ดังนั้น ความเข้าใจอันสูงส่งเกี่ยวกับ "ความเชื่อมั่นตนเองจึงได้รับการสรรเสริญไว้

ปัจจัยหลายประการที่ยอมรับ ความหมายแรกของ "ความเชื่อมั่นตนเอง" กล่าวคือ

1.1  การที่รู้ตัวเองว่า ฉันเป็นใคร ? ฉันมีความสามารถอะไรบ้าง ? จุดแข็งและจุดอ่อนของฉันอยู่ตรงไหน ? คุณลักษณะดีสิ่งใดบ้างที่มีอยู่ในตัวฉัน ? หน้าที่ความรับผิดชอบของฉันคืออะไร ? ความมั่งมีและสิ่งมีค่าทั้งวัตถุปัจจัยและศีลธรรมฉันคืออะไร ? ฉันควรจะมีแผนการอะไรบ้างจึงจะสามารถเก็บเกี่ยวผลกำไร และเป็นประกับฉันได้มากที่สุด ? และผลสะท้อนทั้งหลายล้วนมาจากการตีความหมายสำคัญ 2 ประการเอาไว้กล่าวคือ "ความรู้ตนเอง" และ "การรู้จักใช้ความโปรดปราน" ความเชื่อมั่นที่มีต่อตัวเอง ไม่ใช่สิ่งใดอื่นนอกจากการพิจารณาไปยังองค์รูปที่อยู่เหนือมนุษย์ และการพิจารณาไปยังมิติที่สูงส่งของมนุษย์" ซึ่งสิ่งนั้นไม่ต้องผ่านการรู้จักความโปรดปรานแต่อย่างใด โดยพื้นฐานแล้วพระเจ้าทรงมอบความโปรดปรานแก่มนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว และพระองค์ได้ให้มนุษย์เป็นผู้รับผิดชอบในความโปรดปรานเหล่านั้น ซึ่งพระองค์จะสอบถามจากเขา ดังนั้น การมีหน้าที่รับผิดชอบความโปรดปรานนั้น ไม่ใช่การพึ่งพาในสิ่งที่มี การเชื่อมั่นตนเอง และการได้รับประโยชน์จากความโปรดปราน การมีความรู้สึกที่ดี และความมั่นคง

ดังนั้น ความหมายของ "การมีความเชื่อมั่น" ก็คือ : การเชื่อว่าฉันก็เป็นบ่าวคนหนึ่ง จากปวงบ่าวทั้งหลายของพระเจ้า ซึ่งพระองค์มีความโปรดปรานเหล่านี้ และเราสามารถรับเอาความโปรดปรานเหล่านั้น มิเช่นนั้นแล้วเท่ากับเราไม่ได้ขอบคุณพระองค์

1.2  ด้วยเหตุนี้ เราจึงยอมรับความหมายแรกของ "ความเชื่อมั่น" การพิสูจน์ ความเป็นอิสระ การเชื่อมั่นตนเอง การไม่พึ่งพาคนอื่น และความภาคภูมิใจในตัวเอง อีกนัยหนึ่ง การเชื่อมั่นตนเอง คือการยอมรับอย่างชาญฉลาด การนำข้อมูลและผลประโยชน์อันทรงคุณค่าไปใช้ ในลักษณ์ที่ว่าเป็นความภาคภูมิใจสำหรับตนเองและอิสลาม ตรงกันข้ามกับความพ่ายแพ้ความแปลกหน้า การวิวาท ความเจ็บช้ำ และความกลวงว่างเปล่าของมนุษย์ ซึ่งไม่มีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่อีกนอกจากชื่อเท่านั้น

ด้วยความเชื่อมั่นตนเอง ก่อให้เกิดการจัดระเบียบความคิด และด้วยนิยามที่ว่า การปรับปรุงความคิด นั่นเองทำให้เราได้รับกุญแจทองพิชิตความสำเร็จ มิเช่นนั้นแล้วเมื่อพวกเผด็จการต้องการสร้างอิทธิพลกับประชาชาติ หรือประเทศใดประเทศหนึ่ง อันดับแรกพวกเขาจะจู่โจมด้านวัฒนธรรมก่อน โดยกล่าวว่า : พวกคุณไม่มีสิ่งใดเลย ! ความคิดของพวกคุณล้าหลัง และตกสมัยไปมาก ตอนนี้มันเร็วเกินไปสำหรับพวกคุณที่จะมาพูดถึง! ความอิสระ หรือเสรีภาพ ด้วยเหตุนี้ จะเห็นว่าส่วนใหญ่แล้ว แทนที่จะเชื่อมั่นตนเอง แต่กลับพ่ายแพ้ ยอมล้าหลัง และเมือคิดว่าตนเองยังอยู่ใต้จุดศูนย์ ก็เริ่มหวั่นไหวปรบมือตีเท้าตนเอง จากตัวเองก็กลายเป็นคนอื่น และจะสารภาพว่า ตนเองนั้นยากจนเป็นขอทาน ซึ่งประเด็นนี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงประชาชน วัฒนธรรม และศาสนา

ประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ต้องประสบกับ ความอ่อนแอและความว่างเปล่าทางจิต ความทุกข์ทรมานจิตใจ พวกเขาคือผู้ที่คิดว่าตนเองต่ำต้อยด้อยค่า

นักจิตวิทยาท่านหนึ่งได้วิเคราะห์ว่า :

ความภาคภูมิใจในตนเอง มีบทบาทสำคัญการแสดงออกของพฤติกรรมที่สมเหตุสมผล หรือพฤติกรรมที่ผิดปกติและไม่สอดคล้องกันของบุคคลต่างๆ ดังเช่นผลการวิจัยที่สรุปว่า ความภาคภูมิใจในตนเอง อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดการพัฒนา หรือกระชับการป้องกัน หรือการปรับพฤติกรรมบางส่วนของมนุษย์

ท่านอิมามฮาดี (.) กล่าวว่าบุคคลใดดูถูกตัวเองและพบว่าตนไม่มีค่า ในด้านในของเขาย่อมมีความรู้สึกไม่ดี รู้สึกด้อยกว่า ดังนั้น จะไม่ปลอดภัยจากความไม่ดีของเขา."

ดังนั้น ความเชื่อมั่นตนเอง ที่ได้รับความชื่นชมและเป็นที่ยอมรับนั้น จะเป็นสาเหตุทำให้เรามีความภาคภูมิใจในตนเอง ซึ่งผลของความภาคภูมิใจในตนเองก็คือ ความอดทนและความสามารถนั่นเอง

ท่านนบีมุฮัมมัด (ซ็อล ) กล่าวว่า "ความอดทนขันติของสุภาพบุรุษ สามารถถอดถอนภูเขาได้."[1]

ท่านเฆาะซาลี กล่าวว่า "คำอธิบายของคำว่า เฮมมัต คือความอดทนขันติตัวตน การมีจิตใจมั่นคงเปี่ยมล้น ความอดทนของบรรดาผู้อาวุโสคือ การรู้จักตัวเองว่าเป็นผู้มีเกียรติยศ[2]

1.3  คุณสมบัติที่ดีอีกประการหนึ่งของ ความเชื่อมั่นตนเอง คือมีความสอดคล้องกับวัฒนธรรมของความไว้วางใจ

2) ความหมายที่สองของ ความมั่นใจในตนเองคือ : ความเชื่อมั่นในตัวเองเลยเถิดไปจนถึงที่ว่า ตนได้พึ่งพิงเฉพาะความมั่งมีและความรู้ของตน ความประสงค์ของตน คือแหล่งและเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จทั้งหลาย

ความเข้าใจเหล่านี้ไม่เพียงแต่ ไม่สอดคล้องกับคำสอนทางศาสนาเท่านั้น ทว่ายังเป็นภาพลวงตาที่อยู่ในความคิดของมนุษย์ แน่นอน ความเชื่อมั่นตนเองเหล่านี้ ล้วนถูกตำหนิและได้รับคำประณามทั้งสิ้น เพราะเป็นความเชื่อมั่นในอัตตาตัวเอง ซึ่งสิ่งนี้เองที่เป็นจุดของความหายนะ ท่านอิมามอะลี (.) กล่าวถึงการเชื่อมั่นตัวเองประเภทนี้ว่า "ผู้ใดไว้วางใจตัวเองว่าเท่ากับเขาได้ทรยศตัวเอง"

เพราะเหตุใด ความหมายของ ความเชื่อมั่นตนเอง ในความหมายนี้จึงได้รับการตำหนิ ? ปัจจัยต่อไปนี้ถือเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ความหมายข้างต้นไม่เป็นที่ยอมรับ

1. สมมติฐานเท็จจะเป็นสาเหตุก่อให้เกิดบุคลิกภาพโกหกและทำลายความสมดุล เมื่อเราคิดได้ว่า"เพียงพอแล้วที่ฉันต้องการ" "สิ่งที่ถูกต้องคือสิ่งที่ฉันเข้าใจ ดังนั้น ทัศนะของฉันจะต้องเป็นวิชาการ" "ไม่มีอุปสรรคใดบนหนทางที่ฉันก้าวเดินและ ... " ทัศนะคติและและความคิดเช่นนี้เป็นสาเหตุก่อให้เกิด"การปฏิเสธบุคลิกภาพมากยิ่งขึ้น" และด้วยความเร็วความหลงระเริงในความภาคภูมิใจในตัวเอง", ทำให้มองว่าตนเองเป็นบุคคลสำคัญขึ้นมาทันที เป็นที่ชัดเจนว่าพฤติกรรมหลอกลวงเหล่านี้จะไปนำไปสู่การฝึกฝนจิตวิญญาณ การจิตนาการในทางไม่ดี, ซึ่งล้วนทำลายความสมดุลและบุคลิกภาพอันแท้จริงของตนเองในที่สุด

อย่างไรก็ตามเราจำเป็นต้องรู้จักพรมแดนและควรให้ความสำคัญขอบเขตและปัจจัยอื่น  ความเป็นจริงต่างๆ เพื่อความเป็นส่วนตัว การมีความมั่นใจตนเองแบบแปลกประหลาดนี้, จะไม่เหลือที่ให้ทำการประเมินความจริงในความสามารถของตนอีกต่อไป ท่านอิมาม อะลี (.) กล่าวว่า :ถ้าเจ้าต้องการความเมตตาจากพระเจ้า, เจ้าจะต้องรู้จักมิติของศักยภาพและเขตแดนของความไร้สามารถเสียก่อน มิเช่นนั้นเจ้าก็จะเลยเส้นของตนเอง เจ้าจะสร้างความหวัง ความก้าวหน้าและความเมตตาให้เป็นรากฐานแห่งทรัพย์สมบัติ[3]

ด้วยเหตุนี้เอง จะเห็นว่าอิสลามได้ห้ามมิให้บุคคลสนใจตนเองในลักษณะนี้ตั้งแต่แรก และยังได้เตือนว่าถ้าหากเจ้าไม่ปล่อยวางจิตใจเช่นออกไปละก็ เจ้าก็จะได้พบกับผลที่เลวร้าย 2 ประการ กล่าวคือ ความยโสและทระนง กับความภาคภูมิใจ ตนเองในทางที่ผิด

"นอกเหนือจากความเสียหายที่เกิดจากความยโสโอหัง [ออกนอกความผิดของตนเองและมีความสุขกับพฤติกรรมของตน] ต้นไม้แห่งความผิดร้ายแรงนี้จะก่อให้เกิดบาปกรรมใหญ่จำนวนมากที่เชื่อมโยงกับเขา ... ม่านแห่งความยโสโอหังและสิ่งปกคลุมความหลงตัวเอง จะกลายเป็นอุปสรรคชั่วร้ายขวางกั้นไม่ให้มองเห็นความชั่ว และความผิดของตนเอง และนี่คือความทุกข์ เป็นความเศร้าสลดใจที่สุดที่กีดกันมนุษย์ให้ออกห่างจากความสมบูรณ์แบบทั้งหมด ความเสียหายอีกประการหนึ่งที่เกิดจากความยโสโอหัง ...คือจะทำให้เกิดความมั่นใจในตัวเองและการกระทำของตน ซึ่งจะกลายเป็นสาเหตุทำให้มนุษย์กลายเป็นคนโง่เขลาไร้โชค คิดว่าตนไม่จำเป็นต้องพึ่งพระเจ้าอีกต่อไป ไม่จำเป็นต้องใส่ใจในความโปรดปรานของพระองค์[4]

2. ความเชื่อมั่นในภารกิจของตน เท่ากับเป็นการปฏิเสธเตาฮีดอัฟอาล (ความเอกเทศในการกระทำ) ของพระเจ้า

ในวิชาด้านหลักความเชื่อได้พิสูจน์แล้วว่า ทุกการมีอยู่ ทุกการเคลื่อนไหว และทุกการกระทำบนโลกนี้ ล้วนกลับไปหาอาตมันบริสุทธิ์ของพระเจ้าทั้งสิ้น พระองค์คือปฐมเหตุของกลไกและเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสาเหตุ (ปฐมสาเหตุของทุกสาเหตุ) แม้แต่การกระทำที่เกิดจากเรา ในความหมายหนึ่งการกระทำนั้นมาจากพระองค์ พระองค์คือผู้ในพลังและกำลังไว้ในเจตจำนงเสรีของเรา พระองค์ให้ความเสรีและความประสงค์แก่เรา แต่การกำกับของพระเจ้าไม่ได้หมายความว่าพระองค์ขจัดเราออกไปจากสาระบบ เนื่องจากพระองค์ได้มอบพละกำลังและเจตจำนงเสรีแก่เรา ในความเป็นจริงเราคือผู้ก่อให้เกิดการกระทำต่างๆ เราคือผู้รับผิดชอบการกระทำเหล่านั้น ขณะเดียวกันเราก็ไม่ถอดถอนพระเจ้าออกไปจากผู้กระทำ เนื่องจากทุกสิ่งที่เรามีอยู่ล้วนมาจากพระองค์ทั้งสิ้น และสิ่งเหล่านั้นย่อมกลับไปหาพระองค์ (ไม่มีผลอันใดในสรรพสิ่งนอกจากอัลลอฮฺ)[5] ในขณะที่ถ้าเพื่อว่าเราคิดว่า ตัวเราคือศูนย์กลางหลัก เท่ากับเราได้ทึกทักเอาว่าเราเป็นผู้กระทำโดยไม่มีเหตุผล ทะนงตนเองต่อหน้าความประสงค์และอำนาจสมบูรณ์ของพระเจ้า

. ความเข้าใจเกี่ยวกับความไว้วางใจ

"ตะวักกัลมาจากรากศัพท์คำว่า "วะกาลัต" หมายถึงการเลือกผู้แทน ขณะเดียวกันเราก็รู้ว่า

อันดับแรก การเลือกตัวแทนปฏิบัติเพื่อกระทำในบางภารกิจ,หรือปกป้องเราจากบางภารกิจ สิ่งจำเป็นในตรงนี้คือมนุษย์จะต้องไร้ความสามารถในการกระทำสิ่งนั้นเสียก่อน ตรงนี้จึงได้ใช้ความสามารถของคนอื่น และด้วยความช่วยเหลือของเขาทำให้เราสามารถแก้ไขปัญหาลงได้

ประการที่สอง ตัวแทนที่ดีคือบุคคลที่อย่างน้อยต้องมี 4 คุณสมบัติดังนี้ มีความรู้เพียงพอ, มีความไว้วางใจ, มีความสามารถ,และมีความเห็นอกเห็นใจ[6]

ในการอธิบายความหมายแรกของ ความเชื่อมั่น (ความรู้ด้วยตนเอง และความภาคภูมิใจในตนเองควบคู่ไปกับการประยุกต์ใช้ความสามารถและศักยภาพที่มี) จะไม่ขัดแย้งกับความไว้วางใจเชย เพราะ, (ผ่านไปแล้วสำหรับภารกิจที่เป็นของศาสนาอย่างแน่นอน เช่น ความรู้ด้วยตนเอง และความเข้าใจและการใช้ประโยชน์จากความโปรดปรานซึ่งซ่อนอยู่ใน ความหมายดังกล่าว) โดยทั่วไปความไว้วางใจที่แท้จริงก็มีรากที่มาจากความหมายนี้และมีความเชื่อมั่นตนเอง : แม้ว่าจุดประสงค์ของความไว้วางใจ,คือการที่มนุษย์จะต้องไม่แสดงความอ่อนแอกับปัญหาร้ายแรง ต้องไม่รู้สึกว่าตนด้อยน้อยค่า ทว่าด้วยการพึงพิงอำนาจที่ไม่มีที่สิ้นสุดของพระเจ้า จะทำให้ตนได้รับชัยชนะและประสบความสำเร็จ ด้วยเหตุนี้ ความหมายหนึ่งของ ความไว้วางใจคือ การสร้างความหวัง การเติมเต็มพลัง การสนับสนุน,อันเป็นเหตุก่อให้เกิดความมั่นคง ดังนั้น การไว้วางใจในพระเจ้าจะไม่มีความหมายอื่นนอกเหนือไปจากนี้ กล่าวคือ

เมื่อมนุษย์ต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคปัญหา เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต ความเป็นปฏิปักษ์รุนแรงของฝ่ายตรงข้ามความ ความซับซ้อนของเส้นทางและทางตันสำหรับตนเอง ด้วยความไว้วางใจในอัลลอฮฺ ตนได้พยายามเปิดปมเงื่อน ตนได้มองหมายความไว้วางใจในพระเจ้า และพึ่งพาพระองค์ โดยที่ตนได้ดิ้นรนและไม่ลดละความพยายาม ดังนั้น ในทุกทีพระเจ้าคือผลหลักของทุกการกระทำ เนื่องจากทุกที่ที่สายตาได้จับจ้องไป ล้วนเป็นแหล่งที่มาของอำนาจและพละกำลังของพระองค์ทั้งสิ้น

ถ้าบางคนคิดว่าการให้ความสนใจไปในโลกของสาเหตุ และปัจจัยธรรมชาติแล้ว สิ่งนี้ไม่สอดคล้องกับจิตวิญญาณของความไว้วางใจ, เขาเข้าใจผิดพลาดอย่างรุนแรง เนื่องจากการแยกผลของปัจจัยทางธรรมชาติออกจากประสงค์ของพระเจ้าถือเป็นชิริกประเภทหนึ่ง! เพราะว่าปัจจัยธรรมชาติทั้งหมดที่มี ล้วนมาจากพระองค์ทั้งสิ้น ปฏิบัติไปตามคำสั่งของพระองค์ แน่นอน ถ้าเราคิดว่าปัจจัยและพลังอำนาจต่างเป็นอิสระจากพระองค์ และเผชิญหน้ากับพระประสงค์ของพระองค์ ตรงนี่เองที่จะไม่สอดคล้องกับจิตวิญญาณของความไว้วางใจ[7]

สรุปสาระสำคัญของคำพูด :ความภาคภูมิใจในตนเองหมายถึง การอาศัยในความกรุณาธิคุณ และการใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มี การละทิ้งความสิ้นหวัง สิ่งเหล่านี้สอดคล้องกับความไว้วางใจ แล้วจะไม่ให้เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ขณะที่ท่านนบีมุฮัมมัด (ซ็อล ) คือผู้ที่มอบความไว้วางใจต่อพระเจ้า ทั้งที่ท่านไม่เคยทิ้งโอกาสในการก้าวไปสู่เป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ ท่านไม่เคยละทิ้งโอกาส แผนงานที่ละเอียด กลยุทธ์ในเชิงบวก และการใช้อุปกรณ์เครื่องใช้ที่มีอยู่ ท่านยังได้ย้ำเตือนบรรดาผู้ศรัทธาเสมอว่า "พวกเธอมีความสามารถ พวกเธอดีกว่า"[8]

แต่ในความหมายที่สองของความเชื่อมั่นตนเอง ขัดแย้งกับความไว้วางใจได้อย่างไร : ประเด็นตรงข้ามกับความไว้วางใจต่อพระเจ้า คือ การอาศัยสิ่งอื่นนอกเหนือจากพระเจ้า ได้แก่ การพึ่งพาอาศัย, การขึ้นอยู่กับการควบคุม และความเป็นอิสระของคนอื่น ความไม่มีอิสระเป็นของตัวเอง, การมอบความไว้วางใจต่อพระเจ้า ได้ช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากการพึ่งพิง การต้องอาศัย และมีความสัมพันธ์กับคนอื่น อันเป็นแหล่งที่มาของความอัปยศอดสูและการเป็นทาส การมอบหมายความไว้วางใจได้ให้เสรีภาพและความเชื่อมั่นในตัวเอง มีรายงานจากพระศาสดามูฮัมมัด (ซ็อล ) กล่าวว่า ฉันได้ถามญิบรออีลผู้นำวะฮฺยูว่า; ความไว้วางใจหมายถึงอะไร ? ตอบว่า  ความตระหนักถึงความจริงว่าบรรดาสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายไม่ให้คุณและไม่ให้โทษ ไม่เป็นอันตรายหรือสร้างความเสียหายแต่อย่างใด ถอดถอนสายตาไปจากมือและทรัพย์สินของคนอื่น! เมื่อบ่าวคนหนึ่งกระทำได้เช่นนี่ ดังนั้น เขาจะไม่กระทำเพื่อใครอื่นนอกจากอัลลอฮฺเท่านั้น เขาจะไม่มีความหวังกับผู้ใด! และเหล่านี้คือขอบเขตความจริงของความไว้วางใจ[9].

แหล่งข้อมูล :

1. อิมาม โคมัยนี (รฎ.), สี่สิบฮะดีซ, ชัรฮฺฮะดีซ 3 (อุจบ์), 4 (กิบร์), 10 (อำนาจฝ่ายต่ำ), 13 (ตะวักกัล), 20 (ความบริสุทธิ์ใจ)

2. เนญาต, มูฮัมมัด, อัลกุรอานและจิตวิทยา แปลโดยอาหรับอับบาซ, พิมพ์ที่ ออสตอนกุดส์ ระซะวีย์ (.), บทที่ 9 (บุคลิกภาพในกุรอาน), หน้า. 287

3. ชัรกอวีย์, ฮะซัน, ฆอมมี ฟะรอซูเยะ ระวอนชะนอซีย์ อิสลามมี, แปลโดย ซัยยิด มุฮัมมัด บากิร ฮุจญตีย์ พิมพ์เผยแพร่โดยศูนย์วัฒนธรรมอิสลาม, หมวดที่สาม วิธีการไปถึงสุขภาพจิตวิญญาณที่สมบูรณ์ และความสะอาดของสุขภาพจิต บทที่ 1, 4 และ 13 (บทที่ 14) การให้บริการด้านจิตวิทยาในหลากหลายวิธี, หน้า. 397-528



[1] มุสนัดอัชชะฮาบ เล่ม 1 หน้า 378

[2] เฆาะซาลีย์ นะซีฮะตุลมุลูก

[3]  อัลลามะฮฺ มัจญิลิส บิฮารุลอันวาร เล่ม 66 หน้า 79, บะฮฺรอนีย์ อะลี อิบนุ มัยซัม ชัรฮฺ มาอะฮฺ กะลิมะฮฺ หน้า 59

[4]  อิมามโคมัยนี ชัรฮฺ 40 ฮะดีซ หน้า 69 ฮะดีซที่ 3

[5] มะการิมชีรอซีย์ นาซิร พัยยอมกุรอาน เล่ม 3 หน้า 274

[6] มะการิมชีรอซีย์ นาซิร ตัฟซีรเนะมูเนะฮฺ เล่ม 10 หน้า 205

[7]  มะการิมชีรอซีย์ นาซิร ตัฟซีรเนะมูเนะฮฺ เล่ม 10 หน้า 297

[8] มะการิมชีรอซีย์ นาซิร ตัฟซีรเนะมูเนะฮฺ เล่ม 10 หน้า 297

[9] มะการิมชีรอซีย์ นาซิร ตัฟซีรเนะมูเนะฮฺ เล่ม 10 หน้า 298, บิฮารุลอันวาร เล่ม 71 หน้า 137 ฮะดีซที่ 23,มะอานิลอัคบาร หน้า 461

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ฮุศ็อยน์ บิน นุมัยร์ (ตะมีม) เป็นใครมาจากใหน?
    6643 تاريخ بزرگان 2555/03/08
    حصين بن نمير ซึ่งออกเสียงว่า “ฮุศ็อยน์ บิน นุมัยร์” ก็คือคนเดียวกันกับ “ฮุศ็อยน์ บิน ตะมีม” หนึ่งในแกนนำฝ่ายบนีอุมัยยะฮ์ที่มาจากเผ่า “กินดะฮ์” ซึ่งจงเกลียดจงชังลูกหลานของอิมามอลีอย่างยิ่ง และมีส่วนร่วมในการสังหารฮะบี้บ บิน มะซอฮิร หนึ่งในสาวกของอิมามฮุเซน บิน อลีในวันอาชูรอ ปีฮ.ศ. 61 โดยได้นำศีรษะของฮะบี้บผูกไว้ที่คอของม้าเพื่อนำไปยังราชวังของ “อิบนิ ซิยาด” ...
  • การเผยแพร่ศาสนา (สอนและแนะนำต่างศาสนิก) เป็นวาญิบสำหรับมุสลิมทุกคนหรือไม่?
    23654 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/04/02
    อิสลามเป็นศาสนาระดับโลกสำหรับสาธารณชน และเป็นศาสนาสุดท้าย ด้วยเหตุนี้ มนุษย์ทุกชาติพันธุ์จึงควรศึกษาเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม วิธีสำคัญที่จะทำให้ผู้อื่นรู้จักศาสนาแห่งมนุษยธรรมดังกล่าวก็คือ การเผยแพร่ข้อเท็จจริง บทบัญญัติ คำแนะนำและขนบมารยาทของอิสลามให้เป็นที่รู้จัก คัมภีร์กุรอานได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเผยแพร่ไว้ในหลายโองการด้วยกัน ดังโองการที่ว่า “จะมีใครมีวาจาที่ประเสริฐไปกว่าผู้ที่เชื้อเชิญสู่อัลลอฮ์และความประพฤติอันงดงาม โดยกล่าวว่าฉันคือหนึ่งในมวลมุสลิม”[1] อีกโองการหนึ่งระบุว่า “และจะต้องมีคณะหนึ่งจากสูเจ้าที่เชื้อเชิญสู่ความประเสริฐ กำชับสู่ความดีและห้ามปรามจากความชั่ว บุคคลเหล่านี้แหล่ะคือผู้ได้รับชัยชนะ”[2] แม้ว่าการเผยแพร่ศาสนาจะมิได้เป็นภาระหน้าที่ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นการเฉพาะ แต่กุรอานได้กำชับให้มีคณะบุคคลจำนวนหนึ่งจากบรรดาผู้ศรัทธาออกไปศึกษาวิชาการอิสลามเพื่อเตรียมพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ในการเผยแพร่ศาสนา โองการกล่าวว่า “มิบังควรที่เหล่าผู้ศรัทธาจะกรีฑาทัพ(สู่สมรภูมิ)ทุกคน เหตุใดจึงไม่กรีฑาทัพไปเพียงคณะหนึ่งจากแต่ละกลุ่ม (และเหลือบุคคลที่ยังอยู่ในมะดีนะฮ์)เพื่อจะได้ศึกษาศาสนา(สารธรรมและบทบัญญัติอิสลาม)อย่างลึกซึ้ง และจะได้กำชับสอนสั่งกลุ่มชนของตนเมื่อพวกเขากลับ(จากสมรภูมิ) เพื่อหวังว่าพวกเขาจะยำเกรง”[3] โองการดังกล่าวสื่อว่า จำเป็นต้องมีความพร้อมสรรพด้านวิชาการในการเผยแพร่ศาสนา โดยแต่ละคนมีหน้าที่ในการเผยแพร่ตามความรู้ที่ตนมี ท่านอิมามศอดิก(อ.)กล่าวไว้ว่า “ผู้ที่รายงานฮะดีษของเราจำนวนมาก อันจะสามารถทำให้จิตใจของชีอะฮ์ของเรามั่นคง บุคคลผู้นี้ประเสริฐกว่าผู้บำเพ็ญอิบาดะฮ์ถึงหนึ่งพันคน”[4] การช่วยเหลืออิมามมะฮ์ดีที่สำคัญที่สุดประเภทหนึ่งก็คือ การตอบปัญหาและการปกป้องความเชื่ออันบริสุทธิของชีอะฮ์ให้พ้นจากเหล่าผู้ใส่ไคล้ ผู้ที่หวงแหนศาสนาย่อมจะต้องพร้อมด้วยการศึกษาวิชาการศาสนา เพื่อที่จะสนองความต้องการทางวิชาการและการเผยแพร่ศาสนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ดี การเผยแพร่มิได้จำกัดอยู่เพียงการกล่าวเทศนาหรือการเขียนตำรา ...
  • เราเชื่อว่าท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)ยังมีชีวิตอยู่และสอดส่องดูแลพฤติกรรมของเราเสมอมา กรุณาพิสูจน์ความคงกระพันของท่านให้ทราบหน่อยค่ะ
    6756 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/19
    การพิสูจน์เกี่ยวกับอายุขัยและสถานะความเป็นอิมามของท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)เป็นประเด็นหนึ่งในหลักอิมามัตเชิงจุลภาคลำพังสติปัญญาไม่อาจจะพิสูจน์ความเชื่อดังกล่าวได้สติปัญญาจะต้องพิสูจน์หลักอิมามัตเชิงมหภาคให้ได้เสียก่อนแล้วจึงใช้เหตุผลทางฮะดีษตลอดจนรายงานทางประวัติศาสตร์เข้าเสริมเพื่อพิสูจน์ว่าท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)เท่านั้นที่ดำรงตำแหน่งอิมามสำหรับยุคสมัยนี้ความจำเป็นที่จะต้องมีมนุษย์ผู้ปราศจากบาปที่เป็นฮุจญัต(ข้อพิสูจน์)ของพระองค์ในทุกยุคสมัยนั้นพิสูจน์ได้ด้วยเหตุผลทางสติปัญญาเกี่ยวกับหลักอิมามัตเชิงมหภาคอาทิเช่นการให้เหตุผลว่าศาสนทูตและอิมามถือเป็นเมตตาธรรมของอัลลอฮ์และโดย"หลักแห่งเมตตาธรรม"แล้วเมตตาธรรมของพระองค์ย่อมมีอยู่ตราบชั่วนิรันดร์มีฮะดีษมากมายที่ระบุว่าณเวลานี้มนุษย์ผู้ปราศจากบาปดังกล่าวมีเพียงท่านอิมามมะฮ์ดี(
  • ความหมายของอักษรย่อในอัลกุรอานคือ อะไร?
    14455 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    อักษรย่อ หมายถึงอักษาซึ่งได้เริ่มต้นบทอัลกุรอาน บางบท ไม่มีความหมายเป็นเอกเทศ ตัฟซีรกุรอาน มีการตีความอักษรเหล่านี้ด้วยทัศนะที่แตกต่างกัน ซึ่งทัศนะที่ถูกต้องที่สุดคือ อักษรย่อเป็นรหัส ซึ่งเท่าเราะซูลและหมู่มิตรของอัลลอฮฺ เข้าใจในสิ่งนั้น ประโยคที่ว่า «صراط علی حق نمسکه» นักค้นคว้าบางคนกล่าวว่า ไม่มีที่มาจากแหล่งรายงานฮะดีซ ...
  • ความตายจะเกิดขึ้นในสวรรค์หรือนรกหรือไม่?
    7498 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/08/15
    โองการกุรอานฮะดีษและเหตุผลเชิงสติปัญญาพิสูจน์แล้วว่าหลังจากที่มนุษย์ขึ้นสวรรค์และลงนรกแล้วความตายจะไม่มีความหมายอีกต่อไป กุรอานขนานนามวันกิยามะฮ์ว่า “เยามุ้ลคุลู้ด”(วันอันเป็นนิรันดร์) และยังกล่าวถึงคุณลักษณะของชาวสวรรค์ว่า “คอลิดีน”(คงกระพัน) ส่วนฮะดีษก็ระบุว่าจะมีสุรเสียงปรารภกับชาวสวรรค์และชาวนรกว่า “สูเจ้าเป็นอมตะและจะไม่มีความตายอีกต่อไป(یا اهل الجنه خلود فلاموت و یا اهل النار خلود فلا ...
  • อิสลามมิได้ห้ามรับประทานเนื้อดอกหรือ?
    9304 สิทธิและกฎหมาย 2555/03/14
    พืชผักผลไม้และเนื้อสัตว์ถือเป็นอาหารของมนุษย์มาตั้งแต่โบราณ แต่ก็มีมนุษย์บางกลุ่มที่มีรสนิยมสองขั้วที่ต่างกัน บางกลุ่มไม่แตะต้องเนื้อสัตว์เลย ส่วนบางกลุ่มในแอฟริกา ตะวันออกไกลและยุโรปบางประเทศกินเนื้อสัตว์แทบทุกประเภทแม้กระทั่งเนื้อมนุษย์ในบางกรณี การเปรียบเทียบระหว่างมนุษย์กับสัตว์เดรัจฉานถือว่าไม่ถูกต้องนัก การจะใช้เหตุผลที่ว่าเนื่องจากสัตว์เดรัจฉานกินเนื้อ ฉะนั้นมนุษย์จึงไม่ควรจะทานเนื้อ คงต้องถามกลับว่า สัตว์ป่าอย่างเช่น กวาง ยีราฟ ฯลฯ กินเนื้อเป็นอาหารหรือไม่? สัตว์ที่มีนิสัยดุร้ายอย่างหมีไม่ได้กินน้ำผึ้งและผักผลไม้ดอกหรือ? สิ่งนี้จะถือเป็นเหตุผลที่มนุษย์ไม่ควรทานน้ำผึ้งและพืชผักได้หรือไม่? ...
  • ริวายะฮ์ที่กล่าวว่า “ในสมัยที่อิมามอลี (อ.) ปกครองอยู่ ท่านมักจะถือแซ่เดินไปตามถนนหนทางและท้องตลาดพร้อมจะลงโทษอาชญากรและผู้กระทำผิด” จริงหรือไม่?
    6925 สิทธิและกฎหมาย 2555/03/18
    สำนักงานท่านอายะตุลลอฮ์อัลอุซมา มะการิม ชีรอซี ริวายะฮ์ข้างต้นกล่าวถึงช่วงรุ่งอรุณขณะที่ท่านสำรวจท้องตลาดในเมืองกูฟะฮ์ และการที่ท่านมักจะพกแซ่ไปด้วยก็เนื่องจากต้องการให้ประชาชนสนใจและให้ความสำคัญกับกฏหมายนั่นเอง สำนักงานท่านอายะตุลลอฮ์อัลอุซมาศอฟีย์ กุลพัยกานี ริวายะฮ์ได้กล่าวไว้เช่นนั้นจริง และสิ่งที่อิมามอลี(อ.) ได้กระทำไปคือสิ่งที่จำเป็นต่อสถานการณ์ในยุคนั้น การห้ามปรามความชั่วย่อมมีหลายวิธีที่จะทำให้บังเกิดผล ดังนั้นจะต้องเลือกวิธีที่จะทำให้สังคมคล้อยตามความถูกต้อง คำตอบของท่านอายะตุลลอฮ์มะฮ์ดี ฮาดาวี เตหะรานี มีดังนี้ หากผู้ปกครองในอิสลามเห็นสมควรว่าจะต้องลงโทษผู้ต้องหาและผู้ร้ายในสถานที่เกิดเหตุ หลังจากที่พิสูจน์ความผิดด้วยวิธีที่ถูกต้อง และพิพากษาตามหลักศาสนาหรือข้อกำหนดที่ผู้ปกครองอิสลามได้กำหนดไว้ การลงทัณฑ์ในสถานที่เกิดเหตุถือว่าไม่ไช่เรื่องผิด และในการนี้ไม่จำเป็นต้องอ้างอิงริวายะฮ์ดังกล่าวแต่อย่างใด แต่รายงานที่ถูกต้องที่ปรากฏในตำราฮะดีษอย่าง กุตุบอัรบาอะฮ์[1] ก็คือ ท่านอิมามอลี (อ.) พกแซ่เดินไปตามท้องตลาดและมักจะตักเตือนประชาชนให้ระมัดระวังในเรื่องต่าง ๆ โดยไม่มีตำราเล่มใดบันทึกว่าอิมามอลี (อ.) เคยลงโทษผู้ใดในตลาด
  • การรับประทานล็อบสเตอร์ หอย และปลาหมึกผิดหลักศาสนาหรือไม่?
    18004 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/25
    การรับประทานล็อบสเตอร์หอยและปลาหมึกถือว่าผิดหลักศาสนาดังที่บทบัญญัติทางศาสนาได้กำหนดเงื่อนไขบางประการเพื่อจำแนกเนื้อสัตว์ที่ทานได้ออกจากเนื้อสัตว์ที่ไม่อนุมัติให้ทานเห็นได้จากการกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับสัตว์บกสัตว์น้ำและสำหรับสัตว์ปีกฯลฯมาตรฐานที่กำหนดไว้สำหรับสัตว์น้ำที่ฮะลาลคือจะต้องมีเกล็ดเท่านั้นในฮะดีษหนึ่งได้กล่าวไว้ว่ามุฮัมหมัดบินมุสลิมได้ถามจากอิมามบากิร (อ.) ว่า “มีคนนำปลาที่ไม่มีเปลือกหุ้มมาให้กระผมอิมามได้กล่าวว่า “จงทานแต่ปลาที่มีเปลือกหุ้มและชนิดใหนไม่มีเปลือกหุ้มจงอย่าทาน”[1]เปลือกหุ้มในที่นี้หมายถึงเกล็ดดังที่ได้ปรากฏในฮะดีษต่างๆ[2]บรรดามัรญะอ์ตักลีดจึงได้ใช้ฮะดีษดังกล่าวเป็นบรรทัดฐานสำหรับสัตว์น้ำ โดยได้ถือว่านัยยะของฮะดีษต่างๆระบุว่าห้ามรับประทานสัตว์น้ำ(เนื่องจากผิดหลักศาสนา) เว้นแต่ปลาประเภทที่มีเกล็ดเท่านั้นแต่กุ้งมิได้อยู่ในบรรทัดฐานทั่วไปดังกล่าวมีฮะดีษที่อนุมัติให้รับประทานกุ้งเป็นการเฉพาะที่กล่าวว่า “การรับประทานกุ้งไม่ถือว่าฮะรอมและกุ้งถือเป็นปลาประเภทหนึ่ง”[3]ถึงแม้ว่าโดยลักษณะทั่วไปกุ้งอาจไม่ถือว่ามีเกล็ดแต่ในแง่บทบัญญัติแล้วกุ้งรวมอยู่ในจำพวกปลาที่มีเกล็ดและสามารถรับประทานได้กล่าวคือแม้ว่ากุ้งไม่มีเกล็ดแต่ก็ถูกยกเว้นให้สามารถกินได้ทั้งนี้ก็เนื่องจากมีฮะดีษต่างๆอนุมัติไว้เป็นการเฉพาะแม้เราไม่อาจจะทราบเหตุผลเกี่ยวกับเรื่องนี้[4]ส่วนกรณีที่เนื้อปูถือว่าฮะรอมก็เนื่องจากมีฮะดีษที่ระบุไว้โดยเฉพาะที่ว่า “การทานญัรรี(ปลาชนิดหนึ่ง), เต่าและปูถือเป็นฮะรอม[5]ดังนั้นล็อบสเตอร์, ปลาหมึกฯลฯยังคงอยู่ในเกณฑ์ของสัตว์ที่ไม่สามารถรับประทานได้อนึ่งแม้ว่าสัตว์บางประเภทไม่สามารถรับประทานได้แต่ก็มิได้หมายความว่าห้ามเพาะเลี้ยงหรือซื้อขายสัตว์ชนิดนั้นเสมอไปเนื่องจากการรับประทานและการค้าขายเป็นสองกรณีที่จำแนกจากกันบางสิ่งอาจจะเป็นฮะรอมในการดื่มหรือรับประทานแต่สามารถซื้อขายได้อย่างเช่นเลือดซึ่งห้ามรับประทานเนื่องจากฮะรอมแต่ด้วยการที่เลือดมีคุณประโยชน์ในทางอื่นๆด้วยจึงสามารถซื้อขายได้ดังนั้นการซื้อขายล็อบสเตอร์, หอยฯลฯในตลาดหากไม่ได้ซื้อขายเพื่อรับประทานแต่ซื้อขายเพื่อให้เกิดประโยชน์ในด้านอื่นๆที่คนทั่วไปยอมรับกันก็สามารถกระทำได้เพราะล็อบสเตอร์และหอยอาจจะมีประโยชน์อื่นๆอีกมากมายก็เป็นได้
  • เงินฝากบัญชีสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยใช้ประโยชน์จากสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย จำเป็นต้องจ่ายคุมซ์หรือไม่?
    6454 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/22
    ท่านผู้นำสูงสุดตอบคำถามที่ถามว่าบุคคลที่ไม่มีที่อยู่อาศัยได้เก็บสะสมเงินฝากเพื่อเตรียมไว้ซื้อบ้านและที่อยู่อาศัยเงินฝากต้องจ่ายคุมซ์ด้วยหรือไม่? ตอบว่า: การสะสมทรัพย์ถือเป็นรายได้ประเภทหนึ่งถ้าเตรียมไว้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตเมื่อครบรอบปีต้องจ่ายคุมซ์ด้วยเว้นเสียแต่ว่าได้สะสมเงินไว้เพื่อจัดซื้อของใช้ที่จำเป็นในชีวิตหรือเพื่อสำรองค่าใช้จ่ายจำเป็นในกรณีนี้ถ้าหากเลยรอบปีต้องจ่ายคุมซ์ไปแล้ว (เช่นสองสามเดือนหลังรอบปีคุมซ์) เขาได้ใช้ไปในเรื่องดังกล่าวนั้นไม่ต้องจ่ายคุมซ์
  • มีฟัตวาเกี่ยวกับอาชีพที่สองไหม? หรือว่าการมีอาชีพที่สองเท่ากับเป็นคนหลงโลก?
    7844 สิทธิและกฎหมาย 2555/01/23
    ในทัศนะอิสลามไม่มีความหมายอันใดเกี่ยวกับอาชีพหรืออาชีพที่สอง, สิ่งที่ศาสนาอิสลามหรืออัลลอฮฺ (ซบ.) ได้ประณามเอาไว้คือ, ความลุ่มหลงและจิตผูกพันอยู่กับโลกทำให้ห่างไกลจากศีลธรรมและปรโลก

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60684 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58311 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42788 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40281 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39407 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34534 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28593 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28501 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28460 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26369 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...